Share

บทที่ 9

Author: กวนอวิ๋นเจี้ยน
ศิษย์พี่ฉางมีชื่อเต็มว่าจางเม่าฉวน เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ชั้นนอกที่เหลืออยู่ที่ถูกเจ้าสำนักส่งมาดูแลงานจิปาถะ หลังจากปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนประกาศเข้าฌานและเปิดใช้ม่านพลังที่ปกคลุมครึ่งบนของยอดเขา

นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในคนที่พลังยุทธ์สูงสุดในกลุ่มนั้น อยู่ระดับหลอมปราณช่วงปลายตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน

เมื่อห้าปีก่อน อวี้หลานชิงย้ายมาอยู่ยอดเขาหลิงเซียว ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักที่พานางมาส่งได้เลือกที่พักที่อยู่ใกล้ม่านพลังมากที่สุดให้กับนาง

พร้อมทั้งให้ลูกศิษย์ชั้นนอกแปดคนที่พักอยู่ไม่ไกลช่วยดูแลนาง

ในฐานะที่จางเม่าฉวนเป็นคนที่พลังยุทธ์สูงที่สุดและมีประวัติยาวนานที่สุดในนั้น เขาได้อาสาที่จะช่วยอวี้หลานชิง

เขาไม่เพียงช่วยเล่าประวัติของสำนัก ช่วยแนะนำบุคคลสำคัญ พานางไปยังหอคัมภีร์และห้องเรียน แต่ยังส่งอาหารมื้อเช้าและเย็นมายังเรือนพักของนางทุกวัน

แม้ว่าผ่านไปไม่นานก็ไม่จำเป็นอีกแล้ว เพราะกินโอสถงดอาหาร แต่อวี้หลานชิงก็ยังจดจำน้ำใจนี้ได้อยู่

ต่อมาเมื่อพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นจะได้รับคะแนนจากการทำภารกิจของสำนัก นางก็มักจะนำโอสถเม็ดที่ตัวเองใช้คะแนนแลกมาไปมอบให้จางเม่าฉวนกับคนที่อยู่ร่วมเรือนกับเขา

แม้จางเม่าฉวนจะพูดว่า “ไม่ต้องสิ้นเปลือง” กระนั้นเขากลับชอบพูดว่าตัวเองต้องการของบางอย่างเร่งด่วนเป็นนัย ๆ เสมอ

แม้อวี้หลานชิงจะยังไม่คำนับอาจารย์อย่างเป็นทางการ ทว่าเบี้ยเลี้ยงของนางกลับสูงกว่าลูกศิษย์ชั้นนอกเยอะมาก ประกอบนางเป็นคนขยัน สะสมคะแนนได้เยอะ จางเม่าฉวนอ้างความเป็นห่วงในการเข้าหา ส่วนนางก็เผลอมอบอะไรหลายอย่างให้โดยไม่รู้ตัว

แต่แล้วต่อมา…

คนที่พูดว่านางไม่เห็นแก่มิตรภาพของศิษย์ร่วมสำนักก็คือจางเม่าฉวน

ที่น่าแค้นใจกว่านั้นคือ ผู้ที่หาผลประโยชน์จากนางในตอนนั้นได้นำหินวิญญาณที่ได้จากนาง ไปซื้อของเอาใจจี้ฝูเหยา…

หากอวี้หลานชิงจำไม่ผิด กระบี่ยาวสีทองแดงที่อยู่ในมือจางเม่าฉวนตอนนี้ก็คือของที่นางใช้คะแนนแปดร้อยแต้มแลกมา หลังจากที่เข้าสู่ระดับหลอมปราณขั้นที่เก้า

เมื่อชาติก่อน จางเม่าฉวนขโมยกระบี่เล่มนี้ในช่วงที่นางไม่อยู่ ต่อมานางไปทวงคืน เขากลับพูดต่อหน้าลูกศิษย์ชั้นนอกว่านางเป็นคนตอบตกลงที่จะมอบกระบี่เล่มนี้ให้เขาเอง

อวี้หลานชิงเป็นคนซื่อตรงและยุติธรรม

จะไม่ปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองทำหรือพูด แต่อะไรที่ไม่เคยทำและไม่เคยพูด นางจะไม่ยอมรับเด็ดขาด

เมื่อชาติก่อน นางโต้แย้งสิ่งที่จางเม่าฉวนพูดและนำกระบี่กลับคืนมา นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความบาดหมาง

เหตุการณ์ในวันนั้นไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้

เดิมทีเรื่องราวก็ควรจะจบลงแล้ว แต่แล้วจู่ ๆ ศิษย์น้องหญิงจี้ฝูเหยาก็ลงจากเขามาหานาง

จี้ฝูเหยาถามอย่างไร้เดียงด้วยสายตาไม่เข้าใจเมื่อเห็นเหตุการณ์ “ศิษย์พี่หญิงเข้าสู่ขั้นสร้างฐานปราณแล้ว เหตุใดจึงต้องแย่งอาวุธระดับต่ำกับลูกศิษย์ชั้นนอกด้วย?”

จากนั้นพูดกับจางเม่าฉวน “ก็แค่กระบี่เล่มเดียว ในเมื่อศิษย์พี่หญิงชอบ ก็คืนให้นางไป เดี๋ยวข้าจะให้กระบี่อีกเล่มแทน!”

กระบี่ยาวที่อวี้หลานชิงแลกมาด้วยคะแนนแปดร้อยแต้มเป็นแค่อาวุธระดับกลาง แต่อาวุธที่จี้ฝูเหยานำออกมานั้นเป็นอาวุธระดับสูง

จางเม่าฉวนดีใจจนเนื้อเต้น รีบขอโทษอวี้หลานชิงทันที

อวี้หลานชิงรู้สึกอึดอัดมาก ทั้งที่ตอนแรกมีคนถูกคนผิดชัดเจน แต่แล้วกลับถูกจี้ฝูเหยาแทรกแซงจนนางกลายเป็นฝ่ายผิด

ต่อมาเริ่มมีข่าวลือในสำนักว่านางใจแคบและกลับคำไปมา ขณะที่ศิษย์น้องหญิงจี้ฝูเหยาได้รับคำชมว่าเป็นเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับศิษย์พี่หญิงและศิษย์ร่วมสำนัก

ลานหน้าที่พักของลูกศิษย์ชั้นนอกซึ่งเคยคึกคักต้องเงียบลงทันใด

สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่อวี้หลานชิง

ได้ยินว่าในตำหนักเมื่อวาน อัจฉริยะที่เคยถูกวางตัวให้เป็น “ศิษย์เอกของปรมาจารย์กระบี่ฉางยวน” ผู้นี้ ได้เปลี่ยนไปคำนับผู้อื่นเป็นอาจารย์แทน เนื่องจากปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนรับศิษย์เพิ่มอีกคน

ตอนนี้เพิ่งจะผ่านมาเพียงวันเดียวก็กลับมาที่ยอดเขาหลิงเซียวแล้ว หรือว่าจะ…

คงไม่ได้นึกย้อนเสียใจกระมัง?

อวี้หลานชิงไม่สนใจสายตาฉงนสงสัยของคนอื่น นางมองตรงไปที่กระบี่ยาวสีทองแดงเล่มนั้น

ยกมือข้างขวาขึ้นคว้าผ่านอากาศ

จางเม่าฉวนอุทานในใจว่าแย่แล้วเมื่อเห็นนางทำเช่นนี้ นิ้วทั้งห้าจับกระบี่แน่นขึ้น กระนั้นก็จับไว้ไม่ได้อยู่ดี

กระบี่เล่มนั้นลอย “ฟิ้ว” ออกจากมือไปหาอวี้หลานชิง

“ศิษย์พี่หญิงอวี้ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?” สีหน้าของจางเม่าฉวนไม่สบอารมณ์

อวี้หลานชิงตวัดกระบี่แล้วยกตรงเบื้องหน้า ลูบมันเหมือนปลอบประโลมก่อนจะมองไปทางจางเม่าฉวนด้วยความสงสัย

“ข้าต่างหากที่ต้องถามว่ากระบี่มาอยู่กับศิษย์น้องจางได้อย่างไร?”

“ยามที่ไปเข้าพบเจ้าสำนักอวิ๋นไห่และผู้อาวุโสเมื่อวาน ข้าไม่สะดวกที่จะพกอาวุธไปด้วย หากจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ ข้าเก็บกระบี่เล่มนี้ไว้ในฝักกระบี่ที่ห้องก่อนออกไป”

อวี้หลานชิงจำไม่ได้ว่าชาติก่อนตัวเองพูดอย่างไร

แต่มั่นใจว่าไม่ได้พูดชัดเจนแบบครั้งนี้แน่นอน

นางเก็บกระบี่ไว้ในฝัก ไม่ว่าจะมาอยู่กับจางเม่าฉวนได้อย่างไร นางก็ไม่ได้มอบให้เองกับมือแน่นอน

หยิบไปโดยไม่ถาม เท่ากับขโมย!

สายตาที่ศิษย์จากยอดเขาอื่นมองจางเม่าฉวนเปลี่ยนไปทันที

จางเม่าฉวนมีสายตากระอักกระอ่วน กลั้นใจพูดว่า “ศิษย์พี่หญิงอวี้ลืมไปแล้วหรือ ท่านรับปากว่าจะยกกระบี่เล่มนี้ให้ข้า?”

“ท่านอยู่ระดับสร้างฐานปราณ ทั้งยังมีอาวุโสเป็นอาจารย์ ย่อมไม่สนใจอาวุธธรรมดา ๆ เช่นนี้แล้ว พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกันมาโดยตลอด ท่านเคยบอกให้ข้าทำอะไรกับขยะแบบนี้ก็ได้”

ผู้ที่มุงดูในเวลานี้ล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ชั้นนอกที่อยู่ระดับหลอมปราณ

แม้จะรังเกียจพฤติกรรมของจางเม่าฉวน แต่ก็รู้สึกว่าที่เขาพูดมีเหตุผล

อวี้หลานชิงมีพรสวรรค์และได้รับความสำคัญจากผู้อาวุโส แตกต่างจากพวกเขาที่เป็นลูกศิษย์ชั้นนอก คนสำคัญมักขี้ลืม เพียงแค่หันหลังก็ลืมสิ่งที่ตัวเองเคยพูดแล้วก็เป็นไปได้

เพียงแต่ว่า การทำให้ศิษย์ร่วมสำนักที่เคยสนิทสนมต้องอับอายต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้ก็ดูจะเกินไปหน่อย…

ต่อให้มีผู้อาวุโสของสำนักเป็นอาจารย์ สถานะยกขึ้นสูง มันก็ไม่ควรรังแกผู้อื่นแบบนี้!

“ข้าเข้าฌานเพื่อเข้าสู่ระดับสร้างฐานปราณตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อน หลังจากออกฌานก็ถูกพาไปที่ตำหนักของสำนัก เจ้าบอกว่าข้ารับปากที่จะยกกระบี่เล่มนี้ให้เจ้า ไม่ทราบว่าข้าไปรับปากเมื่อใดหรือ?”

“ข้าทำภารกิจของสำนักถึงสี่ครั้งเพื่อสะสมแต้มและแลกกระบี่เล่มนี้มา ใช้งานได้ไม่ถึงครึ่งปี หากข้าไม่เห็นคุณค่าของมันจริง เช่นนั้นจะลำบากสะสมคะแนนเพื่อแลกมันทำอันใด?”

จางเม่าฉวนกำลังจะพูด แต่อวี้หลานชิงกลับตัดบทเขาก่อน “ไม่ต้องมาพูดว่าข้ามีอาจารย์แล้วกลายเป็นคนเย่อหยิ่งและไม่เห็นคุณค่าของเหล่านี้ ก่อนหน้านี้ ไม่มีผู้ใดรู้ทั้งนั้นว่าปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนจะออกฌานเมื่อใด ข้ายิ่งไม่มีทางรู้ว่าตัวเองจะถูกพาไปยังตำหนักและโชคดีได้คำนับผู้อาวุโสเสิ่นเป็นอาจารย์”

“ศิษย์พี่หญิงอวี้ ในอดีตท่านยังเด็ก มีข้าช่วยดูแลมาโดยตลอด แม้ว่าตอนนี้ท่านจะออกจากยอดเขาหลิงเซียวไปแล้ว แต่มันต้องพูดจาห่างเหินแบบนี้ด้วยหรือ?”

หากจางเม่าฉวนไม่พูดแบบนี้ก็ยังดีหน่อย

แต่เมื่อเขาพูดแล้ว อวี้หลานชิงก็ไม่คิดจะไว้หน้าเขาอีกต่อไป “ข้าย้ายเข้ายอดเขาหลิงเซียวเมื่อห้าปีก่อนและเริ่มรับภารกิจของสำนักตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว ครึ่งหนึ่งของคะแนนที่ได้มาถูกนำไปแลกเป็นโอสถ หลายปีมานี้ศิษย์พี่จางน่าจะได้โอสถจากข้าไปเกือบร้อยเม็ดแล้วกระมัง?”

“นอกจากนี้ยังมีหินวิญญาณ เมื่อสองปีก่อน ท่านบอกว่าอยากซื้ออาวุธป้องกันแต่ยังขาดแคลนหินวิญญาณอีกเล็กน้อย จึงยืมจากข้าไปเป็นจำนวนหนึ่งร้อยก้อน จากนั้นปีที่แล้ว ท่านจะออกไปฝึกฝนด้านนอก ต้องการซื้อยันต์ จึงยืมเพิ่มไปอีกสองร้อยก้อน”

“แล้วยังมีเมื่อเดือนก่อนอีก ท่านร้องไห้โอดคราญว่าพรสวรรค์ตัวเองไม่ดี ไม่อาจขึ้นสู่ระดับสร้างฐานปราณได้ด้วยกำลังของตัวเอง จำเป็นต้องใช้โอสถสร้างฐานปราณ ใช้เหตุผลนี้มายืนหินวิญญาณจากข้าเพิ่มอีกสามร้อยก้อน”

“หินวิญญาณพวกนี้ ท่านไม่เคยมอบคืนแม้แต่ครั้งเดียว”

อวี้หลานชิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “ข้าคิดว่าตัวเองดีต่อท่านไม่น้อยเลย ในยามที่ท่านคร่ำครวญว่าตัวเองไม่เก่งและฝึกฝนได้ยาก ข้าก็ไม่เคยเร่งเร้าให้คืนหินวิญญาณแต่อย่างใด แต่เหตุใดท่านยังรุกล้ำเข้าไปยังที่พักของข้าอีก ขโมยอาวุธของข้า แถมยังกล่าวหาข้าต่อหน้าทุกคน?”

“แม้โอสถและหินวิญญาณมากขนาดนั้น ข้าก็ยังให้ได้ หากเคยรับปากว่าจะให้อาวุธจริง ข้ามีหรือจะกลับคำ?”

ระดับพลังยุทธ์ของอวี้หลานชิงสูงกว่าทุกคนที่นี่ จิตสัมผัสแข็งแกร่งยิ่งกว่าไม่รู้กี่เท่า เมื่อนางพูดร่ายยาวจนกระทั่งจบประโยคสุดท้าย ก็ไม่มีผู้ใดพูดสามารถแทรกนางได้แม้แต่คนเดียว

รอบด้านเงียบสงัด

ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบผิดปกติเช่นนี้ เสียงฝีเท้าจึงดังกว่าปกติ

เงาร่างสีเหลืองไข่ห่านร่างหนึ่งวิ่งออกมาจากม่านหลัง จากนั้นผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นฝูงชนที่ยืนล้อมอยู่บนลานกว้าง

จากนั้นมองซ้ายมองขวา แววตาเปลี่ยนไปเมื่อเห็นจางเม่าฉวนมีสีหน้าลำบากใจ ตามด้วยมองไปยังอวี้หลานชิงที่กำลังแสดงท่าที “ก้าวร้าว” แทน

นางมุ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจสามส่วน ขุ่นเคืองใจเจ็ดส่วน “ศิษย์พี่หญิงท่านนี้ เมื่อวานนี้ท่านฝากตัวเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสเสิ่นแห่งยอดเขาชิงจู๋มิใช่หรือ? เหตุใดจึงกลับมาที่ยอดเขาหลิงเซียว…มารังแกศิษย์ของยอดเขาหลิงเซียวเช่นนี้?”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 100

    บรรดาสำนักที่เมื่อครู่นี้ลอยเด่นอยู่กลางอากาศ เวลานี้ได้ยึดครองตำแหน่งที่ดีที่สุดบนอัฒจันทร์แล้ว ส่วนสำนักขนาดกลางและขนาดเล็กที่เหลือก็แทรกตัวเข้าไปในช่องว่างที่สำนักใหญ่เหลือไว้ อวี้หลานชิงนั่งอยู่บนที่นั่งของศิษย์สายตรงชั้นใน นางกวาดตามองไปรอบ ๆ ทอดสายตามองไปยังเบื้องล่างที่มีศีรษะผู้คนอยู่อย่างเนืองแน่นผู้ฝึกตนในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักเซียนมีเกือบหนึ่งแสนคนเลยทีเดียวเมื่อรอให้ทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว แสงที่เปล่งออกมาจากเสาค้ำฟ้าโดยรอบก็รวมตัวเข้าด้วยกันชายชราผมขาวโพลนดุจหิมะคนหนึ่ง ถือไม้เท้าหัวมังกร ดูสง่างามดั่งเซียนมากกว่าอวี้ชิงจื่อจากสำนักอวี้ซวีก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศทุกก้าวที่เดิน ร่างก็เข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้นราวกับว่าเดินมาจากท่ามกลางความว่างเปล่า ท้ายที่สุดก็หยุดอยู่ตรงใจกลางสนามเมื่อเขาปรากฏตัว เจ้าสำนักต่าง ๆ ที่อยู่บนที่นั่งสูงสุดของอัฒจันทร์โดยรอบก็พากันลุกขึ้น ประสานมือคารวะชายชราผู้นั้นแล้วร้องเรียกว่า “ผู้อาวุโสเช่อ” “ผู้อาวุโสเช่อผู้นี้เป็นใครกัน?” จิตวิญญาณของอวี้หลานชิงอยู่แค่ระดับหลอมแก่นปราณเท่านั้น ไม่อาจมองทะลุระดับพลังยุทธ์ของชายชราได้ คนท

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 99

    เวลานี้เอง ฉากที่อยู่ด้านนอกเสาค้ำฟ้าแทบจะเป็นภาพจำลองของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรทั้งหมด เมืองที่รองรับผู้คนได้หลายแสนคนแห่งนี้ ทุกคนในเมืองล้วนเฝ้าติดตามสถานการณ์ของทางเสาค้ำฟ้าตรงใจกลางเมือง ศิษย์สำนักใหญ่ที่นำโดยอาจารย์จากสำนัก ต่างก็ยืนอยู่บนอาวุธวิเศษเหาะเหินขนาดใหญ่ที่เปล่งแสงแวววาวของสำนักต่าง ๆ ส่วนลูกศิษย์ของสำนักขนาดกลางและขนาดเล็กก็ยืนอยู่บนพื้นดิน รออยู่รอบ ๆ เสาค้ำฟ้าอย่างเงียบเชียบถัดออกไปด้านนอก ยังมีผู้ฝึกตนอิสระนับไม่ถ้วนที่ไม่มีสิทธิ์เข้างานชุมนุมใหญ่ของสำนักเซียนกำลังชะเง้อคอมองสถานการณ์ในนี้ แววตาแฝงไปด้วยความชื่นชมและความหลงใหลใฝ่ฝันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก่อนที่หมอกจาง ๆ ที่ปกคลุมเสาค้ำฟ้าจะสลายหายไป สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปยังบรรดาเจ้าสำนักและผู้อาวุโสของสำนักใหญ่ที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศอัดฉีดพลังวิญญาณเข้าไปในเสาค้ำฟ้า ผู้ที่ยืนตระหง่านกลางอากาศปลดปล่อยพลังอันมหาศาลเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกตนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ส่วนมากก้าวเข้าสู่ระดับทารกวิญญาณช่วงปลายแล้ว ยังมีบางส่วนที่ครอบครองพลังของระดับเทพจุติด้วยผู้ทรงพลังที่มีคว

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 98

    บางทีอาจเป็นเพราะตอนนี้จี้ฝูเหยายังเยาว์วัย ยังไม่เข้าใจการเก็บงำอารมณ์โดยสมบูรณ์ หรืออาจเป็นเพราะประสบการณ์ที่สั่งสมมาสองชาติ ทำให้อวี้หลานชิงเข้าใจนางดีเกินไป เมื่อจิตสัมผัสรู้สึกได้ถึงสายตาของจี้ฝูเหยาที่มองตามหลังอีกฝ่ายไป อวี้หลานชิงก็คาดเดาการกระทำต่อไปของนางได้แล้ว นางทำเช่นนี้เป็นประจำใช้ท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา คำนึงถึงผู้อื่นมาดึงดูดทุกคนที่มีประโยชน์ต่อนาง ชาติที่แล้ว หากไม่ใช่เพราะกระบี่ที่ทะลวงหัวใจในตอนสุดท้าย อวี้หลานชิงก็คงถูกรูปลักษณ์ภายนอกของนางหลอกไปแล้ว ในฐานะผู้หญิงเหมือนกัน อวี้หลานชิงไม่อยากใช้คำพูดที่ร้ายกาจมาบรรยายจี้ฝูเหยา แต่เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนที่แสดงออกมาเลย สายตาของปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนน่าเป็นห่วงยิ่งนักความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมาในใจ อวี้หลานชิงก็อดไม่ได้ที่จะ “ถุย” อีกครั้ง ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนก็ไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน ศิษย์อาจารย์คู่นั้นชอบพอกันและกัน มีความรักต้องห้าม เรียกได้ว่าเหมือนเต่ามองถั่วเขียว รับสืบทอดสายตาที่ย่ำแย่มา“ไปกันเถิด” อวี้หลานชิงหันหน้ากลับมามอง เจ้าของแผงลอยที่ยังกำถุงเก็บของไว้แน่นเพราะกล

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 97

    อวี้หลานชิงไม่ได้สนใจสายตาของผู้คนรอบข้าง และไม่อยากอธิบายอะไร เดิมทีนางก็ไม่ได้คิดจะสังหารสัตว์วิญญาณตัวนี้เลย ในเมื่อจี้ฝูเหยายินดีเข้ามายุ่งเรื่องผู้อื่น ก็ปล่อยให้นางดูแลต่อไปก็พอ “ศิษย์หลานกล่าวมีเหตุผล เช่นนั้นหน้าที่สำคัญอย่างตามหาเจ้าของสัตว์วิญญาณตัวนี้ก็ยกให้ศิษย์หลานจัดการแล้วกัน” “แต่ว่าสัตว์วิญญาณตัวนี้มีนิสัยซุกซน ศิษย์หลานต้องคอยจับตาดูหน่อย อย่าให้มันทำร้ายผู้คนอีกเป็นอันขาด” อวี้หลานชิงพูดจบก็เก็บกระบี่ยาว เจ้าของแผงลอยที่อาศัยช่วงเวลาชุลมุนเก็บกล่องบรรจุหญ้าเย็นกระจ่างกลับคืนสู่อ้อมอกอีกครั้ง ก็ฉวยโอกาสที่จี้ฝูเหยาพูดเมื่อครู่นี้เก็บข้าวของบนแผงลอยจนเสร็จเรียบร้อยนานแล้วอวี้หลานชิงส่งสายตา เขาก็เดินตามหลังนางออกจากฝูงชนทันทีจิ้งจอกแดงเพลิงที่ก่อความวุ่นวายไปครึ่งถนนตัวนั้น เมื่อครู่กำลังทำตากลมสุกใสนิ่งอยู่กับที่ มองอวี้หลานชิงกับจี้ฝูเหยาเหมือนชมละครสนุก ๆ ก็ไม่ปานปากยังคงเคี้ยว “หนวดหัวไชเท้า” ที่มันโยนทิ้งไว้บนพื้นลวก ๆ ก่อนหน้านี้อย่างไม่เร่งรีบเมื่อเห็นอวี้หลานชิงและเจ้าของแผงลอยนำสมุนไพรวิญญาณที่มันหมายตาจากไป มันก็อดร้อนใจไม่ได้มันคายหนวดหัว

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 96

    วิญญาณร้ายยังไม่สลายไปสักที ในสมองของอวี้หลานชิงผุดขึ้นมาแปดคำทันที จี้ฝูเหยาที่อยู่ตรงหน้าถือกระบี่ใบหลิวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ปลายกระบี่เรียวเล็ก ตรงด้ามกระบี่เคลือบทอง บนนั้นยังฝังอำพันที่ส่องประกายแวววาวสามก้อนตอนที่กระบี่ทั้งสองปะทะกันเมื่อครู่นี้ อวี้หลานชิงรู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณธาตุไฟที่บริสุทธิ์สายหนึ่งปรากฏขึ้นบนตัวกระบี่เล่มนั้น เป็นลมปราณสายนี้เองที่ต้านทานปราณกระบี่ของนาง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นกระบี่เล่มใหม่ที่ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนมอบให้จี้ฝูเหยา แม้จะเทียบไม่ได้กับกระบี่ที่หล่อหลอมปราณกระบี่ของปรมาจารย์กระบี่เยวี่ยหวาเล่มนั้นในชาติก่อน ซึ่งเข้ากับวิชาที่จี้ฝูเหยาฝึกฝนแต่ก็เป็นกระบี่ดีที่หาได้ยากเล่มหนึ่งจริง ๆ อย่างน้อยในแง่ของระดับก็ถือว่าหายากมากนี่ไม่ใช่อาวุธวิเศษ แต่เป็นอาวุธวิญญาณ แตกต่างกันเพียงคำเดียว แต่ราคาและความล้ำค่าระหว่างทั้งสองนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว อาวุธวิญญาณทั่วไปมีราคาแค่หินวิญญาณไม่กี่ร้อยก้อน แพงอีกแค่ไหนก็แค่พันกว่า แต่อาวุธวิญญาณเป็นสิ่งที่มีราคาแต่ไม่มีในตลาดมาโดยตลอด อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนระดับหลอมปราณเลย ตลอดชีวิตของผู้ฝึกตนระดับห

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 95

    เจ้าของแผลลอยกล่าวจบก็แอบเชยตามองปฏิกิริยาของอวี้หลานชิง จากนั้นก็เห็นนางทำสีหน้าเคร่งขรึม ไม่เอ่ยสักคำเดียวในใจอด “กระตุก” ขึ้นมาไม่ได้ผู้ฝึกตนหญิงผู้นี้คงไม่ให้เขาคืนหินวิญญาณหรอกนะ?ศิษย์ของสำนักใหญ่ ปกติแล้วจะไม่ยอมเสียหน้ากระมัง?แต่ว่าไม่มีเรื่องอะไรที่แน่นอน เขาตัดสินใจแล้วว่าหากผู้ฝึกตนหญิงตรงหน้าให้เขาคืนหินวิญญาณละก็ เขาจะเก็บแผงหนีไปทันที จากนั้นก็เปลี่ยนที่แล้วค่อยตั้งแผงใหม่ เจ้าของแผงลอยถึงค่อยเอ่ยปากพูดอย่างระมัดระวังว่า “สหายน้อย?” สิ่งที่อวี้หลานชิงคิดไม่ใช่เรื่องขอหินวิญญาณคืน “เมื่อครู่ท่านบอกว่าสมุนไพรวิญญาณที่ใช้ระงับพิษเพลิงชื่อว่าอะไรนะ?”“หญ้าเย็นกระจ่าง สมุนไพรวิญญาณชั้นสูง หนึ่งต้นสามารถระงับพิษเพลิงได้สามเดือน” ความคิดที่จะหนีไปของเจ้าของแผงลอยถูกโยนทิ้งไว้ที่ด้านหลังสมองทันที ก่อนจะถามด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้นว่า “สหายน้อยถามถึงสมุนไพรนี้ แสดงว่า?”“ข้ามีอยู่ต้นหนึ่ง” อวี้หลานชิงก็เพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกันว่ามีสมุนไพรวิญญาณเช่นนี้อยู่ในแหวนเก็บของของตนเป็นของที่ผู้อาวุโสจวีหยางจากสำนักมอบให้ในพิธีกราบอาจารย์ก่อนหน้านี้ สมุนไพรวิญญาณที่

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status