อาคุมุที่แอบดูอยู่ในจุดลับสายตา ซึ่งก็คือบริเวณต้นไม้ใหญ่หลังพุ่มไม้ ตำแหน่งของเขาในตอนนี้นั้นมีระยะห่างจากตำแหน่งขององค์ชายชูยะกับอากิระมากพอสมควร แต่เขาก็ยังคงมองเห็นทุกการกระทำได้
ซึ่งเขาเห็นบางสิ่งที่เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อนทั้งในโลกก่อนความตายของเขาและในโลกนี้ ถึงแม้จะยังใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นานนักก็ตาม แต่ตอนนี้เขาได้เห็นมันแล้ว
“มหาศาลชะมัด”
ซึ่งนั่นก็คือทอง เพชร อัญมณี และของล้ำค่าต่าง ๆ ที่ดูระยิบระยับเป็นอย่างมากในสายตาของเขา จึงทำให้เขาตาเป็นประกายได้ในทันที
อากิระนั้นควบคุมดูแลการขนย้ายทรัพย์สินออกมาจากอุโมงค์ ซึ่งมันมีมากเกินกว่าที่จะขนย้ายเพียงไม่กี่รอบก็เสร็จสิ้นได้ จากที่อาคุมุนั้นเห็นคือกลุ่มคนนับหลายสิบคนต่างขนย้ายของมีค่าเหล่านั้นด้วยรถเข็น และขนย้ายขึ้นรถม้าอีกครั้งหนึ่ง รถม้านั้นก็มีจำนวนมากอีกเช่นกัน ราวกับว่าเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว
“จะว่าไป ที่ลุงอากิระบอกว่าคนจากตระกูลใหญ่นั้นออกตามหาของล้ำค่า แต่ทำไมที่ฉันเห็นตรงนี้กลับเป็นองค์ชายกับตัวเขาเองแล้วก็คนของเขาล่ะเนี่ย”
ทันใดนั้นอาคุมุก็นึกสงสัยอีกว่าขนย้ายแบบนี้ไม่กลัวการลอบโจมตีเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เขาจึงคิดจะลองทำอะไรบางอย่าง
“สร้างวงแหวนเวท” เขาคว่ำฝ่ามือลงพร้อมกับพูดออกมา ซึ่งเขาเห็นวงแหวนเวทสีฟ้าค่อย ๆ ขยายใหญ่ไปเป็นวงกว้างจากจุดที่เขายืนอยู่
“นั่นไง อย่างที่คิดไว้จริง ๆ ด้วยนะ”
วงแหวนเวทของเขานั้นขยายวงกว้างออกไปยังไม่ทันเสร็จสิ้น มันก็ได้ไปกระทบกับเกราะป้องกันเวทมนตร์ขนาดใหญ่ มันคล้ายคลึงกับเกราะป้องกันที่อากิระใช้ในตอนนั้น แต่ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้มันมีขนาดใหญ่กว่าหลายสิบเท่า ครอบคลุมทั้งอุโมงค์และรถม้าจำนวนมาก รวมไปถึงองค์ชายชูยะที่นั่งดูอยู่ห่าง ๆ
อาคุมุนั่งลงพิงต้นไม้ใหญ่ พร้อมกับหลับตาลงและครุ่นคิดเกี่ยวกับองค์ชาย
‘ยังคงแปลกใจอยู่นั่นแหละนะ ถ้าเพิ่งจะสามารถพัฒนาวงแหวนเวทได้ ทำไมถึงไปโผล่ตรงนั้นเลยล่ะ หรือว่าจะระดับสูงกว่านี้หนึ่งระดับ? ไม่สิ น่าจะยังเป็นไปได้ยากอยู่พอสมควร แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าการพัฒพัฒนาครั้งต่อไปวงแหวนเวทจะมีขนาดเท่าไร แล้วทำไมฉันถึงต้องมาคิดสงสัยเรื่องนี้ตลอดเลยเนี่ย’
ไม่นานนัก บรรยากาศรอบ ๆ ตัวเขาก็เกิดความร้อนราวกับไฟไหม้ป่า
‘เอ๊ะ?!’ ทันทีที่อาคุมุลืมตาขึ้นก็ได้พบเจอสิ่งที่ทำให้เขาตกใจจนร่างกายแทบจะไม่สามารถขยับได้
“เราเจอกันอีกแล้วนะน้องชาย”
เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือองค์ชายชูยะนั่นเอง
“เอ่อ...” แค่จะขยับปากพูดโต้ตอบกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า อาคุมุก็ยังทำไม่ได้ นั่นไม่ใช่เพราะองค์ชายชูยะใช้พลังเวทหรืออะไร แต่เกิดจากความตกใจสุดขีดและความกลัวของตัวเขาเองทั้งนั้น
“องค์ชาย... ชูยะ มาตรงนี้ได้ไงกันครับ?” อาคุมุกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยและตะกุกตะกัก
“ไม่น่าถามเลยนะนายน่ะ แต่ก็ช่างเถอะ ฉันไม่ได้อะไรอยู่แล้ว รู้นานแล้วด้วยว่านายตามมาจนถึงนี่ ก็ดีแล้วที่มาเพราะฉันมีอะไรดี ๆ จะบอกนายด้วยล่ะ”
อาคุมุที่ได้ยินอย่างนั้นถึงกับงุนงงไปในทันที เพราะนี่มันดูคล้ายกับว่าเขาได้รู้ความลับบางอย่างของราชวงศ์เลยด้วยซ้ำ
“เอ๋? ทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้ล่ะครับ ทั้งที่ตอนนี้ผมน่าจะเหมือนคนมีความผิดแล้วนะ?”
“ฮ่า ฮ่า! ไม่ใช่สักหน่อย นี่น่ะมันไม่ใช่ความลับหรอก เพราะหลากหลายตระกูลต่างก็ต้องการมันทั้งตระกูลเล็กตระกูลใหญ่ แต่ตระกูลเล็กใหญ่เหล่านั้นไม่ใช่ปัญหา เนื่องจากเป็นตระกูลในจักรวรรดิก็แน่นอนว่าต้องหลีกทางให้ราชวงศ์อยู่แล้ว” องค์ชายชูยะพูดจบก็เงียบไป
“องค์ชายต้องการจะบอกอะไรอย่างนั้นเหรอครับ?” อาคุมุจึงถามกลับไป
“สั้น ๆ ก็คือ... เพียงแค่ฉันมีเชื้อสายราชวงศ์ ก็สามารถทำได้ทุกอย่างไงล่ะ”
อาคุมุที่ได้ยินอย่างนั้น ก็ยังคงไม่ค่อยเข้าใจเหมือนเดิม ใบหน้าของเขานั้นบ่งบอกอย่างเห็นได้ชัด
“น้องชาย นายอาจจะยังไม่ค่อยรู้เรื่องของจักรวรรดิสินะ ฉันจะอธิบายให้นายเข้าใจง่ายที่สุด” ว่าแล้วองค์ชายชูยะก็นั่งลงใกล้ ๆ กับอาคุมุ
“จักรวรรดิไดจิแห่งนี้น่ะ มีแค่องค์จักรพรรดิเพียงองค์เดียวที่ปกครอง จักรวรรดิแห่งนี้ไม่ได้เล็กอย่างที่คิด เพราะมีทั้งเมืองเล็กเมืองใหญ่ในอาณาจักรทั้ง 6 อาณาจักร ซึ่งทั้ง 6 อาณาจักรนั้นอยู่ภายใต้ชื่อจักรวรรดิไดจิ ปกครองแบบขูดเลือดขูดเนื้อเลยล่ะ”
สิ่งที่อาคุมุได้รับฟังจากองค์ชายชูยะนั้นทำให้เขาเกิดคำถามขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด
‘ทำไมพ่อไม่เคยบอกเลยนะ รู้แค่ว่าองค์จักรพรรดิคงไม่ใช่คนดีนัก แล้วไอ้คำว่าอาณาจักรก็ไม่เคยหลุดออกมาจากปากเขาเลยด้วยซ้ำ อะไรกันเนี่ย? ถ้าเป็นแบบนี้ก็คงมีคนอื่นอีก’
“การปกครองแบบนี้มัน... แล้วคนที่มีอำนาจคนอื่น ๆ ล่ะครับ เกิดอะไรขึ้นบ้างเหรอครับ?”
องค์ชายชูยะเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่รู้ได้ทันทีว่ากำลังโกรธ
“องค์จักรพรรดิ... ทำการประหารราชาไปองค์หนึ่ง เพื่อเป็นการยืนยันว่าเขาคือผู้ควบคุม และทุกคนต้องอยู่ภายใต้การปกครองของเขา โดยที่.. ราชาองค์นั้นคือพ่อของฉัน” องค์ชายชูยะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่โกรธ แต่ก็ปนไปด้วยความเสียใจ
‘แบบนี้นี่เอง’
อาคุมุได้แค่คิดในใจเป็นคำพูดสั้น ๆ และยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา องค์ชายชูยะก็เก็บความโกรธและความเสียใจนั้นไว้ พร้อมกับเปลี่ยนบทบาทของตนเองจากองค์ชายที่สง่างามเป็นคนขายประกันในทันที
“นี่น้องชาย นายสนใจจะเข้าร่วมการประลองไหม? แน่นอนว่าสิ่งที่ได้มามันคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป มันก็คืออะไรดี ๆ ที่ฉันบอกไปเมื่อก่อนหน้านี้นี่แหละ”
“ผมปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทันเลยนะครับองค์ชาย ฮ่า ฮ่า แล้วก็มันคือการประลองเหรอครับ? อย่าบอกนะว่า...” มีบางสิ่งที่อาคุมุคิดไว้ ซึ่งสิ่งที่เขาคิดไว้นั้นอาจจะใช่ก็เป็นได้
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า โทษที ๆ ที่พานายเครียดไปด้วย ส่วนเรื่องการประลองฉันตั้งใจจะชวนนายอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะได้พูดเรื่องบ้านั่น ใช่แล้วล่ะ... รางวัลก็คือส่วนหนึ่งในของล้ำค่าจำนวนมากมายนั่นแหละ” องค์ชายชูยะตอบกลับไป ซึ่งนั่นทำให้อาคุมุตาเป็นประกายอีกครั้ง
“ว้าว สุดยอด!!”
เพราะสิ่งที่เขาคิดไว้มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ รางวัลของการประลองนั่น คือของล้ำค่าที่เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน แต่ก่อนที่เขาจะดีใจไปมากกว่านั้น องค์ชายชูยะก็พูดขึ้นมาในทันที
“ต้องมีการคัดเลือกก่อนน่ะนะ การประลองจะมีทั้งสิ้น 2 รอบใหญ่ ๆ ซึ่งก็คือรอบแบ่งกลุ่มและรอบ 8 คนสุดท้าย”
“เอ่อ... จริงเหรอครับ?” อาคุมุเริ่มเกิดความลังเลใจแล้ว เพราะเขายังไม่ค่อยมั่นใจในฝีมือของตนเองเท่าไรนัก
“ใช่แล้วล่ะ แต่นายวางใจเถอะ ฉันว่านายน่าจะสามารถคว้ารางวัลมาได้ง่าย ๆ เลยนะ เริ่มจากรอบแบ่งกลุ่ม จะเป็นการสู้แบบหาผู้ชนะเพียงคนเดียวในแต่ละกลุ่ม ก็จะมีทั้งหมด 8 กลุ่ม แล้วเหลือ 8 คนหลังจากนั้นก็จะเป็นการสู้ตัวต่อตัวเพื่อหาผู้ชนะเพียงคนเดียว” องค์ชายชูยะก็ลุกขึ้นพร้อมกับหันหลังให้อาคุมุ
“วันไหนที่เปิดรับสมัครแล้วเดี๋ยวฉันจะมาบอก เตรียมตัวให้ดี ไว้เจอกันล่ะน้องชาย” ว่าแล้วก็หายไปโดยการใช้วงแหวนเวทในการเคลื่อนที่และกลับไปใกล้ ๆ อุโมงค์
“มาไวไปไวนะองค์ชายเนี่ย แต่ในเมื่อเขาเป็นคนบอกเองว่าให้วางใจได้ ฉันก็ควรจะวางใจแล้วกลับไปฝึกต่อล่ะนะ” พูดจบเขาก็เตรียมจะใช้วงแหวนเวท ยังไม่ทันได้ใช้เขาก็เกิดนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
“แต่ว่า พลังเวทขององค์ชายคือน้ำแข็ง แล้วทำไมตอนนั้นถึงได้...”
บทที่ 60 : มอบรางวัลด้วยเลือด [จบเล่ม 2]การต่อสู้จบลง สนามประลองแบบจำลองก็ได้หายไป อาคุมุลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเขาอยู่ที่สนามประลองของจักรวรรดิไดจิเสียแล้ว เขามองไปรอบ ๆ ขณะเดียวกันกับเสียงตอบรับที่ดังมาจากผู้ชมทั่วทั้งสนามประลองอย่างครึกครื้น“อาคุมุชนะจริง ๆ ด้วย?!!”“เขาสู้แบบนั้นได้ยังไงกันนะ? โดนรุมนั่นน่ะ”“เจ้าเด็กคนนี้ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกันเนี่ย?! แน่ใจนะว่าไม่ใช่นักเวทของจักรวรรดิ?”“ตามดูเจ้าหนูนี่มาตั้งแต่วันแรก ไม่ทำให้ผิดหวังเลย!”…“ในรอบนี้เราสามารถหาผู้ชนะเลิศได้เลยล่ะครับทุกท่าน! ผู้ชนะการประลองของจักรวรรดิไดจิในครั้งนี้คือ… คาอิคะ อาคุมุ!!!” ผู้คุมสนามประกาศออกไปอย่างเป็นทางการด้วยผลการต่อสู้ที่เป็นเอกฉันท์กลางสนามประลองที่มีผู้ชมเป็นจำนวนมาก คู่ต่อสู้ทั้งหกคนของอาคุมุนั้นนอนบาดเจ็บอยู่ที่พื้น โดยมีอาคุมุยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น แม้การบาดเจ็บจะไม่ได้สาหัสมากนัก แต่ร่องรอยบาดแผลตามที่เห็นคงต้องใช้เวลาพอสมควร‘ไม่มีใครตายเพราะเมื่อพลังชีวิตแบบจำลองหมดไปก็จะถูกส่งออกมาทันทีสินะ’ อาคุมุที่ไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับทักษะสร้างภาพลวงตาของราชันจอมเวทอาวุโสนี้มากนัก ทำได้เพียงวิเ
บทที่ 59 : หนึ่งรุมหกการโจมตีที่รุนแรงและรวดเร็วของรินนั้นทำให้ฮิบาริไม่สามารถหลบหลีกหรือป้องกันได้ทั้งหมด ทำให้เขาต้องรับการโจมตีไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งพลังชีวิตแบบจำลองเป็นศูนย์ในตอนนี้ฮิบาริได้ถูกคัดออกจากการประลองแบบกลุ่มแล้ว ซึ่งทำให้กลุ่มของอาคุมุนั้นเหลือเพียงสามคน และภายในทักษะหมอกเพลิงสีชาดของรินนี้… เหลือเพียงอาคุมุและรินเท่านั้น“นายจะทำยังไงดีล่ะเจ้าหนูอาคุมุ? สู้กับฉันตัวต่อตัวไหวไหมนะ? อืม… ฉันมีสมาชิกอยู่ข้างล่างทั้งหมด 5 คนเนี่ยสิ คงจะเอาชนะฉันได้ไม่ง่ายหรอกมั้ง” รินพูดขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้อาคุมุแปลกใจในทันที“ว่าไงนะ? ทั้งหมดห้าคนนี่หมายความว่าอะไร?” อาคุมุถามกลับไป“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! นายนี่น่าขำจริง ๆ เลย คิดว่าเจ้าพวกที่เหลืออยู่จะมั่นใจในตัวนายแล้วไม่สนผลประโยชน์หรือไงกัน?” รินตอบกลับมา“หรือว่านั่นคือ…”“ใช่แล้วล่ะ! ฉันแค่เสนอให้พวกมันมาร่วมมือกับฉัน ข้อแลกเปลี่ยนคือการเข้าร่วมกลุ่มจันทราแดง ถึงจะถูกคัดออกและไม่ชนะเลิศในการประลอง แต่มีเงินใช้ง่าย ๆ ต่อจากนี้… ใครจะไม่ชอบกันล่ะ ลองดูนั่นสิ” รินพูดจนจบและชี้ลงไปยังข้างล่าง ซึ่งสิ่งที่เห็นนั้นคือสมาชิกกลุ่มของอาคุมุที
บทที่ 58 : ผู้ที่ถูกคัดออกคนแรกในตอนนี้ สถานการณ์ของอาคุมุและฮิบารินั้นไม่สู้ดีนัก พวกเขาถูกปิดล้อมไปด้วยทักษะหมอกเพลิงสีชาดของริน อีกทั้งยังถูกล้อมไปด้วยสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มของรินจากภายนอก ซึ่งสามารถโจมตีเข้ามาได้โดยตรง เรียกได้ว่าถูกบีบให้จนมุมทั้งอย่างนั้น‘ซวยจริง ๆ แล้วไง’“ออกไปเฉย ๆ ไม่ได้เลย!” ฮิบาริกำลังพยายามจะดันตัวเองออกไปจากทักษะของริน‘ไอ้บ้านี่มันแกล้งทำเป็นไม่รู้เหรอ?’“ถ้าออกไปได้ง่าย ๆ เขาจะสร้างขึ้นมาทำไมล่ะครับคุณฮิบาริ?” อาคุมุถามกลับไป“พวกนายฟังฉันนะ! ทักษะหมอกเพลิงสีชาดนี้จะสามารถใช้ได้ 30 นาที หลังจากนั้นจะสามารถใช้ทักษะนี้ได้อีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปอีก 30 นาที” รินพูดขึ้นมา“แล้ว... บอกทำไมเหรอครับ?” อาคุมุที่ได้ยินอย่างนั้นจึงถามกลับไป“เพราะว่า... ฉันสามารถเอาชนะพวกนายได้ใน 30 นาทีนี้ไงล่ะ!! กระสุนเพลิงสีชาด!!!” รินตอบกลับมาพร้อมกับยิงกระสุนเพลิงเข้าใส่อาคุมุและฮิบาริด้วยความเร็ว“ตาข่ายอัสนี!”ตู้มมมม!!!“อึ่ก! บ้าจริง”ถึงแม้อาคุมุจะใช้ทักษะป้องกันไว้ได้ทัน แต่ความเสียเปรียบนั้นปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน เพราะตาข่ายอัสนีของอาคุมุนั้นถูกทำลายได้โดยการ
บทที่ 57 : ความได้เปรียบเป็นศูนย์รินและสมาชิกอีกสามคนได้มาถึงที่ตำแหน่งของอาคุมุ ซึ่งรินนั้นปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับอาวุธคู่กายอย่างปืนพกเช่นเดิม ส่วนอีกสามคนนั้นก็คือนักเวทชุดขาวเป็นผู้ชายสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคน โดยทุกคนนั้นมีกระเป๋าสะพายอยู่ข้างหลัง“อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดเลยล่ะครับ... ทุกอย่างเลย” สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นเป็นจริงทุกอย่าง ซึ่งก็คือการที่นักเวทชุดขาวทั้งสามนั้นเปลี่ยนชุดก่อนจะเข้ามายังสนามประลองแบบจำลองนี้“แต่ว่า... จะทำไปเพื่ออะไรเหรอครับ? เตรียมชุดมาเปลี่ยนตอนเข้ามาในนี้แล้วเนี่ย?” อาคุมุถามออกไป“ก็ถ้าพวกฉันอยู่ในบทบาทของนักเวทชุดขาวตั้งแต่ตอนที่อยู่ข้างนอกล่ะก็... คงจะโดนประท้วงพอดีน่ะสิ” หนึ่งในนักเวทชุดขาวตอบกลับมา“ฉันควรจะแนะนำตัวอีกครั้งไหมนะ? ฉันคือ อากาเนะ ริน เป็นเพียงคนที่กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 แล้วล่ะนะ!!” รินพูดขึ้นมาพร้อมกับจับปืนพกทั้งสองกระบอกไว้แน่น ลมจากแรงของพลังเวทปะทะเข้ากับร่างของอาคุมุโดยตรง‘กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 งั้นเหรอ? สีของออร่าพลังเวทกำลังจะเป็นสีแดงแล้วสินะ แข็งแกร่งขึ้นมากจริง ๆ ด้วย’“สุดยอดไปเลยนะครับ สมแล้วกับตำแหน่งรอ
บทที่ 56 : เริ่มการประลองแบบกลุ่มในตอนนี้ ผู้คุมสนามได้ทำการสร้างสนามประลองแบบจำลองเสร็จสิ้นแล้ว เป็นทักษะที่มีความเหมือนจริงเป็นอย่างมาก ถึงได้ชื่อว่าเป็นภาพลวงตา และด้วยความแข็งแกร่งระดับราชันจอมเวทอาวุโส การที่สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ก็คงจะไม่เกินจริงนัก...ที่สนามประลอง ภายนอกทักษะภาพลวงตา“สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านี้... คือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนั้นครับ” เสียงของผู้คุมสนามได้ดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองด้วยทักษะพลังเวทของพิธีกร เสียงตอบรับจากคนดูก็เกิดขึ้นในทันที“น... นี่เหมือนฉันดูการประลองผ่านจอเลยนะ”“ข้างในนั้นจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ?”“ดูนั่นสิ! อาคุมุอยู่นั่นล่ะ!!”“ที่นั่นมันคือจำลองเมืองไหนหรือเปล่า? ที่ไหนในจักรวรรดิหรือเปล่านะ?”...สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านั้น คือลูกบาศก์ขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยออร่าของพลังเวทสีม่วง ลอยอยู่ในอากาศตรงกลางสนามประลอง ทั้งสี่ด้านนั้นเผยให้เห็นภาพจากมุมมองของแต่ละคนและมุมมองภาพรวมภายในนั้น ราวกับว่ากำลังดูผ่านจอขนาดยักษ์“สถานที่ภายในนั้นคือเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจักรวรรดิ มีชื่อว่าเมืองชิโตเสะครับ... ขอให้ทุกคนเพลิดเพลินไปกับการประลองในครั้ง
บทที่ 55 : ราชันจอมเวทอาวุโส?กฎและกติกาการแข่งขันในรอบ 8 คนสุดท้ายนั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันโดยไม่ได้มีการประกาศล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้ารอบหรือผู้ชมทั่วทั้งสนามประลอง ไม่เคยมีใครคิดไว้ว่าจะถูกเปลี่ยนเป็นการประลองแบบกลุ่ม“เริ่มจากการจัดกลุ่ม กลุ่มที่ 1 จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมก็คือสาย A, B, C และ D ส่วนกลุ่มที่ 2 ก็จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมคือสาย E, F, G และ H ครับ”พิธีกรได้ประกาศวิธีการแบ่งกลุ่มให้กับทั้ง 8 คน‘ฉันพอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงแบ่งกลุ่มง่าย ๆ แบบนี้...’‘...เพราะรินอยู่ในกลุ่มที่ 2 สินะ? การคาดเดาของฉันถูกต้องอย่างแน่นอน!’สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นมีเพียงความได้เปรียบของฝั่งตรงข้าม ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด และในสถานการณ์ตรงหน้านี้ ความได้เปรียบที่ว่าก็คงจะหนีไม่พ้นการที่กลุ่มนั้นมีคนอย่างรินอยู่ด้วยนั่นเอง“ก่อนที่จะเข้าสู่ลำดับถัดไป...” พิธีกรพูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงจากแท่นด้านบนก็ดังขึ้นมาในทันทีตึ้ง!!ซึ่งเป็นเสียงขององค์จักรพรรดิที่ใส่พลังเวทเข้าไปในแท่นข้าง ๆ ตัว สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ตกใจกันไปตาม ๆ กัน“องค์จักร