Share

บทที่ 4

Author: กากบาทเย่
พอได้ยินเสียงของเซวียหว่านอี้ เจินจูก็รีบเลิกม่านพุ่งตัวเข้าไป

ภาพแรกที่ประจักษ์แก่สายตาคืออนุชิวกำลังบีบคอคุณหนูของนางด้วยสีหน้าถมึงทึง เส้นเลือดสีเขียวบนหน้าผากปูดโปน เห็นได้ชัดว่าลงแรงไปมิใช่น้อย

เจินจูหมายจะรุดเข้าไปช่วยคุณหนูของตน ทว่ากลับถูกแม่เฒ่าข้างกายอนุชิวขัดขวางไว้

นางมิได้ลังเลแม้แต่น้อย รีบหันกายวิ่งตะบึงออกไปด้านนอก

แม่เฒ่าผู้นั้นเห็นท่าไม่ดี จึงรีบถลันไปที่ประตู ร้องตะโกนบอกคนด้านนอกเสียงดังลั่น “ขวางนางไว้!”

กว่าบ่าวไพร่ในเรือนจะทันตั้งตัว เจินจูก็วิ่งพ้นเขตเรือนชิงเหอไปเสียแล้ว

แม่เฒ่าเห็นดังนั้นจึงรีบรุดกลับเข้ามาดึงตัวอนุชิวออกไป

เมื่อเห็นเซวียหว่านอี้ที่ทรุดฮวบลงกองกับพื้น ร่างกายอ่อนปวกเปียก อนุชิวจึงได้สติ ตระหนักได้ทันทีว่าภัยพิบัติกำลังมาเยือน

เหตุใดนางจึงอดกลั้นโทสะไม่อยู่กันนะ

อีกทั้ง นังชั้นต่ำนี่ล่วงรู้ความจริงแล้วหรือเปล่า?

นางจะมีชีวิตอยู่ต่อไปมิได้ มิได้เด็ดขาด

เมื่อคิดได้ดังนั้น อนุชิวก็รีบสะบัดตัวจากการเกาะกุมของแม่เฒ่า พุ่งเข้าไปหมายจะปลิดชีพเซวียหว่านอี้

เซวียหว่านอี้ย่อมจงใจให้นางทำเช่นนี้

นางกำลังเดิมพัน

ใช้ชีวิตของตนเอง เดิมพันกับชีวิตของสตรีอำมหิตผู้นี้

ลำคอเจ็บปวดรวดร้าว ทุกจังหวะการหายใจที่แผ่วเบาราวกับมีไฟแผดเผา

สมองบวมเป่งจนทรมาน สายตาพร่ามัวมองสิ่งใดไม่ชัดเจน

ทว่านางกลับยังแย้มยิ้มออกมาได้

ขณะนอนราบอยู่บนพื้น นางได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

“ฮ่า ๆ ๆ อนุ ข้าต่างหากที่เป็นลูกในไส้ของท่าน เหตุใดท่านถึงต้องเอาชีวิตข้าเพื่อพี่สาวสายตรงด้วยเล่า”

อนุชิวกำลังบันดาลโทสะ อีกทั้งยังกังวลว่าเซวียหว่านอี้จะล่วงรู้ความจริง จึงมิได้สนใจสถานการณ์ภายนอกเลยแม้แต่น้อย

นางนั่งคุกเข่าลงกับพื้น สองมือบีบลำคอระหงของเซวียหว่านอี้ไว้แน่น

นางกัดฟันกรอด น้ำเสียงเจือความเคียดแค้นชิงชัง “นังชั้นต่ำเยี่ยงเจ้าคู่ควรด้วยหรือ? ข้าน่าจะบีบคอเจ้าให้ตายไปเสียแต่ตอนนั้น จะได้ไม่มาขวางทางอนาคตของคุณหนูใหญ่”

มือที่กุมลำคอออกแรงบีบหนักหน่วงขึ้น

ยามจ้องมองใบหน้าเล็ก ๆ ของเซวียหว่านอี้ที่อยู่ในการควบคุม ภายในใจรู้สึกสุขสม แต่ขณะเดียวกันก็บังเกิดความหวาดหวั่น

นังชั้นต่ำนี่ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนเจียงซื่อมากขึ้นทุกที

เซวียหว่านอี้พยายามผลักไสอนุชิว เพื่อมิให้ตนเองต้องมาตายอยู่ที่นี่จริง ๆ

“ท่าน มิใช่ มารดาผู้ให้กำเนิดของข้า ท่านรักแต่ พี่สาวสายตรง...”

ในชั่วขณะที่เซวียหว่านอี้กำลังจะสิ้นสติ เซวียฉงก็นำคนบุกเข้ามาจากด้านนอก

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขาก็เบิกตากว้างด้วยความโกรธแค้น

“นังหญิงอำมหิต!”

“อ๊า—”

อนุชิวกรีดร้องโหยหวน ร่างกระแทกเข้ากับโต๊ะที่อยู่ห่างออกไปจนตัวมุดเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะ

คนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างกายเห็นภาพนี้ต่างรู้สึกว่าช่างน่าเหลือเชื่อนัก

แม้แต่เซวียหมิงเฟยเองก็ยังรู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มจะควบคุมไม่อยู่

ชาติก่อน อนุชิวบ้าคลั่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

เจินจูน้ำตาไหลพราก รีบเข้าไปประคองนางขึ้นมา

รอยช้ำบนลำคอของเซวียหว่านอี้บ่งบอกว่าอนุชิวลงมือหมายเอาชีวิต

เซวียฉงโกรธจัด แม่เฒ่าผู้นั้นตกใจจนตัวสั่น

ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปประคองนายหญิง ได้แต่คุกเข่าตัวสั่นเทาอยู่บนพื้น

“เสือร้ายยังไม่กินลูก นังหญิงใจเหี้ยม เจ้าเป็นเพียงบ่าวอนุ กลับบังอาจปองร้ายเจ้านาย อย่าคิดว่ามีท่านแม่หนุนหลังแล้วข้าจะไม่กล้าสังหารเจ้า”

เขาหันไปมองบุตรสาวคนเล็กที่ยืนแทบไม่อยู่ ในใจย่อมมีความไม่ชอบใจนางอยู่บ้าง

“นางถูกกักบริเวณ แล้วเจ้าวิ่งมาที่นี่ทำไมกัน?”

หากไม่มา ก็คงไม่ต้องเจอเรื่องเช่นนี้มิใช่หรือ?

“แค่ก ๆ เฮือก...”

เซวียหว่านอี้กุมลำคอที่เจ็บปวดราวกับกลืนถ่านไฟแดงเข้าไป นางเงยหน้ามองเซวียฉงด้วยความตกตะลึง

เจินจูที่อยู่ด้านข้างรีบคุกเข่าลง แล้วพูดแทนนาง

“เรียนนายท่าน คุณหนูรู้สึกไม่สบายใจเจ้าค่ะ คุณหนูกล่าวว่าที่อนุชิวถูกกักบริเวณ เป็นเพราะตัวนาง...”

ไม่จำเป็นต้องพูดให้จบประโยค ทุกคนในที่นี้ต่างก็เข้าใจความหมาย

เซวียฉงจะทำอันใดได้

หรือจะให้กล่าวโทษว่าเซวียหว่านอี้ไม่ควรมาที่นี่?

“แล้วเมื่อครู่เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”

หากพวกเขามาไม่ทันเวลา ชะตากรรมของตระกูลเซวียคงพลิกผันไปโดยสิ้นเชิง

โดยส่วนตัวแล้ว เซวียฉงย่อมไม่ต้องการให้บุตรีสายตรงต้องแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง

สตรีในเรือนหลังย่อมมีหูตาคับแคบ ขุนนางราชสำนักเช่นพวกเขาต่างหากที่ล่วงรู้สถานการณ์ของจวนเจิ้นกั๋วกงมากกว่า

จวนเจิ้นกั๋วกงในยามนี้คือถ้ำมังกรแดนพยัคฆ์ เปรียบได้กับขุมนรก

หากเบื้องบนมีผู้ใดหมายปองผลประโยชน์สักนิด ราชโองการพระราชทานสมรสนี้คงไม่ตกมาถึงตระกูลเซวียซึ่งเป็นเพียงขุนนางขั้นสาม

จวนขุนนางขั้นหนึ่ง ขั้นสอง หรือจวนอ๋องจวนโหว ในเมืองหลวงมีอยู่อย่างน้อยสามสิบถึงห้าสิบแห่ง

หากมีผลประโยชน์ให้ตักตวงแม้เพียงน้อยนิด ก็คงไม่ถึงมือตระกูลเซวียของเขา

พูดให้ชัดก็คือ

การที่ฝ่าบาทพระราชทานสมรส ก็เท่ากับเลือกสตรีสักคนส่งไปเป็น “เครื่องสังเวย” ให้ตระกูลเย่

“เครื่องสังเวย” นี้ มีโอกาสตายสูงยิ่ง หรืออาจไม่ได้ผลประโยชน์ใด ๆ กลับมาเลย ซ้ำร้ายอาจถูกเย่จั๋วผูกใจเจ็บเอาได้

บุตรีอนุย่อมมีน้ำหนักไม่เท่าบุตรีสายตรง แต่ก็นับเป็นทรัพยากรที่ตระกูลฟูมฟักมาอย่างดี จะปล่อยให้สูญเปล่าได้อย่างไร

เซวียหว่านอี้ข่มความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาดั่งระลอกคลื่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“ท่านพ่อ อนุกังวลว่าหากข้าแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง จะไปกดข่มบารมีของพี่หญิงเจ้าค่ะ...”

เมื่อตกเป็นเป้าสายตา เซวียหมิงเฟยมองไปยังอนุชิวด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย

“ข้ามีคู่หมั้นอยู่แล้ว ย่อมมิได้แต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงแน่ อนุชิวจะทำเรื่องไร้ประโยชน์เหล่านี้ไปเพื่ออะไร?”

เซวียฉงก้าวเข้าไปพลิกโต๊ะคว่ำ

ยื่นมือไปหิ้วคอเสื้ออนุชิวขึ้นมา “โง่เขลาแล้วยังจิตใจชั่วช้า”

เขาลากนางไปยังโถงหน้าแล้วโยนออกไป

“ใครก็ได้ โบยสามสิบไม้!”

อนุชิวที่แสร้งทำเป็นหมดสติเพื่อรอความเมตตาจากเซวียฉงพลันลืมตาโพลง

นางตะเกียกตะกายคลานเข้าไปหาเซวียฉง คว้าชายเสื้อเขาไว้

พยายามจัดท่าทางให้ดูน่าเวทนาที่สุด แล้วร่ำไห้อ้อนวอน

“ไม่นะเจ้าคะนายท่าน อนุผิดไปแล้ว ขอนายท่านโปรดเมตตายกโทษให้อนุสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ...”

โบยสามสิบไม้ นางต้องตายแน่

“นางเป็นเพียงบุตรีอนุ จะแต่งออกไปอย่างมีหน้ามีตากว่าคุณหนูใหญ่ได้อย่างไร คุณหนูรองมักแสดงกิริยาล่วงเกินคุณหนูใหญ่อยู่ลับหลัง อนุเพียงกลัวว่าหากนางได้ดีแล้ว จะเป็นภัยต่อคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ...”

สายตาที่เซวียหมิงเฟยมองอนุชิวเริ่มแปรเปลี่ยนไป

มีอนุภรรยาบ้านใดที่เจียมเนื้อเจียมตัวถึงเพียงนี้กัน?

ท่านแม่ของนางต้องกล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจมาไม่น้อยเพราะท่านพ่อลำเอียงรักใคร่อนุชิวมากกว่า

ชายหนุ่มที่เงียบมาตลอดเอ่ยปากขึ้น

เขาคือบุตรชายเพียงคนเดียวขอเจียงซื่อ นามว่าเซวียมู่เจา

“อนุชิว การแต่งงานของน้องหญิงรองกับเจิ้นกั๋วกงเป็นสมรสพระราชทาน”

“เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า หากน้องหญิงรองตายด้วยน้ำมือเจ้า ตระกูลเซวียของเราทั้งตระกูล อย่างเบาก็ถูกข้อหาหมิ่นพระเมตตาจากฮ่องเต้ ท่านพ่ออาจถูกถอดถอนจากตำแหน่งหรือเนรเทศ อย่างหนักก็ขัดราชโองการ ถูกประหารล้างตระกูล”

เสียงสะอื้นไห้อ่อนหวานพลันชะงักค้าง อนุชิวเงยหน้าขึ้น

มองเซวียฉงที่มีสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชาด้วยความงุนงง

กว่าจะรู้ตัว นางก็ตกใจจนแทบสิ้นสติ

นางยังไม่ได้โง่เขลาจนเกินเยียวยา

ไม่ว่าจะแง่งอนเอาแต่ใจในจวนเพียงใด เซวียฉงก็มักจะเห็นแก่ความงามของนาง หากไม่ใช่ความผิดร้ายแรงย่อมไม่ถึงขั้นเอาชีวิต

แต่หากกระทบถึงเส้นทางขุนนางของเซวียฉง หรือเป็นภัยต่อตระกูลเซวีย ชีวิตของนางคงถึงคราวสิ้นสุดแล้ว

สั่งโบยสามสิบไม้ นับว่าเซวียฉงยังไว้ชีวิตนางแล้ว

หากยังขืนร้องขอความเมตตาอีก วันนี้เกรงว่าจะต้องตายอยู่ที่นี่

เมื่อเห็นว่าอนุชิวกำลังจะถูกลงทัณฑ์ เซวียหมิงเฟยก็เดินเข้ามาข้างกายเซวียหว่านอี้

“เจ้าจะยืนดูอยู่เฉย ๆ หรือ?”

อย่างไรเสียก็เป็นแม่ลูกกัน “สามสิบไม้ ถึงตายได้เลยนะ”

ทั้งสองสนทนากันเสียงเบา แต่ก็มิได้หลบเลี่ยงผู้คน

สองพ่อลูกตระกูลเซวียย่อมได้ยิน อนุชิวเองก็เช่นกัน

ชั่วพริบตาถัดมา นางมองเซวียหมิงเฟยผ่านม่านน้ำตา ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความตื้นตัน แววตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและ... ความรักใคร่

แม้แต่เซวียฉงและเซวียมู่เจาก็ยังหันมามองเซวียหว่านอี้

อนุชิวเป็นอนุคนโปรดของเซวียฉง เขาย่อมมีความรักใคร่ในตัวนางจริง ๆ

คำสั่งโบยสามสิบไม้นั้นเป็นเพียงวาจาที่หลุดปากออกมาด้วยโทสะชั่ววูบ

พอพูดจบเขาก็นึกเสียใจ

แต่ต่อหน้าบ่าวไพร่ จะให้คืนคำก็เสียหน้า จึงได้แต่หวังว่าเซวียหว่านอี้จะรู้จักอ่านสถานการณ์

“ท่านพ่อ...”

เซวียหว่านอี้ก้าวออกไป ประสานสายตากับแววตาที่ซ่อนความเคียดแค้นของอนุชิว

“โปรดยั้งมือด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่หนีรักทรยศ มาตกหลุมรักแม่ทัพพิการ   บทที่ 30

    ราตรีเยียบเย็นดุจสายน้ำเซวียหว่านอี้นั่งอยู่ในศาลา ตรงหน้ามีเตาอุ่นขนาดเล็กจุดอยู่กาน้ำดินเผาสีแดงบนเตา มีกลิ่นหอมหวานโชยเอื่อยออกมานางยกจอกสุราข้างกายขึ้นมา เอนกายพิงพนักอย่างเกียจคร้าน ทอดมองเหล่าปลาจิ่นหลี่ที่กำลังแหวกว่ายอย่างสบายอารมณ์อยู่ใต้แสงโคมบัวยามค่ำคืน“คุณหนู บ่าวได้ยินมาว่าพิธีปักปิ่นที่ในจวนจะจัดให้คุณหนู ครานี้จะยิ่งใหญ่กว่าของท่านผู้นั้นเสียอีกนะเจ้าคะ”เฝ่ยชุ่ยถือเครื่องเคียงสองอย่างเดินเข้ามา วางลงบนโต๊ะหินอย่างแผ่วเบา“บางทีอาจเป็นเพราะต้องการเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของคุณหนูแล้วกระมังเจ้าคะ”เซวียหว่านอี้มิได้เอ่ยตอบ นางจิบสุราเพียงเล็กน้อย พวงแก้มก็พลันระเรื่อสีชมพูจาง ๆเฝ่ยชุ่ยเองก็ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบจากคุณหนู จึงพูดต่อไปตามลำพัง“ไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นจะคิดอย่างไรบ้างนะเจ้าคะ”เมื่อตอนบ่าย เรือนทิงหลานส่งของมาให้มากมาย ทำให้เรือนว่างซูที่แต่เดิมโล่งกว้าง กลับโอ่อ่าหรูหราขึ้นมาในทันทีแม้ว่าหากเทียบกับจวนอ๋องจวนโหวเหล่านั้น อาจจะไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงก็ตามสายลมวูบหนึ่งพัดผ่าน เหล่าแมกไม้ใบหญ้าพลันส่งเสียงเสียดสีกัน“พิธีปักปิ่นของท่านผู้นั้นจะจั

  • เกิดใหม่หนีรักทรยศ มาตกหลุมรักแม่ทัพพิการ   บทที่ 29

    นางยิ้มบางเบา “หากท่านไม่เต็มใจ พวกเราสลับตัวเจ้าสาวกันก็ได้”นางกำลังเดิมพัน เดิมพันว่าชาตินี้เซวียหมิงเฟยไม่กล้าแต่งให้เย่จั๋วอีกเป็นอันขาดหากเดิมพันชนะ นางก็สามารถยืมอำนาจของจวนเจิ้นกั๋วกงมาจัดการฉู่ยวนให้ตายตกไปเดิมพันแพ้ ก็แค่แต่งออกไป ในคืนวันเข้าหอ ก็ไปสู่ปรโลกพร้อมกับเขาไม่ฉู่ยวนตาย ก็พวกเขาตายด้วยกันเซวียหมิงเฟยตัวสั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมนางส่ายหน้า ไม่แยแสต่อสีหน้าตื่นเต้นยินดีของอนุชิว พลางกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “อย่าพูดจาเหลวไหล เจ้ากับเจิ้นกั๋วกงมีพระราชทานสมรสตามราชโองการของฝ่าบาท หากเรื่องสลับตัวเจ้าสาวถูกเปิดโปง ตระกูลเซวียของพวกเราเกรงว่าจะต้องเผชิญกับภัยพิบัติล้างตระกูล”ชาติก่อนนางถูกเย่จั๋วทรมานจนตายด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมที่สุด ชาตินี้จะยังกล้าแต่งไปหาเขาได้อย่างไรอย่าว่าแต่แต่งเลย แค่ได้ยินชื่อของเย่จั๋ว นางก็รู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วทั้งร่างแล้วแสงสว่างในแววตาของอนุชิวดับวูบลงอย่างสิ้นเชิง“ข้าเกิดก่อนเจ้าเล็กน้อย ต่อไปอย่าเรียกข้าว่าน้องหญิงอีกเลย”นางไม่รู้ว่าเซวียหมิงเฟยมีสีหน้าเช่นไร จึงกล่าวต่อ “หากเจ้าเรียกไม่ถนัดปาก เช่นนั้นต่อไปพวกเราก็เรียกชื

  • เกิดใหม่หนีรักทรยศ มาตกหลุมรักแม่ทัพพิการ   บทที่ 28

    เซวียหว่านอี้ทอดมองอย่างเย็นชาชาติก่อน การถูกทรมานให้เป็นมนุษย์หมูตลอดหลายปี ทำให้นางสูญเสียการรับรู้ทางอารมณ์ไปเกือบหมดสิ้นนางถึงกับสัมผัสได้ว่า ฮูหยินเจียงมิได้เห็นนางสำคัญถึงเพียงนั้นที่มากกว่านั้นคือความอัปยศอดสูจากการถูกอนุชิวสับเปลี่ยนตัวบุตรไปหากบัดนี้ให้ฮูหยินเจียงเลือก ระหว่างนางกับเซวียหมิงเฟยมิต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาทุกคนย่อมเลือกเซวียหมิงเฟยฮูหยินเจียงอยากให้อนุชิวตาย ทว่านั่นมิได้หมายความว่าจะทอดทิ้งบุตรสาวคนนี้ความผูกพันฉันแม่ลูกตลอดสิบห้าปี ไหนเลยจะตัดขาดกันได้โดยง่ายเซวียมู่เจาในยามนี้ไม่คิดจะเอ่ยปากทว่าก็อดมิได้ที่จะสงสารยามเห็นเซวียหมิงเฟยร่ำไห้จนควบคุมตนเองไม่อยู่ท่านพ่อไม่สะดวกเอ่ยปากนัก เพราะจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของท่านพ่อและท่านแม่ทว่าคนผู้นี้…“น้องหญิงรอง เจ้าไม่มีสิ่งใดอยากพูดบ้างหรือ?” เขาเอ่ยปากขึ้นจนได้ทุกสายตาจับจ้องไปยังเซวียหว่านอี้เป็นจุดเดียวอนุชิวมิได้เอ่ยปาก ทว่าแววตาที่มองมากลับเปี่ยมไปด้วยความเวทนาและอ้อนวอนส่วนเซวียหมิงเฟย กลับลุกขึ้นวิ่งไปทรุดกายคุกเข่าลงเบื้องหน้าเซวียหว่านอี้อีกคราเมื่อสัมผัสได้ว่ามือที่กำลังอด

  • เกิดใหม่หนีรักทรยศ มาตกหลุมรักแม่ทัพพิการ   บทที่ 27

    นางมองคนทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าโถงด้วยความโกรธ ก่อนจะเหยียดยิ้ม “ช่างเป็นภาพพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกันดียิ่งนัก”เซวียมู่เจา: “...”เมื่อเห็นแววตาเย็นชาเมินเฉยของฮูหยินเจียง ในใจของเซวียมู่เจาก็วูบไหวด้วยความตื่นตระหนกเขาไม่รู้ว่าตนไปทำสิ่งใดให้ท่านแม่ไม่พอใจ ถึงขั้นทำให้นางต้องมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้ฮูหยินเจียงกล่าวเสียงเย็นเยียบ “หลายปีมานี้ หว่านอี้ต้องอยู่อย่างไรในจวนแห่งนี้ พวกเจ้าย่อมรู้แก่ใจดี”“พวกเราไม่รู้เรื่องที่สลับตัวลูกก็จริง แต่อนุชิว...”นางชี้ไปยังสตรีที่คุกเข่าอยู่หน้าโถง “นางที่เป็นตัวการเรื่องนี้ จะไม่รู้ได้อย่างไร?”“สับเปลี่ยนลูกสาวของข้าแล้ว ยังเหยียบย่ำข่มเหงนางไม่หยุดหย่อน”นางลุกขึ้น เดินไปหยุดอยู่หน้าอนุชิว ก่อนจะก้มลงเชยคางของอีกฝ่ายขึ้นมาทอดมองอีกฝ่ายจากมุมสูง แล้วกล่าวว่า “เจ้าคงลำพองใจมากกระมัง ที่ลอบใช้ลูกสาวของข้ามาดูความน่าสมเพชของข้า ทำให้เจ้ารู้สึกว่าปั่นหัวข้าไว้ในกำมือได้”“เป็นเพียงอนุภรรยา แต่กลับอาศัยลูกสาวแท้ ๆ ของข้า มาหลอกปั่นหัวข้าที่เป็นนายหญิงแห่งตระกูลเซวียจนโง่งมงายอยู่เบื้องหลัง เจ้าช่างเก่งกาจเสียจริง”นางสะบัดใบหน้าของอน

  • เกิดใหม่หนีรักทรยศ มาตกหลุมรักแม่ทัพพิการ   บทที่ 26

    เซวียมู่เจาพยายามอย่างยิ่งที่จะเค้นความทรงจำ หรือควรกล่าวว่ากำลังพยายามล้างสมองตนเองอยู่ในความทรงจำของเขาน้องหญิงรองผู้นี้ แท้จริงแล้วเป็นคนเช่นไรคงเป็นเด็กขี้ขลาด หวาดกลัว และไร้ซึ่งความสดใสมีชีวิตชีวาส่วนเรื่องรูปร่างหน้าตา ดูเหมือนจะไม่เคยอยู่ในความทรงจำของเขาเลยแม้แต่น้อยก็ไม่น่าแปลกใจขนาดคนรับใช้ในจวนยังกล้ามองข้ามเซวียหว่านอี้ได้อย่างสิ้นเชิง หรือควรกล่าวว่าไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตาเลยต่างหากนี่สะท้อนให้เห็นเพียงว่า ทั่วทั้งตระกูลเซวีย หามีเจ้านายคนใดให้ความสำคัญต่อนางไม่ขอเพียงมีสักคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตามที่ปฏิบัติต่อนางดีสักสามส่วน พวกบ่าวไพร่ในจวนก็ย่อมไม่กล้าแสดงท่าทีเช่นนี้ฉะนั้น การที่เซวียมู่เจาจำรูปลักษณ์ของเซวียหว่านอี้ไม่ได้ จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่งเซวียหว่านอี้ย่อกายคารวะ “คารวะท่านพี่เจ้าค่ะ”กิริยาท่วงท่าของนางนับว่าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติความสมบูรณ์แบบนี้ หากพูดให้ฟังดูดีคือนางเป็นแบบอย่างของสตรีสูงศักดิ์ แต่หากพูดให้ฟังดูแย่ ก็คือความห่างเหินจนเกินไปไม่ทราบเพราะเหตุใด เซวียมู่เจาพลันรู้สึกขัดตาอยู่บ้าง“พี่น้องกันแท้ ๆ ไม่จำเป็นต้องมากพิ

  • เกิดใหม่หนีรักทรยศ มาตกหลุมรักแม่ทัพพิการ   บทที่ 25

    เมื่อเห็นใบหน้าที่คล้ายคลึงกันตรงหน้าทั้งสอง แม้จะไม่อยากยอมรับเพียงใด แต่ในใจของเซวียหมิงเฟยก็บังเกิดความคิดอันน่าสะพรึงกลัวขึ้นมาอนุชิว คือมารดาผู้ให้กำเนิดของนางชีวิตสิบห้าปีที่ผาสุกในจวนซึ่งนางได้รับมา แท้จริงแล้วควรเป็นของเซวียหว่านอี้ฮูหยินเจียงมองคนทั้งสองในโถงด้วยสายตาเรียบเฉยไม่อยากยอมรับก็ไร้ประโยชน์อนุชิวและเซวียหมิงเฟย ช่างเหมือนกันเสียจริงนางปรายตามองเซวียฉงที่อยู่ข้างกายนางแวบหนึ่งไม่ว่าเขาจะรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ ฮูหยินเจียงก็บังเกิดความแค้นเคืองต่อเขาแล้วเป็นเพราะความโปรดปรานที่บุรุษผู้นี้มีต่ออนุภรรยา จึงทำให้อนุชิวบังเกิดจิตใจอำมหิตถึงเพียงนี้แต่ตัวนางและบุตรสาวแท้ ๆ ช่างเป็นผู้บริสุทธิ์ยิ่งนักพลันนึกขึ้นได้ว่า เซวียหว่านอี้ได้รับพระราชทานสมรสกับจวนเจิ้นกั๋วกงแล้วหากเป็นเมื่อสองวันก่อน ฮูหยินเจียงย่อมไม่พอใจอยู่แล้วเรื่องสมรสของบุตรีอนุ ไฉนเลยจะสูงส่งกว่าบุตรสาวของนางได้แต่บัดนี้กลับไม่เหมือนเดิมแล้วนางเป็นถึงคุณหนูใหญ่จากจวนโหวโดยแท้ความรู้สึกนั้นจะมองว่าสำคัญก็ได้ หรือไม่สำคัญก็ได้ ทุกอย่างล้วนผูกพันกับผลประโยชน์ของตระกูล“นับแต่นี้ไป เบ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status