ชุดแต่งงานเหรอ?เมื่อได้ยินสองคํานี้ หลินจืออี้รู้สึกเพียงประชดประชันนับครั้งที่ซ่งหว่านชิวลองชุดแต่งงาน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วยังเป็นผู้หญิงของกงเฉินทั้งหมดอีกราวกับว่าไม่มีประจักษ์พยานของเธอ งานแต่งงานนี้ก็ไม่สามารถดําเนินการได้อย่างไรอย่างนั้นหลินจืออี้มองไปที่ซางหรั่น เธอยิ้มอย่างมีความสุขและเรียบง่ายมาก ไม่มีแผนการของซ่งหว่านชิว เป็นการเชิญอย่างจริงใจด้วยเหตุนี้ หลินจืออี้จึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเลวมากขึ้นขณะที่เธอกําลังจะหาข้ออ้างปฏิเสธ โทรศัพท์ก็สั่นจู่ๆ เธอก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจริงดังคาด เมื่อเปิดโทรศัพท์ก็เป็นข้อความที่หลิ่วเหอส่งมา[คุณท่านกงให้ฉันช่วยเตรียมงานหมั้นของเจ้าสามกับคุณซาง]ความรู้สึกหายใจไม่ออกปะทะกับใบหน้าหลิ่วเหอจะล่วงเกินตระกูลซางและตระกูลกง หรือว่าปลอดภัยดี ล้วนขึ้นอยู่กับท่าทีของเธอทั้งนั้นหลินจืออี้ส่งข้อความอย่างสั่นเครือ[รู้แล้ว]ซางหรั่นที่อยู่ตรงข้ามดูเหมือนจะสังเกตเห็นและถามด้วยความห่วงใยว่า "จืออี้ เธอเป็นอะไรไปเหรอ?"หลินจืออี้หายใจเข้าลึกๆ เงยหน้าขึ้นยิ้มเบาๆ “ไม่เป็นไร ฉันจะเลือกชุดแต่งงานเป็นเพื่อนคุณเอง”“ขอบใจนะ ไว้ว
ซางหรั่นไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเธอ เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาโดยตรงและพูดว่า "เธอดูสิ เราถ่ายรูปมาเยอะแยะเลย ฉันคิดว่าจะใช้ในงานหมั้นและงานแต่งงาน เธอช่วยฉันเลือกหน่อยสิ"หลินจืออี้ชําเลืองมองโทรศัพท์ของซางหรั่น รอยยิ้มของทั้งสองคนในรูปถ่ายค่อนข้างสะดุดตาซางหรั่นเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่ได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยความรัก ความสงบบนตัวเธอมาจากภายในสู่ภายนอกอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีสิ่งเจือปนจึงทําให้ยิ้มของเธอมีความสดใสและสามารถแพร่กระจายไปถึงคนอื่นได้ง่ายมากแม้แต่กงเฉินที่อยู่ข้างเธอก็ดูผ่อนคลายกว่าปกติรูปร่างหน้าตาของทั้งคู่เข้ากันดี รูปไหนก็สวยทั้งนั้นหลินจืออี้กลับรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย สายตาก็ไม่รู้ว่าควรจะหยุดอยู่ที่ตรงไหน"ดีหมดทุกรูปนะ คุณสองคนตัดสินใจก็ได้แล้ว” เธอยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที "จริงสิ คุณมาหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ?"ซางหรั่นร้องโอ๊ยขึ้นมา“เธอดูสิ ฉันตื่นเต้นมากจนเกือบลืมงานหลักไปเลย ที่หนีบคอเสื้อที่เธอออกแบบให้พี่ชายฉันสวยมากเลย ตอนนี้เขาใส่ทุกวันไม่ยอมถอดออกเลย ดังนั้นฉันจึงอยากขอให้เธอช่วยออกแบบเครื่องประดับให้ฉันด้วย”“เครื่องประดับอะไรเหรอ?” หลินจืออี้ยื
เมื่อได้ยินไฟ กงเฉินก็ตกตะลึงอีกครั้งเขาคิดว่าความเกลียดชังที่เด็กผู้หญิงมีต่อเขาในความฝันในความฝันนั้น ตอนจบทุกครั้งของความฝันก็คือเด็กผู้หญิงวิ่งเข้าไปในกองไฟ จูงผู้หญิงที่มีภาพเบลอทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้ม แล้วหายไปในความฝันของเขาหลินจืออี้ถือโอกาสนี้หลุดพ้นจากพันธนาการของกงเฉิน แล้วยืนห่างจากเขาไม่กี่ก้าวเธอขอร้องเขาปนไปด้วยความขุ่นเคือง "อาเล็ก ฉันสู้อาไม่ได้ก็จริง แต่ฉันก็เป็นคนเหมือนกันนะ พวกอาสองพ่อลูกเขาทําให้ฉันอับอายยังไม่พออีกเหรอ? หรืออาต้องการให้ทุกคนชี้หน้าด่าฉันว่าคนชั้นต่ำถึงจะยอมเลิกรา?”พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไปกงเฉินเอื้อมมือไปจับเธอ แต่จับได้แค่เสื้อโค้ทที่คลุมไหล่ของเธอหลินจืออี้ฉีกเสื้อนอกของกงเฉินออกอย่างคล่องแคล่ว เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองเลยแล้วหายลับไปในท่ามกลางพายุหิมะบนไหล่ของกงเฉินมีหิมะกองอยู่ เฉินจิ่นรีบก้าวไปข้างหน้าและกางร่มให้เขา“คุณชายสาม คุณซ่อนคุณหลินไว้ที่นี่ หากคุณท่านรู้เข้า เกรงว่า...”“เขาชอบเหลือทางเอาไว้เสมอ”กงเฉินจุดบุหรี่มวนหนึ่งอย่างเย็นชา อารมณ์ที่ซับซ้อนซ่อนอยู่ในดวงตาของเขา“ทางอะไรหรือครับ?” เฉินจิ่นไม่เข้าใ
กงเฉินไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ดึงเธอเข้าไปในรถโดยตรงทิวทัศน์นอกหน้าต่างเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หิมะก็เริ่มตกอีกครั้งเมื่อรถหยุดและเปิดประตู ข้างนอกก็ปกคลุมไปด้วยหิมะอีกชั้นหนึ่งแล้วเมื่อหลินจืออี้ลงจากรถ บนไหล่ก็มีเสื้อโค้ทขนแกะตัวหนึ่งเพิ่มขึ้นมา กลิ่นอายจากร่างกายของผู้ชายพลันล้อมรอบเธอทันทีเมื่อตั้งสติได้ เธอก็ยืนอยู่หน้าวิลล่าหลังหนึ่งแล้วสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ แม้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะก็ยังสวยดั่งความฝันในเทพนิยาย สามารถจินตนาการฉากเมื่อดอกไม้บานว่าจะสวยแค่ไหนได้ในสมองของหลินจืออี้มีภาพภาพหนึ่งปรากฏขึ้นมาเพราะนี่ก็คือบ้านที่เธอเผาตัวเองเมื่อชาติก่อนตลอดแปดปีการแต่งงานครั้งนั้น ที่นี่เหมือนกรงที่หรูหราเธอจ้องตัวบ้าน ถามเสียงเย็นชาว่า "นี่หมายความว่ายังไง?"ดวงตาของกงเฉินขรึมลงเล็กน้อย พูดเสียงเรียบว่า “เดี๋ยวฉันเรียกคนไปเอาสัมภาระที่คอนโดเธอ ต่อไปเธอพักอยู่ที่นี่ คนขับรถและแม่บ้านฉันจะจัดการให้เอง ถ้าเธอมีอะไรต้องการก็บอกพวกเขาโดยตรงเลย”เขาไม่ได้ถามความเห็นของเธอเลย ก็จัดการทุกอย่างเองแล้วก็เหมือนกับชาติก่อน เขาพาเธอเข้าไปในบ้าน พูดว่าต่อไปเธอจะ
พี่โจวยังนึกถึงหลินจืออี้ลืมไปแล้ว จึงหันหลังเดินเข้าไปในห้องครัวแล้วหยิบออกมาวางไว้ตรงหน้าเธอเป็นนาฬิกาผู้ชายแบบเรียบๆ แต่ราคาสูงลิบลิ่วหลินจืออี้มองปราดเดียวก็จําได้แล้วว่าเป็นของกงเฉินเพราะเธอมีนาฬิกาผู้หญิงที่เหมือนกันเป๊ะเรือนหนึ่งแต่เมื่อคืนตอนที่เธอทําความสะอาดห้องครัว เห็นได้ชัดว่าไม่มีนาฬิกาเรือนนี้เว้นเสียแต่ว่า คนที่อยู่เป็นเพื่อนเธอตอนเป็นไข้คือกงเฉินซางลี่ก็ไม่เคยพูดว่าเขาเป็นคนเตรียมโจ๊กมา เธอเป็นคนคิดไปเองทั้งนั้นเมื่อนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ราวกับอยู่ในความฝัน มือของหลินจืออี้ก็สั่นเล็กน้อย ทำเอาชาขิงหกออกมาพี่โจวรีบดึงกระดาษออกมาเช็ด “เธอเป็นอะไรไปน่ะ?”หลินจืออี้หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง จู่ๆ ก็หยิบนาฬิกาขึ้นมาแล้ววิ่งออกไปเมื่อยืนอยู่ในลิฟต์ เธอมองตัวเลขที่ลงด้านล่างไปเรื่อยๆและนับในใจอย่างเงียบๆเธอยันกําแพงลิฟต์ไว้ อารมณ์ซับซ้อนและขัดแย้ง เห็นได้ชัดว่าเธอเตือนตัวเองอย่าได้เดินต่อไปอีกแต่เธออยากรู้คําตอบนั้นเหลือเกินเธอเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง วิธีการตายที่เจ็บปวดขนาดนั้น เธอยังอดทนมาได้ถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถตัดความสัมพันธ์ที่เริ่มตั้งแต
พี่โจวชี้ไปที่สูทของซางลี่หลินจืออี้ถึงพบว่าสูทของซางลี่และอย่างที่กงเฉินส่งเธอกลับมาตอนที่ถูกเธอบังหน้าในครั้งนั้นเป็นยี่ห้อเดียวกันนอกจากความแตกต่างเล็กน้อยแล้ว ในสายตาของคนทั่วไปก็คือเหมือนกันทุกประการรูปร่างของซางลี่และกงเฉินก็ไม่ต่างกันมาก ไม่แปลกใจเลยที่พี่โจวจะจําผิด“พี่โจว ไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะ” หลินจืออี้รีบอธิบายน่าเสียดายที่พี่โจวไม่ฟังเลยและปกป้องเธอเหมือนปกป้องลูกไก่ตัวน้อยๆ กลัวว่าถ่านไฟเก่าจะถูกจุดขึ้นมาอีก"จืออี้! เธอสัญญากับฉันว่าจะไม่กลับไปหาแฟนเก่าเด็ดขาดแล้วนะ!”“แฟนเก่า?” ซางลี่มองหลินจืออี้อย่างครุ่นคิด มุมปากปรากฏรอยยิ้มจางๆหลินจืออี้อยากจะเป็นลมอยู่ที่เดิมให้มันรู้แล้วรอดไปเลยเหลือเกินพี่โจวพูดอย่างชอบธรรมว่า "คุณผู้ชาย แม้ว่าตอนนี้คุณนึกถึงจืออี้แล้วมันมีประโยชน์อะไร? เมื่อก่อนตอนที่จืออี้ต้องการคนอยู่เป็นเพื่อนมากที่สุด คุณกลับทําเป็นหูทวนลม ความอ่อนโยนที่มาทีหลังมันก็เหมือนมีดทื่อๆ เล่มหนึ่ง ไม่ทําให้คนตาย แต่ทําให้คนรู้สึกตะขิดตะขวงใจตลอดไป”ได้ยินดังนั้น หลินจืออี้ก็ตัวแข็งทื่อทันทีท่ามกลางความคิด เธอนึกอะไรบางอย่างออก ถึงกับกัดริมฝีปาก