Share

บทที่ 9

Author: กวนอวิ๋นเจี้ยน
ศิษย์พี่ฉางมีชื่อเต็มว่าจางเม่าฉวน เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ชั้นนอกที่เหลืออยู่ที่ถูกเจ้าสำนักส่งมาดูแลงานจิปาถะ หลังจากปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนประกาศเข้าฌานและเปิดใช้ม่านพลังที่ปกคลุมครึ่งบนของยอดเขา

นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในคนที่พลังยุทธ์สูงสุดในกลุ่มนั้น อยู่ระดับหลอมปราณช่วงปลายตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน

เมื่อห้าปีก่อน อวี้หลานชิงย้ายมาอยู่ยอดเขาหลิงเซียว ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักที่พานางมาส่งได้เลือกที่พักที่อยู่ใกล้ม่านพลังมากที่สุดให้กับนาง

พร้อมทั้งให้ลูกศิษย์ชั้นนอกแปดคนที่พักอยู่ไม่ไกลช่วยดูแลนาง

ในฐานะที่จางเม่าฉวนเป็นคนที่พลังยุทธ์สูงที่สุดและมีประวัติยาวนานที่สุดในนั้น เขาได้อาสาที่จะช่วยอวี้หลานชิง

เขาไม่เพียงช่วยเล่าประวัติของสำนัก ช่วยแนะนำบุคคลสำคัญ พานางไปยังหอคัมภีร์และห้องเรียน แต่ยังส่งอาหารมื้อเช้าและเย็นมายังเรือนพักของนางทุกวัน

แม้ว่าผ่านไปไม่นานก็ไม่จำเป็นอีกแล้ว เพราะกินโอสถงดอาหาร แต่อวี้หลานชิงก็ยังจดจำน้ำใจนี้ได้อยู่

ต่อมาเมื่อพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นจะได้รับคะแนนจากการทำภารกิจของสำนัก นางก็มักจะนำโอสถเม็ดที่ตัวเองใช้คะแนนแลกมาไปมอบให้จางเม่าฉวนกับคนที่อยู่ร่วมเรือนกับเขา

แม้จางเม่าฉวนจะพูดว่า “ไม่ต้องสิ้นเปลือง” กระนั้นเขากลับชอบพูดว่าตัวเองต้องการของบางอย่างเร่งด่วนเป็นนัย ๆ เสมอ

แม้อวี้หลานชิงจะยังไม่คำนับอาจารย์อย่างเป็นทางการ ทว่าเบี้ยเลี้ยงของนางกลับสูงกว่าลูกศิษย์ชั้นนอกเยอะมาก ประกอบนางเป็นคนขยัน สะสมคะแนนได้เยอะ จางเม่าฉวนอ้างความเป็นห่วงในการเข้าหา ส่วนนางก็เผลอมอบอะไรหลายอย่างให้โดยไม่รู้ตัว

แต่แล้วต่อมา…

คนที่พูดว่านางไม่เห็นแก่มิตรภาพของศิษย์ร่วมสำนักก็คือจางเม่าฉวน

ที่น่าแค้นใจกว่านั้นคือ ผู้ที่หาผลประโยชน์จากนางในตอนนั้นได้นำหินวิญญาณที่ได้จากนาง ไปซื้อของเอาใจจี้ฝูเหยา…

หากอวี้หลานชิงจำไม่ผิด กระบี่ยาวสีทองแดงที่อยู่ในมือจางเม่าฉวนตอนนี้ก็คือของที่นางใช้คะแนนแปดร้อยแต้มแลกมา หลังจากที่เข้าสู่ระดับหลอมปราณขั้นที่เก้า

เมื่อชาติก่อน จางเม่าฉวนขโมยกระบี่เล่มนี้ในช่วงที่นางไม่อยู่ ต่อมานางไปทวงคืน เขากลับพูดต่อหน้าลูกศิษย์ชั้นนอกว่านางเป็นคนตอบตกลงที่จะมอบกระบี่เล่มนี้ให้เขาเอง

อวี้หลานชิงเป็นคนซื่อตรงและยุติธรรม

จะไม่ปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองทำหรือพูด แต่อะไรที่ไม่เคยทำและไม่เคยพูด นางจะไม่ยอมรับเด็ดขาด

เมื่อชาติก่อน นางโต้แย้งสิ่งที่จางเม่าฉวนพูดและนำกระบี่กลับคืนมา นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความบาดหมาง

เหตุการณ์ในวันนั้นไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้

เดิมทีเรื่องราวก็ควรจะจบลงแล้ว แต่แล้วจู่ ๆ ศิษย์น้องหญิงจี้ฝูเหยาก็ลงจากเขามาหานาง

จี้ฝูเหยาถามอย่างไร้เดียงด้วยสายตาไม่เข้าใจเมื่อเห็นเหตุการณ์ “ศิษย์พี่หญิงเข้าสู่ขั้นสร้างฐานปราณแล้ว เหตุใดจึงต้องแย่งอาวุธระดับต่ำกับลูกศิษย์ชั้นนอกด้วย?”

จากนั้นพูดกับจางเม่าฉวน “ก็แค่กระบี่เล่มเดียว ในเมื่อศิษย์พี่หญิงชอบ ก็คืนให้นางไป เดี๋ยวข้าจะให้กระบี่อีกเล่มแทน!”

กระบี่ยาวที่อวี้หลานชิงแลกมาด้วยคะแนนแปดร้อยแต้มเป็นแค่อาวุธระดับกลาง แต่อาวุธที่จี้ฝูเหยานำออกมานั้นเป็นอาวุธระดับสูง

จางเม่าฉวนดีใจจนเนื้อเต้น รีบขอโทษอวี้หลานชิงทันที

อวี้หลานชิงรู้สึกอึดอัดมาก ทั้งที่ตอนแรกมีคนถูกคนผิดชัดเจน แต่แล้วกลับถูกจี้ฝูเหยาแทรกแซงจนนางกลายเป็นฝ่ายผิด

ต่อมาเริ่มมีข่าวลือในสำนักว่านางใจแคบและกลับคำไปมา ขณะที่ศิษย์น้องหญิงจี้ฝูเหยาได้รับคำชมว่าเป็นเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับศิษย์พี่หญิงและศิษย์ร่วมสำนัก

ลานหน้าที่พักของลูกศิษย์ชั้นนอกซึ่งเคยคึกคักต้องเงียบลงทันใด

สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่อวี้หลานชิง

ได้ยินว่าในตำหนักเมื่อวาน อัจฉริยะที่เคยถูกวางตัวให้เป็น “ศิษย์เอกของปรมาจารย์กระบี่ฉางยวน” ผู้นี้ ได้เปลี่ยนไปคำนับผู้อื่นเป็นอาจารย์แทน เนื่องจากปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนรับศิษย์เพิ่มอีกคน

ตอนนี้เพิ่งจะผ่านมาเพียงวันเดียวก็กลับมาที่ยอดเขาหลิงเซียวแล้ว หรือว่าจะ…

คงไม่ได้นึกย้อนเสียใจกระมัง?

อวี้หลานชิงไม่สนใจสายตาฉงนสงสัยของคนอื่น นางมองตรงไปที่กระบี่ยาวสีทองแดงเล่มนั้น

ยกมือข้างขวาขึ้นคว้าผ่านอากาศ

จางเม่าฉวนอุทานในใจว่าแย่แล้วเมื่อเห็นนางทำเช่นนี้ นิ้วทั้งห้าจับกระบี่แน่นขึ้น กระนั้นก็จับไว้ไม่ได้อยู่ดี

กระบี่เล่มนั้นลอย “ฟิ้ว” ออกจากมือไปหาอวี้หลานชิง

“ศิษย์พี่หญิงอวี้ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?” สีหน้าของจางเม่าฉวนไม่สบอารมณ์

อวี้หลานชิงตวัดกระบี่แล้วยกตรงเบื้องหน้า ลูบมันเหมือนปลอบประโลมก่อนจะมองไปทางจางเม่าฉวนด้วยความสงสัย

“ข้าต่างหากที่ต้องถามว่ากระบี่มาอยู่กับศิษย์น้องจางได้อย่างไร?”

“ยามที่ไปเข้าพบเจ้าสำนักอวิ๋นไห่และผู้อาวุโสเมื่อวาน ข้าไม่สะดวกที่จะพกอาวุธไปด้วย หากจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ ข้าเก็บกระบี่เล่มนี้ไว้ในฝักกระบี่ที่ห้องก่อนออกไป”

อวี้หลานชิงจำไม่ได้ว่าชาติก่อนตัวเองพูดอย่างไร

แต่มั่นใจว่าไม่ได้พูดชัดเจนแบบครั้งนี้แน่นอน

นางเก็บกระบี่ไว้ในฝัก ไม่ว่าจะมาอยู่กับจางเม่าฉวนได้อย่างไร นางก็ไม่ได้มอบให้เองกับมือแน่นอน

หยิบไปโดยไม่ถาม เท่ากับขโมย!

สายตาที่ศิษย์จากยอดเขาอื่นมองจางเม่าฉวนเปลี่ยนไปทันที

จางเม่าฉวนมีสายตากระอักกระอ่วน กลั้นใจพูดว่า “ศิษย์พี่หญิงอวี้ลืมไปแล้วหรือ ท่านรับปากว่าจะยกกระบี่เล่มนี้ให้ข้า?”

“ท่านอยู่ระดับสร้างฐานปราณ ทั้งยังมีอาวุโสเป็นอาจารย์ ย่อมไม่สนใจอาวุธธรรมดา ๆ เช่นนี้แล้ว พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกันมาโดยตลอด ท่านเคยบอกให้ข้าทำอะไรกับขยะแบบนี้ก็ได้”

ผู้ที่มุงดูในเวลานี้ล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ชั้นนอกที่อยู่ระดับหลอมปราณ

แม้จะรังเกียจพฤติกรรมของจางเม่าฉวน แต่ก็รู้สึกว่าที่เขาพูดมีเหตุผล

อวี้หลานชิงมีพรสวรรค์และได้รับความสำคัญจากผู้อาวุโส แตกต่างจากพวกเขาที่เป็นลูกศิษย์ชั้นนอก คนสำคัญมักขี้ลืม เพียงแค่หันหลังก็ลืมสิ่งที่ตัวเองเคยพูดแล้วก็เป็นไปได้

เพียงแต่ว่า การทำให้ศิษย์ร่วมสำนักที่เคยสนิทสนมต้องอับอายต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้ก็ดูจะเกินไปหน่อย…

ต่อให้มีผู้อาวุโสของสำนักเป็นอาจารย์ สถานะยกขึ้นสูง มันก็ไม่ควรรังแกผู้อื่นแบบนี้!

“ข้าเข้าฌานเพื่อเข้าสู่ระดับสร้างฐานปราณตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อน หลังจากออกฌานก็ถูกพาไปที่ตำหนักของสำนัก เจ้าบอกว่าข้ารับปากที่จะยกกระบี่เล่มนี้ให้เจ้า ไม่ทราบว่าข้าไปรับปากเมื่อใดหรือ?”

“ข้าทำภารกิจของสำนักถึงสี่ครั้งเพื่อสะสมแต้มและแลกกระบี่เล่มนี้มา ใช้งานได้ไม่ถึงครึ่งปี หากข้าไม่เห็นคุณค่าของมันจริง เช่นนั้นจะลำบากสะสมคะแนนเพื่อแลกมันทำอันใด?”

จางเม่าฉวนกำลังจะพูด แต่อวี้หลานชิงกลับตัดบทเขาก่อน “ไม่ต้องมาพูดว่าข้ามีอาจารย์แล้วกลายเป็นคนเย่อหยิ่งและไม่เห็นคุณค่าของเหล่านี้ ก่อนหน้านี้ ไม่มีผู้ใดรู้ทั้งนั้นว่าปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนจะออกฌานเมื่อใด ข้ายิ่งไม่มีทางรู้ว่าตัวเองจะถูกพาไปยังตำหนักและโชคดีได้คำนับผู้อาวุโสเสิ่นเป็นอาจารย์”

“ศิษย์พี่หญิงอวี้ ในอดีตท่านยังเด็ก มีข้าช่วยดูแลมาโดยตลอด แม้ว่าตอนนี้ท่านจะออกจากยอดเขาหลิงเซียวไปแล้ว แต่มันต้องพูดจาห่างเหินแบบนี้ด้วยหรือ?”

หากจางเม่าฉวนไม่พูดแบบนี้ก็ยังดีหน่อย

แต่เมื่อเขาพูดแล้ว อวี้หลานชิงก็ไม่คิดจะไว้หน้าเขาอีกต่อไป “ข้าย้ายเข้ายอดเขาหลิงเซียวเมื่อห้าปีก่อนและเริ่มรับภารกิจของสำนักตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว ครึ่งหนึ่งของคะแนนที่ได้มาถูกนำไปแลกเป็นโอสถ หลายปีมานี้ศิษย์พี่จางน่าจะได้โอสถจากข้าไปเกือบร้อยเม็ดแล้วกระมัง?”

“นอกจากนี้ยังมีหินวิญญาณ เมื่อสองปีก่อน ท่านบอกว่าอยากซื้ออาวุธป้องกันแต่ยังขาดแคลนหินวิญญาณอีกเล็กน้อย จึงยืมจากข้าไปเป็นจำนวนหนึ่งร้อยก้อน จากนั้นปีที่แล้ว ท่านจะออกไปฝึกฝนด้านนอก ต้องการซื้อยันต์ จึงยืมเพิ่มไปอีกสองร้อยก้อน”

“แล้วยังมีเมื่อเดือนก่อนอีก ท่านร้องไห้โอดคราญว่าพรสวรรค์ตัวเองไม่ดี ไม่อาจขึ้นสู่ระดับสร้างฐานปราณได้ด้วยกำลังของตัวเอง จำเป็นต้องใช้โอสถสร้างฐานปราณ ใช้เหตุผลนี้มายืนหินวิญญาณจากข้าเพิ่มอีกสามร้อยก้อน”

“หินวิญญาณพวกนี้ ท่านไม่เคยมอบคืนแม้แต่ครั้งเดียว”

อวี้หลานชิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “ข้าคิดว่าตัวเองดีต่อท่านไม่น้อยเลย ในยามที่ท่านคร่ำครวญว่าตัวเองไม่เก่งและฝึกฝนได้ยาก ข้าก็ไม่เคยเร่งเร้าให้คืนหินวิญญาณแต่อย่างใด แต่เหตุใดท่านยังรุกล้ำเข้าไปยังที่พักของข้าอีก ขโมยอาวุธของข้า แถมยังกล่าวหาข้าต่อหน้าทุกคน?”

“แม้โอสถและหินวิญญาณมากขนาดนั้น ข้าก็ยังให้ได้ หากเคยรับปากว่าจะให้อาวุธจริง ข้ามีหรือจะกลับคำ?”

ระดับพลังยุทธ์ของอวี้หลานชิงสูงกว่าทุกคนที่นี่ จิตสัมผัสแข็งแกร่งยิ่งกว่าไม่รู้กี่เท่า เมื่อนางพูดร่ายยาวจนกระทั่งจบประโยคสุดท้าย ก็ไม่มีผู้ใดพูดสามารถแทรกนางได้แม้แต่คนเดียว

รอบด้านเงียบสงัด

ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบผิดปกติเช่นนี้ เสียงฝีเท้าจึงดังกว่าปกติ

เงาร่างสีเหลืองไข่ห่านร่างหนึ่งวิ่งออกมาจากม่านหลัง จากนั้นผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นฝูงชนที่ยืนล้อมอยู่บนลานกว้าง

จากนั้นมองซ้ายมองขวา แววตาเปลี่ยนไปเมื่อเห็นจางเม่าฉวนมีสีหน้าลำบากใจ ตามด้วยมองไปยังอวี้หลานชิงที่กำลังแสดงท่าที “ก้าวร้าว” แทน

นางมุ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจสามส่วน ขุ่นเคืองใจเจ็ดส่วน “ศิษย์พี่หญิงท่านนี้ เมื่อวานนี้ท่านฝากตัวเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสเสิ่นแห่งยอดเขาชิงจู๋มิใช่หรือ? เหตุใดจึงกลับมาที่ยอดเขาหลิงเซียว…มารังแกศิษย์ของยอดเขาหลิงเซียวเช่นนี้?”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 62

    สายตาของผู้คนล้วนติดตามผีเสื้อที่กลายร่างจากแสงวิญญาณ ไปหยุดอยู่ที่อวี้หลานชิงลั่วอู๋ซางพลันนึกขึ้นได้ว่า ก่อนที่ตนจะลงมือเป็นครั้งที่สอง ศิษย์หญิงผู้นี้เองที่แอบ “ปลดปล่อย” ศิษย์สำนักกระบี่หลายคนซึ่งถูกแรงกดดันกดทับไว้ต่อหน้าต่อตาเขาก็จริงอยู่ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนหญิงกระโปรงชมพูที่อาจเกี่ยวพันกับการตายของศิษย์ตน เอะอะก็ตาแดง แสร้งทำเป็นน่าสงสาร นางยังชวนให้พึงใจยิ่งกว่า“เอาเถิด ข้าจะเห็นแก่สำนักกระบี่เสวียนเทียน คนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหลายถอยออกไปได้”มือที่ลั่วอู๋ซางยกขึ้นยังคงชี้ไปที่จี้ฝูเหยา น้ำเสียงเย็นชาไร้ปรานี “ข้าจะไต่สวนเพียงนางผู้เดียว”ร่างของจี้ฝูเหยาสั่นเทาเล็กน้อย มองไปรอบ ๆ อย่างไร้ที่พึ่งศิษย์ร่วมสำนักที่นางมองไปหา ต่างพากันหลบสายตาแม้แต่เจินเหรินระดับแก่นปราณหลายคนที่ก่อนหน้านี้ยังคอยปกป้องนาง เวลานี้กลับพากันนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดลุกขึ้นมาพูดแทนนางอีกจี้ฝูเหยากำฝ่ามือแน่น ตัดใจเด็ดขาดหันไปทางเสิ่นหวยจั๋ว “ผู้อาวุโสเสิ่น อาจารย์ปู่…ท่านอาจารย์ของศิษย์ยังมาไม่ถึง ท่านจะทอดทิ้งศิษย์มิได้!”เสิ่นหวยจั๋วชิงชังที่สุดในชีวิตก็คือการมีผู้ใดมาข่มขู่ตนเองสายตาท

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 61

    ต่อหน้าธารกำนัล เขานั่งลงบนเก้าอี้เมฆาตัวหนึ่งในนั้นอย่างไม่ลังเลจากนั้นก็ผลักเก้าอี้อีกตัวไปข้างหน้า โอบล้อมด้วยสายลมบริสุทธิ์ ส่งตรงไปยังด้านหลังของลั่วอู๋ซางศิษย์จากสี่สำนักที่อยู่ด้านล่าง ต่างก็มองจนตะลึงงันผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่เสวียนเทียนท่านนี้ กำลังคิดจะทำสิ่งใดกัน?นี่มันยามใดแล้ว ยังจะมีกะจิตกะใจนั่งลงสนทนากันอีก!เหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียน ยิ่งร้อนใจหนัก พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าผู้อาวุโสเสิ่นคิดจะงัดกลอุบายอันใดออกมาเกรงว่าการกระทำของผู้อาวุโสเสิ่นอาจยิ่งยั่วโทสะลั่วอู๋ซาง ทำให้ทุกคนต้องพลอยรับเคราะห์หนักหนาสาหัสกว่าเดิมท่ามกลางแววตาสงสัยของผู้คนมากมาย เสิ่นหวยจั๋วเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วกล่าวกับลั่วอู๋ซางว่า “สหายโปรดนั่ง เรื่องราวในวันนี้ ข้าพอจะเข้าใจคร่าว ๆ แล้ว ข้ามิได้โน้มน้าวให้ท่านคลายโทสะ เพียงแต่อยากพูดคุยด้วยเหตุผลกับท่านเท่านั้น”เขาไม่เคยคิดจะประมือกับลั่วอู๋ซางเลยสักครั้ง เสิ่นหวยจั๋วผู้นี้ เป็นคนที่ยึดถือเหตุผลเสมอมาเป็นครั้งแรกที่ลั่วอู๋ซางต้องเผชิญกับคนที่เล่นนอกกติกาเช่นนี้อย่างไรเสียสองสำนักก็ยังคงมีความสัมพันธ์อันดีงามอยู่ อีกทั้ง

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 60

    “ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนห่วงใยความปลอดภัยของศิษย์น้องหญิงจี้จริงดังคาด เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่นาน ก็รีบมาด้วยตัวเองแล้ว”ส่วนลั่วอู๋ซางแห่งสำนักอู๋จี๋เตี้ยน มาเร็วก็จริง แต่ก็เป็นเพียงร่างแยกเท่านั้นแต่ดูจากแสงสีขาววาบเดียวเมื่อครู่นั้น เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำลายแรงกดดันของลั่วอู๋ซางได้ พลังนั้นชัดเจนว่าย่อมมีได้เมื่อร่างจริงมาถึงเท่านั้นต่างเป็นระดับเทพจุติเหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงร่างแยก ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งปรากฏกายมาด้วยร่างจริง...ใครแพ้ใครชนะ มองปราดเดียวก็รู้แล้วเหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียนต่างถอนหายใจโล่งอกในที่สุดเหล่าเจินเหรินที่เมื่อครู่ยังรู้สึกไม่พอใจที่จี้ฝูเหยายั่วโมโหลั่วอู๋ซาง บัดนี้ต่างก็สงบความขุ่นเคืองใจลงแล้วอย่างไรเสีย จี้ฝูเหยาก็เป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์กระบี่ ไม่เห็นหรือว่าแค่นางเกิดปัญหาเล็กน้อย ปรมาจารย์กระบี่ก็รีบรุดมาด้วยตัวเอง?เพียงเท่านี้ ก็มากพอให้นางมีทุนที่จะเอาแต่ใจแล้วเช่นเดียวกับทุกคน จี้ฝูเหยาก็กำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าตามทิศทางที่แสงสีขาวพุ่งมา บนหมู่เมฆที่ขอบฟ้าอันไกลโพ้น ปรากฏร่างหนึ่งยืนอยู่จี้ฝูเหยากำยันต์หยกไว้ในฝ่ามื

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 59

    ทั้งสองคนนี้อวี้หลานชิงไม่รู้จักเลย พียงเลือกคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดเท่านั้นขณะที่นางยื่นมือช่วยเหลือศิษย์ร่วมสำนักใกล้ตัวต้านแรงกดดัน ทางด้านนั้น ลั่วอู๋ซางก็ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าพวกจี้ฝูเหยาทั้งสี่แล้วมองปราดเดียวก็รู้ว่า จี้ฝูเหยาต่างหากที่เป็นผู้ตัดสินใจได้ในบรรดาทั้งสี่คนและไม่สนใจว่าคนอื่นจะกล่าวว่าเขารังแกคนอ่อนแอกว่า สายตาจ้องเขม็งไปที่จี้ฝูเหยา มองจากที่สูงลงมาอย่างดูถูก ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “พูดมา หลังจากเจ้าพบเฉินถงแล้วไปที่ไหน แยกจากกันเมื่อใด หลังจากนั้นเจ้าพบเขาอีกหรือไม่?”ใบหน้าจี้ฝูเหยาซีดเผือดภายใต้สายตาอำมหิตของยอดฝีมือระดับเทพจุติ นางตัวสั่นระริก จนไม่อาจเอ่ยวาจาใดออกมาแต่หาใช่เพราะแรงกดดันไม่ นางมีของวิเศษที่ท่านอาจารย์มอบไว้ติดตัว จึงไม่รู้สึกถึงแรงกดดันของลั่วอู๋ซางที่ปกคลุมเหนือหัวของเหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียนเพียงแต่นางมีระดับพลังยุทธ์เพียงขั้นหลอมปราณช่วงกลางเท่านั้น การถูกยอดฝีมือระดับเทพจุติจ้องด้วยสายตาอำมหิต ความกดดันเช่นนี้เพียงพอจะทำลายแนวป้องกันในจิตใจของนางได้นางหลับตาลงเบา ๆ กำยันต์หยกที่ท่านอาจารย์มอบให้ตนเอง สัมผัสถึงความอบอุ่นจา

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 58

    ภายในเตาหลอมใหญ่พลันปรากฏเงาร่างขึ้นมา แรกเห็นยังคงเลือนราง แต่เพียงพริบตาก็แน่ชัดเป็นรูปเป็นร่างอาภรณ์ดำ ผมสีเพลิง ปกเสื้อหลวมโครก เสื้อคลุมยับย่น ดูไม่งามตา แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนเห็นเขาก้าวย่างอันองอาจ ก้าวข้ามออกมาจากเตาหลอมผมยาวสีเพลิงนั้น ถูกรวบไว้ด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจด้วยผ้าคาดผมสีขาว ในจังหวะที่เขาขยับกาย ผ้าคาดผมที่หลวมโครกนั้นก็ขาดสะบั้น ผมยาวสีเพลิงปลิวสยายออก พลิ้วไหวโดยไร้ลม ราวกับเพลิงโทสะที่ลุกโชนในดวงตาของเขา เพียงสบมองก็ทำให้ผู้คนพลันเกิดความหวาดหวั่นจากก้นบึ้งหัวใจนี่แหละความน่าเกรงขามของยอดฝีมือระดับเทพจุติแม้เป็นเพียงร่างแยกสายเดียว ก็สามารถทำให้คนนับร้อยตรึงอยู่กับที่พร้อมกัน อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“ผู้ใดบังอาจลงมือทำร้ายศิษย์ของข้า?” ลั่วอู๋ซางมองไปรอบทิศด้วยแววตาอันดุดันสายตาทอดไปที่ใด ก็ไม่มีผู้ใดหาญกล้าสบตาหลิงสวินเฟิงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “ท่านอาจารย์ ท่านมาถึงเร็วเกินไป ตอนนี้ยังตรวจสอบไม่พบสาเหตุที่ศิษย์น้องหายตัวไปขอรับ”“แล้วเหตุใดไม่รีบตรวจสอบต่อไปเล่า!”ลั่วอู๋ซางตวาดก้อง พูดจบแล้วก็ยกมือขึ้น พลังจิตวิญญาณสายหนึ่งพุ่งห่อหุ้มเ

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 57

    ก่อนที่ผู้อาวุโสจะมาถึง เจินเหรินหลายท่านของสำนักอู๋จี๋เตี้ยนยังคงสอบถามสำนักต่าง ๆ ว่ามีใครเคยพบศิษย์สองคนนั้นอีกบ้าง“สำนักอู๋จี๋เตี้ยนก็เหลือเกิน ตอนมาก็ให้คนรอ ตอนกลับก็ยังต้องรออีก ทำตัวใหญ่โตเสียจริง!”“แล้วคนเมื่อครู่นั้นก็ด้วย ท่าทีอย่างไรกัน กล้าพูดกับศิษย์น้องหญิงจี้แบบนี้ได้อย่างไร”ผู้คนที่อยู่รอบตัวจี้ฝูเหยา พากันเป็นเดือดเป็นร้อนแทนนางสายตาของอวี้หลานชิงก็จับอยู่ที่จี้ฝูเหยาเช่นกันนางนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ในแดนลับ ตอนที่ขัดขวางจี้ฝูเหยาไม่ให้ใช้ค่ายกลเข็มทิศสอดส่องเข้าไปยังแดนลับใหญ่ ข้างกายจี้ฝูเหยามีผู้ติดตามอยู่หลายคนนอกจากลูกศิษย์ชั้นนอกสามคนของยอดเขาหลิงเซียวที่ยังยืนเคียงข้างจี้ฝูเหยาแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนตัวสูงคนหนึ่งตัวเตี้ยคนหนึ่ง ทั้งสองแต่งกายหรูหรา สีหน้าหยิ่งยโส สองคนนั้นน่าจะเป็นเฉินถงและหนานกงที่สำนักอู๋จี๋เตี้ยนกำลังตามหาในตอนนั้นแดนลับเพิ่งเปิดได้ไม่ถึงห้าวัน ระดับพลังยุทธ์ของจี้ฝูเหยายังคงหยุดอยู่ที่ขั้นดึงลมปราณเข้าร่างสัญชาตญาณบอกนางว่า จี้ฝูเหยาดูไม่ชอบมาพากลแต่ ณ เวลานั้นนางไม่อาจบอกได้ว่า ไม่ชอบมาพากลตรงไหนกันแน่“อาจารย์อาอวี้”เมื

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status