Share

บทที่ 8

Author: กวนอวิ๋นเจี้ยน
อวี้หลานชิงประหลาดใจ นางเดาได้ทันทีว่าอาจารย์เป็นคนเอามาวางไว้ รีบโน้มตัวลงหยิบ

นางเปิดถุงออก กำลังจะเพ่งกระแสจิตสำรวจด้านใน แสงระยิบระยับของหินวิญญาณด้านในก็แยงจนตาพร่ามัว

หินวิญญาณระดับสูงหนึ่งก้อนมีค่าเทียบได้กับหินวิญญาณธรรมดาร้อยก้อน

โดยทั่วไปแล้วยังหาที่แลกเปลี่ยนได้ยากมาก เพียงแค่ก้อนเดียวก็แลกเปลี่ยนได้ถึงร้อยกว่าก้อน

ภายในถุง หินวิญญาณระดับสูงที่วางกองกันอย่างไม่เป็นระเบียบมีมากถึงหนึ่งร้อยก้อน

ตีเป็นมูลค่าเท่ากับหินวิญญาณธรรมดาได้เป็นหมื่นก้อน!

แม้จะรู้แล้วว่าอาจารย์เป็นคนใจป้ำ อวี้หลานชิงก็ยังตกใจกับความใจป้ำนี้อยู่ดี

อวี้หลานชิงเพ่งกระแสจิตสำรวจของในถุงต่อ มีทั้งยันต์กระบี่ โอสถ และก็มีป้ายคำสั่งที่สลักคำว่า “ชิงจู๋” อยู่หนึ่งชิ้น คิดว่าน่าจะเป็นของสำหรับเปิดใช้งานอาคมเข้าออกยอดเขาชิงจู๋

นางนำป้ายคำสั่งออกมาแล้วใช้พลังวิญญาณผูกมัดให้เรียบร้อย

จากนั้นถือถุงเก็บของออกจากอาคารหลังน้อย มุ่งหน้าขึ้นไปยังยอดเขา

นางตั้งใจจะไปคำนับท่านอาจารย์ พร้อมทั้งรายงานความก้าวหน้าจากการฝึกช่วงสองวันนี้ จะได้นำหินวิญญาณระดับสูงพวกนั้นไปคืนให้กับท่านอาจารย์ด้วย

หินวิญญาณระดับสูงล้ำค่าเกินไป นางเพิ่งจะอยู่ขั้นสร้างฐานปราณ ปกติก็ใช้ชีวิตในสำนัก ไม่ต้องใช้หินวิญญาณมากขนาดนั้น อีกอย่าง ทางสำนักก็มีเบี้ยเลี้ยงประจำเดือนอยู่แล้ว นางเก็บสะสมมาตลอดห้าปี ไม่ต้องได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์ก็มีพอแล้ว

ยอดเขาชิงจู๋กว้างใหญ่ ทว่ากลับมีแค่เสิ่นหวยจั๋วกับอวี้หลานชิงอยู่กันแค่สองคน สัตว์วิญญาณอาศัยอยู่ที่บริเวณครึ่งล่างของภูเขา บนยอดเขาเงียบสงัด มีเสียงน้ำไหลเอื่อย ๆ ดังมาจากลำธาร

กลิ่นหอมสดชื่นของพืชพรรณชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย

สภาพแวดล้อมเช่นนี้ทำให้อวี้หลานชิงรู้สึกผ่อนคลายมาก แม้แต่ฝีเท้าก็ยังเบาขึ้นหลายส่วน

อวี้หลานชิงเดินขึ้นไปถึงสวนไผ่เขียวบนยอดเขา ประสานมือโค้งคำนับอย่างนอบน้อม

“ศิษย์ อวี้หลานชิง คารวะท่านอาจารย์”

ภายในสวนเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดตอบกลับ

อวี้หลานชิงไม่แน่ใจนักว่าท่านอาจารย์ไม่อยู่ในสวนหรือว่าไม่สะดวกพบนางตอนนี้

หากเขาไม่สะดวก นางก็กลัวว่าการร้องเรียกหลายครั้งจะเป็นการรบกวน ด้วยเหตุนี้จึงยืนรออยู่เงียบ ๆ จากนั้นเอ่ยเรียกอีกครั้งหลังจากเวลาล่วงเลยไปหนึ่งก้านธูป

ยังคงไม่มีเสียงตอบกลับจากด้านในสวน

อวี้หลานชิงไม่แปลกใจแต่อย่างใด

ท่านอาจารย์เป็นประมุขยอดเขา และเป็นผู้อาวุโสของสำนักกระบี่เสวียนเทียน ย่อมไม่มีทางอยู่ในที่พักได้ตลอดเวลา ต้องมีธุระหน้าที่อย่างอื่นต้องจัดการ

ในฐานะลูกศิษย์ นางไม่ควรรบกวนอาจารย์มากเกินไป

นอกจากนี้ ไม่ว่าจะทางภายนอกหรือทาง “จิตวิญญาณ” นางก็ไม่ใช่ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนัก ไม่จำเป็นต้องให้อาจารย์ช่วยจัดตารางการฝึก

อวี้หลานชิงคิดไปคิดมาแล้วเดินลงจากเขา

เมื่อวานนางมาอย่างเร่งรีบ แม้นางจะย้ายเข้ายอดเขาชิงจู๋แล้ว กระนั้นข้าวของเดิมที่เก็บมาห้าปีก็ยังอยู่ที่ยอดเขาหลิงเซียว

ต้องกลับไปเอา

พลังยุทธ์ขั้นสร้างฐานปราณสามารถขี่กระบี่ได้แล้ว แต่ตอนนี้นางยังไม่มีกระบี่วิญญาณคู่กายที่จะสามารถเก็บเข้าสู่ศูนย์ปราณ อีกทั้งกระบี่ที่ใช้ตอนอยู่ระดับหลอมปราณก็ถูกทิ้งไว้ที่พักในยอดเขาหลิงเซียว

เมื่อตอนนี้ไม่มีกระบี่ที่จะใช้การได้ อวี้หลานชิงจึงใช้วิชาตัวเบา ร่างของนางร่อนติดพื้นลงจากเขาเหมือนนกนางแอ่น

ความเร็วไม่ได้ด้อยไปกว่าการขี่กระบี่ของผู้ฝึกตนระดับสร้างฐานปราณเลย

ตอนนี้เป็นเวลาช่วงเที่ยง แสงแดดแผดเผา

ผู้ฝึกตนในสำนักกระบี่ไม่มีนิสัยที่ชอบนอนกลางวัน ตอนนี้เป็นเวลาที่เพิ่งเสร็จจากการฝึกช่วงเช้าและภารกิจในช่วงครึ่งแรกของวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ว่างสำหรับการฝึกฝน

เนื่องจากปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนผู้เป็นประมุขยอดเขาหลิงเซียวออกฌานแล้ว กำลังเป็นที่สนใจ ภายในที่พักของลูกศิษย์ชั้นนอกที่ด้านล่างภูเขาจึงคึกคักเป็นพิเศษ มีคนมากกว่าปกติถึงเท่าตัว

ทั้งหมดเป็นลูกศิษย์ชั้นนอกที่มาจากยอดเขาอื่น แม้จะรู้ว่าเหล่าผู้อาวุโสเดินทางด้วยการ “บินไปมา” แตกต่างจากศิษย์ชั้นนอกแบบพวกเขา กระนั้นพวกเขาก็ยังมีความหวังว่าจะได้พบปรมาจารย์กระบี่ฉางยวน

ต่อให้ไม่ได้พบปรมาจารย์กระบี่ตัวเป็น ๆ อย่างน้อยได้สัมผัสกับ “ปราณกระบี่” ของเขาก็ยังดี

ไม่แน่ว่ามาสักสองสามครั้ง พวกเขาจะได้ค้นพบเจตจำนงกระบี่ที่ต่างออกไป

อวี้หลานชิงลงจากยอดเขาชิงจู๋แล้วเดินขึ้นยอดเขาหลิงเซียวต่อ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็พบกับศิษย์จากยอดเขาอื่นที่กำลังมาขอคำชี้แนะที่ยอดเขาหลิงเซียว

ในอดีต เนื่องจากปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนเข้าฌาน ตัวยอดเขาจึงถูกปิดไปครึ่งลูก บนยอดเขาเหลือศิษย์ชั้นนอกที่ทำหน้าที่ปัดกวาดขั้นบันไดและดูพืชพรรณบริเวณครึ่งล่างเพียงไม่กี่คน

นี่เป็นครั้งแรกที่มี “ผู้คนแน่นขนัด”

ภายในลานของศิษย์ชั้นนอกที่ไม่ได้กว้างขวางนัก ไม่สามารถจุคนได้มากขนาดนั้น ทุกคนจึงมารวมตัวในลานกว้างหน้าลาน

เวลานี้ ศิษย์ที่อยู่ระดับหลอมปราณขั้นสมบูรณ์สองคนกำลังประลองฝีมือกันโดยมีคนอื่นล้อมวงคอยดูอยู่

คนหนึ่งถือกระบี่สีเขียว ส่วนอีกคนถือกระบี่ยาวสีทองแดง

เห็นได้ชัดว่าศิษย์ที่ถือกระบี่ยาวสีทองแดงกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ

“แกร๊ง” ปราณกระบี่พุ่งออกจากกระบี่ยาวสีทองแดง กระแทกกระบี่สีเขียวให้ปลิวออกไป

แม้แต่ศิษย์ที่ถือกระบี่ก็ถูกกระแทกกระเด็นออกไปด้วย

การประลองระหว่างศิษย์ในสำนักเดียวกัน เพียงแตะตัวเป็นอันจบลง ศิษย์คนนั้นล้มไม่แรง ลุกขึ้นแล้วปัดฝุ่นตามตัว จากนั้นหันไปพูดกับคนที่ประลองกับตัวเองเมื่อครู่ “ไม่เจอกันไม่กี่วัน วิชากระบี่ของศิษย์พี่จางพัฒนาขึ้นมาก ข้าสู้ไม่ได้จริง ๆ”

ผู้คนที่มุงดูรอบข้างพูดขึ้นเช่นกัน น้ำเสียงเจือด้วยความยกย่อง “กระบวนท่าที่ศิษย์พี่จางใช้เมื่อครู่สามารถปล่อยปราณกระบี่ออกมา นั่นเป็นความสามารถที่มีเพียงศิษย์ระดับสร้างฐานปราณที่จะทำได้ ดูแล้วศิษย์พี่จางน่าจะได้เข้าถึงระดับสร้างฐานปราณ อีกไม่นานคงเลื่อนระดับ!”

“ในบรรดาลูกศิษย์ชั้นนอกชุดนี้ มีเพียงศิษย์พี่จางที่ก้าวหน้าเร็วที่สุด เกรงว่าอีกไม่นานคงเข้าตาท่านเจ้าสำนักและถูกรับเป็นศิษย์…”

“ข้าดูแล้วกระบี่ของศิษย์พี่จางก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน หรือว่าจะแลกมาด้วยคะแนนของสำนัก? ต้องใช้คะแนนไม่น้อยเป็นแน่ คงมีเพียงกระบี่ชั้นดีแบบนี้ที่จะคู่ควรกับความสามารถของศิษย์พี่จาง!”

อวี้หลานชิงใช้วิชาตัวเบาตลอดทาง เดินทางรวดเร็วจนเห็นเพียงแค่เงา

เดิมทีนางไม่คิดจะหยุดระหว่างทาง เห็นลูกศิษย์ชั้นนอกรวมตัวอยู่หน้าลานก็คิดจะอ้อมไปอีกทางเพื่อเข้าสู่ที่พักของตัวเอง

แต่แล้วพลันได้ยินประโยคนี้เข้าพอดี

นางเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงคลายเคล็ดวิชาและหยุดฝีเท้าลง

“ศิษย์พี่หญิงอวี้?”

ลูกศิษย์ชั้นนอกที่ยืนอยู่ด้านข้างร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นเงาร่างที่โผล่มาอย่างฉับพลัน

คนอื่น ๆ ได้ยินเสียงร้อง “ตกใจ” นี้ก็พากันหันมามอง

ที่ยอดเขาหลิงเซียว ผู้ที่จะถูกเรียกว่า “ศิษย์พี่หญิงอวี้” นั้น นอกเหนือจากอวี้หลานชิงแล้วก็ไม่มีผู้ใดอีก

แม้แต่คนที่ไม่เคยเจออวี้หลานชิงก็ยังเดาได้ว่านางเป็นผู้ใด

ผู้ฝึกตนหญิงร่างบางที่ปรากฏกายอย่างฉับพลันคนนี้ก็คืออวี้หลานชิงผู้เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วสำนักในช่วงสองวันมานี้!

เมื่อห้าปีก่อน นางเป็นคนแรกที่ผ่านเข้าสำนักกระบี่เสวียนเทียน กลายเป็นผู้ที่ถูกวางตัวให้เป็นศิษย์ของปรมาจารย์กระบี่ฉางยวน พัฒนาจากระดับหลอมปราณจนขึ้นสู่ระดับสร้างฐานปราณภายในระยะเวลาห้าปี

แต่แล้วในวันที่ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนออกฌาน นางกลับปฏิเสธที่จะคำนับเขาเป็นอาจารย์ หันไปเลือกเสิ่นหวยจั๋วที่ไม่เอาไหนที่สุดในสำนักมาเป็นอาจารย์แทน

การกระทำเช่นนี้ทำให้ทุกคนอ้าปากค้าง

ผู้ใดฟังแล้วเป็นอันต้องร้องออกมาว่า “ตาบอดชัด ๆ!”

แม้ว่าผู้อาวุโสเสิ่นจะเป็นศิษย์ของปรมาจารย์กระบี่ชางหวนและมีลำดับศักดิ์สูง ถึงกระนั้น มันจะเทียบกับปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนซึ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งของตงโจวได้อย่างไร?

ศิษย์พี่จางที่ถูกมุงล้อมเมื่อครู่นี้ค่อย ๆ นำกระบี่ไปซ่อนไว้ด้านหลัง ถามอวี้หลานชิงว่า “ศิษย์พี่หญิงอวี้ ท่านกลับมาทำอันใด?”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 62

    สายตาของผู้คนล้วนติดตามผีเสื้อที่กลายร่างจากแสงวิญญาณ ไปหยุดอยู่ที่อวี้หลานชิงลั่วอู๋ซางพลันนึกขึ้นได้ว่า ก่อนที่ตนจะลงมือเป็นครั้งที่สอง ศิษย์หญิงผู้นี้เองที่แอบ “ปลดปล่อย” ศิษย์สำนักกระบี่หลายคนซึ่งถูกแรงกดดันกดทับไว้ต่อหน้าต่อตาเขาก็จริงอยู่ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนหญิงกระโปรงชมพูที่อาจเกี่ยวพันกับการตายของศิษย์ตน เอะอะก็ตาแดง แสร้งทำเป็นน่าสงสาร นางยังชวนให้พึงใจยิ่งกว่า“เอาเถิด ข้าจะเห็นแก่สำนักกระบี่เสวียนเทียน คนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหลายถอยออกไปได้”มือที่ลั่วอู๋ซางยกขึ้นยังคงชี้ไปที่จี้ฝูเหยา น้ำเสียงเย็นชาไร้ปรานี “ข้าจะไต่สวนเพียงนางผู้เดียว”ร่างของจี้ฝูเหยาสั่นเทาเล็กน้อย มองไปรอบ ๆ อย่างไร้ที่พึ่งศิษย์ร่วมสำนักที่นางมองไปหา ต่างพากันหลบสายตาแม้แต่เจินเหรินระดับแก่นปราณหลายคนที่ก่อนหน้านี้ยังคอยปกป้องนาง เวลานี้กลับพากันนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดลุกขึ้นมาพูดแทนนางอีกจี้ฝูเหยากำฝ่ามือแน่น ตัดใจเด็ดขาดหันไปทางเสิ่นหวยจั๋ว “ผู้อาวุโสเสิ่น อาจารย์ปู่…ท่านอาจารย์ของศิษย์ยังมาไม่ถึง ท่านจะทอดทิ้งศิษย์มิได้!”เสิ่นหวยจั๋วชิงชังที่สุดในชีวิตก็คือการมีผู้ใดมาข่มขู่ตนเองสายตาท

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 61

    ต่อหน้าธารกำนัล เขานั่งลงบนเก้าอี้เมฆาตัวหนึ่งในนั้นอย่างไม่ลังเลจากนั้นก็ผลักเก้าอี้อีกตัวไปข้างหน้า โอบล้อมด้วยสายลมบริสุทธิ์ ส่งตรงไปยังด้านหลังของลั่วอู๋ซางศิษย์จากสี่สำนักที่อยู่ด้านล่าง ต่างก็มองจนตะลึงงันผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่เสวียนเทียนท่านนี้ กำลังคิดจะทำสิ่งใดกัน?นี่มันยามใดแล้ว ยังจะมีกะจิตกะใจนั่งลงสนทนากันอีก!เหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียน ยิ่งร้อนใจหนัก พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าผู้อาวุโสเสิ่นคิดจะงัดกลอุบายอันใดออกมาเกรงว่าการกระทำของผู้อาวุโสเสิ่นอาจยิ่งยั่วโทสะลั่วอู๋ซาง ทำให้ทุกคนต้องพลอยรับเคราะห์หนักหนาสาหัสกว่าเดิมท่ามกลางแววตาสงสัยของผู้คนมากมาย เสิ่นหวยจั๋วเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วกล่าวกับลั่วอู๋ซางว่า “สหายโปรดนั่ง เรื่องราวในวันนี้ ข้าพอจะเข้าใจคร่าว ๆ แล้ว ข้ามิได้โน้มน้าวให้ท่านคลายโทสะ เพียงแต่อยากพูดคุยด้วยเหตุผลกับท่านเท่านั้น”เขาไม่เคยคิดจะประมือกับลั่วอู๋ซางเลยสักครั้ง เสิ่นหวยจั๋วผู้นี้ เป็นคนที่ยึดถือเหตุผลเสมอมาเป็นครั้งแรกที่ลั่วอู๋ซางต้องเผชิญกับคนที่เล่นนอกกติกาเช่นนี้อย่างไรเสียสองสำนักก็ยังคงมีความสัมพันธ์อันดีงามอยู่ อีกทั้ง

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 60

    “ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนห่วงใยความปลอดภัยของศิษย์น้องหญิงจี้จริงดังคาด เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่นาน ก็รีบมาด้วยตัวเองแล้ว”ส่วนลั่วอู๋ซางแห่งสำนักอู๋จี๋เตี้ยน มาเร็วก็จริง แต่ก็เป็นเพียงร่างแยกเท่านั้นแต่ดูจากแสงสีขาววาบเดียวเมื่อครู่นั้น เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำลายแรงกดดันของลั่วอู๋ซางได้ พลังนั้นชัดเจนว่าย่อมมีได้เมื่อร่างจริงมาถึงเท่านั้นต่างเป็นระดับเทพจุติเหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงร่างแยก ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งปรากฏกายมาด้วยร่างจริง...ใครแพ้ใครชนะ มองปราดเดียวก็รู้แล้วเหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียนต่างถอนหายใจโล่งอกในที่สุดเหล่าเจินเหรินที่เมื่อครู่ยังรู้สึกไม่พอใจที่จี้ฝูเหยายั่วโมโหลั่วอู๋ซาง บัดนี้ต่างก็สงบความขุ่นเคืองใจลงแล้วอย่างไรเสีย จี้ฝูเหยาก็เป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์กระบี่ ไม่เห็นหรือว่าแค่นางเกิดปัญหาเล็กน้อย ปรมาจารย์กระบี่ก็รีบรุดมาด้วยตัวเอง?เพียงเท่านี้ ก็มากพอให้นางมีทุนที่จะเอาแต่ใจแล้วเช่นเดียวกับทุกคน จี้ฝูเหยาก็กำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าตามทิศทางที่แสงสีขาวพุ่งมา บนหมู่เมฆที่ขอบฟ้าอันไกลโพ้น ปรากฏร่างหนึ่งยืนอยู่จี้ฝูเหยากำยันต์หยกไว้ในฝ่ามื

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 59

    ทั้งสองคนนี้อวี้หลานชิงไม่รู้จักเลย พียงเลือกคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดเท่านั้นขณะที่นางยื่นมือช่วยเหลือศิษย์ร่วมสำนักใกล้ตัวต้านแรงกดดัน ทางด้านนั้น ลั่วอู๋ซางก็ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าพวกจี้ฝูเหยาทั้งสี่แล้วมองปราดเดียวก็รู้ว่า จี้ฝูเหยาต่างหากที่เป็นผู้ตัดสินใจได้ในบรรดาทั้งสี่คนและไม่สนใจว่าคนอื่นจะกล่าวว่าเขารังแกคนอ่อนแอกว่า สายตาจ้องเขม็งไปที่จี้ฝูเหยา มองจากที่สูงลงมาอย่างดูถูก ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “พูดมา หลังจากเจ้าพบเฉินถงแล้วไปที่ไหน แยกจากกันเมื่อใด หลังจากนั้นเจ้าพบเขาอีกหรือไม่?”ใบหน้าจี้ฝูเหยาซีดเผือดภายใต้สายตาอำมหิตของยอดฝีมือระดับเทพจุติ นางตัวสั่นระริก จนไม่อาจเอ่ยวาจาใดออกมาแต่หาใช่เพราะแรงกดดันไม่ นางมีของวิเศษที่ท่านอาจารย์มอบไว้ติดตัว จึงไม่รู้สึกถึงแรงกดดันของลั่วอู๋ซางที่ปกคลุมเหนือหัวของเหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียนเพียงแต่นางมีระดับพลังยุทธ์เพียงขั้นหลอมปราณช่วงกลางเท่านั้น การถูกยอดฝีมือระดับเทพจุติจ้องด้วยสายตาอำมหิต ความกดดันเช่นนี้เพียงพอจะทำลายแนวป้องกันในจิตใจของนางได้นางหลับตาลงเบา ๆ กำยันต์หยกที่ท่านอาจารย์มอบให้ตนเอง สัมผัสถึงความอบอุ่นจา

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 58

    ภายในเตาหลอมใหญ่พลันปรากฏเงาร่างขึ้นมา แรกเห็นยังคงเลือนราง แต่เพียงพริบตาก็แน่ชัดเป็นรูปเป็นร่างอาภรณ์ดำ ผมสีเพลิง ปกเสื้อหลวมโครก เสื้อคลุมยับย่น ดูไม่งามตา แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนเห็นเขาก้าวย่างอันองอาจ ก้าวข้ามออกมาจากเตาหลอมผมยาวสีเพลิงนั้น ถูกรวบไว้ด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจด้วยผ้าคาดผมสีขาว ในจังหวะที่เขาขยับกาย ผ้าคาดผมที่หลวมโครกนั้นก็ขาดสะบั้น ผมยาวสีเพลิงปลิวสยายออก พลิ้วไหวโดยไร้ลม ราวกับเพลิงโทสะที่ลุกโชนในดวงตาของเขา เพียงสบมองก็ทำให้ผู้คนพลันเกิดความหวาดหวั่นจากก้นบึ้งหัวใจนี่แหละความน่าเกรงขามของยอดฝีมือระดับเทพจุติแม้เป็นเพียงร่างแยกสายเดียว ก็สามารถทำให้คนนับร้อยตรึงอยู่กับที่พร้อมกัน อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“ผู้ใดบังอาจลงมือทำร้ายศิษย์ของข้า?” ลั่วอู๋ซางมองไปรอบทิศด้วยแววตาอันดุดันสายตาทอดไปที่ใด ก็ไม่มีผู้ใดหาญกล้าสบตาหลิงสวินเฟิงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “ท่านอาจารย์ ท่านมาถึงเร็วเกินไป ตอนนี้ยังตรวจสอบไม่พบสาเหตุที่ศิษย์น้องหายตัวไปขอรับ”“แล้วเหตุใดไม่รีบตรวจสอบต่อไปเล่า!”ลั่วอู๋ซางตวาดก้อง พูดจบแล้วก็ยกมือขึ้น พลังจิตวิญญาณสายหนึ่งพุ่งห่อหุ้มเ

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 57

    ก่อนที่ผู้อาวุโสจะมาถึง เจินเหรินหลายท่านของสำนักอู๋จี๋เตี้ยนยังคงสอบถามสำนักต่าง ๆ ว่ามีใครเคยพบศิษย์สองคนนั้นอีกบ้าง“สำนักอู๋จี๋เตี้ยนก็เหลือเกิน ตอนมาก็ให้คนรอ ตอนกลับก็ยังต้องรออีก ทำตัวใหญ่โตเสียจริง!”“แล้วคนเมื่อครู่นั้นก็ด้วย ท่าทีอย่างไรกัน กล้าพูดกับศิษย์น้องหญิงจี้แบบนี้ได้อย่างไร”ผู้คนที่อยู่รอบตัวจี้ฝูเหยา พากันเป็นเดือดเป็นร้อนแทนนางสายตาของอวี้หลานชิงก็จับอยู่ที่จี้ฝูเหยาเช่นกันนางนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ในแดนลับ ตอนที่ขัดขวางจี้ฝูเหยาไม่ให้ใช้ค่ายกลเข็มทิศสอดส่องเข้าไปยังแดนลับใหญ่ ข้างกายจี้ฝูเหยามีผู้ติดตามอยู่หลายคนนอกจากลูกศิษย์ชั้นนอกสามคนของยอดเขาหลิงเซียวที่ยังยืนเคียงข้างจี้ฝูเหยาแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนตัวสูงคนหนึ่งตัวเตี้ยคนหนึ่ง ทั้งสองแต่งกายหรูหรา สีหน้าหยิ่งยโส สองคนนั้นน่าจะเป็นเฉินถงและหนานกงที่สำนักอู๋จี๋เตี้ยนกำลังตามหาในตอนนั้นแดนลับเพิ่งเปิดได้ไม่ถึงห้าวัน ระดับพลังยุทธ์ของจี้ฝูเหยายังคงหยุดอยู่ที่ขั้นดึงลมปราณเข้าร่างสัญชาตญาณบอกนางว่า จี้ฝูเหยาดูไม่ชอบมาพากลแต่ ณ เวลานั้นนางไม่อาจบอกได้ว่า ไม่ชอบมาพากลตรงไหนกันแน่“อาจารย์อาอวี้”เมื

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status