โรงน้ำชาหลังจากพบกันในงานเลี้ยง มู่เสี่ยวชิงก็ได้เขียนจดหมายเชิญหวังลี่จูออกมาพูดคุยกันที่นอกจวน ด้วยในวันนี้จะเกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นซึ่งนางต้องการมีหวังลี่จูผู้เก่งวรยุทธ์มาอยู่ข้างกายด้วย ตัวนางแม้ไม่เก่งวรยุทธ์แต่เรื่องการใช้ยาสมุนไพรนั้น นางสามารถพูดได้เลยว่าเก่งกาจไม่แพ้หมอหลวงในวัง"ขอโทษด้วยที่ให้เจ้าต้องรอนาน"หวังลี่จูเข้ามาในห้องรับรองส่วนตัวแล้วทรุดนั่งบนเก้าอี้ทันทีด้วยความเหน็ดเหนื่อย ในตอนขามานี้นางมีเรื่องนิดหน่อยกับสหายผู้นั้น"วันนี้เจ้าแต่งกายดีขึ้นมากเลยนะ"มู่เสี่ยวชิงเอ่ยชมด้วยความจริงใจ ครั้งนี้หวังลี่จูสวมอาภรณ์สีเหลืองอ่อนที่ปักลายดอกไห่ถัง บนมวยผมก็ปั่นปิ่นระย้าที่ทำจากหยก นางจึงดูน่ารักสมวัย งดงามราวกับสตรีแรกแย้ม"เพราะคำแนะนำของเจ้านั่นแหละ แต่ทำไมเจ้าถึงชอบสวมอาภรณ์สีแดงนักเล่า มันไม่ดูฉูดฉาดเกินไปหรือ เมื่อก่อนเจ้าชอบแต่งกายสีขาวกับสีกลีบบัวนี่น่า""ความชอบของข้าได้เปลี่ยนไปแล้วล่ะ" มู่เสี่ยวชิงยกน้ำชาขึ้นมาดื่ม นางเสเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น "วันนี้ข้าจะไปซื้อเครื่องเขียนให้กับน้องชาย เจ้าช่วยแนะนำร้านให้ข้าได้หรือไม่""ย่อมได้ หากอยากได้เครื่องเขียนชั้นเลิ
บทที่ 4เปิดใจกับสหายคนใหม่"สหายเช่นนั้นทางที่ดีเลิกคบไปจะดีกว่า นางไม่ได้หวังดีกับเจ้าหรอกนะลี่จู" มู่เสี่ยวชิงเข้ามากระซิบใกล้ ๆ โดยที่ไม่ต้องการให้ผู้ใดได้ยิน "ลูกเพิ่งเจอลี่จู เช่นนั้นลูกขอพานางไปยังที่นั่งเลยนะเจ้าคะ" ประโยคหลังหันมาเอ่ยกับบิดาเสียงหวาน"ได้สิ ๆ ดีเลย พวกเจ้าทั้งสองก็พูดจากันดี ๆ หน่อยเล่า" มู่อู๋ซวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม หวังเจิ้งเทียนเองก็พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่พวกเขาจะเดินไปแยกคุยกันอีกทางหนึ่ง ส่วนสตรีทั้งสองก็เดินไปคุยไปเช่นกัน"ที่เจ้าพูดออกมาเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร" หวังลี่จูจับแขนของมู่เสี่ยวชิงเอาไว้แน่น นี่คือสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของนาง นอกจากท่าทางที่ดูเปลี่ยนไปของมู่เสี่ยวชิงจะทำให้นางสงสัยแล้ว อีกฝ่ายยังพูดจาให้นางชวนสงสัยด้วย นางไปรู้อะไรมาเช่นนั้นหรือ"เพราะข้าเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับสหายหน้าเนื้อใจเสืออย่างไรเล่า การแต่งกายของเจ้าเช่นนี้ช่างชวนให้ผู้อื่นขบขันมากกว่าจะชื่นชม เจ้าดูสิว่ามีคุณหนูตระกูลใดแต่งกายเช่นเจ้าบ้างหรือไม่"หวังลี่จูชะงักไปกับคำพูดของมู่เสี่ยวชิง นางค่อย ๆ หันไปมองยังที่นั่งที่มีคุณหนูจากชนชั้นสูงนั่งอยู่อย่างพิจารณา เป็นจริ
งานเลี้ยงจวนตระกูลมู่หลังจากที่ตระกูลมู่เดินทางมายังเมืองหลวงได้เกือบ 1 เดือน มู่อู๋ซวนก็ได้จัดงานเลี้ยงเพื่อฉลองให้กับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ประจำเมืองหลวงที่เขาได้รับแต่งตั้งจากฝ่าบาท งานเลี้ยงในครั้งนี้ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ทว่ายังคงให้ความหรูหราในเรื่องของอาหาร น้ำชา และสุราที่เอามารับรองแขก ทุกอย่างล้วนเป็นของชั้นเลิศทั้งสิ้น สิ่งนี้เองที่ทำให้ชนชั้นสูงในเมืองหลวงต้องมองตระกูลมู่ในสายตาที่เปลี่ยนไป"คารวะท่านแม่ทัพใหญ่มู่ ยินดีด้วยนะขอรับ"รองเสนาบดีกรมคลังนำของขวัญมามอบให้กับมู่อู๋ซวนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม สายตาที่มากเล่ห์เลยมองไปทางด้านหลังยังตำแหน่งของมู่เสี่ยวชิง เขาเห็นว่าอายุของนางใกล้เคียงกับบุตรชายของตน ภายในใจจึงกำลังดีดลูกคิดรางแก้วว่าควรจะเกี่ยวดองกับตระกูลมู่เลยดีหรือไม่"ขอบคุณ ๆ เชิญท่านรองเสนาบดีชุนด้านใน"มู่อู๋ซวนยิ้มรับทว่าหางคิ้วกับกระตุกไปมา เขาที่เห็นสายตามากเล่ห์ของอีกฝ่ายจะไม่รู้เลยหรือว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด แม้เขาจะเอาแต่กรำศึกในสนามรบ แต่ใช่ว่าเรื่องการเมือง เรื่องแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในราชสำนักเขาจะไม่รู้เรื่องเลย เพียงแต่เขายังตั้งตนอยู่ตรงกลาง ไม่ได้อยู่ฝ่ายใดทั้
บทที่ 3งานเลี้ยงตระกูลมู่ทันทีที่มู่เสี่ยวชิงกลับมาถึงเรือนหยกงาม นางก็ปิดประตูเรือนขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้ามาเป็นอันขาดแม้แต่ชงเหยาก็ยังต้องรออยู่ด้านนอก"ชงเหยา พี่ใหญ่เล่า" มู่ห่าวหรานเอ่ยถามสาวใช้ที่ยืนกระสับกระส่ายไปมาด้วยความสงสัย"คุณหนูอยู่ในเรือนเจ้าค่ะ บ่าวรู้สึกไม่ดีเลยเหมือนคุณหนูกำลังปิดบังอะไรอยู่เลย แววตาของคุณหนูก็น่ากลัวมากเจ้าค่ะ" "เช่นนั้นเจ้าก็ไปทำอย่างอื่นก่อนเถิด""เจ้าค่ะ"คล้อยหลังที่ชงเหยาเดินจากไปแล้ว มู่ห่าวหรานมองไปยังประตูที่ยังปิดสนิทด้วยความกังวลใจ เพียงไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงร่ำไห้ที่ดังเล็ดลอดออกมา แม้จะเบาบางแต่เพราะเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์จึงได้ยินอย่างชัดเจน "พี่ใหญ่... เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับท่านกันแน่ เหตุใดในแววตาของท่านถึงได้มีความเศร้าหมองแฝงเอาไว้อยู่ตลอดเวลา" มู่ห่าวหรานเอ่ยกับตัวเอง แล้วจึงเดินล่าถอยออกไปอีกคน เขาคิดมานานแล้วว่าตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงพี่สาวของเขาก็เปลี่ยนไป ทุกคนต่างสังเกตได้โดยเฉพาะท่านพ่อที่ถึงกับเรียกเขาไปพบในห้องส่วนตัว"แววตาของเสี่ยวชิงและอุปนิสัยที่ร่าเริงอ่อนโยนของนางเปลี่ยนไปราวกับมีเรื่องอะไรในใจ เจ้าที
"ทะ ท่านแม่ทัพ ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ โปรดไว้ชีวิตของข้าด้วย ฮือ ๆ ข้ายอมท่านทุกอย่างเลย ขอเพียงปล่อยน้องชายที่อายุแค่ 5 หนาวของข้าไปก็พอเจ้าค่ะ" นางเอ่ยต่อรองด้วยสีหน้าที่ชวนให้ผู้คนรู้สึกสงสารจับใจ"เจ้าไม่ต้องคิดมาใช้แผนหญิงงามกับข้า ตัวเจ้าหาได้งดงามจนข้ารู้สึกพิศวาสไม่ เอาตัวนางไปขังคุก!!""ทะ ท่านแม่ทัพ..."สตรีผู้นั้นผงะไปด้วยความตกตะลึง นางงามไม่พอหรือ... เหตุใดเขาถึงไม่แม้แต่จะชายตาแลนางเลยสักนิด หรือว่าเขามีสตรีในดวงใจเสียแล้ว?ซานเย่ที่รู้ดีว่าท่านแม่ทัพกำลังจะเกิดโทสะ เขาจึงรีบลากตัวสตรีผู้นั้นออกไปทันที นางทำได้แต่มองแม่ทัพใหญ่ผู้มีใบหน้าหล่อเหลาด้วยความเสียดายและเสียใจ การเป็นอนุของเขาย่อมดีกว่าการต้องเป็นเชลยที่มิอาจจะรู้ได้ว่าชีวิตของนางจะไปยังจุดไหน อาจจะต้องตกต่ำอย่างถึงขีดสุด จนแม้แต่ตัวนางเองอยากตายก็เป็นได้...คล้อยหลังที่สตรีนางนั้นจากไปแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่จึงได้ถอดชุดเกราะอันหนักอึ้งของตนออกไป ใบหน้าที่เคยสุขุมเย็นชาพลันยกยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเลือนหายไปอย่างช้า ๆ'รอข้าก่อน... แล้วข้าจะรีบกลับไปหาเจ้า เสี่ยวชิงของพี่...'คิ้วกระบี่ที่รับกับดวงตาคมกริบดั่งใบมีดหลับ
บทที่ 2แม่ทัพใหญ่ผู้กระหายเลือดครอบครัวตระกูลมู่ได้เข้าไปสำรวจในเรือนหลังใหม่ด้วยความตื่นเต้น มู่อู๋ซวนพักยังเรือนหลักอันเป็นเรือนของท่านประมุขตระกูล ส่วนมู่ห่าวหรานนั้นได้พักยังเรือนฝั่งขวาข้างเรือนหลักของบิดา ทว่ามู่เสี่ยวชิงที่ควรจะพักเรือนฝั่งซ้ายกลับขอไปพักยังเรือนที่อยู่เกือบหลังจวน เนื่องจากนางไม่ต้องการจะเดินซ้ำรอยกับอดีตของตน นางจึงคิดจะเริ่มใหม่ตั้งแต่การเลือกเรือนพักของตน ซึ่งเรือนนี้ถือว่าใหญ่โตโอ่อ่ามิต่างกัน ทั้งยังมีแมกไม้ล้อมรอบเรือนที่ให้ความร่มรื่นเป็นอย่างมาก ถือว่าสงบเป็นอย่างยิ่ง"เสี่ยวชิง เจ้าแน่ใจหรือที่จะพักเรือนหลังนั้น" มู่อู๋ซวนเอ่ยถามเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง "เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกชอบเรือนหลังนั้นมาก ทั้งสงบและร่มรื่นเป็นที่สุดเลยเจ้าค่ะ" มู่เสี่ยวชิงเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม"แต่พ่อคิดว่ามันไกลจากเรือนหลักมากไปนะ ให้พ่อจ้างช่างมาต่อเติมเรือนฝั่งซ้ายดีหรือไม่""หรือพี่ใหญ่จะเอาเรือนของข้าก็ได้นะขอรับ" มู่ห่าวหรานเอ่ยขึ้นมาบ้าง"ข้าพอใจเรือนหลังนี้เจ้าค่ะ และข้าก็ตั้งชื่อเรือนว่าเรือนหยกงามแล้วเจ้าค่ะ" มู่เสี่ยวชิงหันมาลูบศีรษะน้องชายด้วยความเอ็นดู "เรือนฝั่งขว