ด่านที่สองของการฝึกวิชาคือพลังตัวเบาดุจขนนก หวังซีซวนงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะเซี่ยฟานเข้ามาปลุก พร้อมอาหารเช้าของโปรดของเขา
“คุณชาย รีบกินเถิด เดี๋ยวไม่ทันนะขอรับ” เซี่ยฟานจัดแจงนำอาหารมาวางไว้ถึงบนเตียงของเขา แล้วยื่นตะเกียบให้
“อื้อ ๆ” หวังซีซวนพูดไม่เป็นคำเพราะอาหารที่อัดแน่นเต็มปากของเขา แก้มทั้งสองข้างนูนออกมาจนหน้าดูประหลาดไป
“คุณชาย รีบเกินไปแล้วกระมัง” เซี่ยฟานมองหน้าเขากลั้นหัวเราะเอาไว้
หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว หวังซีซวนก็เดินเข้าสู่ป่าไผ่เขียว เพื่อรับการฝึกวิชาด่านที่สอง
“คุณชาย วันนี้พวกเราหนีไม่พ้นไปนอนที่เล้าหมูแน่ ๆ เลยขอรับ” ศิษย์น้องบอกเขาพลางชี้ไปที่กลางลานฝึก
ลำต้นใหญ่ของไผ่เขียวนับสิบตั้งอยู่ หากมองดูดี ๆ แล้ว ลำต้นกลับเคลือบไปด้วยน้ำมัน ความสูงของแต่ละต้นไม่อาจนับได้ เพราะเมฆหนาลอยปกคลุมอยู่ด้านบน
“สูงเท่าใดหรือ” คุณชายหกถามศิษย์ที่เขาสนิทด้วย
“ไม่รู้ขอรับ” เขาตอบตามความจริง “จะรอดไหมขอรับ” แล้วก็ถามความเห็นของคุณชายหกต่อ
“แล้วเจ้าจะแพ้ให้หวังซีซวนที่แสนอ่อนแอนั่นหรือ” เขาพูดกระแทกกระทั้น หวังจะให้หวังซีซวนได้ยิน แต่เวลานั้นหวังซีซวนมัวแต่มองไปที่ยอดต้นไผ่
พอได้เวลา ต่างคนต่างหาทางปีนขึ้นไปบนยอดเพื่อฝึกวิชาตัวเบาให้ได้
หวังซีซวนเห็นหลายคนที่ปีนต้นไผ่ลื่น ๆ แล้วตกลงมาก็พยายามนึกว่าจะจัดการกับต้นไผ่ของตัวเองอย่างไรดี แล้วก็คิดได้ว่าหากเขาฝึกวิชานี้ได้สำเร็จก็จะกระโดดลอยข้ามกำแพงสำนักหนีไปข้างนอกได้ ไม่ต้องมุดรูอีกต่อไป
เขานั่งลงที่หน้าลำต้นไผ่เขียว หลับตาลง สูดหายใจเข้า ลึก ๆ นึกถึงคำที่อาจารย์ประจำด่านสอนเมื่อตอนเช้า จุดที่สำคัญคือการฝึกวิชาตัวเบา หาใช่การพยายามปีนลำต้นไผ่ ใยต้องเสียเวลากับเรื่องอื่นด้วยเล่า
ครั้นได้ใช้สมาธิรวมรวมพลังที่ไหลเวียนอยู่ในตัว ร่างของหวังซีซวนก็เริ่มลอยขึ้นจากพื้นดินเล็กน้อย เขาใช้เวลาครึ่งค่อนวันลอยตัวได้หนึ่งชุ่น ก่อนจะหมดแรงร่วงลงพื้นเพราะหิวข้าว สุดท้ายแล้วก็ได้กลับไปนอนที่เล้าหมูเหมือนเก่า
เซี่ยฟานทำอาหารชุดเล็กกับขนมหวานสองสามชิ้นเอาไว้ คิดว่าจะแอบเอาไปให้หวังซีซวนอย่างเคย ทว่าครั้งนี้ ทางไม่สะดวกเหมือนก่อน
หวังเยี่ยนหลงกำลังเดินมาทางเขาด้วยความหงุดหงิดเพราะแพ้การประลองวิชากับคุณชายสี่ เดิมทีเขามีวิชาสำนักตระกูลหวังเทียบเท่ากับคุณชายคนอื่น ๆ แต่ในเวลานี้ลำดับกลับถดถอยลงไปแทบจะเสมอกับบรรดาศิษย์ในสำนัก
สำหรับคนที่ผ่านทั้งสามด่านในรุ่นที่แล้ว เวลานี้ได้ทีฝึกวิชาจากฝั่งมารดา ถือเป็นวิชาลับที่แต่ละคนจะไม่แพร่งพรายบอกใคร ขณะที่หวังเยี่ยนหลงผู้กำพร้า ไม่รู้เรื่องของมารดาเลยสักนิด ไฉนจะฝึกวิชาสืบทอดของตระกูลได้ เขาจึงแพ้ผู้อื่นติด ๆ กันหลายครั้ง
หวังเยี่ยนหลงถึงขั้นเดินไปหาหวังเฉิงเย่เพื่อขอตำราวิชาจากเขา แต่สิ่งที่ได้มีเพียงเสียงที่เย็นชาตอบกลับมา
“ข้าขอตำราของท่านแม่ได้หรือไม่ขอรับ” เขาเอ่ยปากพูดกับบิดา
“แม่ของเจ้า ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้” เขาตอบเพียงเท่านี้แล้วก็หันหลังให้หวังเยี่ยนหลง
“แต่ว่า ข้าจะสู้พวกพี่น้องได้อย่างไรเล่า” หวังเยี่ยนหลงนึกไม่ออก
“แล้วจะยอมแพ้เพราะเรื่องแค่นี้?” เขาถามกลับ “วันที่ทุกคนแข็งแกร่งขึ้น เจ้าจะอยู่ที่จุดเดิม? เช่นนั้นชีวิตเจ้าคงไม่มีค่าอะไรนัก”
“ขอรับ” เขาผิดหวังอย่างมากที่คนเป็นบิดาปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเมื่อเขาถามเรื่องของมารดา จึงเดินออกมาจากเรือนของเขาด้วยความโมโห
เขาเดินมาตามทางป่าไผ่ ออกแรงเล็กน้อยฟันลำต้นทั้งสองข้างขาดเป็นท่อน ๆ เพื่อระบายอารมณ์ พอได้เห็นเซี่ยฟานถือถาดอาหารมาก็นึกอยากจะคว่ำสำรับอาหารนั่นทิ้งไปเสีย เพราะรู้สึกพาลในใจจนอยากทำลายหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัว
เซี่ยฟานเดินถือสำรับด้วยความเบิกบานใจ เส้นทางที่เดินเป็นประจำนี้เป็นทางลัดที่ไม่ค่อยมีคนใช้มากนัก หวังซีซวนเคยบอกเขาเอาไว้ว่าปลอดภัยที่จะนัดพบกัน เพียงแต่วันนี้เซี่ยฟานคงจะดวงซวยมาพบหวังเยี่ยนหลง
ทันทีที่เห็นเซี่ยฟาน เขาก็รีบเดินมาใกล้ ๆ แล้วปัดสำรับนั้นหลุดจากมือของเซี่ยฟาน เสียงถ้วยชามหล่นกระทบพื้น อาหารกระเด็นไปคนละทาง คนที่ไม่ทันตั้งตัวก็นิ่งงัน ทำตัวไม่ถูก
หวังเยี่ยนหลงจับข้อมือของเซี่ยฟานแล้วลากเขาไปที่เปลี่ยว จากนั้นเริ่มลงมือทำร้ายเซี่ยฟานเพื่อปลดปล่อยอารมณ์โกรธของตนเอง เซี่ยฟานพยายามตั้งสติป้องกันตัวและใช้วิชาซับแรงที่หวังซีซวนเคยสอนเอาไว้
ผ่านไปครู่หนึ่ง หวังเยี่ยนหลงเริ่มรู้สึกดีขึ้น เขาจึงหยุดแล้วมองสภาพของเซี่ยฟาน ที่ตอนนี้นอนขดกุมหัวของตนเองเอาไว้ สายตาเหลือบมองแค่เพียงแวบเดียวเท่านั้นแล้วก็เดินจากไป
เซี่ยฟานคอยฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อย ๆ ห่างไกลออกไปแล้วก็เริ่มยันตัวนั่ง จัดการกับร่างกายและความคิดของตนเองใหม่
“เดี่ยวค่อยกลับมาทายา” เขาพูดกับตนเองเช่นนั้น เพราะนึกถึงหวังซีซวนที่คงจะรออาหารเย็นอย่างใจจดใจจ่อแล้วก็กุลีกุจอไปที่ห้องครัว เพื่อดูว่ามีอาหารอะไรเหลืออยู่บ้าง ก่อนจะนำไปให้หวังซีซวน
ราวกับอาการบาดเจ็บเพิ่งจะออกฤทธิ์ เขาเดินกะเผลกไปที่เล้าหมูอย่างทุลักทุเล หวังซีซวนเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งมาหาเขาด้วยความเป็นห่วง
“เซี่ยฟาน เกิดอันใดขึ้น” หวังซีซวนถามเพราะตกใจ แต่ไหนแต่ไรมา วิชาซับแรงก็ช่วยไว้ได้มาก ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เซี่ยฟานจะสภาพย่ำแย่เพียงนี้
"คุณชายรีบทานก่อนเถิด เดี๋ยวรสชาติอาหารจะจืดชืดขอรับ” เซี่ยฟานยื่นให้เขา สีหน้ากัดฟันทน
“ช่างอาหารก่อนเถิด เจ้าเอายารักษามาด้วยใช่หรือไม่” หวังซีซวนถามเขา เซี่ยฟานล้วงเข้าไปในปกเสื้อแล้วค่อย ๆ หยิบมาให้เขา
“นี่ขอรับ”
“ดื่มให้หมด แล้วกลับเรือนกัน” หวังซีซวนยื่นขวดยาให้เซี่ยฟาน
“แต่ว่า...”
“ดื่มให้หมด อย่างอื่นค่อยว่ากัน” หวังซีซวนดุเซี่ยฟานที่เขาดื้อ
หลังจากนั้น หวังซีซวนก็หนีออกจากเล้าหมู เพื่อกลับไปทำแผลให้เซี่ยฟาน หากจะต้องโดนลงโทษเพราะเรื่องนี้ เขาก็ไม่สนใจนัก
หวังซีซวนคอยประคองเซี่ยฟานเอาไว้ ค่อย ๆ พยุงเดินกลับเรือน ไม่สนใจว่าใครจะมาพบเจออีกแล้ว เวลานี้ห่วงเซี่ยฟานมากที่สุด
ตอนนั้นที่หวังเยี่ยนหลงได้ปลดปล่อยความโกรธไปแล้ว เขาเดินออกมาจากตรงนั้นโดยไม่สนใจเซี่ยฟาน แต่พอนึกย้อนมาคิดดูดี ๆ แล้ว เขาก็กลับมาเพราะคิดจะทดสอบบางอย่างกับเซี่ยฟาน นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นเซี่ยฟานพยายามลากสังขารบาดเจ็บของตนเองไปหาหวังซีซวน และก็คาดไม่ผิดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่เป็นดังที่ได้เห็นยามปกติ ทั้งคู่กำลังเล่นละครตบตาผู้อื่น
รุ่งเช้าวันต่อมา
หวังเยี่ยนหลงเริ่มประลองกับบรรดาศิษย์ทีละคน จนกระทั่งได้จับคู่ประลองสู้กับคุณชายสี่อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับมีแรงเอาชนะคุณชายสี่ไม่ทันครบหนึ่งก้านธูป เขาแปลกใจตัวเองมากกว่าอะไร นึกย้อนว่าทำไมถึงแกร่งขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แล้วก็คิดได้ว่าอาจจะเป็นเพราะเขาคนนั้น
“เซี่ยฟาน” หวังเยี่ยนหลงพึมพำกับตัวเองพลางยิ้มมุมปากแบบมีเลศนัย
ท่าเรือเมืองเฟิง “เหลียนเฟิน เจ้ารีบออกมาได้แล้ว ข้าหิว” หลวนเล่อตะโกนบอกเขา สายตาจ้องไปยังร้านค้าต่าง ๆ ที่อยู่ไกลลิบ “เรียบร้อยแล้วขอรับ” เขาเดินออกมาหานาง ก้มมองดูเสื้อผ้าชุดใหม่ ท่าทางไม่ค่อยคุ้นชิน เหลียนเฟินเปลี่ยนมาสวมชุดเสื้อผ้าพื้นเมือง เดิมทีมักจะมัดผมสูงสวมกวานสีเงินเด่นสง่า เวลานี้เกล้าผมจุกเล็ก ๆ ถักเปียห้อย มีลูกปัดสีทองสะบัดไปมายามลมพัดไหว “ทำไมศิษย์พี่แต่งเป็นบุรุษเล่า” เขาเพิ่งจะเห็นว่าหลวนเล่อแต่งกายเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน “อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ข้าเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เกรงว่าเปิดเผยตัวตนมากไปจะเกิดอันตราย” หลวนเล่อยิ้มกว้าง “แต่เหลียนเฟิน เอาหนวดไปติดดีหรือไม่ เจ้าแต่งเป็นบุรุษเหมือนกับข้าก็จริง เหตุใดถึงดูราวกับเป็นน้องสาวข้าไปได้ หรือว่าเจ้าจะลองเปลี่ยนโฉมเป็นสตรีแสนงดงามแทน” “ศิษย์พี่ล้อข้าเล่นอีกแล้ว รีบเข้าไปข้างในตัวเมืองกันก่อนฟ้าจะมืดเถิด” ทั้งคู่ตรงดิ่งไปที่ร้านขายบะหมี่ สั่งอาหารมาคนละสองชาม นั่งซดน้ำซุปแสนอร่อยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกต่อไป คล้อยหลังตะวันลับฟ้า บ้านเรือนร้านค้า
รุ่งเช้าวันต่อมา สีหน้าเรียบเฉยของคนผู้หนึ่งยืนดูเหตุการณ์ชุลมุนอยู่ข้างบนระเบียงชั้นสองของโรงเตี๊ยม เขาไม่มีทีท่าสะทกสะท้านหวาดกลัวเฉกเช่นคนทั่วไป พลันรอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นเพราะแน่ใจแล้วว่าผู้ที่สร้างเรื่องทั้งหมดหวังสิ่งใด “ตามตัวได้หรือไม่” เสียงเย็นชาถามลูกน้องคนสนิท มือข้างหนึ่งถือถ้วยชายกดื่มสบายอารมณ์ “ยังไม่พบขอรับนายท่าน” เขารายงานตามความจริง นับตั้งแต่รับคำสั่งจากหวังเยี่ยนหลง เขาออกเดินทางสืบเสาะไปทั่วแคว้นซีเป่ย ในที่สุดก็พบว่าคนผู้นี้แอบหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองเฟิง ใช้วิชาของตนเองหลบหนียามเมื่อถึงคราวจวนตัว เพียงแต่ครานี้ เขากลับทิ้งร่องรอยไว้ชัดเจนมากเกินไปจนผิดสังเกต “นายท่าน กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ” ชายอีกคนเอ่ยปาก “เห็นหรือไม่ว่าเจ้านั่นตั้งใจทิ้งร่องรอยของปราณมารเอาไว้” เขาชี้ไปยังข้างล่างที่มีทหารสี่ห้านายกำลังเก็บศพของชายขอทาน “วิชาของหลินหลีเหว่ยไม่เคยมีร่องรอยเช่นนั้น” “เพราะเหตุใดเล่าขอรับ” ลูกน้องทั้งสองคนยังคงไม่เข้าใจ แต่เจ้านายของพวกเขากลับคาดการณ์แผนทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย คนผู้นี้ไ
สุดท้ายแล้ววันนั้นเหลียนเฟินก็ผ่านการสอบมาได้ กลายเป็นศิษย์ที่เหล่าอาจารย์และเพื่อนพ้องร่วมสำนักภาคภูมิใจ อาจารย์อาจึงตกรางวัลเขาด้วยวันหยุดพักผ่อนห้าวันพร้อมอัฐอีกหนึ่งถุงใหญ่เอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว กระนั้นความฝันที่จะได้นอนเล่นอยู่เงียบ ๆ ก็สลายไปเมื่อศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา สีหน้าตื่นเต้นเหมือนจะได้ออกไปนอกสำนัก “เหลียนเฟินนนน” นางเรียกศิษย์น้องพร้อมรอยยิ้มเลศนัย เหลียนเฟินจึงรีบหันหน้าไปอีกทางเตรียมวิ่งหนีเพราะรู้ดีว่าสีหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอะไร “เหลียนเฟิน ถ้าเจ้าหนี ข้าจะฟ้องอาจารย์ว่าเจ้าไม่ดูแลข้า” หลวนเล่ออ้างคำสั่งของหมิงฮวาที่ฝากฝังเอาไว้ เขาจึงถอนหายใจรอรับฟังสิ่งที่นางจะเอ่ย “ข้าเดาว่า ข้าต้องช่วยทำอะไรสักอย่างใช่หรือไม่” เหลียนเฟินถาม ในใจภาวนาว่าอย่าให้ตรงกับวันว่างของเขาเลย “อาจารย์อาสั่งให้ข้าไปตรวจหาสาเหตุการตายของชาวบ้านที่เมืองเฟิง ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองไม่อยู่ ศิษย์พี่ซีหลิวมีงานรัดตัว ข้าเลยขอพาเจ้าไปด้วย อาจารย์อาอนุญาตแล้ว” หลวนเล่อร่ายยาวเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ นางรู้ดีว่าศิษย์น้องผ
สิบแปดปีต่อมา ยามนี้หิมะแรกตกโปรยปรายราวกับละอองฝนไปทั่วทั้งแคว้นฉิน ทำให้ผู้คนที่ออกมาเที่ยวเดินชมงานรื่นเริงประจำปีต่างรู้สึกเบิกบานใจ บ้างอธิษฐานขอให้พบแต่ความสงบสุข บ้างขอให้ได้เจอคนรักในเร็ววัน มีไม่น้อยที่มัวแต่เล่นสนุกสนานอยู่บนลานน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย “ศิษย์พี่รอข้าด้วย!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กอายุเจ็ดขวบดังขึ้นเพราะไสลากเลื่อนตามศิษย์พี่ของเขาไม่ทัน “ซิ่นเฉิง ข้าจะไปรอเจ้าที่เส้นชัย รีบ ๆ ตามมาเล่า” หญิงสาวผู้หนึ่งตอบกลับ “ศิษย์พี่หลวนเล่อ แบบนั้นไม่เรียกว่ารอแล้วขอรับ คราวนี้ท่านยอมข้าหน่อยไม่ได้หรือ” ซิ่นเฉิงรีบไสลากเลื่อนให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นว่านางใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว สีหน้าของเขาดูจริงจังเสียจนศิษย์อีกสองคนที่ยืนดูรู้สึกเอ็นดู “หลวนเล่อ เจ้าโตจนป่านนี้แล้วยังชอบแกล้งเขาอยู่เรื่อย เพลา ๆ บ้างเถิด” น้ำเสียงหวานละมุนเอ่ยปากห้ามปราม “ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ฟังที่ศิษย์พี่พูดเลยนะขอรับ” ศิษย์น้องของนางชี้ให้ดูคนทั้งสองที่ตั้งหน้าตั้งตาไสลากเลื่อนอย่างสุดกำลัง “เฮ้อ! ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์ถึงฝากฝังงาน
รุ่งเช้าของอีกวัน หวังเฉิงเย่พร้อมบุตรชายเดินทางกลับจากถ้ำที่อยู่อีกฝั่งของป่า ไม่ทันจะได้เข้าใกล้สำนักกลับได้กลิ่นเลือดโชยมาจากทุกทิศทาง บรรยากาศอึมครึมหมองหม่น เยือกเย็น ทั้งสองคนก้าวเข้ามาด้านในสำนักด้วยความระมัดระวัง สิ่งที่ปรากฏต่อหน้ามีเพียงซากศพของบรรดาคนในสำนัก ทั้งศิษย์สำนัก อาจารย์ ทาสรับใช้ “เจ้าไปดูทางโน้น” หวังเฉิงเย่สั่งการบุตรชาย เขาเดินไปเรือนของตนเองเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตมาถามไถ่เรื่องราว “ขอรับ” หวังซีซวนเห็นภาพที่เกิดขึ้นจึงรีบตรงดิ่งไปที่เรือนใบไผ่ก่อนอันดับแรก เพราะหางตาเหลือบเห็นร่องรอยของปราณมาร&
ราวกับหวังเยี่ยนหลงกำลังตกอยู่ในภวังค์จึงไม่ได้ยินสิ่งที่เซี่ยฟานพูด เขาเสพสมกามารมณ์หลายท่วงท่าตลอดทั้งคืนจนรุ่งเช้า โอบกอดร่างบางของเซี่ยฟานแล้วนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย ช่วงสายของวัน เขาลืมตาตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงนกร้องอยู่ริมหน้าต่าง แสงแดดบาง ๆ ส่องมาที่เตียงนอน หวังเยี่ยนหลงยังคงกอดเซี่ยฟานไว้อย่างเช่นเคย พลันรู้สึกได้ว่าร่างกายของเซี่ยฟานเริ่มเย็น สีหน้าตระหนกปรากฏขึ้น เขาตรวจเส้นชีพจรของคนที่ยังนอนหลับใหล “เซี่ยฟาน” คนที่ถูกเรียกไม่ขานตอบ เขาจึงนำยาที่อยู่ในขวดมาให้เซี่ยฟานดื่มแล้วนั่งเฝ้าไม่ห่าง&nbs