หั้วชินอ๋องไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ทำเพียงพยักหน้าแล้วหันหลังเป็นสัญญาณให้แม่ทัพชวี่ เดินตามไปที่ด้านหลังเรือนของฉือฟางอิน แม้จะยังไม่เข้าใจกับท่าทีนั้นของสหาย แต่แม่ทัพชวี่ก็ยอมเดินตามไป แต่ทว่าสิ่งที่แม่ทัพชวี่เห็นทันทีที่ไปถึงนั้น ทำเอาเขาถึงกับผงะ เมื่อบริเวณด้านหลังเรือนของบุตรสาว กลับเต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ห้าถึงหกคน ยืนล้อมชายฉกรรจ์ที่กำลังคุกเข่า พร้อมกับถูกมัดมือและถูกปิดปากเอาไว้
ใกล้ๆ กันนั้นยังปรากฏร่างของฉือหย่งหลิง แม่ทัพใหญ่ในกองกำลังของสหาย อยู่ในสภาพสวมอาภรไม่เรียบร้อย เหมือนกับสภาพของเพ่ยเหยาซ่าง ที่แม่ทัพชวี่พึ่งได้พบไปเมื่อครู่นี้ไม่มีผิด โดยที่แขนข้างซ้ายของฉือหย่งหลิง ยังมีบาทแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ ที่ทำให้ตามเนื้อตัวของเขาเปื้อนไปด้วยเลือด ภายในใจของแม่ทัพชวี่เกิดอาการสั่นไหวอย่างรุนแรง ไม่อยากคาดการณ์สิ่งใดอีกต่อไป จึงต้องคาดคั้นเอากับสหายอย่างหั้วชินอ๋องเสียก่อน
“อาหั้ว บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ก่อนที่ข้าจะฆ่าคนผู้นั้น”
“อาโหลว เจ้าใจเย็นก่อน เรื่องนี้ซับซ้อนยิ่งนัก”
“เรื่องอะไร!”
“ดูเหมือนว่าบุตรสาวของท่านจะวางยาคนของข้า”
“ว่าอย่างไรนะ! อาหั้ว เจ้ากล่าวเกินไปแล้ว เหตุใดจึงถึงได้มากล่าวว่าร้ายอินเอ๋อร์ บุตรสาวของข้าเช่นนี้”
“มิเกินไปหรอกท่านแม่ทัพ บุตรสาวของท่าน เมามายเดินเข้ามากอดข้า จับข้ากรอกสุราที่นางถืออยู่ใส่ปากของข้า แล้วข้า ข้าก็มีอาการอย่างว่าขึ้นมา”
แม้จะอยู่ในสภาพไม่สู้ดีเพราะเสียเลือดไปมาก แต่กระนั้นน้ำเสียงของฉือหย่งหลิง ก็เต็มไปด้วยความหนักแน่น ว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไปนั้น ไม่ใช่เขาที่เป็นคนเริ่มก่อน แม้ว่าตอนที่อยู่ในงานเลี้ยง เขาจะต้องยกจอกสุราเข้าปาก ตอบรับเหล่าทหารที่แวะเวียนมาแสดงความยินดี เรื่องสมรสพระราชทานที่ฮ่องเต้แคว้นหลูพระราชทานให้ เมื่อสติสัมปชัญญะชันยะเริ่มลดลง ชายหนุ่มจึงขอตัวกลับมาพักผ่อนยังเรือนรับรอง แต่ทว่าด้วยฤทธิ์สุราประกอบกับการไม่คุ้นชินกับเส้นทาง ทำให้เขาเดินหลงเข้ามายังฝั่งเรือนของคุณหนูใหญ่ฟางอินบุตรสาวคนโตของทัพชวี่โดยไม่ได้ตั้งใจ
กว่าจะรู้ตัวว่าตนเองเดินมาผิดทาง ก็ถูกคุณหนูฟางอินที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากทางไหน โผเข้ามากอดเขาเอาไว้แน่น อย่างคนเมามายไม่มีสติสัมปชัญญะ ฉือหย่งหลิงพยายามแกะมือของนางออกจากเอว แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่ยากเหลือเกินสำหรับเขาในตอนนั้น ที่ยังถูกฤทธิ์สุราเล่นงานอยู่ คิดแล้วก็ได้แต่โทษตัวเองที่ตามใจพลทหารเหล่านั้นมากเกินไป จนทำให้ตนเองต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เขาและนางยื้อยุดกันไปมาอยู่พักใหญ่ สุดท้ายทั้งนางและเขาต่างก็ล้มลงไม่เป็นท่า ร่างของทั้งสองกลิ้งทับกันไปมา จนในที่สุดก็มาหยุดลงข้างพุ่มไม่ใหญ่ ด้วยท่าทางที่คุณหนูฟางอินนั้น กำลังค่อมร่างของเขาอยู่
“ลุกออกไปจากตัวข้า เจ้าเป็นถึงคุณหนูใหญ่จวนขุนนาง เหตุใดถึงได้ทำตัวไร้ยางอายเช่นนี้”
“คิกๆ ท่านกล่าวอันใด ข้าฟังไม่เห็นรู้เรื่อง” ไม่เพียงแต่พูดเปล่า ร่างบางตรงหน้ายังใช้มือของนาง ลูบไล้ไปทั่วแผงอกกำยำของฉือหย่งหลิง พร้อมกับส่งสายตาสื่อความหมาย
“ทำเจ้าอะไรของเจ้า! เอามือของเข้าออกไปบัดเดี๋ยวนี้”
“จิ๊! พูดมากเสียจริง ดื่มสุรานี่ซะ จะได้เลิกพูดมากเสียที”
“นี่เจ้า! หยุดนะ อุ๊บ!”
สุราในมือของฉือฟางอิน ถูกกรอกเข้ามาในปากจนหมด จนชายหนุ่มสำลักหน้าดำหน้าแดง เพียงครู่เดียวภายในกายก็ร้อนรุ่มอย่างไม่ทราบสาเหตุ จากนั้น มือที่เคยดันร่างของดันร่างของหญิงสาว ก็กลับกลายเป็นยกขึ้นมากอดรัดเอวนางไว้ ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย
“เป็นอย่างไร ไม่พูดมากต่อแล้วหรือท่าน”
ฉือฟางอินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขบขัน ที่เห็นท่าทางเช่นนั้นของบุรุษตรงหน้า ด้านฉือหย่งหลิงเมื่อฟังนางพูดเช่นนั้นก็ขบกรามของตนแน่น ลุกขึ้นยืนได้โดยที่แขนทั้งสองข้าง ยังคงกอดคงกอดนางเอาไว้ จากนั้นก็อุ้มพาร่างของคุณหนูใหญ่ของจวนสกุลชวี่ เข้าไปยังเรือนนอนของนาง
“ทุกอย่างดูเหมือนถูกจัดฉากเอาไว้ไม่มีผิด ในนั้นไม่มีคนรับใช้อยู่แม้แต่คนเดียว”
“จะเป็นไปได้อย่างไร จะไม่มีผู้ใดอยู่ในเรือนของนางเลยสักคนได้อย่างไร”
“มันเป็นไปแล้ว ท่านดูอย่างตอนนี้สิ มีคนรับใช้ในจวนของท่านโผล่หัวมาสักคนหรือไม่”
“แล้วเจ้า ก กับอินเอ๋อร์ ด ได้”
แม่ทัพชวี่หรือชวี่ละล่ำละลักเอ่ยถามออกมา ขณะที่กำลังกอดร่างของบุตรสาวเอาไว้ แม้นางจะไม่ได้อยู่ในสภาพร่างกายเปลือยเปล่า ที่มีเพียงผ้าห่มห่อหุ้มร่างกายไว้ เหมือนอย่างชวี่หนิงซื่อน้องสาวต่างมารดาของนาง แต่ทว่าชุดที่นางสวมใส่อยู่นั้น ก็ไม่อยู่ในสภาพที่ดีสักเท่าใดนัก
“ยังไม่ไปถึงขั้นนั้น ข้าห้ามตัวเองเอาไว้ได้ทัน ด้วยแผลนี่”
เมื่อฉือหย่งหลิงกล่าวเช่นนั้น แม่ทัพชวี่ก็เข้าใจได้ทันทีว่าแผลที่แขนของบุรุษตรงหน้า เกิดจากการที่เขาพยายามที่จะหยุดการกระทำอันไร้สติ ด้วยการทำร้ายตนเอง แม่ทัพชวี่ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ ที่ร่างกายของบุตรสาวยังไม่ได้รับความเสียหาย แต่ทว่าการถึงเนื้อถึงตัวกันถึงขั้นนั้น อินเอ๋อร์ของเขาก็ยังเป็นผู้ได้รับความเสียหาย มากกว่าบุรุษอย่างฉือหย่งหลิงอยู่ดี
“แต่ในฐานะที่ข้าเป็นบิดาของนาง ข้าเองก็มั่นใจว่าอินเอ๋อร์ไม่เคยมีนิสัยเช่นนั้น ยิ่งกับสุราด้วยแล้ว นางไม่เคยแตะต้องมันเลยสักครั้ง”
“อาหั้ว ข้าเองก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่” เป็นหั้วชินอ๋องที่เอ่ยขึ้นมา หลังจากยืนฟังเรื่องราวอยู่พักใหญ่
“เจ้าคิดว่าอย่างไรหรือ”
“ข้าคิดว่างานเลี้ยงวันนี้ต้องมีใครบางคน คิดจัดฉากทำเรื่องบางอย่างขึ้น แต่ทว่า แผนที่ว่านั่นอาจจะคาดเคลื่อนไป เพราะจู่ๆ อาหลิงคนของข้า ได้เข้ามาเกี่ยวโดยไม่ได้ตั้งใจ”
เมื่อลองคิดตามคำพูดของสหาย พลันตาของแม่ทัพชวี่ก็เบิกกว้างขึ้น เพราะในหัวเกิดฉายภาพเรื่องราว ที่เกิดขึ้นที่เรือนของชวี่หนิงซื่อเมื่อครู่นี้ขึ้นมา ถูกต้อง! เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรือน ของบุตรสาวของเขาทั้งสองคน จะต้องมีผู้อยู่เบื้องหลังเป็นแน่
“แล้วคนที่พวกเจ้าจับมัดอยู่ข้างนอกนั่นล่ะ คนผู้นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยใช่หรือไม่”
“ไม่ผิด คนผู้นั้นเข้ามาในเรือนของบุตรสาวเจ้า หลังจากที่อาหลิงใช้มีดกรีดแขนเพื่อเรียกสติตนเองได้แล้ว ดูท่าแล้วน่าจะเป็นคนที่ถูกส่งมาทำเรื่องเช่นนั้นกับบุตรสาวของเจ้า”
แม่ทัพชวี่ได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดบันดาลโทสะจนเลือดขึ้นหน้า เขาค่อยๆ บรรจงวางร่างของฉือฟางอินลงบนเตียง บอกกับหั้วชินอ๋องว่าจะไปถามเอาความ จากชายผู้นั้นว่าใครกันแน่ที่คิดทำเรื่องเลวทรามเช่นนี้ แต่ทว่าทันทีที่เขาเปิดประตูออกไป หนึ่งในพลทหารที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก ก็ได้ตระโกนบอกข่าวร้ายขึ้นมาเสียก่อน
“ท่านอ๋องแย่แล้วขอรับ! ชายต้องสงสัยผู้นั้น กัดยาพิษที่ซ่อนเอาไว้ในปาก สิ้นใจไปแล้วขอรับ!”
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี