Share

บทที่ 7

Author: กวนอวิ๋นเจี้ยน
ห้องรับแขกและห้องหลอมโอสถถูกจัดไว้ที่ชั้นล่าง ส่วนด้านบนแบ่งเป็นห้องนอนและห้องฝึกตน

ภายในใจอวี้หลานชิงยังคงครุ่นคิดถึงเจตจำนงกระบี่ที่สัมผัสได้ในตำหนักเจี้ยนอิงเมื่อครู่ นางไม่ทันได้สนใจจะมาดูเครื่องเรือนแต่ละชิ้นโดยละเอียด รีบขึ้นไปยังห้องฝึกตนที่อยู่ชั้นบน

อีกด้านหนึ่ง เสิ่นหวยจั๋วกลับไปถึงสวนไผ่เขียวแล้วกินโอสถ หลังจากตื่นนอนจากการงีบไปครู่หนึ่งก็เพิ่งนึกได้ว่า ตัวเองลืมมอบป้ายคำสั่งสำหรับเข้าออกยอดเขาชิงจู๋ให้กับศิษย์ตัวน้อย

ครั้นส่งกระแสจิตไปตรวจสอบที่อาคารสองชั้นริมลำธาร กลับไม่พบเงาร่างของศิษย์ตัวน้อยแต่อย่างใด

หรือว่าจะไปเดินเล่นที่อื่นแล้ว?

จังหวะที่เสิ่นหวยจั๋วจะไปหาตามแนวลำธาร เขาก็สัมผัสได้ว่าอาคมที่อยู่บนชั้นสองได้ถูกเปิดใช้งาน

เมื่อเพ่งตา “มอง” อีกครั้ง ศิษย์ที่หายตัวไปเมื่อครู่ก็กำลังหลับตานั่งสมาธิอยู่ในห้องมิใช่หรือ?

สุดยอด!

นี่เขาได้ลูกศิษย์ที่ขยันขันแข็งขนาดนี้เชียวหรือ!

บุรุษชุดขาวที่นอนอยู่บนเก้าอี้เอนใต้ต้นไม้ใหญ่ลุกขึ้นนั่งหลังตรงโดยไม่รู้ตัว

แต่ชั่วพริบตาต่อมาก็กลับไปนอนเหมือนเดิม ใช้ปลายนิ้วปัดกิ่งไม้เหนือศีรษะไปด้านข้าง ให้แสงแดดอบอุ่นสาดลงบนกาย

ในเมื่อลูกศิษย์สำนึกดีขนาดนี้ ตัวเขาผู้เป็นอาจารย์ก็ยิ่งไม่ต้องเร่งเร้า!

สามารถนอนพักได้อย่างสบายใจ

เสิ่นหวยจั๋วคิดไปคิดมาแล้วก็นำป้ายคำสั่ง ศิลาวิญญาณระดับสูงหนึ่งร้อยก้อน ยันต์กระบี่ที่บอกไว้ก่อนหน้านี้หนึ่งชุด รวมถึงโอสถตรึงวิญญาณชั้นเลิศหนึ่งขวด จากนั้นยัดทั้งหมดลงในถุงเก็บของ

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้แหวนเก็บของและกำไลเก็บของที่ดีกว่านี้ แต่เป็นเพราะของที่เขามีอยู่ตอนนี้เป็นของสำหรับบุรุษทั้งหมด ลูกศิษย์ตัวน้อยรูปร่างผอมบาง แขนขาและนิ้วมือเล็กนิดเดียว หากมอบให้ใส่ก็คงดูไม่เข้าท่า

รออีกสักสองวันให้ร้านเซิ่งเป่ามีสินค้าใหม่เข้ามาค่อยไปเลือกให้จะดีกว่า

ศิษย์ตัวน้อยจะได้ไม่รู้สึกว่าเขาเอาของเก่ามาให้ด้วย

เสิ่นหวยจั๋วขาดแคลนทุกอย่าง สิ่งเดียวที่ไม่ขาดคือหินวิญญาณ

ลูกศิษย์ของเขาก็ต้องได้ใช้ของที่ดีที่สุดเช่นกัน!

สายลมอ่อน ๆ พัดให้ถุงเก็บของลอยไปอยู่หน้าห้องฝึกตน เสิ่นหวยจั๋วถอนกระแสจิตกลับแล้วเริ่มจัดการกับแผ่นค่ายกลที่หอพันกลส่งมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือน

ว่ากันว่าค่ายกลนี้สามารถดึงก้อนเมฆบนท้องนภาลงมา

พอดีกับเขามีความคิดว่าจะดึงลงมาสักสองสามก้อน ตกแต่งสวนไผ่เขียวของเขาเพิ่มเติม

เจตจำนงกระบี่ที่บรรพชนแต่ละรุ่นค้นพบนี่ไม่ธรรมดาเลย อวี้หลานชิงนั่งสมาธิติดต่อถึงสิบชั่วยามเต็ม ๆ

ไม่รู้ว่าเพราะพลังวิญญาณของยอดเขาชิงจู๋เต็มเปี่ยม หรือว่าเพราะเบาะที่นั่งช่วยให้จิตใจสงบ การนั่งสมาธิสิบชั่วยามนี้ได้ผลดียิ่งกว่าการฝึกสิบวันในอดีตเสียอีก

ระดับพลังยุทธ์ที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นสร้างฐานปราณเพิ่มขึ้นเยอะมาก อีกนิดเดียวก็จะถึงขั้นสร้างฐานปราณระดับที่สอง!

เมื่อชาติก่อน หลังจากที่เข้าสู่ขั้นสร้างฐานปราณแล้ว นางต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีกว่าจะฝึกถึงระดับที่สอง

สมัยที่เป็นลูกศิษย์ของฉางยวน ที่พักของนางยังตั้งอยู่บนเนินเขา ใกล้กับที่พักของบรรดาลูกศิษย์ชั้นนอกของยอดเขาหลิงเซียว นางเคยถามฉางยวนว่าควรย้ายที่พักหรือไม่ แต่ฉางยวนตอบว่า ในเมื่อนางอยู่นั่นจนชินแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องย้าย

ในทางกลับกัน กลับจัดที่พักของศิษย์น้องหญิงอยู่บนยอดเขา ซึ่งเป็นที่ที่พลังวิญญาณเข้มข้นเป็นรองแค่ที่พักของเขา

ไม่กลัวว่าจะน้อย กลัวก็แต่ว่าจะไม่เท่าเทียม อวี้หลานชิงไม่เคยคิดว่ามีอาจารย์แล้วตัวเองจะต้องได้รับอะไร

แต่เมื่อได้เปรียบเทียบกันแล้ว ฝ่ายที่ไม่ได้รับอะไรเลยย่อมรู้สึกน้อยใจเป็นธรรมดา

อย่างไรก็ตาม การที่พลังยุทธ์ของนางเพิ่มขึ้นช้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่อย่างใด ปัจจัยสำคัญเป็นเพราะ หลังจากที่นางเป็นศิษย์ของปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนอย่างเป็นทางการแล้ว ช่วงกลางวันมักจะมีศิษย์ร่วมสำนักมาขอคำชี้แนะเกี่ยวกับเคล็ดวิชากระบี่ ส่วนช่วงกลางคืนก็ต้องดูแลหญ้าวิญญาณเยือกแข็งจำนวนครึ่งไร่ในทุ่งวิญญาณ

นั่นเป็นหน้าที่แรกที่ฉางยวนมอบให้นาง หญ้าวิญญาณล้ำค่ามาก อีกทั้งก็มีเพียงนางที่สามารถใช้อาคมในทุ่งวิญญาณได้ อวี้หลานชิงไม่กล้าให้ผู้ใดช่วยเหลือ ได้แต่ยอมเจียดเวลาของตัวเองมาดูแล

เพื่อดูแลงานต่าง ๆ บนยอดเขาหลิงเซียวแล้ว เวลาฝึกในแต่ละวันของนางจึงเหลือเพียงหนึ่งถึงสองชั่วยาม รวมทั้งไม่อาจสงบสมาธิได้เต็มที่

นางเคยขอฉางยวนว่าจะเข้าฌานสักพัก ไม่ให้คนนอกรบกวน แต่เขากลับตำหนินางว่าไม่รู้จักเห็นใจศิษย์ร่วมสำนัก จากนั้นเรื่องนี้ก็แพร่งพรายออกไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ทำให้ชื่อเสียงของนางเริ่มเสียหาย

ในสายตาลูกศิษย์ชั้นนอกบนยอดเขาหลิงเซียวแล้ว การเพิ่มพลังยุทธ์หนึ่งระดับภายในระยะเวลาครึ่งปีถือว่าเร็วมาก นางเคยได้ยินพวกเขานินทาลับหลังว่า ที่นางขออนุญาตเข้าฌานก็เพื่อให้ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนย้ายนางไปยังที่พักที่ดีกว่านี้ เพื่อจะได้แข่งกับศิษย์น้องหญิงจี้ฝูเหยา

ส่วนยอดเขาแห่งอื่น ๆ ก็พูดกันว่า หลังจากที่นางเป็นศิษย์ของปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนก็ไม่เห็นผู้ใดในสายตา ดูถูกดูแคลนลูกศิษย์ทั่วไป

ถึงแม้นางจะยังคงช่วยชี้แนะศิษย์ร่วมสำนักที่มาขอความรู้เรื่องเคล็ดวิชากระบี่ มันก็ไม่อาจกู้ชื่อเสียงแต่อย่างใด

อวี้หลานชิงเมื่อชาติก่อนต้องทนทุกข์กับเรื่องนี้มาโดยตลอด

ตัวนางที่ตายมาแล้วครั้งหนึ่งเข้าใจดี ผู้ใดจะพูดอะไรก็ช่าง นางไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองเพราะความคิดของผู้ใด

ตัวนางไม่เคยทำผิด แต่เป็นความผิดของฉางยวนที่เอาแต่กดขี่นางเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและสร้างชื่อเสียงให้จี้ฝูเหยา!

ทันทีที่ความโกรธแค้นและเดือดดาลภายในใจพุ่งขึ้นสูง เบาะรองนั่งก็แผ่กลิ่นอายสงบและเยือกเย็นออกมา ทำให้อารมณ์ที่กระสับกระส่ายของอวี้หลานชิงสงบลงทันที

อวี้หลานชิงไม่รู้ว่าเบาะรองนี้ทำจากอะไร แต่ก็พอจะเดาได้ว่าต้องเป็นของที่ไม่ธรรมดาแน่นอน ชาติก่อนนางตายที่ขั้นหลอมแก่นปราณ พอจะเคยเห็นโลกกว้างมาบ้าง รู้ว่าเบาะรองที่มีสรรพคุณช่วยสงบจิตเช่นนี้ ต่อให้จะเป็นประเภทให้ผลลัพธ์เพียงน้อยนิดก็ต้องมูลค่านับพันหินวิญญาณ

ส่วนเบาะรองที่ให้ผลลัพธ์อย่างเห็นได้ชัดซึ่งนางใช้อยู่ตอนนี้ เกรงว่าต้องมีราคาหลายพันหินวิญญาณ!

ท่านอาจารย์ใจกว้างยิ่งนัก ของในห้องฝึกตนและอาคารไม้ไผ่ล้วนแล้วแต่เป็นของชั้นเลิศ

เดิมทีคิดว่ากราบอาจารย์นอกจากเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว ยังเพื่อตอบแทนอาจารย์ ช่วยให้เขารอดจากภัยพิบัติในภายภาคหน้า

นึกไม่ถึงว่าหลังจากฝากตัวเป็นศิษย์ มันกลับกลายเป็นว่านางเอาประโยชน์จากอาจารย์อยู่ฝ่ายเดียว…

เริ่มจากเครื่องรางจากปรมาจารย์กระบี่ชางหวน ตามด้วยอาคารหลังเล็กที่เงียบสงบ ตกแต่งอย่างประณีตงดงาม มีพลังวิญญาณล้มเปี่ยม แถมตอนนี้ก็ยังมีเบาะรองนั่งที่ช่วยเรื่องการฝึกยุทธ์อีก…

ไม่รู้ว่านางมีคุณธรรมหรือความสามารถอันใด ถึงได้มีอาจารย์ที่ดีขนาดนี้!

ตอนแรกนางก็รู้สึกดีใจที่ตัวเองสามารถเลื่อนขั้นพลังหนึ่งระดับได้ภายในวันเดียว แต่แล้วจู่ ๆ ก็เปลี่ยนมามีสีหน้าจริงจัง

ก็แค่เลื่อนขั้นพลังได้หนึ่งระดับ เลื่อนจากขั้นสร้างฐานปราณมาเป็นระดับที่สอง มันมีอันใดน่ายินดีกัน?

ท่านอาจารย์จัดสภาพแวดล้อมสำหรับการฝึกที่ดีขนาดนี้ให้กับนาง หากจะก้าวหน้ารวดเร็วก็ไม่มีอะไรแปลก

นางต้องห้ามหลงตัวเอง ฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง เช่นนี้จึงจะไม่ผิดต่อความตั้งใจของอาจารย์!

เมื่อมีพลังยุทธ์มากพอและแข็งแกร่งพอ นางจึงจะปกป้องท่านอาจารย์ที่ครอบครองสมบัตินับไม่ถ้วนได้ เพราะเมื่อชาติก่อน ท่านอาจารย์ถูกปองร้ายจนหายสูญ ป้ายวิญญาณแตกร้าวก็เพราะการครอบครองสมบัติ…

หัวใจที่ปรารถนาจะแข็งแกร่งขึ้น ยิ่งแน่วแน่กว่าเดิม

อวี้หลานชิงหลับตาลงอีกครั้ง โคจรกำลังภายใน อาศัยแรงใจนี้มาผลักดันตัวเองให้เข้าสู่ขั้นสร้างฐานปราณระดับที่สอง จากนั้นจึงค่อยเก็บกระบวนท่า ตามด้วยลุกขึ้นและผลักประตูห้องฝึกตน

มีถุงเก็บของปักด้วยดิ้นทองใบหนึ่งวางนิ่งอยู่หน้าประตู

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 100

    บรรดาสำนักที่เมื่อครู่นี้ลอยเด่นอยู่กลางอากาศ เวลานี้ได้ยึดครองตำแหน่งที่ดีที่สุดบนอัฒจันทร์แล้ว ส่วนสำนักขนาดกลางและขนาดเล็กที่เหลือก็แทรกตัวเข้าไปในช่องว่างที่สำนักใหญ่เหลือไว้ อวี้หลานชิงนั่งอยู่บนที่นั่งของศิษย์สายตรงชั้นใน นางกวาดตามองไปรอบ ๆ ทอดสายตามองไปยังเบื้องล่างที่มีศีรษะผู้คนอยู่อย่างเนืองแน่นผู้ฝึกตนในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักเซียนมีเกือบหนึ่งแสนคนเลยทีเดียวเมื่อรอให้ทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว แสงที่เปล่งออกมาจากเสาค้ำฟ้าโดยรอบก็รวมตัวเข้าด้วยกันชายชราผมขาวโพลนดุจหิมะคนหนึ่ง ถือไม้เท้าหัวมังกร ดูสง่างามดั่งเซียนมากกว่าอวี้ชิงจื่อจากสำนักอวี้ซวีก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศทุกก้าวที่เดิน ร่างก็เข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้นราวกับว่าเดินมาจากท่ามกลางความว่างเปล่า ท้ายที่สุดก็หยุดอยู่ตรงใจกลางสนามเมื่อเขาปรากฏตัว เจ้าสำนักต่าง ๆ ที่อยู่บนที่นั่งสูงสุดของอัฒจันทร์โดยรอบก็พากันลุกขึ้น ประสานมือคารวะชายชราผู้นั้นแล้วร้องเรียกว่า “ผู้อาวุโสเช่อ” “ผู้อาวุโสเช่อผู้นี้เป็นใครกัน?” จิตวิญญาณของอวี้หลานชิงอยู่แค่ระดับหลอมแก่นปราณเท่านั้น ไม่อาจมองทะลุระดับพลังยุทธ์ของชายชราได้ คนท

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 99

    เวลานี้เอง ฉากที่อยู่ด้านนอกเสาค้ำฟ้าแทบจะเป็นภาพจำลองของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรทั้งหมด เมืองที่รองรับผู้คนได้หลายแสนคนแห่งนี้ ทุกคนในเมืองล้วนเฝ้าติดตามสถานการณ์ของทางเสาค้ำฟ้าตรงใจกลางเมือง ศิษย์สำนักใหญ่ที่นำโดยอาจารย์จากสำนัก ต่างก็ยืนอยู่บนอาวุธวิเศษเหาะเหินขนาดใหญ่ที่เปล่งแสงแวววาวของสำนักต่าง ๆ ส่วนลูกศิษย์ของสำนักขนาดกลางและขนาดเล็กก็ยืนอยู่บนพื้นดิน รออยู่รอบ ๆ เสาค้ำฟ้าอย่างเงียบเชียบถัดออกไปด้านนอก ยังมีผู้ฝึกตนอิสระนับไม่ถ้วนที่ไม่มีสิทธิ์เข้างานชุมนุมใหญ่ของสำนักเซียนกำลังชะเง้อคอมองสถานการณ์ในนี้ แววตาแฝงไปด้วยความชื่นชมและความหลงใหลใฝ่ฝันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก่อนที่หมอกจาง ๆ ที่ปกคลุมเสาค้ำฟ้าจะสลายหายไป สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปยังบรรดาเจ้าสำนักและผู้อาวุโสของสำนักใหญ่ที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศอัดฉีดพลังวิญญาณเข้าไปในเสาค้ำฟ้า ผู้ที่ยืนตระหง่านกลางอากาศปลดปล่อยพลังอันมหาศาลเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกตนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ส่วนมากก้าวเข้าสู่ระดับทารกวิญญาณช่วงปลายแล้ว ยังมีบางส่วนที่ครอบครองพลังของระดับเทพจุติด้วยผู้ทรงพลังที่มีคว

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 98

    บางทีอาจเป็นเพราะตอนนี้จี้ฝูเหยายังเยาว์วัย ยังไม่เข้าใจการเก็บงำอารมณ์โดยสมบูรณ์ หรืออาจเป็นเพราะประสบการณ์ที่สั่งสมมาสองชาติ ทำให้อวี้หลานชิงเข้าใจนางดีเกินไป เมื่อจิตสัมผัสรู้สึกได้ถึงสายตาของจี้ฝูเหยาที่มองตามหลังอีกฝ่ายไป อวี้หลานชิงก็คาดเดาการกระทำต่อไปของนางได้แล้ว นางทำเช่นนี้เป็นประจำใช้ท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา คำนึงถึงผู้อื่นมาดึงดูดทุกคนที่มีประโยชน์ต่อนาง ชาติที่แล้ว หากไม่ใช่เพราะกระบี่ที่ทะลวงหัวใจในตอนสุดท้าย อวี้หลานชิงก็คงถูกรูปลักษณ์ภายนอกของนางหลอกไปแล้ว ในฐานะผู้หญิงเหมือนกัน อวี้หลานชิงไม่อยากใช้คำพูดที่ร้ายกาจมาบรรยายจี้ฝูเหยา แต่เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนที่แสดงออกมาเลย สายตาของปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนน่าเป็นห่วงยิ่งนักความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมาในใจ อวี้หลานชิงก็อดไม่ได้ที่จะ “ถุย” อีกครั้ง ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนก็ไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน ศิษย์อาจารย์คู่นั้นชอบพอกันและกัน มีความรักต้องห้าม เรียกได้ว่าเหมือนเต่ามองถั่วเขียว รับสืบทอดสายตาที่ย่ำแย่มา“ไปกันเถิด” อวี้หลานชิงหันหน้ากลับมามอง เจ้าของแผงลอยที่ยังกำถุงเก็บของไว้แน่นเพราะกล

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 97

    อวี้หลานชิงไม่ได้สนใจสายตาของผู้คนรอบข้าง และไม่อยากอธิบายอะไร เดิมทีนางก็ไม่ได้คิดจะสังหารสัตว์วิญญาณตัวนี้เลย ในเมื่อจี้ฝูเหยายินดีเข้ามายุ่งเรื่องผู้อื่น ก็ปล่อยให้นางดูแลต่อไปก็พอ “ศิษย์หลานกล่าวมีเหตุผล เช่นนั้นหน้าที่สำคัญอย่างตามหาเจ้าของสัตว์วิญญาณตัวนี้ก็ยกให้ศิษย์หลานจัดการแล้วกัน” “แต่ว่าสัตว์วิญญาณตัวนี้มีนิสัยซุกซน ศิษย์หลานต้องคอยจับตาดูหน่อย อย่าให้มันทำร้ายผู้คนอีกเป็นอันขาด” อวี้หลานชิงพูดจบก็เก็บกระบี่ยาว เจ้าของแผงลอยที่อาศัยช่วงเวลาชุลมุนเก็บกล่องบรรจุหญ้าเย็นกระจ่างกลับคืนสู่อ้อมอกอีกครั้ง ก็ฉวยโอกาสที่จี้ฝูเหยาพูดเมื่อครู่นี้เก็บข้าวของบนแผงลอยจนเสร็จเรียบร้อยนานแล้วอวี้หลานชิงส่งสายตา เขาก็เดินตามหลังนางออกจากฝูงชนทันทีจิ้งจอกแดงเพลิงที่ก่อความวุ่นวายไปครึ่งถนนตัวนั้น เมื่อครู่กำลังทำตากลมสุกใสนิ่งอยู่กับที่ มองอวี้หลานชิงกับจี้ฝูเหยาเหมือนชมละครสนุก ๆ ก็ไม่ปานปากยังคงเคี้ยว “หนวดหัวไชเท้า” ที่มันโยนทิ้งไว้บนพื้นลวก ๆ ก่อนหน้านี้อย่างไม่เร่งรีบเมื่อเห็นอวี้หลานชิงและเจ้าของแผงลอยนำสมุนไพรวิญญาณที่มันหมายตาจากไป มันก็อดร้อนใจไม่ได้มันคายหนวดหัว

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 96

    วิญญาณร้ายยังไม่สลายไปสักที ในสมองของอวี้หลานชิงผุดขึ้นมาแปดคำทันที จี้ฝูเหยาที่อยู่ตรงหน้าถือกระบี่ใบหลิวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ปลายกระบี่เรียวเล็ก ตรงด้ามกระบี่เคลือบทอง บนนั้นยังฝังอำพันที่ส่องประกายแวววาวสามก้อนตอนที่กระบี่ทั้งสองปะทะกันเมื่อครู่นี้ อวี้หลานชิงรู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณธาตุไฟที่บริสุทธิ์สายหนึ่งปรากฏขึ้นบนตัวกระบี่เล่มนั้น เป็นลมปราณสายนี้เองที่ต้านทานปราณกระบี่ของนาง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นกระบี่เล่มใหม่ที่ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนมอบให้จี้ฝูเหยา แม้จะเทียบไม่ได้กับกระบี่ที่หล่อหลอมปราณกระบี่ของปรมาจารย์กระบี่เยวี่ยหวาเล่มนั้นในชาติก่อน ซึ่งเข้ากับวิชาที่จี้ฝูเหยาฝึกฝนแต่ก็เป็นกระบี่ดีที่หาได้ยากเล่มหนึ่งจริง ๆ อย่างน้อยในแง่ของระดับก็ถือว่าหายากมากนี่ไม่ใช่อาวุธวิเศษ แต่เป็นอาวุธวิญญาณ แตกต่างกันเพียงคำเดียว แต่ราคาและความล้ำค่าระหว่างทั้งสองนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว อาวุธวิญญาณทั่วไปมีราคาแค่หินวิญญาณไม่กี่ร้อยก้อน แพงอีกแค่ไหนก็แค่พันกว่า แต่อาวุธวิญญาณเป็นสิ่งที่มีราคาแต่ไม่มีในตลาดมาโดยตลอด อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนระดับหลอมปราณเลย ตลอดชีวิตของผู้ฝึกตนระดับห

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 95

    เจ้าของแผลลอยกล่าวจบก็แอบเชยตามองปฏิกิริยาของอวี้หลานชิง จากนั้นก็เห็นนางทำสีหน้าเคร่งขรึม ไม่เอ่ยสักคำเดียวในใจอด “กระตุก” ขึ้นมาไม่ได้ผู้ฝึกตนหญิงผู้นี้คงไม่ให้เขาคืนหินวิญญาณหรอกนะ?ศิษย์ของสำนักใหญ่ ปกติแล้วจะไม่ยอมเสียหน้ากระมัง?แต่ว่าไม่มีเรื่องอะไรที่แน่นอน เขาตัดสินใจแล้วว่าหากผู้ฝึกตนหญิงตรงหน้าให้เขาคืนหินวิญญาณละก็ เขาจะเก็บแผงหนีไปทันที จากนั้นก็เปลี่ยนที่แล้วค่อยตั้งแผงใหม่ เจ้าของแผงลอยถึงค่อยเอ่ยปากพูดอย่างระมัดระวังว่า “สหายน้อย?” สิ่งที่อวี้หลานชิงคิดไม่ใช่เรื่องขอหินวิญญาณคืน “เมื่อครู่ท่านบอกว่าสมุนไพรวิญญาณที่ใช้ระงับพิษเพลิงชื่อว่าอะไรนะ?”“หญ้าเย็นกระจ่าง สมุนไพรวิญญาณชั้นสูง หนึ่งต้นสามารถระงับพิษเพลิงได้สามเดือน” ความคิดที่จะหนีไปของเจ้าของแผงลอยถูกโยนทิ้งไว้ที่ด้านหลังสมองทันที ก่อนจะถามด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้นว่า “สหายน้อยถามถึงสมุนไพรนี้ แสดงว่า?”“ข้ามีอยู่ต้นหนึ่ง” อวี้หลานชิงก็เพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกันว่ามีสมุนไพรวิญญาณเช่นนี้อยู่ในแหวนเก็บของของตนเป็นของที่ผู้อาวุโสจวีหยางจากสำนักมอบให้ในพิธีกราบอาจารย์ก่อนหน้านี้ สมุนไพรวิญญาณที่

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status