ฟางเหรินคนเป็นพี่รีบตอบรับอย่างหนักแน่น นิทานชาวบ้านที่ตาจี้เคยเล่านั้น เคยมีเรื่องเกี่ยวกับผีปีศาจที่จะถูกจับเผาทั้งเป็นอยู่ ดวงตากลมโตมองมารดาอย่างหนักแน่น แม้มารดาตรงหน้าจะเป็นปีศาจ ตนก็จะปกป้องไม่นำพาเรื่องนี้ไปเล่าโดยเด็ดขาด
“ข้าก็เช่นกันขอรับ พวกเขาจะไม่มีวันเผาแม่เด็ดขาด” ฟางหรงคนน้องรีบเอ่ยบอก ฟางเหนียงส่งยิ้มให้ทั้งคู่ “เด็กดี เก่งมากครับ หากเรามีที่นี่เราจะไม่อดตาย เราจะสามารถมีบ้าน มีเสื้อผ้าใหม่ ๆ ใส่ เพียงแต่ต้องเป็นความลับของเราสามแม่ลูก” “พวกเราสัญญาขอรับ” ทั้งคู่ตอบพร้อมเพียงกัน ด้วยสีหน้าหนักแน่นเกินกว่าเด็กสี่ขวบ ฟางเหนียงมองตามอย่างวางใจ ทั้งคู่เป็นเด็กฉลาด นางเชื่อว่าพวกเด็ก ๆ จะไม่พูดอะไรออกไป เพราะที่ผ่านมาพวกเด็ก ๆ ก็เรียนรู้อะไรมาหลายอย่าง “ดีมาก พรุ่งนี้แม่จะเข้าเมือง แต่ไม่วางใจที่จะปล่อยลูก ๆ ไว้ที่บ้าน แม่ก็เลยจะพาลูกมาอยู่ที่นี่ก่อน” “จริงหรือขอรับ พวกเราจะได้เล่นอยู่ที่นี่หรือขอรับ” ก้อนแป้งทั้งคู่เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น พวกเขามองเห็นน้ำตกที่น่าเล่นนั่น ฟางเหนียงมองตาม ก่อนจะเอ่ยบอกอีกครั้ง “ลูกเล่นในนี้ได้ แต่ห้ามลงน้ำโดยเด็ดขาด พวกลูก ๆ ยังเล็กและยังว่ายน้ำไม่เป็น เพราะฉะนั้นหากลูกจะเล่นจริง ๆ ต้องให้แม่อยู่ด้วย และสอนลูกว่ายน้ำเสียก่อน” “วันนี้แม่สอนว่ายน้ำได้หรือไม่ขอรับ” ฟางหรงเอ่ยถามตาเป็นประกาย ฟางเหนียงลูบหัวเล็ก ๆ นั่นอย่างเอ็นดู “วันนี้ยังไม่ได้ ตอนนี้ค่ำแล้ว พรุ่งนี้แม่ต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้า ไว้แม่ว่างแล้วจะมาสอนลูก ๆ ตกลงหรือไม่” ฟางเหนียงเอ่ยบอกอย่างใจเย็น นางเข้าใจความรู้สึกเด็ก ๆ แต่เวลานี้ควรเป็นเวลานอน ร่างกายพักผ่อนเต็มที่ถึงจะเจริญเติมโตได้ดี ในมิตินี้เวลาเท่ากับข้างนอก มีเพียงแต่ผักผลไม้เท่านั้นที่เติบโตได้เร็ว อาจเป็นเพราะน้ำตกนั่น “ตกลงขอรับ” เมื่อทั้งคู่ตอบรับคำ ฟางเหนียงจึงพาทั้งคู่ออกจากมิติ พร้อมให้เด็ก ๆ เข้านอน นางห่มผ้าผืนบางให้อย่างหดหู่ เด็ก ๆ วัยนี้ควรได้รับสิ่งดี ๆ ไม่รู้ว่าร่างเดิมเป็นอย่างไรจึงปล่อยให้ลูก ๆ อดอยากและขาดแคลนเสื้อผ้า ผ้าห่มขนาดนี้ แต่เมื่อเทียบกับยุคที่จากมา ที่นี่นับว่าโชคดีนัก เพราะเด็ก ๆ ที่นั่นไม่เหลืออีกแล้ว เพียงไม่นาน เด็กน้อยก้อนแป้งทั้งสองก็เข้าสู่ห้วงนิทรา ฟางเหนียงจึงได้ลองค้นหาสิ่งของตามลิ้นชักและเสื้อผ้าเพื่อหาทรัพย์สินเก่าก่อนที่นางจะมาอยู่ร่างนี้ ส่วนมากนางเห็นเครื่องประทินโฉมหลายอย่าง ที่ไร้ประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต ถึงว่าร่างนี้ถึงได้ผิวพรรณดี เอาเงินเดือนที่สามีให้มาดูแลตัวเองหมด แต่กลับไม่ซื้ออะไรให้ลูกเลย ฟางเหนียงส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะเห็นก้อนเงินที่เหลือน้อยนิด เพียงสิบห้าอีแปะเท่านั้นที่ถูกเก็บไว้ในกล่องเล็ก ๆ กับเครื่องประดับราคาน่าจะแพงหลายชิ้น นางหยิบของมีค่าเหล่านั้นขึ้นมาดู แล้วน่าจะเป็นของใหม่ ไม่น่าจะใช่ของแทนใจ หรือของหมั้นหมาย เพราะฉะนั้นมันสมควรถูกเปลี่ยนเป็นเงิน เอามาเลี้ยงดูเจ้าก้อนแป้งดีกว่า ฟางเหนียงใช้เวลาค้นไม่นาน เพราะห้องไม่ได้ใหญ่มากนัก ก่อนหน้านี้ไม่ได้ค้นหาเพราะยังต้องสำรวจพื้นที่แถวนี้ก่อน ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบ ๆ จนพอใจแล้ว เมื่อไม่มีอะไรพอจะแลกเป็นเงินได้ จึงได้กลับมานอนร่วมกับเด็ก ๆ ยังดีที่เตียงนี้สามารถนอนได้สี่คนพอดี แม้จะเป็นเพียงเตียงไม้เก่า ๆ แต่ก็นอนได้ เตียงไม่นิ่มแต่นับว่าดีกว่าวันสิ้นโลก ยิ่งอากาศบ้านนอกเช่นนี้บรรยากาศชวนนอนจริง ๆ แต่น่าเสียดายว่านางมีชีวิตอยู่บนเส้นด้ายมาหลายปีไม่อาจหลับได้สนิท เพราะยังเปิดประสาทสัมผัสเอาไว้ข้างนอกตลอดเวลา แต่นางก็ชินแล้วที่จะทำอย่างนี้ และคงยากที่จะทำให้นางหลับได้สนิท...พอถึงเวลานัดหมาย ฟางเหนียงก็เตรียมตัวออกเดินทาง นางพาเจ้าก้อนแป้งเข้าไปในมิติ และบอกป้าหวังว่าเด็ก ๆ จะไปอยู่กับท่านปู่เช่นเคย และป้าหวังก็ไม่ได้สงสัยเพราะบ้านปู่ของเด็ก ๆ อยู่ห่างกันไม่น้อยจึงทำให้ป้าหวังไม่ได้สงสัย แค่อดที่จะเป็นห่วงเจ้าก้อนแป้งเท่านั้น เนื่องจากพวกเขาแยกบ้านมาแล้ว แต่ฟางเหนียงไม่รู้สาเหตุของการแยกบ้าน แต่นับว่าเป็นการดีเพราะคนยิ่งเยอะปัญหายิ่งตามมา
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ