LOGINด่านที่สองของการฝึกวิชาคือพลังตัวเบาดุจขนนก หวังซีซวนงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะเซี่ยฟานเข้ามาปลุก พร้อมอาหารเช้าของโปรดของเขา
“คุณชาย รีบกินเถิด เดี๋ยวไม่ทันนะขอรับ” เซี่ยฟานจัดแจงนำอาหารมาวางไว้ถึงบนเตียงของเขา แล้วยื่นตะเกียบให้
“อื้อ ๆ” หวังซีซวนพูดไม่เป็นคำเพราะอาหารที่อัดแน่นเต็มปากของเขา แก้มทั้งสองข้างนูนออกมาจนหน้าดูประหลาดไป
“คุณชาย รีบเกินไปแล้วกระมัง” เซี่ยฟานมองหน้าเขากลั้นหัวเราะเอาไว้
หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว หวังซีซวนก็เดินเข้าสู่ป่าไผ่เขียว เพื่อรับการฝึกวิชาด่านที่สอง
“คุณชาย วันนี้พวกเราหนีไม่พ้นไปนอนที่เล้าหมูแน่ ๆ เลยขอรับ” ศิษย์น้องบอกเขาพลางชี้ไปที่กลางลานฝึก
ลำต้นใหญ่ของไผ่เขียวนับสิบตั้งอยู่ หากมองดูดี ๆ แล้ว ลำต้นกลับเคลือบไปด้วยน้ำมัน ความสูงของแต่ละต้นไม่อาจนับได้ เพราะเมฆหนาลอยปกคลุมอยู่ด้านบน
“สูงเท่าใดหรือ” คุณชายหกถามศิษย์ที่เขาสนิทด้วย
“ไม่รู้ขอรับ” เขาตอบตามความจริง “จะรอดไหมขอรับ” แล้วก็ถามความเห็นของคุณชายหกต่อ
“แล้วเจ้าจะแพ้ให้หวังซีซวนที่แสนอ่อนแอนั่นหรือ” เขาพูดกระแทกกระทั้น หวังจะให้หวังซีซวนได้ยิน แต่เวลานั้นหวังซีซวนมัวแต่มองไปที่ยอดต้นไผ่
พอได้เวลา ต่างคนต่างหาทางปีนขึ้นไปบนยอดเพื่อฝึกวิชาตัวเบาให้ได้
หวังซีซวนเห็นหลายคนที่ปีนต้นไผ่ลื่น ๆ แล้วตกลงมาก็พยายามนึกว่าจะจัดการกับต้นไผ่ของตัวเองอย่างไรดี แล้วก็คิดได้ว่าหากเขาฝึกวิชานี้ได้สำเร็จก็จะกระโดดลอยข้ามกำแพงสำนักหนีไปข้างนอกได้ ไม่ต้องมุดรูอีกต่อไป
เขานั่งลงที่หน้าลำต้นไผ่เขียว หลับตาลง สูดหายใจเข้า ลึก ๆ นึกถึงคำที่อาจารย์ประจำด่านสอนเมื่อตอนเช้า จุดที่สำคัญคือการฝึกวิชาตัวเบา หาใช่การพยายามปีนลำต้นไผ่ ใยต้องเสียเวลากับเรื่องอื่นด้วยเล่า
ครั้นได้ใช้สมาธิรวมรวมพลังที่ไหลเวียนอยู่ในตัว ร่างของหวังซีซวนก็เริ่มลอยขึ้นจากพื้นดินเล็กน้อย เขาใช้เวลาครึ่งค่อนวันลอยตัวได้หนึ่งชุ่น ก่อนจะหมดแรงร่วงลงพื้นเพราะหิวข้าว สุดท้ายแล้วก็ได้กลับไปนอนที่เล้าหมูเหมือนเก่า
เซี่ยฟานทำอาหารชุดเล็กกับขนมหวานสองสามชิ้นเอาไว้ คิดว่าจะแอบเอาไปให้หวังซีซวนอย่างเคย ทว่าครั้งนี้ ทางไม่สะดวกเหมือนก่อน
หวังเยี่ยนหลงกำลังเดินมาทางเขาด้วยความหงุดหงิดเพราะแพ้การประลองวิชากับคุณชายสี่ เดิมทีเขามีวิชาสำนักตระกูลหวังเทียบเท่ากับคุณชายคนอื่น ๆ แต่ในเวลานี้ลำดับกลับถดถอยลงไปแทบจะเสมอกับบรรดาศิษย์ในสำนัก
สำหรับคนที่ผ่านทั้งสามด่านในรุ่นที่แล้ว เวลานี้ได้ทีฝึกวิชาจากฝั่งมารดา ถือเป็นวิชาลับที่แต่ละคนจะไม่แพร่งพรายบอกใคร ขณะที่หวังเยี่ยนหลงผู้กำพร้า ไม่รู้เรื่องของมารดาเลยสักนิด ไฉนจะฝึกวิชาสืบทอดของตระกูลได้ เขาจึงแพ้ผู้อื่นติด ๆ กันหลายครั้ง
หวังเยี่ยนหลงถึงขั้นเดินไปหาหวังเฉิงเย่เพื่อขอตำราวิชาจากเขา แต่สิ่งที่ได้มีเพียงเสียงที่เย็นชาตอบกลับมา
“ข้าขอตำราของท่านแม่ได้หรือไม่ขอรับ” เขาเอ่ยปากพูดกับบิดา
“แม่ของเจ้า ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้” เขาตอบเพียงเท่านี้แล้วก็หันหลังให้หวังเยี่ยนหลง
“แต่ว่า ข้าจะสู้พวกพี่น้องได้อย่างไรเล่า” หวังเยี่ยนหลงนึกไม่ออก
“แล้วจะยอมแพ้เพราะเรื่องแค่นี้?” เขาถามกลับ “วันที่ทุกคนแข็งแกร่งขึ้น เจ้าจะอยู่ที่จุดเดิม? เช่นนั้นชีวิตเจ้าคงไม่มีค่าอะไรนัก”
“ขอรับ” เขาผิดหวังอย่างมากที่คนเป็นบิดาปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเมื่อเขาถามเรื่องของมารดา จึงเดินออกมาจากเรือนของเขาด้วยความโมโห
เขาเดินมาตามทางป่าไผ่ ออกแรงเล็กน้อยฟันลำต้นทั้งสองข้างขาดเป็นท่อน ๆ เพื่อระบายอารมณ์ พอได้เห็นเซี่ยฟานถือถาดอาหารมาก็นึกอยากจะคว่ำสำรับอาหารนั่นทิ้งไปเสีย เพราะรู้สึกพาลในใจจนอยากทำลายหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัว
เซี่ยฟานเดินถือสำรับด้วยความเบิกบานใจ เส้นทางที่เดินเป็นประจำนี้เป็นทางลัดที่ไม่ค่อยมีคนใช้มากนัก หวังซีซวนเคยบอกเขาเอาไว้ว่าปลอดภัยที่จะนัดพบกัน เพียงแต่วันนี้เซี่ยฟานคงจะดวงซวยมาพบหวังเยี่ยนหลง
ทันทีที่เห็นเซี่ยฟาน เขาก็รีบเดินมาใกล้ ๆ แล้วปัดสำรับนั้นหลุดจากมือของเซี่ยฟาน เสียงถ้วยชามหล่นกระทบพื้น อาหารกระเด็นไปคนละทาง คนที่ไม่ทันตั้งตัวก็นิ่งงัน ทำตัวไม่ถูก
หวังเยี่ยนหลงจับข้อมือของเซี่ยฟานแล้วลากเขาไปที่เปลี่ยว จากนั้นเริ่มลงมือทำร้ายเซี่ยฟานเพื่อปลดปล่อยอารมณ์โกรธของตนเอง เซี่ยฟานพยายามตั้งสติป้องกันตัวและใช้วิชาซับแรงที่หวังซีซวนเคยสอนเอาไว้
ผ่านไปครู่หนึ่ง หวังเยี่ยนหลงเริ่มรู้สึกดีขึ้น เขาจึงหยุดแล้วมองสภาพของเซี่ยฟาน ที่ตอนนี้นอนขดกุมหัวของตนเองเอาไว้ สายตาเหลือบมองแค่เพียงแวบเดียวเท่านั้นแล้วก็เดินจากไป
เซี่ยฟานคอยฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อย ๆ ห่างไกลออกไปแล้วก็เริ่มยันตัวนั่ง จัดการกับร่างกายและความคิดของตนเองใหม่
“เดี่ยวค่อยกลับมาทายา” เขาพูดกับตนเองเช่นนั้น เพราะนึกถึงหวังซีซวนที่คงจะรออาหารเย็นอย่างใจจดใจจ่อแล้วก็กุลีกุจอไปที่ห้องครัว เพื่อดูว่ามีอาหารอะไรเหลืออยู่บ้าง ก่อนจะนำไปให้หวังซีซวน
ราวกับอาการบาดเจ็บเพิ่งจะออกฤทธิ์ เขาเดินกะเผลกไปที่เล้าหมูอย่างทุลักทุเล หวังซีซวนเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งมาหาเขาด้วยความเป็นห่วง
“เซี่ยฟาน เกิดอันใดขึ้น” หวังซีซวนถามเพราะตกใจ แต่ไหนแต่ไรมา วิชาซับแรงก็ช่วยไว้ได้มาก ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เซี่ยฟานจะสภาพย่ำแย่เพียงนี้
"คุณชายรีบทานก่อนเถิด เดี๋ยวรสชาติอาหารจะจืดชืดขอรับ” เซี่ยฟานยื่นให้เขา สีหน้ากัดฟันทน
“ช่างอาหารก่อนเถิด เจ้าเอายารักษามาด้วยใช่หรือไม่” หวังซีซวนถามเขา เซี่ยฟานล้วงเข้าไปในปกเสื้อแล้วค่อย ๆ หยิบมาให้เขา
“นี่ขอรับ”
“ดื่มให้หมด แล้วกลับเรือนกัน” หวังซีซวนยื่นขวดยาให้เซี่ยฟาน
“แต่ว่า...”
“ดื่มให้หมด อย่างอื่นค่อยว่ากัน” หวังซีซวนดุเซี่ยฟานที่เขาดื้อ
หลังจากนั้น หวังซีซวนก็หนีออกจากเล้าหมู เพื่อกลับไปทำแผลให้เซี่ยฟาน หากจะต้องโดนลงโทษเพราะเรื่องนี้ เขาก็ไม่สนใจนัก
หวังซีซวนคอยประคองเซี่ยฟานเอาไว้ ค่อย ๆ พยุงเดินกลับเรือน ไม่สนใจว่าใครจะมาพบเจออีกแล้ว เวลานี้ห่วงเซี่ยฟานมากที่สุด
ตอนนั้นที่หวังเยี่ยนหลงได้ปลดปล่อยความโกรธไปแล้ว เขาเดินออกมาจากตรงนั้นโดยไม่สนใจเซี่ยฟาน แต่พอนึกย้อนมาคิดดูดี ๆ แล้ว เขาก็กลับมาเพราะคิดจะทดสอบบางอย่างกับเซี่ยฟาน นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นเซี่ยฟานพยายามลากสังขารบาดเจ็บของตนเองไปหาหวังซีซวน และก็คาดไม่ผิดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่เป็นดังที่ได้เห็นยามปกติ ทั้งคู่กำลังเล่นละครตบตาผู้อื่น
รุ่งเช้าวันต่อมา
หวังเยี่ยนหลงเริ่มประลองกับบรรดาศิษย์ทีละคน จนกระทั่งได้จับคู่ประลองสู้กับคุณชายสี่อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับมีแรงเอาชนะคุณชายสี่ไม่ทันครบหนึ่งก้านธูป เขาแปลกใจตัวเองมากกว่าอะไร นึกย้อนว่าทำไมถึงแกร่งขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แล้วก็คิดได้ว่าอาจจะเป็นเพราะเขาคนนั้น
“เซี่ยฟาน” หวังเยี่ยนหลงพึมพำกับตัวเองพลางยิ้มมุมปากแบบมีเลศนัย
สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ







