 LOGIN
LOGINตอนที่ 6
จอมมารหลานเฟย!
ความจริงแล้วไช่ลี่เฉินเดินตามนางมาโดยตลอด คราแรกเขาแค่นึกว่านางจะไปรายงานตัวกับเจ้าสำนักเลยจะเดินตามไปด้วยเพราะเรือนของเหอตี้ก็อยู่ข้างๆ กัน แต่นางกลับเดินออกนอกลู่ไปเรื่อยๆ ...
ไช่ลี่เฉินเดินไปได้สักพักก็รู้สึกไม่สบายใจ ก่อนจะหันไปมองก็พบว่าเป็นเหอตี้กับตงขงอวี่และศิษย์ในสำนักอีกสามคนตามมาด้วย
เขากำลังจะตกใจก็เห็นเหอตี้ยกนิ้วเรียวยาวขึ้นมาทาบไว้กับริมฝีปากเสียก่อนเลยไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา
จากนั้นเหอตี้ก็ชี้ไปยังมี่มี่ที่คุยกับดอกไม้อยู่ ความจริงนางคุยกับดอกไม้ได้จริงๆ อาจจะบอกว่าเป็นความสามารถพิเศษโดยเฉพาะของบิดาก็ได้ เนื่องจากนางได้พลังสืบทอดมาจากเขา เลยทำได้เหมือนเขาเกือบทุกอย่าง
อยู่ๆ ศิษย์ด้านหลังก็กระซิบกระซาบแผ่วเบา “นั่นเฟยรั่วทำอะไร นางกำลังพูดคนเดียว...”
จากนั้นอีกคนก็กระซิบ “นางหัวเราะคิกคักด้วย ขนลุกชะมัด”
ไช่ลี่เฉินกลับได้ยินแล้วไม่พอใจ การกระทำของนางเช่นนี้เปรียบเหมือนสตรีจิตใจงดงามต่างหาก นางน่าขนลุกตรงที่ใด จากนั้นเขาก็ตั้งใจตามนางไปอย่างช้าๆ ไม่แสดงตัวให้สตรีตัวน้อยตกใจ
“นั่นๆ นางยืนคิดสิ่งใด” ศิษย์อีกคนก็กระซิบเพียงลมออกมาอีกครั้ง
จนถึงตอนนี้ทุกคนก็เริ่มคิดว่านางแปลกประหลาด ทั้งที่ยามนี้ต้องไปรายงานตัวยกน้ำชาให้อาจารย์ของตนยามเช้า แต่มี่มี่กลับเลือกที่จะเดินมาท้ายสำนัก?
“ฮ่าๆๆๆ”
จู่ๆ เสียงหัวเราะที่นางระเบิดออกมาก็ทำให้ศิษย์ชายสามคนสะดุ้งตกใจในที่สุด
ขนลุกจริงๆ ขนลุกนัก!
เหอตี้ค่อยๆ หยิบปลอกดาบข้างเอวช้าๆ เตรียมความพร้อมเสมอว่าฝ่ายตรงหน้าจะทำอะไรต่อ
ไช่ลี่เฉินเห็นเหอตี้จับดาบก็เริ่มกระวนกระวายใจ หันหน้ากลับไปหาเขาแล้วเอ่ยน้ำเสียงเบา “ท่านอาจารย์...”
เหอตี้ส่งกระแสจิตไปในความคิดของศิษย์ชาย ‘ไม่ต้องห่วง ดาบของข้าไม่ได้ทำร้ายมนุษย์ ดาบนี้ฆ่าได้แค่วิญญาณปีศาจ’
ไช่ลี่เฉินเริ่มกระจ่างขึ้นมา คำพูดที่เหอตี้จะสื่อออกมาก็คือ ยามนี้นางอาจถูกปีศาจควบคุมอยู่นั่นเอง
‘พวกเจ้าฟังให้ดี’ คราวนี้เหอตี้ส่งกระแสจิตไปหาทุกคน ‘ตั้งค่ายกล’
มี่มี่เริ่มรู้สึกตัวในที่สุด เพราะเมื่อครู่มัวแต่ฟังเสียงพวกภูตดอกไม้เลยไม่รู้ว่าถูกสะกดรอยตาม หากไม่ใช่เพราะหลานกัวบอกนางก็คงไม่รู้
นางดีดนิ้วหนึ่งทีอาภรณ์ก็เปลี่ยนเป็นสีดำมืด ทรงผมถูกรัดแน่นจนสูงเด่น เป็นผลให้หางคิ้วของนางชี้ตั้งราวกับใบหน้าของสตรีเย่อหยิ่ง
จากนั้นจึงหันหน้าไปทางคนกลุ่มด้านหลังที่กำลังตั้งค่ายกลกันอยู่
มี่มี่หยิบดาบคู่ดำแดงออกมากลางอากาศโดยไม่ต้องร่าย แล้วโยนดาบทั้งสองเล่มออกมากระโจนใส่กลุ่มคนหกคนตรงหน้า พวกสำนักสิงซู่ก็สู้กลับอย่างไม่รีรอ ดาบคู่ฟาดฟันกลางอากาศราวกับมีคนจับมันเข่นฆ่าคู่ต่อสู้ ทั้งที่มี่มี่ก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับกาย
จากนั้นนางก็ปล่อยหลานกัวออกมา ร่างของมันค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเป็นรูปร่างคล้ายเสือ แต่ว่าเป็นสีแดงเลือด มี่มี่กระโดดขึ้นเหยียบบนหลังมันแล้วดึงคันธนูลงมาจากกลางอากาศ ก่อนจะเล็งศรไฟไปทางพวกเขา
“แม่นางเฟย เจ้าตั้งสติให้ดี!” ไช่ลี่เฉินตะโกนออกมาเป็นคนแรก
แต่กลับถูกฝ่ามือใหญ่ของเหอตี้ยกขึ้นมาห้ามไว้ทันที “ศิษย์ข้า ขนาดนี้แล้วเจ้ายังดูไม่ออก?”
ไช่ลี่เฉินไม่กล้ายอมรับความจริง ในใจคอยปลอบตัวเองว่านางเพียงแค่โดนวิญญาณร้ายสิงสู่
และไม่ได้เป็นปีศาจ...
มี่มี่ยกยิ้มจนริมฝีปากเล็กบางราวเส้นตรง ก่อนจะยื่นคำขู่ “คุณชายไช่ เห็นแก่ที่ข้าเคยช่วยท่านไว้ถึงสองครั้ง ท่านปล่อยข้า ข้าออกไป แล้วก็ทำเหมือนว่าเรื่องวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้น เจอกันครั้งหน้าค่อยสู้หาผลแพ้ชนะได้หรือไม่”
ไช่ลี่เฉินขอบตาแดงก่ำ ร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อยหันไปหาเหอตี้ “ท่านอาจารย์ เดิมทีสำนักของเรามีบุญคุณต้องทดแทน และไม่คำนึงถึงอีกฝ่ายว่าจะดีชั่วยังไง เห็นแก่ที่นางเคยช่วยข้า อาจารย์ช่วยทำตามที่แม่นางเฟยบอกได้หรือไม่ขอรับ”
เหอตี้ร่ายอาคมป้องกันล้อมรอบทั้งหก ก่อนจะจ้องมี่มี่นิ่งไม่เอ่ยคำใดอยู่นาน จากนั้นน้ำเสียงเคร่งขรึมค่อยๆ เปรยขึ้นมา “หากข้าเจอครั้งหน้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
มี่มี่ได้ยินคำขาดก็โยนธนูขึ้นฟ้าจนมันหายลับไปต่อหน้าต่อตา วาดฝ่ามือหนึ่งทีดาบคู่ก็ถูกเผาไปต่อหน้าพวกเขา หลานกัวก็ย่อส่วนลงมาเป็นรูปร่างมนุษย์สีแดงตัวจิ๋วแล้วมานั่งพาดไหล่นางเช่นเดิม “หากครั้งหน้าเจอกัน ข้าก็ไม่ออมแรงเหมือนวันนี้แน่”
ศิษย์ทั้งสามสีหน้าซีดเผือดทันที นี่ออมแรงแล้วหรือ!
“เช่นนั้นข้าจะขอรู้นามศัตรูของข้าสักนิดก็ไม่เป็นไรกระมัง เจอครั้งหน้าจะได้สู้ถูกคน” เหอตี้กล่าวเนิบช้า
มี่มี่หุบยิ้มลง ในมือก็ร่ายวงแหวนขนาดใหญ่ไปพร้อมกับคำตอบที่ตามหลัง “นามของข้าคือหลานเฟย” จากนั้นก็หายลับเข้าไปในวงแหวนต่อหน้าต่อตาทุกคน
พอได้ยินดังนั้นพวกศิษย์สำนักสิงซู่ก็อ้าปากค้างกันเป็นแถบ “นะ นางมารหลานเฟย”
ตามมาด้วยท่าทางรังเกียจและหวาดกลัวไปพร้อมๆ กัน เหอตี้ยังคงสงบนิ่งสมกับที่อยู่ตำแหน่งปรมาจารย์ของสำนัก ตงขงอวี่ก็ลอบพ่นลมหายใจด้วยความถี่แรงเล็กน้อย
มีเพียงไช่ลี่เฉินเท่านั้นที่ไม่ได้รังเกียจนางเท่าพวกเขา ทั้งที่รู้ว่านางคือพวกปีศาจ ทั้งยังเป็นนางมารของพรรคอธรรมเขาก็ไม่ได้มีความคิดรังเกียจนางเลย...

บทส่งท้ายเสียงหัวเราะสดใสของเด็กทารกดังก้องในอุทยานหลวง ดอกเหมยผลิบานกลางฤดูหนาวอีกครา ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายเบา ๆ สะท้อนแสงสีทองอ่อนในยามสายท่ามกลางสายลมเย็นนั้น นางมารหลานเฟยผู้ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดในใต้หล้าที่ชอบสวมใส่ชุดอาภรณ์สีแดงดำ บัดนี้เปลี่ยนเป็นชุดแพรไหมสีชมพูอ่อน สะท้อนแสงอ่อนละมุน ทอดสายตามองบุตรชายตัวน้อยที่คลานเล่นอยู่บนเสื่อผ้าไหมข้างหมาป่าหิมะสีขาวลี่ต้า นามรอง เหยาเกอ คือผลพวงแห่งความรัก ระหว่างปีศาจกับมนุษย์เฉิงต้วนบัดนี้มิใช่เพียงรัชทายาทผู้มากบารมี แต่เป็นฮ่องเต้ปกครองแผ่นดินที่ผู้คนเกรงขาม เขาค่อย ๆ เดินเข้ามาโอบเอวภรรยาแน่นขึ้น แล้วโน้มหน้าไปจูบหน้าผากของนางเบา ๆ“มี่มี่เหนื่อยหรือไม่?” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนโยนมี่มี่มองหน้าสามี ยิ้มบาง ๆ “ไม่เหนื่อย ข้าแค่เห็นเกอเกอกับท่านก็มีความสุขแล้ว”“หากวันนั้น ข้าไม่บุกเข้าดินแดนเว่ยต้า มี่มี่ก็คงไม่กลับมาใช่หรือไม่?” เขาถามพลางลูบข้างแก้มของนางอย่างรักใคร่นางยิ้ม แต่ยังไม่ตอบสิ่งใด ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะกระซิบกลับเบาๆ“หากท่านไม่บุกมา ข้าคงได้แต่คิดถึงท่านไปจนตาย...”ที่นางบอกเขาล้วนคือความจริง...ย
ตอนที่ 33หุบเขาผากระดูกประตูเชื่อมแดนปีศาจและโลกมนุษย์ ความจริงแล้วยามนี้อยู่ด้านหลังสำนักสิงซู่หญิงสาวในชุดสีดำแดงเดินช้า ๆ บนสะพานไม้ ดาบแดงดำคู่กายแนบแน่นอยู่บนแผ่นหลัง ผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นหลวมๆ ใบหน้างามเยือกเย็นแลดูสงบนิ่ง ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความเงียบเหงาหลานกัว โผล่พ้นแขนนางขึ้นมากระซิบ ‘มี่มี่ คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง’“ข้ารู้” นางตอบเสียงแผ่วเบา ดวงตายังจับจ้องแสงจันทร์ที่สะท้อนผิวน้ำ‘เขาคงกำลังมองหาเรา’นางพยักหน้าเบาๆ “แต่ยิ่งเขาหาไม่เจอ ยิ่งดี”“ท่านจอมมาร ท่านหมอมารอแล้วเจ้าค่ะ” ปีศาจแมวซึ่งกลายร่างเป็นหญิงสาวสะคราญก้าวเข้ามาเบา ๆ“เดี๋ยวข้าไป” นางยิ้มจาง ๆ ใบหน้าเศร้าสร้อยในห้องบรรทมของรัชทายาทที่วังหลวง เฉิงต้วนโยนม้วนผนึกทิ้งลงบนโต๊ะ เสียงน้ำชาสาดลงในถ้วยดังกังวาน เขานั่งพิงพนักพิง มองออกไปยังสวนหินที่เคยมีนางเดินผ่าน“เจ้าจะไม่กลับมาเลยหรือ มี่มี่” เขาพึมพำทันใดนั้นเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้น องครักษ์หลี่เฟิงประจำพระองค์ยื่นของบางอย่างมาให้ เป็นดอกไม้หน้าตาประหลาด แต่เฉิงต้วนกลับคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดอกไม้ในดินแดนเว่ยต้า!“ใต้ต้นหลิวหลังสำนักสิงซู่ คาดว่ามีประ
ตอนที่ 32พลิกฟ้า คว่ำแผ่นดิน แหวกมหาสมุทรในตำหนักบูรพา หลังจากเฉิงต้วนกอดเฟยมี่มี่เข้านอนตามปกติ แต่แล้วนางก็ลุกขึ้นมา ดีดนิ้วหนึ่งทีในอ้อมแขนของเขาก็กลับกลายเป็นฟูกนอนขนาดเท่าตัวคนแทนนางยืนมองบุรุษที่หลับใหลอยู่เบื้องหน้า ผู้เป็นทั้งคนรักและเป็นทั้งคนในครอบครัว ช่วงนี้ราชกิจเขาค่อนข้างเยอะจึงเหนื่อยทั้งวัน หัวถึงหมอนก็กอดนางนอนหลับเลยทันที“ยามนี้ท่านไม่ต้องหลบหนี ไม่ต้องต่อสู้ ไม่ต้องอยู่ผู้เดียวเหมือนสิบปีก่อนอีกแล้ว ข้าพอใจแล้วที่ท่านได้กลับสู่บ้านของท่าน มีบิดาที่รักท่าน มีปวงประชาที่เคารพท่านและท่านต้องดูแลพวกเขาให้ดีนะ อาต้วน”นางโน้มกายลงช้า ๆ วางริมฝีปากบนหน้าผากเขา มันเบาเสียจนไม่อาจรู้สึก แต่เต็มไปด้วยคำร่ำลาทั้งหมดของนางนางรู้ดีว่านางและเขาไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ เขามีประชาชนของเขา นางเองก็มีประชาชนของนาง มีน้องชายน้องสาวที่ต้องดูแล“แม้ไม่มีข้า ก็ต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้”ที่เส้นแบ่งแดนระหว่างโลกมนุษย์และปีศาจ เฟยมี่มี่ยืนตรงหน้าปรมาจารย์เหอตี้ ที่เป็นหนึ่งในศัตรูเก่าแต่ยามนี้คือพันธมิตร ปรมาจารย์ในชุดขาวสะอาดยืนหลังตรง ดวงตานิ่งสนิท ด้านข้างมีหวางย่าอีน้ำตาตลอ“ท่านปรมาจ
ตอนที่ 31หวนคืนสู่บ้านท้องฟ้ายามรุ่งสางปกคลุมด้วยหมอกขาว ข่าวที่พบรัชทายาทผู้หายสาบสูญมานานนับสิบปีดังทั่วเมืองหลวง สาเหตุการหายสาบสูญนี้มาจากพระอนุชาองค์ฮ่องเต้ทำการลอบทำร้ายและมอบยาพิษให้รัชทายาทจนกลายเป็นเด็กวัยเจ็ดขวบเขาร่อนเร่อยู่ด้านนอกนานนับหลายปี แต่เนื่องจากถูกนางมารหลานเฟยจอมมารหญิงแห่งดินแดนเว่ยต้าช่วยเหลือไว้ ทำให้ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลมากมาย ทั้งยังยอมรับการสานสัมพันธ์พรรคธรรมะกับพรรคอธรรมที่บิดามารดานางตั้งใจไว้ก่อนตายให้สำเร็จผล ไม่ให้ฝ่ายใดทำร้ายกันอีกเป็นมิตรที่ดีอยู่ร่วมกันได้ปกติบัดนี้สามารถจับกุมคนร้ายไว้ได้หมดแล้ว เฉิงต้วนก้าวเข้าสู่เส้นทางอำนาจอีกครั้งด้วยสายตาแน่วแน่ ทว่าท่ามกลางเสียงสรรเสริญและความยำเกรงของผู้คน หัวใจของเขากลับโหยหาเพียงหนึ่งเดียวสตรีในดวงใจที่ยามนี้อยู่ในคฤหาสน์พระราชทานกลางเมืองหลวง เขารอรับพิธีมอบตำแหน่งเสร็จสมบูรณ์แล้วเขาก็จะรีบไปหานางทันทีนางที่เขาจับมือเคียงข้างมาตลอดเส้นทาง แม้อดีตคนทั้งแผ่นดินจะชิงชังนาง แต่นางคือแสงสว่างเดียวที่ทำให้เขาทนอยู่ได้เมื่อพิธีเสร็จสิ้นเฉิงต้วนก็รีบก้าวเข้าสู่ประตูคฤหาสน์ไปหานางมารหลานเฟยทันทีทันใดมี่
ตอนที่ 30ทำเพื่อตัวนางเองสำนักสิงซู่สามคมอึ้งตะลึง ปรมาจารย์เหอตี้ถอยหลังด้วยความตกใจเมื่อเห็นพลังมืดล้อมร่างฝ่ายตรงข้าม อาคมต้องห้ามที่สูญหายไปนับร้อยปีกลับปรากฏอีกครั้ง!“เมื่อเดือนก่อนข้าส่งคนไปจัดการศิษย์เอกของเจ้าแต่มันรอดมาได้อีก ตัวมันเองก็ไม่ได้บอกเจ้าเลยล่ะสิ” เต๋ออี๋แสยะยิ้มชอบใจก่อนจะหันไปทางมี่มี่ “และที่สำคัญบิดามารดาเจ้าพวกข้าเองที่ลอบทำร้ายพวกมัน!”เหอตี้ใบหน้าซีดเผือด มองไปยังพลังมืดโดยรอบผู้คนทุกคนของสำนักอสูรดำ มี่มี่เองไอแค้นก็เริ่มปะทุ“ท่าน…พวกท่านกล้าก้าวสู่เส้นทางมารทั้งสำนักงั้นหรือ!”แววตาเต๋ออี๋แข็งกร้าว“เพื่อให้โลกเห็นว่า สำนักข้ามิด้อยไปกว่าสำนักสิงซู่! วันนี้จะไม่มีใครในสิงซู่เหลือรอด! ฆ่าพวกเจ้าก่อนแล้วข้าจะไปล้างผลาญให้สิ้น!”ทันใดนั้น เขาฟาดฝ่ามือออก พลังดำกลืนกินท้องฟ้า เกิดเสียงดังสนั่นราวฟ้าผ่า เสียงโลหะปะทะดังระงม ทั้งสองสำนักเปิดศึกอย่างดุเดือดเฟยมี่มี่ใช้พลังเวทวิเศษล้อมรอบนางและนางเอกทั้งสองของนิยายไว้ทันที เพื่อป้องกันโดนลูกหลงดาบเหอตี้เปล่งประกายปะทะกับคมดาบมืด เสียงร้องคำรามดังปนเสียงเจ็บปวดรอบทิศ เลือดสาดกระเซ็น ลานคฤหาสน์ที่เคยเงียบสงบ
ตอนที่ 29สำนักอสูรดำปรมาจารย์เหอตี้ขมวดคิ้ว“ข้าไม่ได้ขอให้สำนักไหนลงมือ! นางมารหลานเฟยข้าจะจัดการเอง หัวหน้าพรรคมอบหมายให้ข้าแล้ว”“แต่ข้าไม่จำเป็นต้องรอฟังคำสั่งใคร!” ชุนตี๋หลานชายของผู้เฒ่าชุนยามนี้เขาเป็นบุตรชายของเจ้าสำนักอสูรดำวางมาดเข้มในชุดคลุมหน้ากากทองก่อนจะกระโจนลงจากกิ่งไม้ทันใดนั้น คนของสำนักอสูรดำที่เสริมทัพมาเพิ่มทั้งหมดต่างชักอาวุธขึ้นมา มีหนึ่งในนั้นร่ายเวทอาคมดำ! รูปแบบมันสลับซับซ้อน วงเวทขนาดใหญ่คลี่คลุมทั้งคฤหาสน์ปรมาจารย์เหอตี้และลูกศิษย์ถูกกักในมิติพลังส่วนกลางวงเวทมีขนาดใหญ่ ขณะที่นางมารหลานเฟยกับหลานกัว ถูกจับแยกไปอีกด้านของวงเวทแผ่นดินสั่นสะเทือน อาคมสีดำกระจายตัวทะลุใต้พื้นดินขึ้นมา มี่มี่ยังคงยืนนิ่ง มือกำดาบแน่น นางกล่าวอย่างเย็นชา“คิดว่าแยกข้าออกมาแล้วจะสู้ข้าได้เช่นนั้นหรือ”หลานกัวตัวน้อยกลายร่างในพริบตา กลายเป็นร่างเสือโลหิต นัยน์ตาแดงสว่างเรืองรอง ก่อนจะแยกร่างเป็นแส้เลือดยื่นออกไปทางมี่มี่การต่อสู้จึงเริ่มขึ้นอีกครา โลหิตพุ่งจากปลายแส้ของมี่มี่ คมดาบดำแดงของนางมารหลานเฟยสะบั้นอาคมทีละชั้นร่างหนึ่งกระโจนเข้ามาจากด้านข้าง หมายจะใช้มีดสั้นอาบพิษม








