การพัฒนาของวงแหวนเวทนั้นทำให้เห็นถึงความต่างในทันที เพราะขนาดของวงแหวนเวทเริ่มต้นนั้นมีความยาวเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่เพียงแค่ 1 เมตร แต่ในตอนนี้...
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?!!”
ความแตกต่างนั้นปรากฏให้เห็นโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น ตามที่อาคุมุเห็นก็คงจะมีขนาดความยาวเส้นผ่านศูนย์กลางสักประมาณ 100 เมตรได้
“ฉันยืนอยู่ตรงกลาง... จากด้านนั้นถึงอีกด้านหนึ่งมันไกลพอสมควรเลยนะเนี่ย มิน่าล่ะในตอนนั้นองค์ชายถึงโผล่มาตรงนี้ได้ คงจะเพิ่งพัฒนาสำเร็จแล้วก็อยู่ไม่ไกลจากจุดที่ฉันอยู่สินะ”
เขายืนพูดกับตัวเองและคิดไตร่ตรองสิ่งที่ผ่านมาอยู่อย่างนั้น ความน่าจะเป็นที่มีโอกาสมากที่สุดก็คงไม่พ้นแนวคิดของเขาในตอนนี้
แต่ในขณะที่สิ่งนั้นยังไม่กระจ่าง ก็ได้มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นอีกครั้ง
“หืม?!! นั่นใครน่ะ?!” ในตอนนี้เขาเปิดใช้วงแหวนเวทอยู่ และด้วยการพัฒนาของวงแหวนเวทจึงทำให้ประสาทสัมผัสการรับรู้ของเขาพัฒนาขึ้นตามไปด้วย
“แบบนี้เองสินะ” ใครก็ตามที่อยู่ในรัศมีของวงแหวนเวท เขาจะรับรู้ได้อย่างทันท่วงที แต่ไม่สามารถรับรู้ตำแหน่งแบบเฉพาะเจาะจงได้ ไม่สามารถระบุตำแหน่งนั้นออกมาได้
ไม่นานนัก เขาก็ไม่สามารถรับรู้ถึงบุคคลปริศนานั้นได้อีก ราวกับว่าคน ๆ นั้นหายไปจากระยะของวงแหวนเวทเสียแล้ว
“นี่คงเป็นความสามารถใหม่ที่ได้รับมาหลังจากการพัฒนา เท่านี้ก็มากพอแล้วล่ะ” พูดจบเขาก็ยืนนิ่งไปสักพัก
“อ๋อ ใช่แล้วล่ะ!” เขาพูดออกมาราวกับว่าเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นได้
“ลืมไปซะสนิทเลยนะเนี่ย วงแหวนเวทมันใหญ่ขึ้นแล้วฉันก็สามารถเคลื่อนที่ด้วยวงแหวนเวทได้แล้วสิ... สร้างวงแหวนเวท!” ว่าแล้วเขาก็สร้างวงแหวนเวทขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากนั้นจึงลองทำอะไรสักอย่างที่คิดว่าจะเป็นการใช้วงแหวนเวทเพื่อเคลื่อนที่
“อืม... เคลื่อนที่ด้วยวงแหวนเวท!” เขาพูดออกไป แต่นั่นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ร่างกายของเขายังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ทั้งสิ้น
“หรือว่าตัวกลางมันจะไม่ใช่การพูดกันนะ?” เมื่อการเปล่งเสียงนั้นยังไม่สามารถทำให้ใช้ทักษะนี้ได้ เขาจึงเปลี่ยนไปใช้วิธีดั้งเดิมและมันเป็นวิธีแรกที่พ่อเขาบอกสอนมา นั่นก็คิอการรวบรวมสมาธิและพลังไปที่ตรงจุดนั้นเพียงจุดเดียว
เขาหลับตาลงและทำแบบเดิมทุกขั้นตอน รับรู้ถึงพลังเวทที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย แต่ในครั้งนี้มันมีมากกว่านั้น
แต่นั่นก็ผ่านไปได้ด้วยดี เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงกลุ่มพลังที่เบาบางรอบ ๆ ตัว กลุ่มพลังเหล่านั้นมีระยะอยู่แค่ในวงแหวนเวทของเขา สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอาจจะเป็นขั้นแรกของการใช้ทักษะนี้ก็เป็นได้
ภาพในหัวของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นวงกว้าง เขามองเห็นภาพลาง ๆ ที่คล้ายคลึงกันกับวงแหวนเวทขนาดใหญ่และมีตัวเขาเองยืนอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง ในตอนนี้ภาพนั้นคือภาพที่เขามองเห็นจากมุมสูงด้านบน ราวกับว่าเขาสามารถมองเห็นทุกอย่างรอบตัวได้ในระยะที่วงแหวนเวทนั้นไปถึง
“สุดยอดจริง ๆ เลยนะเนี่ย นี่คงจะเป็นการรับรู้ในรัศมีของวงแหวนเวทที่แท้จริง”
เขาพูดออกมาแล้วหลังจากนั้นจึงเริ่มลองในขั้นตอนต่อไป แต่จะเป็นวิธีการแบบไหนเขาก็ยังไม่สามารถรู้ได้
“ยังไงก็ต้องคิดขึ้นมาสักรูปแบบหนึ่ง” ว่าแล้วเขาก็มุ่งเน้นเพ่งสมาธิไปที่ภาพในหัวอีกครั้ง ในเมื่อความสามารถนี้ไม่ได้ใช้ด้วยการพูด ก็คงจะต้องใช้พลังเวทควบคู่
“เอาล่ะ!” เขาถ่ายโอนพลังไปยังจุดหนึ่งในวงแหวนเวท ออร่าพลังเวทบาง ๆ ที่รู้สึกได้เมื่อตอนแรกนั้นเริ่มก่อตัวขึ้นตรงจุดเดียว
“เอ๊ะ?” เขาลืมตาขึ้นก็พบว่าร่างกายของเขานั้นได้เคลื่อนย้ายมาอีกจุดหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งตอนที่เปลี่ยนตำแหน่งนั้นตัวเขาก็รู้สึกได้ในทันที นั่นจึงทำให้เขาต้องลืมตาขึ้นมาดู
“แบบนี้นี่เอง” ตามที่เขาเข้าใจคือทักษะนี้จะเคลื่อนที่ไปตามพลังเวทในระยะของวงแหวนเวท หรือก็คือร่างกายจะเคลื่อนย้ายไปหาพลังเวทของตนเอง ตรงจุดไหนที่มีพลังรวมกันอยู่มากที่สุดก็จะสามารถไปตรงนั้นได้
ในตอนนี้อาคุมุต้องการจะใช้ทักษะนี้ให้ชำนาญมากที่สุด ซึ่งวิธีที่เขาคิดออกในตอนนี้ก็ยังไม่มีแบบไหนแตกต่างออกไปจากวิธีปัจจุบัน
“อีกรอบ...” ว่าแล้วเขาก็ลองทำแบบเดิมอีกครั้ง รับรู้ถึงพลังเวทในระยะ กำหนดตำแหน่งที่ไกลที่สุด แล้วไปยังตรงจุด ๆ นั้น เขาทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นและไม่ต้องใช้เวลาที่มากในการเพ่งสมาธิ แต่ในตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถใช้มันได้อย่างชำนาญ เพียงแค่เร็วขึ้นมามากพอสมควร
“เฮ้อ!... ถึงจะตื่นเต้นกับสิ่งที่เพิ่งค้นพบก็เถอะ แต่เหนื่อยชะมัดเลยนะเนี่ย” ว่าแล้วเขาก็ทิ้งตัวลงที่พื้นดิน นั่งพักและหายใจด้วยความเหนื่อยล้า
เท่าที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้คือเคลื่อนที่ไปได้ทั่วในระยะของวงแหวนเวท ขีดจำกัดก็คือเมื่อร่างกายของเขานั้นไม่ไหวเอง ทั้งจากความเหนื่อย หรือไร้เรี่ยวแรง นอกจากทั้งสองอย่างนี้ก็ยังไม่พบสาเหตุที่จะทำให้ถึงขีดจำกัดได้เลย รวมถึงขีดจำกัดของการใช้พลังเวทก็ยังไม่พบเช่นกัน
เมื่อได้นั่งพักจนมีแรงและไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าร่างกาย อาคุมุจึงลุกขึ้นยืนและเหมือนว่าจะนึกอะไรบางอย่างได้
“อืม... ตระกูลใหญ่กับของล้ำค่าเหรอ?” สิ่งที่เขานึกขึ้นได้ในตอนนี้คือคำพูดของอากิระเมื่อตอนนั้น ซึ่งมันเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของอากิระโดยตรง แน่นอนว่ามันค่อนข้างที่จะน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก
“สร้างวงแหวนเวท” ว่าแล้วเขาก็สร้างวงแหวนเวทพร้อมกับเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ กลับไปยังบ้านของเขา หรือก็คือทางด้านเดิมที่เคลื่อนที่มาจากการฝึก ซึ่งมันก็ไม่ได้มีระยะทางที่ไกลนักเพราะส่วนมากเขาจะเคลื่อนที่วนไปวนมาซะมากกว่า
และแล้วเมื่อมาถึงที่บ้าน ก็เหมือนว่าคำพูดของอากิระที่เขานึกขึ้นได้เมื่อตอนนั้นจะไปดลใจให้เขาเคลื่อนที่ต่อในตำแหน่งที่อากิระและองค์ชายชูยะนั้นกลับไป
“ถ้าจำไม่ผิดก็คงเป็นทางนี้นี่แหละ” ว่าแล้วเขาก็เคลื่อนที่ต่อไปได้ราว ๆ 1 กิโลเมตร จนกระทั่งเจอกับกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง เขาจึงหยุดใช้วงแหวนเวท
“นั่นองค์ชายชูยะกับลุงอากิระนี่ แต่พอเห็นองค์ชายแล้วยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยแฮะ ตอนที่องค์ชายโผล่มาน่าจะเพิ่งพัฒนาวงแหวนเวทได้ ส่วนนี้คงจะจริง แต่ทำไมถึงได้ไปไกลขนาดนั้นกันล่ะ ทั้งที่ตรงจุดนี้กับตรงนั้นมันห่างกันมาก...”
อาคุมุพูดสิ่งที่คิดไว้ยังไม่ทันจบ เขาก็ถึงกับต้องตกใจและเงียบไปในทันที
“บ้าน่า?! นี่มันบ้าเกินไปแล้ว!”
บทที่ 60 : มอบรางวัลด้วยเลือด [จบเล่ม 2]การต่อสู้จบลง สนามประลองแบบจำลองก็ได้หายไป อาคุมุลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเขาอยู่ที่สนามประลองของจักรวรรดิไดจิเสียแล้ว เขามองไปรอบ ๆ ขณะเดียวกันกับเสียงตอบรับที่ดังมาจากผู้ชมทั่วทั้งสนามประลองอย่างครึกครื้น“อาคุมุชนะจริง ๆ ด้วย?!!”“เขาสู้แบบนั้นได้ยังไงกันนะ? โดนรุมนั่นน่ะ”“เจ้าเด็กคนนี้ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกันเนี่ย?! แน่ใจนะว่าไม่ใช่นักเวทของจักรวรรดิ?”“ตามดูเจ้าหนูนี่มาตั้งแต่วันแรก ไม่ทำให้ผิดหวังเลย!”…“ในรอบนี้เราสามารถหาผู้ชนะเลิศได้เลยล่ะครับทุกท่าน! ผู้ชนะการประลองของจักรวรรดิไดจิในครั้งนี้คือ… คาอิคะ อาคุมุ!!!” ผู้คุมสนามประกาศออกไปอย่างเป็นทางการด้วยผลการต่อสู้ที่เป็นเอกฉันท์กลางสนามประลองที่มีผู้ชมเป็นจำนวนมาก คู่ต่อสู้ทั้งหกคนของอาคุมุนั้นนอนบาดเจ็บอยู่ที่พื้น โดยมีอาคุมุยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น แม้การบาดเจ็บจะไม่ได้สาหัสมากนัก แต่ร่องรอยบาดแผลตามที่เห็นคงต้องใช้เวลาพอสมควร‘ไม่มีใครตายเพราะเมื่อพลังชีวิตแบบจำลองหมดไปก็จะถูกส่งออกมาทันทีสินะ’ อาคุมุที่ไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับทักษะสร้างภาพลวงตาของราชันจอมเวทอาวุโสนี้มากนัก ทำได้เพียงวิเ
บทที่ 59 : หนึ่งรุมหกการโจมตีที่รุนแรงและรวดเร็วของรินนั้นทำให้ฮิบาริไม่สามารถหลบหลีกหรือป้องกันได้ทั้งหมด ทำให้เขาต้องรับการโจมตีไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งพลังชีวิตแบบจำลองเป็นศูนย์ในตอนนี้ฮิบาริได้ถูกคัดออกจากการประลองแบบกลุ่มแล้ว ซึ่งทำให้กลุ่มของอาคุมุนั้นเหลือเพียงสามคน และภายในทักษะหมอกเพลิงสีชาดของรินนี้… เหลือเพียงอาคุมุและรินเท่านั้น“นายจะทำยังไงดีล่ะเจ้าหนูอาคุมุ? สู้กับฉันตัวต่อตัวไหวไหมนะ? อืม… ฉันมีสมาชิกอยู่ข้างล่างทั้งหมด 5 คนเนี่ยสิ คงจะเอาชนะฉันได้ไม่ง่ายหรอกมั้ง” รินพูดขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้อาคุมุแปลกใจในทันที“ว่าไงนะ? ทั้งหมดห้าคนนี่หมายความว่าอะไร?” อาคุมุถามกลับไป“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! นายนี่น่าขำจริง ๆ เลย คิดว่าเจ้าพวกที่เหลืออยู่จะมั่นใจในตัวนายแล้วไม่สนผลประโยชน์หรือไงกัน?” รินตอบกลับมา“หรือว่านั่นคือ…”“ใช่แล้วล่ะ! ฉันแค่เสนอให้พวกมันมาร่วมมือกับฉัน ข้อแลกเปลี่ยนคือการเข้าร่วมกลุ่มจันทราแดง ถึงจะถูกคัดออกและไม่ชนะเลิศในการประลอง แต่มีเงินใช้ง่าย ๆ ต่อจากนี้… ใครจะไม่ชอบกันล่ะ ลองดูนั่นสิ” รินพูดจนจบและชี้ลงไปยังข้างล่าง ซึ่งสิ่งที่เห็นนั้นคือสมาชิกกลุ่มของอาคุมุที
บทที่ 58 : ผู้ที่ถูกคัดออกคนแรกในตอนนี้ สถานการณ์ของอาคุมุและฮิบารินั้นไม่สู้ดีนัก พวกเขาถูกปิดล้อมไปด้วยทักษะหมอกเพลิงสีชาดของริน อีกทั้งยังถูกล้อมไปด้วยสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มของรินจากภายนอก ซึ่งสามารถโจมตีเข้ามาได้โดยตรง เรียกได้ว่าถูกบีบให้จนมุมทั้งอย่างนั้น‘ซวยจริง ๆ แล้วไง’“ออกไปเฉย ๆ ไม่ได้เลย!” ฮิบาริกำลังพยายามจะดันตัวเองออกไปจากทักษะของริน‘ไอ้บ้านี่มันแกล้งทำเป็นไม่รู้เหรอ?’“ถ้าออกไปได้ง่าย ๆ เขาจะสร้างขึ้นมาทำไมล่ะครับคุณฮิบาริ?” อาคุมุถามกลับไป“พวกนายฟังฉันนะ! ทักษะหมอกเพลิงสีชาดนี้จะสามารถใช้ได้ 30 นาที หลังจากนั้นจะสามารถใช้ทักษะนี้ได้อีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปอีก 30 นาที” รินพูดขึ้นมา“แล้ว... บอกทำไมเหรอครับ?” อาคุมุที่ได้ยินอย่างนั้นจึงถามกลับไป“เพราะว่า... ฉันสามารถเอาชนะพวกนายได้ใน 30 นาทีนี้ไงล่ะ!! กระสุนเพลิงสีชาด!!!” รินตอบกลับมาพร้อมกับยิงกระสุนเพลิงเข้าใส่อาคุมุและฮิบาริด้วยความเร็ว“ตาข่ายอัสนี!”ตู้มมมม!!!“อึ่ก! บ้าจริง”ถึงแม้อาคุมุจะใช้ทักษะป้องกันไว้ได้ทัน แต่ความเสียเปรียบนั้นปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน เพราะตาข่ายอัสนีของอาคุมุนั้นถูกทำลายได้โดยการ
บทที่ 57 : ความได้เปรียบเป็นศูนย์รินและสมาชิกอีกสามคนได้มาถึงที่ตำแหน่งของอาคุมุ ซึ่งรินนั้นปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับอาวุธคู่กายอย่างปืนพกเช่นเดิม ส่วนอีกสามคนนั้นก็คือนักเวทชุดขาวเป็นผู้ชายสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคน โดยทุกคนนั้นมีกระเป๋าสะพายอยู่ข้างหลัง“อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดเลยล่ะครับ... ทุกอย่างเลย” สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นเป็นจริงทุกอย่าง ซึ่งก็คือการที่นักเวทชุดขาวทั้งสามนั้นเปลี่ยนชุดก่อนจะเข้ามายังสนามประลองแบบจำลองนี้“แต่ว่า... จะทำไปเพื่ออะไรเหรอครับ? เตรียมชุดมาเปลี่ยนตอนเข้ามาในนี้แล้วเนี่ย?” อาคุมุถามออกไป“ก็ถ้าพวกฉันอยู่ในบทบาทของนักเวทชุดขาวตั้งแต่ตอนที่อยู่ข้างนอกล่ะก็... คงจะโดนประท้วงพอดีน่ะสิ” หนึ่งในนักเวทชุดขาวตอบกลับมา“ฉันควรจะแนะนำตัวอีกครั้งไหมนะ? ฉันคือ อากาเนะ ริน เป็นเพียงคนที่กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 แล้วล่ะนะ!!” รินพูดขึ้นมาพร้อมกับจับปืนพกทั้งสองกระบอกไว้แน่น ลมจากแรงของพลังเวทปะทะเข้ากับร่างของอาคุมุโดยตรง‘กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 งั้นเหรอ? สีของออร่าพลังเวทกำลังจะเป็นสีแดงแล้วสินะ แข็งแกร่งขึ้นมากจริง ๆ ด้วย’“สุดยอดไปเลยนะครับ สมแล้วกับตำแหน่งรอ
บทที่ 56 : เริ่มการประลองแบบกลุ่มในตอนนี้ ผู้คุมสนามได้ทำการสร้างสนามประลองแบบจำลองเสร็จสิ้นแล้ว เป็นทักษะที่มีความเหมือนจริงเป็นอย่างมาก ถึงได้ชื่อว่าเป็นภาพลวงตา และด้วยความแข็งแกร่งระดับราชันจอมเวทอาวุโส การที่สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ก็คงจะไม่เกินจริงนัก...ที่สนามประลอง ภายนอกทักษะภาพลวงตา“สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านี้... คือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนั้นครับ” เสียงของผู้คุมสนามได้ดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองด้วยทักษะพลังเวทของพิธีกร เสียงตอบรับจากคนดูก็เกิดขึ้นในทันที“น... นี่เหมือนฉันดูการประลองผ่านจอเลยนะ”“ข้างในนั้นจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ?”“ดูนั่นสิ! อาคุมุอยู่นั่นล่ะ!!”“ที่นั่นมันคือจำลองเมืองไหนหรือเปล่า? ที่ไหนในจักรวรรดิหรือเปล่านะ?”...สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านั้น คือลูกบาศก์ขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยออร่าของพลังเวทสีม่วง ลอยอยู่ในอากาศตรงกลางสนามประลอง ทั้งสี่ด้านนั้นเผยให้เห็นภาพจากมุมมองของแต่ละคนและมุมมองภาพรวมภายในนั้น ราวกับว่ากำลังดูผ่านจอขนาดยักษ์“สถานที่ภายในนั้นคือเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจักรวรรดิ มีชื่อว่าเมืองชิโตเสะครับ... ขอให้ทุกคนเพลิดเพลินไปกับการประลองในครั้ง
บทที่ 55 : ราชันจอมเวทอาวุโส?กฎและกติกาการแข่งขันในรอบ 8 คนสุดท้ายนั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันโดยไม่ได้มีการประกาศล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้ารอบหรือผู้ชมทั่วทั้งสนามประลอง ไม่เคยมีใครคิดไว้ว่าจะถูกเปลี่ยนเป็นการประลองแบบกลุ่ม“เริ่มจากการจัดกลุ่ม กลุ่มที่ 1 จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมก็คือสาย A, B, C และ D ส่วนกลุ่มที่ 2 ก็จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมคือสาย E, F, G และ H ครับ”พิธีกรได้ประกาศวิธีการแบ่งกลุ่มให้กับทั้ง 8 คน‘ฉันพอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงแบ่งกลุ่มง่าย ๆ แบบนี้...’‘...เพราะรินอยู่ในกลุ่มที่ 2 สินะ? การคาดเดาของฉันถูกต้องอย่างแน่นอน!’สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นมีเพียงความได้เปรียบของฝั่งตรงข้าม ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด และในสถานการณ์ตรงหน้านี้ ความได้เปรียบที่ว่าก็คงจะหนีไม่พ้นการที่กลุ่มนั้นมีคนอย่างรินอยู่ด้วยนั่นเอง“ก่อนที่จะเข้าสู่ลำดับถัดไป...” พิธีกรพูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงจากแท่นด้านบนก็ดังขึ้นมาในทันทีตึ้ง!!ซึ่งเป็นเสียงขององค์จักรพรรดิที่ใส่พลังเวทเข้าไปในแท่นข้าง ๆ ตัว สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ตกใจกันไปตาม ๆ กัน“องค์จักร