เข้าสู่ระบบหลังจากกลับมาจากหอตำราหลวงพร้อมกับ "อาวุธ" ชิ้นสำคัญ กู้ซินซินก็ใช้เวลาที่เหลืออีกสองวันอย่างคุ้มค่าที่สุด นางไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกหรือวิตกกังวลแม้แต่น้อย แต่กลับขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสือของบิดา บรรยากาศรอบตัวนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และสมาธิที่แน่วแน่ราวกับบัณฑิตที่กำลังเตรียมตัวสอบจอหงวน แสงเทียนริบหรี่ส่องกระทบใบหน้างดงามที่กำลังก้มลงจดบันทึกอย่างขะมักเขม้น ปลายพู่กันตวัดอย่างมั่นคงและรวดเร็ว สรุปใจความสำคัญจากม้วนเอกสารกองโตให้เหลือเพียงประเด็นที่เฉียบคมที่สุด
"ซินซิน... เจ้าแน่ใจแล้วรึว่าจะทำเช่นนี้?" เสนาบดีกู้เจิ้งสือเอ่ยถามขึ้นเป็นครั้งที่ร้อยในรอบสองวัน เขามองบุตรสาวที่กำลังคัดลอกข้อมูลจากม้วนเอกสารกองโตด้วยลายมือที่บรรจงด้วยสายตาที่ซับซ้อน ทั้งเป็นห่วง ทั้งทึ่ง และทั้งภาคภูมิใจ
กู้ซินซินเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร นางยิ้มให้บิดาบางๆ "ท่านพ่อเจ้าคะ ในเมื่อเราตัดสินใจที่จะไม่ยอมก้มหัวให้ใครแล้ว เราก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุดมิใช่หรือเจ้าคะ?" นางชี้ไปยังม้วนเอกสารที่นางคัดลอกและสรุปใจความสำคัญไว้ "อีกสองวันในท้องพระโรง จะไม่ใช่แค่การตัดสินเรื่องถอนหมั้น แต่จะเป็นการเดิมพันด้วยเกียรติยศของวงศ์ตระกูลเรา ลูกต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด"
"พ่อเข้าใจ... แต่หลักฐานที่เจ้ามี มันคือการท้าทายอำนาจขององค์รัชทายาทโดยตรง พ่อกลัวว่าหากมีอะไรผิดพลาด"
"ลูกทราบดีเจ้าค่ะว่ามันอันตราย" แววตาของ กู้ซินซิน ทอประกายลึกล้ำ "แต่นี่คืออาวุธเพียงชิ้นเดียวที่จะทำให้เราชนะได้อย่างเด็ดขาด มันไม่ใช่แค่การกล่าวหาลอยๆ แต่เป็นความจริงที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของทางราชการเอง ต่อให้องค์รัชทายาทจะทรงมีอำนาจล้นฟ้าเพียงใด ก็ไม่อาจปฏิเสธตัวเลขเหล่านี้ได้ ท่านพ่อเพียงแค่เชื่อใจลูกก็พอเจ้าค่ะ"
เสนาบดีกู้มองลึกลงไปในดวงตาของบุตรสาว เขาไม่เห็นความลังเลแม้แต่น้อย เห็นเพียงความมั่นใจ และความเฉียบแหลมที่น่าทึ่ง เขาสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะพยักหน้า "เอาเถอะ... พ่อจะเชื่อเจ้า"
ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งกำลังวางแผนอย่างสุขุมเยือกเย็น อีกฝ่ายหนึ่งกลับกำลังลุกลี้ลุกลนด้วยความร้อนใจ
ข่าวการที่คุณหนูใหญ่แห่งจวนเสนาบดีใช้ป้ายหยกของไทเฮาเข้าไปค้นหาข้อมูลในหอตำราหลวง ได้ถูกส่งตรงไปยังตำหนักบูรพาอย่างรวดเร็ว
"นางเข้าไปในหอตำราหลวงอย่างนั้นรึ!" องค์รัชทายาทขมวดคิ้วแน่น "นางคิดจะทำอะไรกันแน่!"
"องค์รัชทายาทเพคะ" ไป๋ลี่อินที่นั่งอยู่ข้างๆ บีบพัดในมือแน่นด้วยความกังวล "นาง... นางต้องกำลังพยายามหาทางใส่ร้ายพระองค์ในที่ประชุมเป็นแน่เพคะ! เราต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่นางจะหาเรื่องมาปรักปรำพระองค์ได้นะเพคะ!"
"แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร" องค์รัชทายาทตวาดอย่างหงุดหงิด "ตอนนี้เสด็จพ่อก็ทรงจับตามองข้าอยู่ทุกฝีก้าว ข้าจะทำอะไรผลีผลามไม่ได้"
"เช่นนั้น... เราก็ต้องชิงลงมือก่อนสิเพคะ" ไป๋ลี่อินกล่าวอย่างชาญฉลาด "เราต้องทำให้ทุกคนเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใหญ่ที่มีเมตตา และพยายามที่จะประนีประนอม ส่วนนางก็เป็นเพียงสตรีที่เอาแต่ใจ และไม่เห็นแก่หน้าใคร"
"เจ้าหมายความว่าอย่างไร?"
"พระองค์ก็ทรงส่งของขวัญไปง้องอนนางสิเพคะ" ไป๋ลี่อินยิ้มหวาน "ส่งไปอย่างยิ่งใหญ่ ให้ชาวบ้านชาวเมืองได้เห็นกันทั่วถึงน้ำพระทัยของพระองค์ หากนางยอมรับ ก็เท่ากับว่าเรื่องราวทั้งหมดจบลงด้วยดี แต่ถ้านางปฏิเสธ... นางก็จะกลายเป็นสตรีใจแคบที่ไม่รู้จักให้อภัย และไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมในสายตาของทุกคนทันทีเพคะ!"
องค์รัชทายาทผู้หยิ่งผยอง และถูกความโกรธเข้าครอบงำก็เห็นด้วยกับแผนการนี้อย่างง่ายดาย "ความคิดเจ้าดีมาก ข้าจะทำให้นางต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกให้ได้"
วันรุ่งขึ้น ขบวนของขวัญที่หรูหราอลังการก็ถูกส่งจากวังหลวงไปยังจวนเสนาบดีอย่างเอิกเกริก ทรัพย์สินล้ำค่า ผ้าไหมเนื้อดี เครื่องประดับหายาก ถูกจัดเรียงอย่างสวยงามบนถาดทองคำ แห่แหนไปตามถนนสายหลักของเมืองหลวงให้ชาวบ้านได้เห็นกันทั่ว
"ดูสิ! องค์รัชทายาททรงส่งของขวัญมาง้อคุณหนูกู้แล้ว!"
"โอ้โห! แค่ของ ง้อยังอลังการขนาดนี้! สมแล้วที่เป็นองค์รัชทายาท!"
ข่าวแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว หลายคนเริ่มคิดว่าบางทีคุณหนูกู้อาจจะใจอ่อน และยอมคืนดีในที่สุด
แต่แล้ว... เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
เมื่อขบวนของขวัญมาถึงหน้าจวนเสนาบดีแทนที่จะเปิดประตูต้อนรับ กู้ซินซิน กลับสั่งให้พ่อบ้านนำโต๊ะ และสมุดบัญชีออกมาตั้งไว้หน้าประตู นางในชุดสีขาวเรียบง่ายเดินออกมาเผชิญหน้ากับหัวหน้าขันทีด้วยตนเอง
"ขอบพระทัยในน้ำพระทัยขององค์รัชทายาท" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ดังฟังชัด "แต่ของขวัญเหล่านี้ข้ามิอาจรับไว้ได้"
"ทะ... ทำไมหรือขอรับคุณหนู?" หัวหน้าขันทีถามอย่างตะกุกตะกัก
"โปรดกลับไปทูลองค์รัชทายาทด้วยว่า... เกียรติยศของกู้ซินซิน และวงศ์ตระกูลไม่สามารถซื้อได้ด้วยทรัพย์สินเงินทอง" นางกล่าวอย่างหนักแน่น "รบกวนท่านพ่อบ้านช่วยจดบันทึกของขวัญทุกชิ้น แล้วส่งคืนกลับไปยังวังหลวงให้ครบถ้วนด้วย"
การกระทำของนางทำให้ทุกคนที่มุงดูอยู่ถึงกับอ้าปากค้าง! นี่ไม่ใช่แค่การปฏิเสธ แต่เป็นการตบหน้าองค์รัชทายาทซ้ำสองอย่างรุนแรงที่สุด!
ขบวนของขวัญที่เคยโอ่อ่าสง่างาม บัดนี้กลับต้องเดินทางกลับวังหลวงด้วยความเงียบเชียบ และน่าอดสูขันทีผู้นำขบวนคอตกราวกับไก่แพ้พนัน เขาก้าวเข้าไปในตำหนักบูรพาด้วยขาที่สั่นเทา ก่อนจะคุกเข่าลงเบื้องหน้าองค์รัชทายาทที่กำลังรอฟังข่าวดี
"ทูลองค์รัชทายาท... คุณหนู... คุณหนูกู้... นาง... นางไม่ยอมรับของประทานพ่ะย่ะค่ะ! นางยังสั่งให้จดบันทึกของทุกชิ้นแล้วส่งคืนกลับมาทั้งหมด!"
เคร้ง!
แท่นฝนหมึกหยกราคาแพงถูกปัดตกจากโต๊ะกระแทกพื้นเสียงดังลั่น รัชทายาทลุกพรวดขึ้นยืน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยโทสะจนน่ากลัว เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ
"ว่าอย่างไรนะ!" เขากระชากเสียงถาม "นางส่งของคืนมาทั้งหมดอย่างนั้นรึ!"
"พะ...พ่ะย่ะค่ะ... นางยังฝากมากราบทูลด้วยว่า... เกียรติยศของนางซื้อไม่ได้ด้วยเงินทองพ่ะย่ะค่ะ" ขันทีตอบเสียงสั่น
"อ๊ากกกกก!"
องค์รัชทายาทคำรามลั่นราวกับสัตว์ป่าคลุ้มคลั่ง เขาเตะโต๊ะทรงอักษรจนล้มคว่ำม้วนกระดาษ และพู่กันกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น ความอัปยศครั้งนี้มันรุนแรงเสียยิ่งกว่าถูกตบหน้าเป็นร้อยครั้ง เขาอุตส่าห์ยอมลดตัวลงไปง้องอนนางแล้ว แต่นางกลับกล้าปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า แถมยังทำต่อหน้าชาวบ้านชาวเมืองอีก! นี่มันเท่ากับประกาศให้โลกรู้ว่าเขา... องค์รัชทายาทผู้สูงส่งถูกสตรีที่เคยวิ่งตามงอนง้อปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย!
"บังอาจนัก! นางกล้าหยามหน้าข้าถึงเพียงนี้!" เขากระทืบเท้าอย่างบ้าคลั่ง "ข้าจะไปทูลเสด็จพ่อให้มีรับสั่งลงโทษนาง!"
"องค์รัชทายาท! ไม่ได้นะเพคะ!" ไป๋ลี่อินหน้าซีดด้วยความตกใจ นางรีบเข้ามากอดรั้งเขาไว้แน่น ไม่ใช่เพราะความรัก แต่เป็นความกลัว... กลัวว่าความโกรธที่บ้าคลั่งนี้จะทำลายทุกสิ่งที่นางพยายามสร้างมาจนหมดสิ้น! นางบีบแขนตัวเองจนเจ็บ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ และเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาที่นางบังคับให้มันไหลออกมา "ตอนนี้ทุกคนกำลังจับตามองพระองค์อยู่นะเพคะ หากทรงใช้อารมณ์ตัดสินปัญหา มีแต่จะเข้าทางของพี่หญิงซินซินนะเพคะ! นางจงใจยั่วโทสะพระองค์ เพื่อให้พระองค์ทำเรื่องผิดพลาด แล้วนางจะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการถอนหมั้นเพคะ!"
คำพูดของไป๋ลี่อินทำให้รัชทายาทชะงักไปเล็กน้อย เขามองหน้านางด้วยดวงตาที่เติมไปด้วยความโกรธ "เจ้าหมายความว่าอย่างไร?"
"พระองค์ลองคิดดูสิเพคะ" นางกล่าวต่ออย่างชาญฉลาด "เหตุใดนางจึงต้องปฏิเสธของขวัญต่อหน้าผู้คนมากมาย? ก็เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ตนเองดูเป็นสตรีผู้รักศักดิ์ศรี และทำให้พระองค์กลายเป็นคนเอาแต่ใจที่พยายามใช้เงินฟาดหัวนาง หากพระองค์ยิ่งโมโห นางก็จะยิ่งดูน่าสงสาร และทุกคนก็จะยิ่งเข้าข้างนางนะเพคะ!"
รัชทายาทเริ่มหายใจหอบแรงขึ้น... ใช่... ไป๋ลี่อินพูดถูก นางจิ้งจอกนั่นมันวางแผนไว้หมดแล้ว!
"เช่นนั้น... เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไร?" เขาถามเสียงอ่อนลง
ไป๋ลี่อินเห็นว่าเขาเริ่มคล้อยตามแล้ว จึงรีบเสนอความคิดเห็นทันที "พระองค์ต้องทรงนิ่งไว้เพคะ... อดทนรออีกเพียงวันเดียว ในที่ประชุมขุนนางนั่นแหละคือเวทีของพระองค์ พระองค์ต้องใช้เหตุผล และความเป็นรัชทายาทเข้าสู้ แสดงให้ทุกคนเห็นว่าพระองค์ทรงมีเหตุผล และเมตตาเพียงใด ส่วนนางก็เป็นเพียงสตรีที่เอาแต่ใจ และไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล เมื่อถึงตอนนั้นไม่ว่านางจะต้องการถอนหมั้นหรือไม่... ก็ไม่มีใครสามารถเข้าข้างนางได้อีกแล้วเพคะ"
แววตาของรัชทายาทค่อยๆ เปลี่ยนจากความโกรธเกรี้ยวเป็นความเคียดแค้นที่เย็นเยียบ "เจ้าพูดถูก... ข้าจะอดทน! ข้าจะรอดูว่าในท้องพระโรง นางจะยังมีหน้ามาพูดจาโอหังได้อีกหรือไม่! ข้าจะทำให้นางต้องคุกเข่าอ้อนวอนข้า... ให้นางต้องเสียใจที่กล้ามาท้าทายข้าไปตลอดชีวิต!"
เรื่องราวทั้งหมดนี้ ถูกส่งตรงไปยังตำหนักของอ๋องสี่เซียวเช่อในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม
เขานั่งฟังรายงานจากองครักษ์เงาคนสนิทอย่างสงบเงียบ ในมือของเขาคือจอกชาที่ยังอุ่นกรุ่น
"นางเดินเกมได้เร็วกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก" อ๋องสี่ยิ้มมุมปาก เขาไม่ได้ประหลาดใจกับข้อมูลที่นางค้นเจอ เพราะเขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว สิ่งที่ทำให้เขาทึ่งคือวิธีการที่นางนำมาใช้ "ไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของขุนนางที่เกี่ยวข้องกับโครงการฟื้นฟูทางภาคใต้ทั้งหมด" เขาเปลี่ยนเรื่องไปสั่งการองครักษ์เงาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาลง "ตอนนี้พวกมันคงจะร้อนตัวจนอยู่ไม่สุข... อย่าให้พวกมันทันได้ทำลายหลักฐาน"
"พ่ะย่ะค่ะ" องครักษ์เงารับคำสั่งแล้วก็รีบออกไปทันที
เขาก็ยกจอกชาขึ้นจิบช้าๆ มุมปากยังคงมีรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา
"เดินเกมได้เหนือชั้นนัก" เขากระซิบกับตัวเอง "นางไม่ได้แค่ปฏิเสธของขวัญ แต่นางกำลังทำลายความชอบธรรมขององค์รัชทายาทในสายตาของประชาชนไปพร้อมๆ กัน... พี่รองของข้า... ท่านกำลังจะแพ้สงครามครั้งนี้อย่างย่อยยับโดยที่ยังไม่ทันได้เริ่มรบเลยด้วยซ้ำ"
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว...
เช้าวันที่สี่ แสงแดดส่องกระทบกำแพงวังหลวง ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆหมอก แต่บรรยากาศในราชสำนักกลับหนักอึ้ง และตึงเครียดราวกับมีพายุใหญ่กำลังจะก่อตัว
กู้ซินซินในอาภรณ์สีเทาอ่อนที่ดูสุภาพ และสงบนิ่งก้าวลงจากรถม้าอย่างสง่างาม นางมองตรงไปยังประตูพระราชวังเบื้องหน้าด้วยแววตาที่แน่วแน่
ห้าปีต่อมา...กาลเวลาได้ผันผ่านไปราวกับสายน้ำที่ไม่เคยไหลกลับ แผ่นดินต้าเยี่ยนภายใต้การดูแลขององค์รัชทายาทเซียวเช่อ และพระชายากู้ซินซินได้เข้าสู่ยุคสมัยที่รุ่งเรืองและสงบสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราษฎรอยู่ดีกินดี การค้าขายเฟื่องฟู เหล่าขุนนางต่างตั้งใจทำงานรับใช้บ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริตองค์หญิงน้อยเซียวซือซิน บัดนี้เจริญชันษาได้แปดขวบ และองค์ชายน้อยเซียวจื่ออาน พระชันษาสี่ขวบ ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นที่รักใคร่ของทุกคนในวังหลวง องค์หญิงน้อยทรงพระปรีชาสามารถเกินวัย ทรงได้รับการถ่ายทอดสติปัญญาอันหลักแหลมมาจากพระมารดา และได้รับการสอนวรยุทธ์และวิชาการปกครองจากพระบิดาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ส่วนองค์ชายน้อยนั้นก็ทรงน่ารักน่าเอ็นดูและเริ่มฉายแววความเฉลียวฉลาดตามรอยพระเชษฐภคินี (พี่สาว)ณ ห้องทรงอักษรในตำหนักตะวันออก..."เสด็จพ่อเพคะ... หากเราต้องการจะส่งเสบียงไปยังหัวเมืองชายแดนที่ห่างไกล เหตุใดเราจึงไม่ใช้เส้นทางแม่น้ำสายใหม่ที่เพิ่งจะขุดแล้วเสร็จเล่าเพคะ? มันน่าจะรวดเร็วกว่าการใช้เกวียนเทียมม้ามิใช่หรือ?" องค์หญิงน้อยซือซินในชุดสีเหลืองอ่อนเอ่ยถามพระบิดา ขณะที่กำลังนั่งดูแผนที่แผ่นใหญ
สามปีผ่านไป...องค์หญิงน้อย "เซียวซือซิน" ผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจขององค์รัชทายาทและพระชายา บัดนี้เจริญชันษาได้สามขวบพอดี นางคือส่วนผสมที่ลงตัวที่สุดของบิดาและมารดา... นางได้รับดวงตากลมโตที่ฉายแววฉลาดหลักแหลมมาจากกู้ซินซิน และได้รับริมฝีปากบางเฉียบที่มักจะเม้มเข้าหากันอย่างดื้อรั้นมาจากเซียวเช่อองค์หญิงน้อยทรงเป็นเด็กที่ร่าเริง และซุกซนเกินวัย นางไม่เคยอยู่นิ่งได้นานเกินหนึ่งเค่อ และโปรดปรานการวิ่งเล่นไล่จับผีเสื้อในสวนสวยของตำหนักเป็นที่สุด โดยมี "พระบิดาผู้พ่ายแพ้" คอยวิ่งไล่ตามอย่างไม่ลดละอยู่เสมอ ภาพขององค์รัชทายาทผู้สง่างามที่ต้องยอมแพ้ให้กับเสียงหัวเราะคิกคักของธิดาตัวน้อย กลายเป็นภาพที่น่าเอ็นดู และคุ้นชินสำหรับทุกคนในตำหนักในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น หลังจากที่เก็บเกี่ยวผลผลิตทั่วทั้งแคว้นเป็นไปได้ด้วยดี องค์ฮ่องเต้ก็ได้ทรงมีพระราชโองการให้องค์รัชทายาทและพระชายา พร้อมด้วยองค์หญิงน้อย เสด็จประพาสหัวเมืองทางเหนือที่เคยประสบภัยแล้งเมื่อหลายปีก่อน เพื่อตรวจดูทุกข์สุขของราษฎร และตรวจสอบการทำงานของเหล่าขุนนางท้องถิ่นมันคือภารกิจสำคัญ... แต่สำหรับครอบครัวเล็ก ๆ นี้แล้ว... มันคือการเดินทางไ
หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็วหลังงานวิวาห์ของจ้าวหยาง และหลินเฟยเฟยแผ่นดินต้าเยี่ยนสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองภายใต้การดูแลขององค์รัชทายาทเซียวเช่อและพระชายากู้ซินซิน ความรักและความเข้าใจของคนทั้งสองกลายเป็นต้นแบบที่เหล่าหนุ่มสาวทั่วทั้งแคว้นต่างใฝ่ฝันถึงแต่แล้ว... ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ ในตำหนักรัชทายาทตะวันออก"อุ๊บ..."กู้ซินซินยกมือขึ้นปิดปากอย่างรวดเร็ว นางรีบวิ่งออกจากห้องหนังสือไปยังสวนด้านนอกทันที เซียวเช่อที่กำลังตรวจดูฎีกาอยู่ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความกังวล เขารีบวางทุกอย่างลงแล้วเดินตามนางออกไป"ซินซิน! เจ้าเป็นอะไรไป!?" เขาถามเสียงเครียดขณะลูบหลังให้นางเบา ๆ "นี่เป็นครั้งที่สามในสัปดาห์นี้แล้วนะที่เจ้ามีอาการเช่นนี้ หรือว่าอาหารมื้อกลางวันจะมีปัญหาอะไร? ข้าจะไปสั่งลงโทษห้องเครื่องเดี๋ยวนี้""ไม่... ไม่ใช่เพคะ" นางส่ายหน้าช้า ๆ หลังจากที่อาการคลื่นไส้ทุเลาลง "หม่อมฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้... ช่วงนี้หม่อมฉันรู้สึกเหม็นกลิ่นขนมอบของตัวเองอย่างประหลาด ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนชอบมากแท้ ๆ""เหม็นกลิ่นขนมรึ?" เขายิ่งขมวดคิ้วแน่น "แล
หลายเดือนผ่านไปนับตั้งแต่วันที่จ้าวหยางคุกเข่าขอหลินเฟยเฟยแต่งงานท่ามกลางสักขีพยานเต็มร้านข่าวดีนี้ได้สร้างความยินดีให้กับทุกคน โดยเฉพาะกู้ซินซินและองค์รัชทายาทเซียวเช่อที่รับบทเป็น "พ่อสื่อแม่สื่อ" อย่างไม่เป็นทางการให้กับคนทั้งสองมาโดยตลอด ฤกษ์งามยามดีสำหรับงานวิวาห์ถูกกำหนดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยโหรหลวง และการเตรียมงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีก็ได้เริ่มต้นขึ้น... พร้อมกับความโกลาหลที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันณ ตำหนักรัชทายาทตะวันออก"กระหม่อมไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะพระชายา! ข้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ!"จ้าวหยางในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง และขอบตาคล้ำเหมือนหมีแพนด้า วิ่งเข้ามาระบายความอัดอั้นตันใจกับกู้ซินซินที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ในศาลากลางน้ำอย่างหมดสภาพ ความองอาจของรองแม่ทัพองครักษ์เงาหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงว่าที่เจ้าบ่าวผู้ใกล้จะเสียสติเต็มทน"ใจเย็น ๆ ก่อนจ้าวหยาง เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วล่ะ?" ซินซินถามพลางกลั้นหัวเราะ "ดูจากสภาพของเจ้าแล้ว... เฟยเฟยคงจะสร้างเรื่องปวดหัวให้เจ้าอีกตามเคยสินะ""เรื่องปวดหัวธรรมดาที่ไหนกันล่ะพ่ะย่ะค่ะ! นี่มันมหันตภัยชัด ๆ" เขาโอดครวญ "เรื่องแรกก็คือชุดเจ้าสาว! นางไม่พอใจชุด
หลังจากวันพิพากษาอันน่าตื่นตะลึง คลื่นลมทางการเมืองที่เคยปั่นป่วนก็ได้สงบลงอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุมขององค์รัชทายาทองค์ใหม่ การกวาดล้างขุนนางกังฉินที่เป็นเครือข่ายของราชครูไป๋ดำเนินไปอย่างเด็ดขาดแต่ยุติธรรม ผู้ที่ทำผิดจริงถูกลงโทษ ส่วนผู้ที่ถูกบังคับหรือหลงผิดก็ได้รับการไต่สวนอย่างเป็นธรรม ทำให้ราชสำนักกลับมาใสสะอาดและมั่นคงอีกครั้งในเวลาอันสั้นชีวิตของทุกคนค่อย ๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่เหมือนเดิมอีกต่อไป...ณ ร้านหวานใจ..."ท่านจะมานั่งเฝ้าข้าที่ร้านทุกวันแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!" หลินเฟยเฟยกล่าวกับจ้าวหยางที่บัดนี้นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะมุมในสุดของร้านทุกบ่ายราวกับเป็นรูปปั้น "ท่านเป็นถึงรองแม่ทัพองครักษ์เงา ไม่มีการมีงานทำแล้วหรืออย่างไร""ข้าทำเสร็จแล้ว" จ้าวหยางตอบเสียงเรียบ พลางจิบชา แต่สายตากลับไม่ได้ละไปจากนางเลย "ท่านอ๋อง... เอ่อ... องค์รัชทายาททรงอนุญาตแล้ว""แต่ท่านทำให้ข้าทำงานไม่สะดวกนี่นา!""ข้าก็นั่งของข้าเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรให้เจ้าเดือดร้อนเสียหน่อย" เขาเถียง "ข้าแค่... มาดูให้แน่ใจว่าเจ้าจะปลอดภัย"นับตั้งแต่วันที่นางถูกลักพาตัวไป จ้าวหยางก็เปลี่ยนไปราวกับเป
หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากค่ำคืนแห่งการนองเลือดในวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมืองหลวงก็ได้กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง แต่เป็นความสงบสุขที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และลึกซึ้งที่ทุกคนต่างสัมผัสได้ราชครูไป๋ และเหล่าขุนนางกบฏถูกตัดสินโทษประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตรตามพระราชโองการ แต่ด้วยพระเมตตาขององค์ฮ่องเต้ที่ทรงเห็นว่าเหล่าสตรีในตระกูลไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในแผนการอันชั่วร้าย จึงทรงละเว้นโทษตายให้ โดยให้เนรเทศพวกนางไปเป็นไพร่ยังเมืองชายแดนที่ห่างไกลแทน ตระกูลที่เคยยิ่งใหญ่และทรงอำนาจมากมายต้องล่มสลายลงในชั่วข้ามคืน กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าขานไว้เตือนใจคนรุ่นหลัง ส่วนอดีตองค์รัชทายาทเซียวจิน ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด หลังจากถูกไต่สวนและพบหลักฐานความผิดในการสมรู้ร่วมคิดก่อการกบฏอย่างแน่นหนา ก็ถูกพิพากษาให้ดื่มสุราพิษพระราชทาน สิ้นสุดชีวิตอันน่าสมเพชของตนเองลงอย่างเงียบ ๆ ภายในคุกหลวง ปิดฉากตำนานของอดีตรัชทายาทผู้โฉดเขลาลงอย่างสมบูรณ์คลื่นลมในราชสำนักสงบลงอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุมสถานการณ์อย่างเฉียบขาดของอ๋องสี่ เขาได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากเหล่าขุนนางที่ภักดี และได้รับกา







