หลินเยว่เดินตามหลังทูตผู้มาเก็บวิญญาณของเธอ เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองจะพลาดท่าเสียชีวิตอย่างน่าอัปยศถึงเพียงนี้
น่าขายหน้าชะมัด! ความรู้สึกขมขื่นเอ่อท้นอยู่ในอกขณะที่สายตาเธอกวาดมองรอบตัวในดินแดนที่พร่าเลือนและไร้ขอบเขต เสียงก้าวเท้าของทูตที่เดินนำหน้าแผ่วเบาราวกับกระซิบกับลมหนาว
ทันใดนั้น เสียงสนทนาของผู้เก็บวิญญาณสองคนดังขึ้น ลอยมากระทบโสตประสาทอย่างชัดเจน
“ผิดแล้ว… ไม่ใช่หลินเยว่คนนี้”
คิ้วเรียวของหลินเยว่ขมวดเข้าหากัน นัยน์ตาของเธอฉายแววสงสัยและหวาดหวั่น
นี่เธอไม่ใช่คนที่ควรตายงั้นหรือ?
ความหวังริบหรี่ทอประกายในหัวใจ แต่ทูตทั้งสองยังคงสนทนากันต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“ส่งกลับไปก็ไม่ได้… ชะตากรรมของพวกเขาต่างกันอยู่ดี”
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้ไปเกิดใหม่เถอะ”
หนึ่งในทูตเหลือบตามองเธอ สายตานั้นนิ่งสงบจนน่าขนลุก
ริมฝีปากเขาคลี่ยิ้มแผ่วราวกับทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องชวนขนลุก
“เธอเงียบ ๆ ไว้ อย่าได้ปริปากถาม”
“เราจะส่งเธอไปเกิดใหม่… และจะให้มิติไปด้วย”
“ในมิตินั้นจะมีสิ่งของที่เธอเพียงนึกก็สามารถใช้ได้ แต่จำกัดเพียงสี่อย่างเท่านั้น...จำไว้เลือกได้แค่สี่อย่างเลือกให้ดี”
“เอาล่ะ… ไปได้แล้ว… และอย่าลืมปิดปากเงียบ!”
ยังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไรสักคำเดียว
เสียงลมเย็นแผ่วพัดคล้ายจะกลืนทุกอย่าง เธอสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่าที่กำลังโอบล้อมตัวเอง และแล้ว… สติของหลินเยว่ก็ดับวูบลงทันที
เรือนเล็กหลังบ้านสกุลหลิว เมืองชิงสุ่ย
หลินเยว่รู้สึกเหมือนจมอยู่ในความว่างเปล่านานนับชั่วกาล ก่อนที่สติจะค่อย ๆ กลับมา… เธอลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า แสงสลัวจากหน้าต่างบานเล็กสาดเข้ามาในห้องไม้เก่า ๆ สภาพรอบตัวเต็มไปด้วยความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหายใจของเธอเองเป็นเพื่อน
ห้องเล็ก ๆ นี้มีเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้น โต๊ะเตี้ยหนึ่งตัว ม้านั่งเล็ก และตู้ไม้เก่าที่บานประตูดูเหมือนจะพังอยู่รอมร่อ กลิ่นอับของฝุ่นเก่าโชยมากระทบจมูก หลินเยว่ค่อย ๆ ขยับตัว รู้สึกถึงความบอบบางของร่างใหม่ที่เธอสวมอยู่
“นี่เรา… กลายเป็นเด็กสาวอายุสิบห้าปีแล้วงั้นหรือ…”
เธอพึมพำเบา ๆ พลางสำรวจมือและร่างกายใหม่
ร่างนี้บอบบางและเต็มไปด้วยร่องรอยความลำบาก
หลินเยว่ถอนหายใจยาว นับว่าเกิดมาใช้กรรมจริง ๆ
สายตากวาดมองไปทั่วห้องพยายามจดจำและทำความเข้าใจกับสถานที่เกิดใหม่นี้อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน เสียงท้องร้องดังขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจใคร
หิว หิวเหลือเกิน
เธอระลึกขึ้นได้ถึงคำพูดของทูตเก็บวิญญาณก่อนตาย
“ในมิตินั้นจะมีสิ่งของที่เธอนึกได้ใช้ได้อย่างไม่จำกัด… แต่จะได้เพียงสี่อย่างเท่านั้น”
หลินเยว่หลับตาลงครู่หนึ่ง ครุ่นคิดอย่างหนัก จากสถานการณ์ของเธอในตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปยิ่งกว่า อาหาร
แล้วควรเป็นอะไรดี
อะไรกันที่ทานบ่อย ๆ แล้วไม่เบื่อ
คลายหิวอุ่นท้อง บะหมี่
แต่ว่าจะเอาบะหมี่ธรรมดาก็ย่อมไม่ดี
ต้องเป็นแบบพรีเมี่ยมราคาแพงหน่อยจึงจะมีพวกกุ้งเนื้อผักด้วย
และที่สำคัญต้องทานได้ง่าย
ภาพบะหมี่แผ่นร้อน ๆ แบบพรีเมี่ยมลอยมาในหัว เป็นรสชาติที่เธอคุ้นเคยและโปรดปรานที่สุด เธอตั้งใจแน่วแน่ นั่นแหละคือสิ่งแรก
ทันทีที่ตัดสินใจเลือกได้
ทันใดนั้น ภาพแผ่นสี่เหลี่ยมใสโปร่งคล้ายหน้าต่างในอากาศก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า หลินเยว่เบิกตากว้างด้วยความตกใจแต่ก็รีบยื่นมือไปสัมผัสมัน
มือของเธอคว้ากล่องบะหมี่ออกมาได้จริง ๆ
เธอกวาดสายตาไปรอบห้อง อย่างน้อยก็ยังมีน้ำดื่ม
หลินเยว่รีบเทน้ำใส่กล่องบะหมี่ ปิดฝากล่องบะหมี่ด้วยความคุ้นเคย
กลิ่นหอมคละคลุ้งขึ้นมา ไอร้อนลอยเป็นสาย
บะหมี่พรีเมี่ยมรสทะเล ที่หลินเยว่เลือกจากมิติ เป็นบะหมี่แผ่นหนานุ่ม กลิ่นหอมเฉพาะตัวของน้ำซุปทะเลลอยฟุ้งออกมาเมื่อเธอเปิดฝา ภายในกล่องเล็ก ๆ นี้นอกจากเส้นบะหมี่ที่ร้อนฉ่า ยังมีกุ้งแห้งสีส้มสดนอนแอบอยู่ในมุมหนึ่ง ปลาหมึกแผ่นบาง ๆ ที่ถูกอบจนกรอบก็แทรกอยู่ระหว่างเส้น
กลิ่นหอมทะเลคละคลุ้งขึ้นพร้อมไอร้อน รสชาติซุปทะเลเข้มข้นคล้ายดึงดูดทุกสัญชาตญาณความหิวของเธอ กุ้งแห้งเคี้ยวหนุบหนับ ปลาหมึกกรอบกรุบกรับ ทุกอย่างผสานกันจนกลายเป็นบะหมี่ชามเดียว
หลินเยว่ยิ้มบาง ๆ อย่างพอใจ
แม้จะอยู่ในร่างใหม่และสถานที่แปลกประหลาด
แต่อย่างน้อย… มื้อแรกก็เป็นรสชาติที่คุ้นเคย
หลินเยว่กินบะหมี่จนหมดคำสุดท้าย รสชาติอุ่นร้อนค่อย ๆ ละลายความหิวโหยในท้องลงไปได้บ้าง เธอวางกล่องบะหมี่ลงบนโต๊ะเตี้ย รู้สึกถึงความสบายใจเพียงชั่วครู่ หลังจากนั้น… เธอเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเล็ก ๆ แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องลอดเข้ามา ทำให้ฝุ่นที่ลอยค้างกลางอากาศดูเหมือนเกล็ดหิมะสีทอง
“ในที่สุดก็ได้กินอิ่ม… แต่… แล้วต่อจากนี้ล่ะ?”
ความคิดฟุ้งกระจายอยู่ในหัว ร่างกายเด็กสาวอายุสิบห้าปีนี้ยังดูอ่อนแอ แต่ในดวงตาหลินเยว่กลับฉายแววแน่วแน่
เธอสูดลมหายใจลึก ตั้งใจจะลุกขึ้นสำรวจห้องให้ถี่ถ้วน แต่พอหันกลับไปมองที่โต๊ะ… กล่องบะหมี่ที่เธอวางไว้กลับหายไปเสียแล้ว
“เอ๊ะ…? หายไป…?”
หลินเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก้มลงมองพื้นที่ว่างเปล่าบนโต๊ะ
“นี่หมายความว่า… สิ่งที่ได้จากมิติ… จะไม่เหลือร่องรอยใด ๆ ในโลกนี้หรือ...”
คงแปลกประหลาดไม่น้อยถ้าบะหมี่แผ่นร้อนจะเกิดขึ้นในยุดนี้นับว่ามิติรอบคอบไม่น้อย
หลินเยว่เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาฉายแววครุ่นคิด
เหลืออีกสามอย่างเธอจะต้องเลือกอย่างรอบคอบ
ตอนที่ 56 ปุ๋ยเกลือตระกูลชุนตระกูลชุนตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วแม้กระทั่งผู้ที่มาส่งข่าวสารจากเมืองฉางโจวยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองด้วยความตื่นตะลึงในความเปลี่ยนแปลง ครอบครัวที่ครั้งหนึ่งเคยยากจนแทบไม่มีจะกิน บัดนี้กลับคึกคักดั่งเรือนคหบดีผู้มั่งคั่งเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากลานด้านใน หลินอวี่ก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับ ใบหน้าที่เคยหม่นหมองกลับสดใสขึ้นมาก เด็กหนุ่มโค้งตัวรับข่าวด้วยความกระตือรือร้น ดวงตาวาววับ“พี่สาวกับพี่เขย...เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”คนส่งสารมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้า คนผู้หนึ่งที่ครั้งก่อนแทบไม่มีกำลังใจจะเงยหน้ามองผู้ใด บัดนี้กลับดูสง่างามขึ้นราวกับมีอนาคตสดใสรออยู่เบื้องหน้าเขากำลังจะเอ่ยถ้อยคำต่อ แต่ทันใดนั้นกลับมีร่างสตรีผู้หนึ่งก้าวตามออกมาจากในเรือน ข้างกายมีบ่าวตามมาผู้หนึ่งในแวบแรกเขายังนึกไม่ออกว่าเป็นใคร กระทั่งได้เพ่งมองอยู่นาน จึงนึกออกหญิงผู้นั้นคือ ชุนเสวี่ยสตรีผอมบางที่ครั้งหนึ่งเคยดูโรยรินเพราะแบกรับความทุกข์ยากมานานหลายปีบัดนี้แม้เครื่องแต่งกายยังเรียบง่ายไร้สิ่งหรูหรา แต่แววตาเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอ่อนละมุนราวแสงเช้าส่องผ่านม่านหมอก และทุกก้า
ตอนที่ 55 สำรวจพื้นที่ เมืองฉางโจวในยามนี้สงบเงียบ สายลมทะเลพัดเอื่อยชื่นเย็น หลินเยว่กับลู่เผยใช้เวลาว่างเดินเลาะชายหาด น้ำทะเลสะอาดใสราวกระจกสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ เสียงคลื่นซัดฝั่งแผ่วเบาผสมเสียงนกทะเลที่บินโฉบอยู่เหนือผิวน้ำทั้งสองเดินชมหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ก่อนจะมาถึงพื้นที่กว้างใหญ่ที่มีแอ่งน้ำเค็มเรียงราย นาเกลือของชาวบ้านนั่นเอง กลิ่นไอเค็มพัดมาแตะจมูก คนงานจำนวนหนึ่งกำลังกวักเกลือขึ้นจากร่องน้ำ แบกตะกร้าหนักไปวางเรียงไว้เป็นกองสายตาหลินเยว่พลันสะดุดกับกองเกลือที่ถูกเททิ้งไว้ด้านข้าง เธอหยุดก้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย“นั่น...คืออะไรหรือ”ชาวนาเกลือที่อยู่ใกล้เงยหน้าขึ้น รีบตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ“เกลือฉีไฉขอรับ”หลินเยว่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ชายผู้นั้นจึงรีบอธิบายเพิ่มเติม “มันเป็นเกลือที่ใช้ไม่ได้ขอรับ รสขมปนฝาด เค็มจนเกินทน จึงต้องทิ้งไว้เช่นนี้”หลินเยว่นิ่งคิด สายตาจับจ้องกองเกลือสีหม่นนั้น ความรู้จากชาติก่อนแล่นวาบขึ้นในใจทันที “หรือว่า...นี่จะคือเกลือบิทเทิน?”สิ่งหนึ่งแวบวาบขึ้นมาในห้วงความคิด หลินเยว่หันไปหาชาวนาเกลือทันที “ข้าขอซื้อเกลือฉีไฉพวกนี้ทั้งหมดได้หรือไม่”ชา
ตอนที่ 54 รางวัลที่มอบฝุ่นควันลอยคลุ้งเต็มลาน หุบเขาดังกึกก้องราวกับโกรธเกรี้ยว ทหารต้าเชี่ยจำนวนมากล้มลงไม่ทันตั้งตัวความโกลาหลปะทุขึ้นทันทีในความวุ่นวายนั้น ไป๋จิ้งหานคว้าปืนไรเฟิลจากหลังขึ้นมาอย่างมั่นมือเขาหลบหลังแนวต้นไม้ แล้วยกขึ้นเล็ง ดวงตาเย็นเฉียบจับจ้องเพียงหนึ่งเป้าหมายแม่ทัพใหญ่ของต้าเชี่ยยังนั่งอยู่บนหลังม้ามั่นใจเกินตัว คำรามสั่งการไม่หยุดเพียงหนึ่งลมหายใจ...เสียงลั่นแผ่วเบาดังขึ้นจากใต้เงาไม้ปัง!แม่ทัพใหญ่นั้นตัวกระตุก ก่อนจะร่วงจากหลังม้าไปอย่างหมดสิ้นเลือดไหลอาบลงพื้น เหล่าทหารต้าเชี่ยพากันแตกตื่นอย่างแทบไม่เชื่อสายตา“แม่ทัพ...! แม่ทัพตายแล้ว!!”การตายของผู้นำทำให้ขวัญทัพแตกกระเจิงไป๋จิ้งหานวางปืนลง หันไปพยักหน้าให้จ้าวเทียนที่ซุ่มอยู่ไม่ไกลจ้าวเทียนรับคำทันที พลันจุดพลุส่งสัญญาณสีแดงทะยานขึ้นฟ้าเมื่อแสงสีแดงกระจายกลางอากาศจากอีกฟากของหุบเขา แม่ทัพไป๋เจี้ยนเห็นสัญญาณใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมฉายแววเข้มแข็งขึ้นในทันใดเขาเงื้อแขนขึ้นสูง ก่อนตะโกนก้อง“เคลื่อนพล—!!”เสียงกลองศึกเริ่มต้นขึ้นกองทัพเยี่ยนโจวเคลื่อนพลอย่างพร้อมเพรียงครั้งนี้...ถึงเวลาตอบโต้!
ตอนที่ 53 ควรจบได้แล้วแม่ทัพของต้าเชี่ยยืนอยู่เบื้องหน้ากระดานวางแผน ศีรษะเชิดขึ้นด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมเขารู้ดี รู้จำนวนไพร่พลของศัตรูที่ค่ายเมืองฉางโจว กองกำลังของเยี่ยนโจวในตอนนี้มีเพียงสองหมื่นกว่านาย ขณะที่เขา…มีทัพพลเกือบแสน“ไม่ว่าเจ้าจะใช้แผนไหน ก็ไม่มีวันชนะ” เขาพึมพำกับตนเองด้วยแววตาเย็นชาเขาสั่งให้นายกองคนสนิทออกไปสำรวจภูมิประเทศรอบเมืองโดยเร็ว โดยเฉพาะเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามแนวเขา “หากจะมีทางรอด พวกมันคงใช้ซุ้มโจมตีเป็นเดิมพันสุดท้าย”“ให้คนจับตาทุกช่องเขา ทุกหุบแคบ อย่าให้แม้แต่หนูยังเล็ดลอด”แววตาแม่ทัพของต้าเชี่ยวาวโรจน์ ทหารบางคนร้องเตือนว่าอีกฝ่ายมี หน้าม้า ฝีมือเก่งกล้า เคลื่อนไหวรวดเร็วจนน่าหวาดหวั่นแต่แม่ทัพหาได้ใส่ใจไม่“หน้าม้าไม่กี่สิบคน จะทำอะไรทัพแสนของข้าได้?”เสียงหัวเราะของเขาเย็นเยียบดังขึ้นในกระโจมบัญชาการ“ไป๋เจี้ยน…เจ้ากล้าเกินตัวนัก ข้าให้โอกาสเจ้าอยู่เฉย ๆ ยังเลือกจะบุกลอบมาท้าทายชะตา หากเช่นนั้น…ก็จงเตรียมใจรับมันเถอะ”แววตาเขาแข็งกร้าวราวเหล็กกล้าศึกครั้งนี้ ขุนพลเยี่ยนโจว…จะแพ้โดยไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะร้องขอความเมตตา เมื่อกองทัพต้าเชี่
ตอนที่ 52 ข่าวศึกสถานการณ์ชายแดนเริ่มตึงเครียดขึ้นทุกขณะ ชาวบ้านต่างเร่งหาที่หลบภัย บางส่วนก็ทยอยอพยพออกนอกพื้นที่เช้าตรู่เสียงเคาะประตูดังขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เจ้าของบ้านที่หลินเยว่เช่าอยู่เดินเข้ามาพร้อมสีหน้าเคร่งเครียด“พวกเจ้าได้ข่าวหรือยัง? ตอนนี้กองทัพของต้าเชี่ยกำลังจะเข้ามาใกล้เมืองแล้ว หากไม่มีธุระสำคัญก็รีบออกจากที่นี่เถอะ ข้านำค่าเช่าส่วนต่างมาคืนให้ พวกข้าก็กำลังจะออกเดินทางเหมือนกัน”ลู่เผยรับถุงเงินไว้ก่อนจะยื่นคืน “พวกข้าก็กำลังจะออกเดินทางเช่นกัน เงินนี้ท่านป้าเก็บไว้เถอะ ถือเป็นการช่วยเหลือกันในยามยาก”หญิงชราเบิกตากว้างเล็กน้อย มองพวกเขาด้วยความซาบซึ้ง“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ขอให้เดินทางปลอดภัย”เมื่อประตูปิดลงอีกครั้ง หลินเยว่หันไปเอ่ยเสียงแผ่ว“สงคราม...ไม่เคยเมตตาผู้ใดเลย” นางกำลังทำผิดหรือไม่ลู่เผยยิ้มปลอบเบา ๆ “ที่ใดมีผลประโยชน์ ที่นั่นย่อมมีความขัดแย้ง แต่หากตกลงกันได้ ก็ย่อมดีกว่าการใช้กำลัง” หลินเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “หวังว่าสิ่งที่ข้ากำลังทำ จะพาเรื่องราวทั้งหมดคลี่คลายไปในทางที่ดี”ชายหนุ่มพยักหน้า “ศึกระหว่างสองเมืองนี้...ไม่ว่าอย่างไรก็ต
ตอนที่ 51 จัดการพวกมัน เสียงกลองเตือนภัยรัวก้องสะท้อนไปทั่วเมืองฉางอี้ คบเพลิงนับสิบถูกชูสูงบนกำแพง พวกเขาเห็นกลุ่มหลินเยว่ได้ทันที ประตูเมืองถูกเปิดออก “พวกมันอยู่นั่น! ไล่ตามไป!” เสียงตะโกนของทหารดังสนั่น ก่อนกลุ่มธนูไฟพุ่งออกมาเป็นสายแสงสีแดงฉานหลินเยว่หันมามองพวกพ้อง “ได้เวลาหนีแล้ว!”พวกเขาไม่จำเป็นต้องเก็บปืนทำให้สามารถปลีกตัวได้อย่างรวดเร็ว ไป๋จิ้งหานกับซูเหยียนขึ้นม้าด้วยท่วงท่าฉับไว ก่อนชักบังเหียนบังคับให้ม้าควบห่างออกไป ทหารเมืองฉางอี้หลายสิบคนรีบวิ่งกรูลงจากกำแพงพร้อมคบเพลิง ไล่ตามฝูงม้าที่กำลังแล่นเร็วเป็นสายลมเสียงเกือกม้ากระทบพื้นดังก้อง “ตึก ตึก ตึก!” ฝุ่นดินฟุ้งกระจายคลุ้งไปทั้งแนวทุ่ง เสียงธนูและหอกที่ไล่ตามมาดังแหวกอากาศเฉียดผ่านหูอย่างน่าหวาดเสียวหลินเยว่หันกลับไปเหนี่ยวไกอีกนัด “ปัง!” เสียงก้องสะท้อนกลางความมืด ลูกกระสุนพุ่งฝังใส่เกราะทหารที่วิ่งนำจนร่างนั้นล้มทั้งยืน เลือดสาดเปรอะพื้น เหล่าผู้ไล่ล่าพลันชะงักไปชั่วครู่ แต่เสียงตะโกนโกรธเกรี้ยวยังคงดังก้อง“จับพวกมัน! อย่าให้หนีไปได้!”หลินเยว่กระโดดขึ้นม้าอย่างคล่องแค