ログインท้องพระโรงในวันนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศที่หนักอึ้ง และตึงเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขุนนางบุ๋นบู๊ทุกระดับชั้นยืนสงบนิ่งอยู่ในตำแหน่งของตนเอง ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะกระแอมไอออกมาเบา ๆ ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังบุคคลสามกลุ่มที่ยืนอยู่ใจกลางของอำนาจ
บนบัลลังก์มังกรทองคำ องค์ฮ่องเต้ประทับนิ่ง พระพักตร์เรียบเฉยจนไม่อาจคาดเดาพระราชหฤทัยได้ ข้าง ๆ กันนั้นคือไทเฮาซึ่งประทับอยู่บนพระที่นั่งที่ลดหลั่นลงมาเล็กน้อย พระนางทรงมีสีพระพักตร์ที่สงบนิ่งเช่นกัน
เบื้องล่างนั้น ทางฝั่งซ้ายคือองค์รัชทายาท เขาสวมอาภรณ์สำหรับใส่เข้าเฝ้าสีฟ้าเข้มปักดิ้นทองลายมังกรห้าเล็บอย่างสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาของเขาประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ที่ดูเหมือนเปี่ยมด้วยเมตตา แต่แวตตากลับฉายประกายแห่งความมั่นใจว่าจะได้รับชัยชนะอย่างชัดเจน ข้างๆ เขาคือไป๋ลี่อิน ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าเป็นกรณีพิเศษ นางยังคงอยู่ในชุดสีขาวที่ดูบอบบางน่าทะนุถนอม ก้มหน้าลงเล็กน้อยทำท่าทีสงบเสงี่ยมเจียมตัว
ส่วนทางฝั่งขวาคือเสนาบดีกู้เจิ้งสือที่ยืนสงบนิ่ง และบุตรสาวของเขา กู้ซินซิน นางสวมอาภรณ์สีเทาอ่อนที่ดูสุภาพ และเรียบง่ายที่สุดในท้องพระโรง ไม่มีเครื่องประดับล้ำค่าใดๆ บนเรือนร่าง ใบหน้างดงามนั้นปราศจากเครื่องสำอาง แต่กลับดูสงบและมั่นคงราวกับภูผาที่ไม่สั่นคลอน
"การประชุมในวันนี้" สุรเสียงอันทรงอำนาจขององค์ฮ่องเต้ดังขึ้น ทำลายความเงียบสงัดลง "เราเรียกมาเพื่อหารือ และตัดสินเรื่องการหมั้นหมายระหว่างองค์รัชทายาท และบุตรีแห่งจวนเสนาบดีกู้ ซึ่งได้กลายเป็นที่กล่าวขานไปทั่วเมืองหลวง" พระองค์ทรงหยุดเล็กน้อย กวาดสายพระเนตรมองทุกคนในที่นั้น "องค์รัชทายาท... ในฐานะคู่กรณีฝ่ายหนึ่ง เจ้าจงกล่าวมาชี้แจงต่อที่ประชุม"
องค์รัชทายาทก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะอย่างงดงาม "ทูลเสด็จพ่อ" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล และเปี่ยมด้วยเหตุผลตามที่ได้ซักซ้อมมา
"เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิดพ่ะย่ะค่ะ วันนั้นลูกเพียงแค่พลั้งมือ 'สั่งสอน' คู่หมั้นของลูกไปบ้าง ด้วยเห็นว่านางมีกิริยาที่ไม่เหมาะสมต่อคุณหนูไป๋ ซึ่งเป็นแขกของลูก ลูกทำไปก็ด้วยเจตนาดีที่อยากจะให้นางเป็นกุลสตรีที่สมบูรณ์แบบคู่ควรกับตำแหน่งพระชายาในอนาคต"
เขาหันไปมองกู้ซินซินด้วยสายตาที่ 'ดูเหมือน' จะอ่อนโยน "ลูกยอมรับว่าอาจจะลงมือรุนแรงไปบ้าง แต่ก็หาได้มีเจตนาจะหยามเกียรตินาง และท่านเสนาบดี ส่วนเรื่องที่ซินซินทูลขอถอนหมั้นนั้น ลูกเชื่อว่านางคงทำไปด้วยอารมณ์น้อยใจชั่ววูบเท่านั้น ลูกในฐานะว่าที่สามี และองค์รัชทายาท ยินดีที่จะให้อภัยในความเยาว์วัยของนาง และยังคงยืนยันที่จะทำการอภิเษกสมรสตามกำหนดเดิม เพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างราชวงศ์และจวนเสนาบดีเพื่อเสถียรภาพของราชสำนักสืบไปพ่ะย่ะค่ะ"
คำพูดของเขาทำให้ขุนนางหลายคนพยักหน้าเห็นด้วย เขาแสดงตนเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผล และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ในขณะที่ผลักให้กู้ซินซินกลายเป็นเพียงเด็กสาวที่เอาแต่ใจและไม่มีเหตุผล
"แล้วเจ้าเล่า... กู้ซินซิน" ฮ่องเต้หันมาทางนาง "เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร?"
กู้ซินซินก้าวออกมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้า นางย่อกายลงอย่างนอบน้อม
"ทูลฝ่าบาท" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่ชัดเจน "องค์รัชทายาทตรัสว่าทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิด แต่สำหรับหม่อมฉันความเจ็บที่แก้ม และความอัปยศอดสูในวันนั้น มันคือความจริงที่ชัดเจนที่สุดเพคะ"
นางเงยหน้าขึ้น สบพระพักตร์ของฮ่องเต้โดยตรง "องค์รัชทายาทตรัสว่า 'สั่งสอน' หม่อมฉัน แต่การตบหน้าสตรีต่อหน้าธารกำนัลนั้น ในแผ่นดินนี้เรียกว่า 'การหยามเกียรติ' เพคะ หม่อมฉันขอทูลถามท่านเสนาบดีทุกท่าน และท่านขุนนางทั้งหลายในที่นี้ หากบุตรสาวของพวกท่านถูกคู่หมั้นกระทำเช่นนี้ พวกท่านจะยังยินดีส่งบุตรสาวของท่านออกเรือนไปอยู่หรือไม่เจ้าคะ?"
คำถามนั้นทำให้เหล่าขุนนางถึงกับอึกอัก และมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครกล้าตอบ แต่ในใจทุกคนย่อมรู้ดีว่านี่คือการหยามเกียรติที่ยอมรับไม่ได้
"แต่เอาเถอะเจ้าคะ" กู้ซินซินกล่าวต่อราวกับไม่ได้สนใจคำตอบ "การถูกตบหน้าอาจจะยังพอทนได้... แต่สิ่งที่หม่อมฉันทนไม่ได้ คือการที่องค์รัชทายาททรงมีคู่หมั้นอยู่แล้วทั้งคน แต่กลับยังทรงแสดงความสนิทสนมกับสตรีอื่นอย่างเปิดเผย ไม่เคยให้เกียรติหม่อมฉันในฐานะคู่หมั้นเลยแม้แต่น้อยเพคะ!"
คราวนี้เป้าหมายของนางเปลี่ยนไปจ้องมองที่ไป๋ลี่อินโดยตรง
"ข้าขอถามคุณหนูไป๋สักคำ" น้ำเสียงของกู้ซินซินเย็นเยียบลง "ในฐานะที่คุณหนูเองก็เป็นสตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ บิดาเป็นถึงราชครูขององค์รัชทายาท ย่อมต้องได้รับการอบรมสั่งสอนเรื่องความเหมาะสมมาเป็นอย่างดี การที่ท่านทราบดีว่าองค์รัชทายาทมีคู่หมั้นแล้ว แต่ก็ยังไปมาหาสู่กับพระองค์เป็นการส่วนตัวอยู่เสมอ... ท่านไม่คิดว่านี่เป็นการกระทำที่ไม่ให้เกียรติหม่อมฉัน และวงศ์ตระกูลกู้บ้างหรือ?"
ไป๋ลี่อินถึงกับหน้าชา นางไม่เคยคาดคิดว่าจะถูกลากลงมาเป็นจำเลยกลางท้องพระโรงเช่นนี้!
"หม่อม... หม่อมฉัน..." นางอ้ำอึ้ง น้ำตาเริ่มคลอหน่วย "หม่อมฉันกับองค์รัชทายาทเป็นเพียงสหายกันเท่านั้นเพคะฝ่าบาท! พี่หญิงซินซินโปรดอย่าเข้าใจผิดเลย!"
"สหายหรือ?" กู้ซินซินแค่นเสียงหัวเราะเบาๆ "สหายที่พบกันในที่ลับตาคน? สหายที่แลกเปลี่ยนของกำนัลล้ำค่าต่อกัน? และสหายที่... เป็นต้นเหตุให้คู่หมั้นตัวจริงเช่นข้าต้องถูกทำร้ายร่างกาย... หากนี่คือความหมายของคำว่าสหายในความคิดของคุณหนูไป๋ ข้าก็คงต้องขอทบทวนความหมายของคำนี้ใหม่เสียแล้ว!"
ทุกคำพูดของนางคือหอกแหลมที่ทิ่มแทงไปที่หัวใจของทั้งองค์รัชทายาท และไป๋ลี่อินเหล่าขุนนางเริ่มซุบซิบกันเสียงดังขึ้น สายตาที่พวกเขามองไปยังไป๋ลี่อินเปลี่ยนจากความชื่นชมเป็นความดูแคลนในทันที
"พอได้แล้ว! กู้ซินซิน!" องค์รัชทายาทตวาดลั่น "เจ้าอย่าได้กล่าววาจาเหลวไหลใส่ร้ายลี่อิน ที่ข้าสนิทสนมกับนางก็เพราะนางเป็นคนดีมีเมตตาไม่เหมือนเจ้าที่เอาแต่หึงหวง และสร้างเรื่องวุ่นวายไม่หยุดหย่อน ที่เจ้าทำทั้งหมดนี้ก็เพราะความริษยาใช่หรือไม่"
"ริษยาหรือเพคะ?" กู้ซินซินหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา "หม่อมฉันไม่เคยริษยาในสิ่งที่ตนเองก็มี แต่สิ่งที่หม่อมฉันไม่มี... และไม่เคยได้รับจากพระองค์เลย... ก็คือ 'เกียรติ' เพคะ"
นางหันกลับไปคุกเข่าต่อหน้าองค์ฮ่องเต้อีกครั้ง
"ทูลฝ่าบาท" น้ำเสียงของนางเปลี่ยนเป็นหนักแน่นและจริงจัง "เรื่องทั้งหมดนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า หม่อมฉันกับองค์รัชทายาทหาได้มีความรัก และความเคารพต่อกันไม่ การแต่งงานที่ปราศจากรากฐานเหล่านี้ มีแต่จะนำมาซึ่งความขัดแย้ง และความทุกข์ในภายภาคหน้า หม่อมฉัน กู้ซินซิน ในฐานะบุตรีของเสนาบดีกู้เจิ้งสือ ขอทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต... โปรดถอนหมั้นระหว่างหม่อมฉัน และองค์รัชทายาทด้วยเถิดเพคะ เพื่อรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศสุดท้ายของวงศ์ตระกูลกู้ และเพื่อเปิดทางให้องค์รัชทายาทได้อภิเษกกับสตรีที่ทรงรักอย่างแท้จริง"
"เหลวไหล" ขุนนางฝ่ายสนับสนุนองค์รัชทายาทคนหนึ่งก้าวออกมา "เรื่องแค่นี้จะนำมาเป็นเหตุผลในการถอนหมั้นได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกท่าน แต่การหมั้นหมายคือเรื่องของบ้านเมือง"
องค์รัชทายาทได้ทีจึงรีบกล่าวเสริม "ใช่พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ นางกำลังใช้เรื่องหึงหวงไร้สาระมาทำลายความมั่นคงของราชสำนัก โปรดอย่าทรงเชื่อคำพูดของนางเลย"
บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่นางเสียเปรียบ หลายคนเริ่มมองว่านางกำลังใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
และในจังหวะนั้นเอง... กู้ซินซินก็ได้ทิ้งไพ่ตายใบสุดท้ายลงมา
"หากทุกท่านคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องหึงหวงไร้สาระของสตรี..." นางเงยหน้าขึ้น แววตาของนางเปลี่ยนเป็นเย็นชา และน่าเกรงขามอย่างประหลาด "เช่นนั้นหม่อมฉันก็คงต้องทูลถึงเหตุผลอีกข้อหนึ่ง... เหตุผลที่ว่าเหตุใดองค์รัชทายาทจึง 'ไม่เหมาะสม' ที่จะเป็นคู่ครองของหม่อมฉัน และอาจจะ 'ไม่เหมาะสม' ที่จะเป็น... ผู้ปกครองแผ่นดินในอนาคต!"
ประโยคนั้นทำให้ทั้งท้องพระโรงเงียบกริบลงอีกครั้ง แม้แต่องค์ฮ่องเต้ก็ยังทรงมีสีพระพักตร์ที่เปลี่ยนไป
"เจ้าหมายความว่าอย่างไร กู้ซินซิน!" ฮ่องเต้ตรัสเสียงเข้ม
"ทูลฝ่าบาท" นางประสานมือขึ้น "เมื่อสามปีก่อนที่เกิดอุทกภัยทางภาคใต้ องค์รัชทายาทคือผู้ดูแลการเบิกจ่ายงบประมาณช่วยเหลือจำนวนสิบล้านตำลึงทอง แต่เหตุใดจึงมีเงินไปถึงมือราษฎรเพียงแค่ครึ่งเดียวเพคะ? เงินหลวงอีกห้าล้านตำลึงทองที่หายไป... มันไปอยู่ที่ใดหรือเพคะ?"
เปรี้ยง!
คราวนี้มันไม่ใช่แค่สายฟ้าฟาด แต่มันคือพายุทอร์นาโดที่พัดถล่มเข้ามากลางท้องพระโรง! หากเรื่องแรกคือการหยามเกียรติ เรื่องที่สองนี้ก็คือการสั่นคลอนราชบัลลังก์โดยตรง!
ใบหน้าขององค์รัชทายาทขาวซีดราวกับคนตาย "ไม่... ไม่จริง! นาง... นางใส่ความข้า! เสด็จพ่อ! นางใส่ความข้า!"
"ฝ่าบาท" เสนาบดีกู้ก้าวออกมาข้างหน้าทันที "ข้อมูลที่บุตรสาวของกระหม่อมนำมาอ้างอิงนั้น มาจากบันทึกราชการของหอตำราหลวงจริงพ่ะย่ะค่ะ ในฐานะเสนาบดี กระหม่อมสามารถยืนยันได้ว่าบันทึกการเบิกจ่ายงบประมาณฉบับนี้มีอยู่จริง และสามารถนำต้นฉบับจากกระทรวงการคลังมาตรวจสอบได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่องเต้ทรงมีพระพักตร์ที่ดำคล้ำลงอย่างน่ากลัว พระองค์ทรงตบพนักบัลลังก์ดัง "ปัง!"
"เงียบกันให้หมด!" สุรเสียงที่เปี่ยมด้วยโทสะนั้นทำให้ทุกคนในที่นั้นเงียบกริบลงทันที พระองค์ทรงจ้องมองไปยังโอรสของตนเองด้วยสายพระเนตรที่ผิดหวังอย่างรุนแรง
"เรื่องการถอนหมั้นของพวกเจ้า... ข้าอนุญาต!" พระองค์ทรงประกาศกร้าว "แต่เรื่องการยักยอกเงินช่วยเหลือราษฎรนี้... ข้าจะปล่อยผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด!"
พระองค์หันไปทางอ๋องสี่ เซียวเช่อ ที่ยืนสงบนิ่งอยู่อีกมุมหนึ่งตลอดเวลา "เซียวเช่อ! ข้าขอมอบหมายให้เจ้าเป็นผู้ตรวจสอบเรื่องนี้เป็นการพิเศษ ไม่ว่าเรื่องนี้จะพัวพันไปถึงใคร... ข้าอนุญาตให้เจ้าจัดการได้เต็มที่"
"รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ" อ๋องสี่ประสานมือรับคำสั่ง ดวงตาคมกริบของเขามองไปยังกู้ซินซินแวบหนึ่ง... แววตานั้นเต็มไปด้วยความทึ่ง และความชื่นชมอย่างปิดไม่มิด
ฮ่องเต้ทรงสะบัดชายแขนเสื้อ "เลิกประชุม"
เมื่อสิ้นสุรเสียง ทุกคนก็ค่อยๆ ทยอยกันออกจากท้องพระโรงไป ทิ้งให้องค์รัชทายาทยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ราวกับรูปสลัก ใบหน้าของเขาซีดขาวไร้สีเลือด เขารู้ดีว่า... วันนี้เขาไม่ได้แพ้แค่การปะทะคารม แต่เขาได้พ่ายแพ้ให้กับเล่น์เหลี่ยมของนาง ขณะที่กู้ซินซินกำลังจะเดินผ่านเขาไป องค์รัชทายาทก็คว้าแขนของนางไว้แน่น
"เจ้า... กู้ซินซิน..." เขากัดฟันพูดเสียงลอดไรฟัน "เจ้าคิดว่าเจ้าชนะแล้วรึ?"
กู้ซินซินมองมือนั้นอย่างเย็นชา ก่อนจะปัดมันออกอย่างไม่ไยดี "หม่อมฉันไม่เคยคิดจะแข่งขันกับใครเพคะ" นางตอบกลับเสียงเรียบ "หม่อมฉันเพียงแค่ทวงคืนในสิ่งที่ควรจะเป็นของหม่อมฉันเท่านั้น"
"หึ... เก่งกาจนักนะ!" แววตาขององค์รัชทายาทเต็มไปด้วยความเคียดแค้น "จงจำสิ่งที่เจ้าทำกับข้าในวันนี้ไว้ให้ดี ข้าจะทำให้เจ้าต้องเสียใจจนอยากจะตายเสียให้ได้"
“ก็แล้วแต่พระองค์เลย” กู้ซินซินพูดเพียงประโยคสั้นๆ แล้วเดินตามบิดาออกมาจากท้องพระโรงด้วยท่วงท่าที่ยังคงสงบนิ่ง ขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นรถม้า เสียงทุ้มต่ำที่เยือกเย็นก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
"คุณหนูกู้... ช่างเดินเกมได้อย่างเหนือความคาดหมายจริงๆ"
นางหันกลับไป และก็พบกับอ๋องสี่เซียวเช่อ
"หม่อมฉันเพียงแค่พูดความจริงเท่านั้นเพคะ"
"ความจริง... คืออาวุธที่อันตรายที่สุด" เขากล่าวต่อ มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา "ข้าหวังว่า... เราคงจะมีโอกาสได้ 'สนทนา' กันอีกในเร็วๆ นี้"
พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไป ทิ้งให้กู้ซินซินขมวดคิ้วเล็กน้อย... บุรุษผู้นี้อันตรายยิ่งกว่าองค์รัชทายาทเสียอีก
นางก้าวขึ้นรถม้าไป ทิ้งเบื้องหลังไว้ซึ่งพายุการเมืองที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของทุกคนในราชสำนักไปตลอดกาล ชัยชนะในวันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น สนามรบที่แท้จริงเพิ่งจะเปิดฉากขึ้น
ห้าปีต่อมา...กาลเวลาได้ผันผ่านไปราวกับสายน้ำที่ไม่เคยไหลกลับ แผ่นดินต้าเยี่ยนภายใต้การดูแลขององค์รัชทายาทเซียวเช่อ และพระชายากู้ซินซินได้เข้าสู่ยุคสมัยที่รุ่งเรืองและสงบสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราษฎรอยู่ดีกินดี การค้าขายเฟื่องฟู เหล่าขุนนางต่างตั้งใจทำงานรับใช้บ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริตองค์หญิงน้อยเซียวซือซิน บัดนี้เจริญชันษาได้แปดขวบ และองค์ชายน้อยเซียวจื่ออาน พระชันษาสี่ขวบ ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นที่รักใคร่ของทุกคนในวังหลวง องค์หญิงน้อยทรงพระปรีชาสามารถเกินวัย ทรงได้รับการถ่ายทอดสติปัญญาอันหลักแหลมมาจากพระมารดา และได้รับการสอนวรยุทธ์และวิชาการปกครองจากพระบิดาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ส่วนองค์ชายน้อยนั้นก็ทรงน่ารักน่าเอ็นดูและเริ่มฉายแววความเฉลียวฉลาดตามรอยพระเชษฐภคินี (พี่สาว)ณ ห้องทรงอักษรในตำหนักตะวันออก..."เสด็จพ่อเพคะ... หากเราต้องการจะส่งเสบียงไปยังหัวเมืองชายแดนที่ห่างไกล เหตุใดเราจึงไม่ใช้เส้นทางแม่น้ำสายใหม่ที่เพิ่งจะขุดแล้วเสร็จเล่าเพคะ? มันน่าจะรวดเร็วกว่าการใช้เกวียนเทียมม้ามิใช่หรือ?" องค์หญิงน้อยซือซินในชุดสีเหลืองอ่อนเอ่ยถามพระบิดา ขณะที่กำลังนั่งดูแผนที่แผ่นใหญ
สามปีผ่านไป...องค์หญิงน้อย "เซียวซือซิน" ผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจขององค์รัชทายาทและพระชายา บัดนี้เจริญชันษาได้สามขวบพอดี นางคือส่วนผสมที่ลงตัวที่สุดของบิดาและมารดา... นางได้รับดวงตากลมโตที่ฉายแววฉลาดหลักแหลมมาจากกู้ซินซิน และได้รับริมฝีปากบางเฉียบที่มักจะเม้มเข้าหากันอย่างดื้อรั้นมาจากเซียวเช่อองค์หญิงน้อยทรงเป็นเด็กที่ร่าเริง และซุกซนเกินวัย นางไม่เคยอยู่นิ่งได้นานเกินหนึ่งเค่อ และโปรดปรานการวิ่งเล่นไล่จับผีเสื้อในสวนสวยของตำหนักเป็นที่สุด โดยมี "พระบิดาผู้พ่ายแพ้" คอยวิ่งไล่ตามอย่างไม่ลดละอยู่เสมอ ภาพขององค์รัชทายาทผู้สง่างามที่ต้องยอมแพ้ให้กับเสียงหัวเราะคิกคักของธิดาตัวน้อย กลายเป็นภาพที่น่าเอ็นดู และคุ้นชินสำหรับทุกคนในตำหนักในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น หลังจากที่เก็บเกี่ยวผลผลิตทั่วทั้งแคว้นเป็นไปได้ด้วยดี องค์ฮ่องเต้ก็ได้ทรงมีพระราชโองการให้องค์รัชทายาทและพระชายา พร้อมด้วยองค์หญิงน้อย เสด็จประพาสหัวเมืองทางเหนือที่เคยประสบภัยแล้งเมื่อหลายปีก่อน เพื่อตรวจดูทุกข์สุขของราษฎร และตรวจสอบการทำงานของเหล่าขุนนางท้องถิ่นมันคือภารกิจสำคัญ... แต่สำหรับครอบครัวเล็ก ๆ นี้แล้ว... มันคือการเดินทางไ
หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็วหลังงานวิวาห์ของจ้าวหยาง และหลินเฟยเฟยแผ่นดินต้าเยี่ยนสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองภายใต้การดูแลขององค์รัชทายาทเซียวเช่อและพระชายากู้ซินซิน ความรักและความเข้าใจของคนทั้งสองกลายเป็นต้นแบบที่เหล่าหนุ่มสาวทั่วทั้งแคว้นต่างใฝ่ฝันถึงแต่แล้ว... ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ ในตำหนักรัชทายาทตะวันออก"อุ๊บ..."กู้ซินซินยกมือขึ้นปิดปากอย่างรวดเร็ว นางรีบวิ่งออกจากห้องหนังสือไปยังสวนด้านนอกทันที เซียวเช่อที่กำลังตรวจดูฎีกาอยู่ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความกังวล เขารีบวางทุกอย่างลงแล้วเดินตามนางออกไป"ซินซิน! เจ้าเป็นอะไรไป!?" เขาถามเสียงเครียดขณะลูบหลังให้นางเบา ๆ "นี่เป็นครั้งที่สามในสัปดาห์นี้แล้วนะที่เจ้ามีอาการเช่นนี้ หรือว่าอาหารมื้อกลางวันจะมีปัญหาอะไร? ข้าจะไปสั่งลงโทษห้องเครื่องเดี๋ยวนี้""ไม่... ไม่ใช่เพคะ" นางส่ายหน้าช้า ๆ หลังจากที่อาการคลื่นไส้ทุเลาลง "หม่อมฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้... ช่วงนี้หม่อมฉันรู้สึกเหม็นกลิ่นขนมอบของตัวเองอย่างประหลาด ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนชอบมากแท้ ๆ""เหม็นกลิ่นขนมรึ?" เขายิ่งขมวดคิ้วแน่น "แล
หลายเดือนผ่านไปนับตั้งแต่วันที่จ้าวหยางคุกเข่าขอหลินเฟยเฟยแต่งงานท่ามกลางสักขีพยานเต็มร้านข่าวดีนี้ได้สร้างความยินดีให้กับทุกคน โดยเฉพาะกู้ซินซินและองค์รัชทายาทเซียวเช่อที่รับบทเป็น "พ่อสื่อแม่สื่อ" อย่างไม่เป็นทางการให้กับคนทั้งสองมาโดยตลอด ฤกษ์งามยามดีสำหรับงานวิวาห์ถูกกำหนดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยโหรหลวง และการเตรียมงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีก็ได้เริ่มต้นขึ้น... พร้อมกับความโกลาหลที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันณ ตำหนักรัชทายาทตะวันออก"กระหม่อมไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะพระชายา! ข้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ!"จ้าวหยางในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง และขอบตาคล้ำเหมือนหมีแพนด้า วิ่งเข้ามาระบายความอัดอั้นตันใจกับกู้ซินซินที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ในศาลากลางน้ำอย่างหมดสภาพ ความองอาจของรองแม่ทัพองครักษ์เงาหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงว่าที่เจ้าบ่าวผู้ใกล้จะเสียสติเต็มทน"ใจเย็น ๆ ก่อนจ้าวหยาง เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วล่ะ?" ซินซินถามพลางกลั้นหัวเราะ "ดูจากสภาพของเจ้าแล้ว... เฟยเฟยคงจะสร้างเรื่องปวดหัวให้เจ้าอีกตามเคยสินะ""เรื่องปวดหัวธรรมดาที่ไหนกันล่ะพ่ะย่ะค่ะ! นี่มันมหันตภัยชัด ๆ" เขาโอดครวญ "เรื่องแรกก็คือชุดเจ้าสาว! นางไม่พอใจชุด
หลังจากวันพิพากษาอันน่าตื่นตะลึง คลื่นลมทางการเมืองที่เคยปั่นป่วนก็ได้สงบลงอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุมขององค์รัชทายาทองค์ใหม่ การกวาดล้างขุนนางกังฉินที่เป็นเครือข่ายของราชครูไป๋ดำเนินไปอย่างเด็ดขาดแต่ยุติธรรม ผู้ที่ทำผิดจริงถูกลงโทษ ส่วนผู้ที่ถูกบังคับหรือหลงผิดก็ได้รับการไต่สวนอย่างเป็นธรรม ทำให้ราชสำนักกลับมาใสสะอาดและมั่นคงอีกครั้งในเวลาอันสั้นชีวิตของทุกคนค่อย ๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่เหมือนเดิมอีกต่อไป...ณ ร้านหวานใจ..."ท่านจะมานั่งเฝ้าข้าที่ร้านทุกวันแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!" หลินเฟยเฟยกล่าวกับจ้าวหยางที่บัดนี้นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะมุมในสุดของร้านทุกบ่ายราวกับเป็นรูปปั้น "ท่านเป็นถึงรองแม่ทัพองครักษ์เงา ไม่มีการมีงานทำแล้วหรืออย่างไร""ข้าทำเสร็จแล้ว" จ้าวหยางตอบเสียงเรียบ พลางจิบชา แต่สายตากลับไม่ได้ละไปจากนางเลย "ท่านอ๋อง... เอ่อ... องค์รัชทายาททรงอนุญาตแล้ว""แต่ท่านทำให้ข้าทำงานไม่สะดวกนี่นา!""ข้าก็นั่งของข้าเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรให้เจ้าเดือดร้อนเสียหน่อย" เขาเถียง "ข้าแค่... มาดูให้แน่ใจว่าเจ้าจะปลอดภัย"นับตั้งแต่วันที่นางถูกลักพาตัวไป จ้าวหยางก็เปลี่ยนไปราวกับเป
หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากค่ำคืนแห่งการนองเลือดในวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมืองหลวงก็ได้กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง แต่เป็นความสงบสุขที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และลึกซึ้งที่ทุกคนต่างสัมผัสได้ราชครูไป๋ และเหล่าขุนนางกบฏถูกตัดสินโทษประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตรตามพระราชโองการ แต่ด้วยพระเมตตาขององค์ฮ่องเต้ที่ทรงเห็นว่าเหล่าสตรีในตระกูลไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในแผนการอันชั่วร้าย จึงทรงละเว้นโทษตายให้ โดยให้เนรเทศพวกนางไปเป็นไพร่ยังเมืองชายแดนที่ห่างไกลแทน ตระกูลที่เคยยิ่งใหญ่และทรงอำนาจมากมายต้องล่มสลายลงในชั่วข้ามคืน กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าขานไว้เตือนใจคนรุ่นหลัง ส่วนอดีตองค์รัชทายาทเซียวจิน ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด หลังจากถูกไต่สวนและพบหลักฐานความผิดในการสมรู้ร่วมคิดก่อการกบฏอย่างแน่นหนา ก็ถูกพิพากษาให้ดื่มสุราพิษพระราชทาน สิ้นสุดชีวิตอันน่าสมเพชของตนเองลงอย่างเงียบ ๆ ภายในคุกหลวง ปิดฉากตำนานของอดีตรัชทายาทผู้โฉดเขลาลงอย่างสมบูรณ์คลื่นลมในราชสำนักสงบลงอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุมสถานการณ์อย่างเฉียบขาดของอ๋องสี่ เขาได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากเหล่าขุนนางที่ภักดี และได้รับกา







