นับตั้งแต่วันที่หวังซีซวนได้เจอกับเซี่ยฟาน เขาก็ทดสอบจิตใจและความอดทนของเซี่ยฟานตลอดเวลา เซี่ยฟานนั้นเดิมทีไม่ค่อยมีปากมีเสียงอะไร เวลาโดนหวังซีซวนแกล้ง เขาก็นิ่งเงียบไม่ตอบโต้ ครั้นเจอหวังซีซวนดื้อ เอาแต่ใจ เขาก็ใจเย็นรอคอยและทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จ เซี่ยฟานปลอบใจตนเองว่าอย่างน้อยที่นี่ก็ดีกว่ามาก
แต่สิ่งที่เขาคิดกลับเป็นแค่เพียงฉากหนึ่งที่ได้เห็นในเวลานั้น สถานที่เงียบสงบเริ่มกลับมาครึกครื้น เซี่ยฟานได้เห็นคนรุ่นเดียวกันมากมายในสำนัก คุณชายทั้งเจ็ด ลูกศิษย์ คนรับใช้ คนงาน ความวุ่นวายก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ
แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รู้ว่า ที่นี่ก็ไม่ต่างจากนรกขุมเดิม แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เขาก็มีความหวังอยู่เสมอ เซี่ยฟานเรียนรู้จากสองพี่น้องคู่นั้นว่าต้องทำงานแล้วเก็บหอมรอมริบ จากนั้นไถ่ถอนตัวเอง เขาก็จะได้เป็นอิสระ
เขาอดทนกับความเอาแต่ใจของหวังซีซวนมาได้สองเดือน แล้วก็ได้รู้ว่าหวังซีซวนเป็นคนที่อ่อนแอสุดในบรรดาคุณชายทั้งเจ็ด รวมถึงลูกศิษย์หลายสิบคนของหวังเฉิงเย่
สำนักตระกูลหวังเป็นสถานที่ฝึกวิชาสร้างขึ้นใหม่ เติบโตอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงแค่สิบปีด้วยฝีมือของหวังเฉิงเย่ แต่ละวันคุณชายและลูกศิษย์ต่างฝึกหนัก เนื้อตัวได้แผลไม่เว้นวัน แต่ก็ยังไม่วายชอบมารังแกหวังซีซวนอยู่เรื่อย
“หวังซีซวน เจ้าน่ะ มีสิทธิ์อะไรถึงไม่ต้องฝึกอย่างพวกข้า” คุณชายหกถามเขาพร้อมง้างมือหมายจะตีหัวของหวังซีซวน
เซี่ยฟานเห็นดังนั้นจึงเอาตัวเข้ามาขวาง
“เจ้านี่ หาเรื่องใส่ตัว?” คุณชายหกตวาดใส่เขาแล้วผลักเซี่ยฟานออกไป กำลังง้างมือทุบหวังซีซวนอีกรอบ เซี่ยฟานลุกขึ้นพยายามวิ่งเข้ามาแต่ถูกมือข้างหนึ่งของคนที่ตัวใหญ่กว่าดึงเอาไว้
“พี่สี่!” เสียงของคุณชายหกดังขึ้น หลบสายตาเขา
“เฮอะ เรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ แล้วจะเอาชนะเจ้าสามได้เช่นไร” คุณชายสี่เยาะเย้ยเขา วันนี้อารมณ์ดีจึงมาดูน้องต่างมารดาทั้งสองคนทะเลาะกัน
“ก็เจ้าทาสนี่มาขวางข้า” เขาพยายามโบ้ยความผิดให้เซี่ยฟาน
“ขวางแล้วอย่างไร แค่ทาสคนเดียว จัดการไม่ได้รึ” คุณชายสี่มองเซี่ยฟานด้วยหางตา
คุณชายหกไม่รอช้า เห็นว่าพี่สี่ของเขาจับตัวเซี่ยฟานเอาไว้ จึงเริ่มลงมือกับหวังซีซวน ไม่อย่างนั้นแล้ว คนที่จะโดนทุบตีคงจะเป็นเขาอย่างแน่นอน
ระบบการปกครองภายในสำนักตระกูลหวังนั้น แตกต่างจากสำนักอื่น ๆ คือ ไม่ว่าจะเป็นบุตรของเขาหรือลูกศิษย์ย่อมมีค่าเท่ากัน แต่ละวันล้วนต้องต่อสู้กันเองเพื่อฝึกฝนอย่างเคร่งครัดและทำคะแนนให้ตนเองอยู่ระดับที่สูงกว่าเดิม คนที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมเป็นผู้อยู่รอด
เซี่ยฟานที่เห็นหวังซีซวนโดนทุบตีก็แปลกใจ ตอนอยู่กับเขาดูไม่เหมือนคนที่จะยอมใครง่าย ๆ แต่พอเห็นสภาพของเขาแล้วก็นึกถึงคู่พี่น้องสองคน เซี่ยฟานสะบัดข้อมือให้หลุดจากเงื้อมมือของคุณชายสี่ แล้ววิ่งไปกอดหวังซีซวนเอาไว้ ยอมโดนคนอื่นทำร้ายอีกคราเพื่อปกป้องเจ้าเด็กน้อยเอาแต่ใจ
หลังจากที่คนเหล่านั้นพอใจแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไป เซี่ยฟานนำยามาทาแผลให้หวังซีซวนอย่างอ่อนโยน
“เจ้าเข้ามายุ่งทำไม” เขาทำเสียงฮึดฮัด ในใจเริ่มลังเลว่าเซี่ยฟานไม่เหมือนคนอื่น ๆ แต่ก็ยังไม่อยากยอมรับใครง่าย ๆ เพราะทุกคนที่เข้ามาที่นี่ ย่อมต้องหวังผลประโยชน์ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
เซี่ยฟานไม่ตอบอะไร ยังคงทายาให้หวังซีซวนเงียบ ๆ
“เซี่ยฟาน ข้าพูดกับเจ้าอยู่” เสียงเล็ก ๆ เริ่มหงุดหงิด
“ข้ามีหน้าที่ดูแลคุณชายขอรับ”
“แต่ทำแบบนั้น เจ้าจะตายได้นะ” หวังซีซวนสงสัย “ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรกับเจ้ากันแน่”
วันต่อมาเรื่องราวแบบเดิมยังคงเกิดขึ้นวนเวียน ไม่เจอฤทธิ์ของคุณชายหก ก็จะเจอคุณชายรอง หรือไม่ก็คุณชายใหญ่ ชีวิตของหวังซีซวนไม่ง่ายเลย แต่ถึงแม้ว่าเขาจะอ่อนแอที่สุด เขาก็เป็นคนที่ฉลาดที่สุดเช่นกัน
และเมื่อได้เห็นว่าเซี่ยฟานปฏิบัติกับตนเช่นไร เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าไม่มีพิษภัย ไม่ได้เป็นคนของใคร ไม่ได้หวังประโยชน์อะไรจากเขา
“เซี่ยฟาน เจ้ามานี่สิ” หวังซีซวนหยิบยาตลับหนึ่งออกมาแล้วทาแผลให้เซี่ยฟาน
“คุณชายทำอะไรหรือขอรับ ข้าทาเองได้” เซี่ยฟานตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขา เด็กน้อยเอาแต่ใจวันนี้ดูเป็นเด็กน้อยที่น่ารักอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าจะทายาให้เจ้า อยู่นิ่ง ๆ” เขาแตะยาจากตลับแล้วป้ายบนใบหน้าของเซี่ยฟาน แขน ขา ลำตัวทีละนิด “สภาพเจ้า ดูไม่ได้เลย” หวังซีซวนส่ายหน้าถอนหายใจ ร่างกายของเขาไม่เป็นอะไรมากก็เพราะเซี่ยฟานช่วยเอาไว้
“ขอบคุณขอรับ”
“เซี่ยฟาน ที่ผ่านมา ข้าขอโทษ” หวังซีซวนเอ่ยขึ้น สายตามีความจริงใจซ่อนอยู่
“เรื่องอันใดหรือ” เซี่ยฟานกำลังงุนงงกับคำพูดของเขา แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครขอโทษเขาสักครั้ง
“ข้าแกล้งเจ้า อารมณ์เสียใส่ ทำให้เจ้าต้องถูกเจ้าพวกนั้นรังแกไปด้วย ข้าขอโทษจริง ๆ” เขาพาเซี่ยฟานไปนั่งที่โต๊ะแล้วพูดอย่างจริงจัง “สักวันหนึ่ง ข้าจะพาเจ้าหนีไปจากที่นี่”
“คุณชายหมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าไม่อยากหรือ” หวังซีซวนคิ้วขมวด คนบ้าที่ไหนจะอยากอยู่ที่แบบนี้กัน
“ข้าเป็นทาส ทำงานเก็บอัฐไว้ได้ส่วนหนึ่งก็ไถ่ถอนตนเองได้นี่ขอรับ ไม่จำเป็นจะต้องหนีเสียหน่อย” เซี่ยฟานอธิบายสิ่งที่เขารู้มาให้หวังซีซวนฟัง
“เฮ้อ..” หวังซีซวนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ต่อให้เจ้าเก็บอัฐกองเท่าภูเขาได้ เจ้าก็ไถ่ถอนตนเองไม่ได้หรอก คนที่จะออกไปจากสำนักได้ มีแต่คนที่หมดลมหายใจแล้วเท่านั้น” สีหน้าของหวังซีซวนไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจ เขามีแผนในใจแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา จึงต้องยอมทำตัวเป็นคนอ่อนแอตามน้ำไปเพื่อไม่ให้ใครมายุ่งกับเขา แม้สถานการณ์จริงจะตรงกันข้ามก็เถอะ
“คนตายเท่านั้นหรือ” ราวกับแสงสว่างในใจของเซี่ยฟานเริ่มมอดลง สีหน้าเขาสลด ห่อเหี่ยวจนหวังซีซวนสังเกตได้
“ข้าถึงบอกเจ้าอย่างไรเล่า ว่าข้าจะพาเจ้าหนีไปด้วย ข้ากำลังพยายามอยู่ สักวันต้องสำเร็จแน่นอน เจ้าจะหนีไปกับข้าหรือไม่” หวังซีซวนถามเขาอีกครั้งให้แน่ใจ
“ไปขอรับ” หากจะมีวิธีใดที่หลุดพ้นไปได้ เซี่ยฟานย่อมไม่ลังเล
“แต่ตอนนี้ ต้องตามน้ำไปก่อน จำไว้ว่า ใครมารังแกก็ยอม ๆ ไปบ้าง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะโดนหนักกว่าเดิม ข้าจะสอนวิธีซับแรงให้เจ้า อย่าได้บอกใครเชียวล่ะ” หวังซีซวนกระชิบเบา ๆ ไม่อยากให้ใครได้ยิน นั่นเป็นหนึ่งในวิชาทางฝั่งมารดาของเขาที่ทิ้งเอาไว้ให้ ไม่รวมวิชากลั่นยารักษาที่ทำให้อาการช้ำในหายไปในชั่วข้ามคืน
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นไม้ตายที่หวังซีซวนเก็บไว้ต่อรองกับบิดาของเขาเพื่อไม่ต้องเข้าฝึกเหมือนคุณชายคนอื่น ๆ
“แผลตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้ สองวันก็หายแล้ว ถึงบาดแผลข้างนอกจะดูเจ็บหนัก แต่ข้างในร่างกายเจ้าจะแข็งแรงดี เจ้าไม่ต้องห่วง” หวังซีซวนภูมิใจในฝีมือกลั่นยาของตนเอง
“ขอบคุณขอรับ” เซี่ยฟานตอบเรียบง่าย ในหัวของเขากำลังคิดตามสิ่งที่หวังซีซวนพูด วันนี้ได้รู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมายเหลือเกิน
นับแต่นั้นมา หวังซีซวนก็เป็นฝ่ายติดเขางอมแงมราวกับว่าเซี่ยฟานเป็นพี่ชายคนหนึ่ง ยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็แกล้งทำเป็นดุด่า พาลใส่เซี่ยฟาน แต่ลับหลังที่อยู่กันสองคนก็กลายเป็นเด็กน้อยน่ารัก
เซี่ยฟานเองก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าความสัมพันธ์แบบพี่น้องนั้นเป็นเช่นไร เขารู้แล้วว่าทำไมคู่พี่น้องสองคนนั้นถึงรักและดูแลปกป้องกัน
“ข้าจะดูแลคุณชายเอง” เซี่ยฟานลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน อย่างน้อย เขาก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
รุ่งเช้าวันต่อมา สีหน้าเรียบเฉยของคนผู้หนึ่งยืนดูเหตุการณ์ชุลมุนอยู่ข้างบนระเบียงชั้นสองของโรงเตี๊ยม เขาไม่มีทีท่าสะทกสะท้านหวาดกลัวเฉกเช่นคนทั่วไป พลันรอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นเพราะแน่ใจแล้วว่าผู้ที่สร้างเรื่องทั้งหมดหวังสิ่งใด “ตามตัวได้หรือไม่” เสียงเย็นชาถามลูกน้องคนสนิท มือข้างหนึ่งถือถ้วยชายกดื่มสบายอารมณ์ “ยังไม่พบขอรับนายท่าน” เขารายงานตามความจริง นับตั้งแต่รับคำสั่งจากหวังเยี่ยนหลง เขาออกเดินทางสืบเสาะไปทั่วแคว้นซีเป่ย ในที่สุดก็พบว่าคนผู้นี้แอบหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองเฟิง ใช้วิชาของตนเองหลบหนียามเมื่อถึงคราวจวนตัว เพียงแต่ครานี้ เขากลับทิ้งร่องรอยไว้ชัดเจนมากเกินไปจนผิดสังเกต “นายท่าน กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ” ชายอีกคนเอ่ยปาก “เห็นหรือไม่ว่าเจ้านั่นตั้งใจทิ้งร่องรอยของปราณมารเอาไว้” เขาชี้ไปยังข้างล่างที่มีทหารสี่ห้านายกำลังเก็บศพของชายขอทาน “วิชาของหลินหลีเหว่ยไม่เคยมีร่องรอยเช่นนั้น” “เพราะเหตุใดเล่าขอรับ” ลูกน้องทั้งสองคนยังคงไม่เข้าใจ แต่เจ้านายของพวกเขากลับคาดการณ์แผนทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
สุดท้ายแล้ววันนั้นเหลียนเฟินก็ผ่านการสอบมาได้ กลายเป็นศิษย์ที่เหล่าอาจารย์และเพื่อนพ้องร่วมสำนักภาคภูมิใจ อาจารย์อาจึงตกรางวัลเขาด้วยวันหยุดพักผ่อนห้าวันพร้อมอัฐอีกหนึ่งถุงใหญ่เอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว กระนั้นความฝันที่จะได้นอนเล่นอยู่เงียบ ๆ ก็สลายไปเมื่อศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา สีหน้าตื่นเต้นเหมือนจะได้ออกไปนอกสำนัก “เหลียนเฟินนนน” นางเรียกศิษย์น้องพร้อมรอยยิ้มเลศนัย เหลียนเฟินจึงรีบหันหน้าไปอีกทางเตรียมวิ่งหนีเพราะรู้ดีว่าสีหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอะไร “เหลียนเฟิน ถ้าเจ้าหนี ข้าจะฟ้องอาจารย์ว่าเจ้าไม่ดูแลข้า” หลวนเล่ออ้างคำสั่งของหมิงฮวาที่ฝากฝังเอาไว้ เขาจึงถอนหายใจรอรับฟังสิ่งที่นางจะเอ่ย “ข้าเดาว่า ข้าต้องช่วยทำอะไรสักอย่างใช่หรือไม่” เหลียนเฟินถาม ในใจภาวนาว่าอย่าให้ตรงกับวันว่างของเขาเลย “อาจารย์อาสั่งให้ข้าไปตรวจหาสาเหตุการตายของชาวบ้านที่เมืองเฟิง ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองไม่อยู่ ศิษย์พี่ซีหลิวมีงานรัดตัว ข้าเลยขอพาเจ้าไปด้วย อาจารย์อาอนุญาตแล้ว” หลวนเล่อร่ายยาวเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ นางรู้ดีว่า
สิบแปดปีต่อมา ยามนี้หิมะแรกตกโปรยปรายราวกับละอองฝนไปทั่วทั้งแคว้นฉิน ทำให้ผู้คนที่ออกมาเที่ยวเดินชมงานรื่นเริงประจำปีต่างรู้สึกเบิกบานใจ บ้างอธิษฐานขอให้พบแต่ความสงบสุข บ้างขอให้ได้เจอคนรักในเร็ววัน มีไม่น้อยที่มัวแต่เล่นสนุกสนานอยู่บนลานน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย “ศิษย์พี่รอข้าด้วย!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กอายุเจ็ดขวบดังขึ้นเพราะไสลากเลื่อนตามศิษย์พี่ของเขาไม่ทัน “ซิ่นเฉิง ข้าจะไปรอเจ้าที่เส้นชัย รีบ ๆ ตามมาเล่า” หญิงสาวผู้หนึ่งตอบกลับ “ศิษย์พี่หลวนเล่อ แบบนั้นไม่เรียกว่ารอแล้วขอรับ คราวนี้ท่านยอมข้าหน่อยไม่ได้หรือ” ซิ่นเฉิงรีบไสลากเลื่อนให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นว่านางใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว สีหน้าของเขาดูจริงจังเสียจนศิษย์อีกสองคนที่ยืนดูรู้สึกเอ็นดู “หลวนเล่อ เจ้าโตจนป่านนี้แล้วยังชอบแกล้งเขาอยู่เรื่อย เพลา ๆ บ้างเถิด” น้ำเสียงหวานละมุนเอ่ยปากห้ามปราม “ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ฟังที่ศิษย์พี่พูดเลยนะขอรับ” ศิษย์น้องของนางชี้ให้ดูคนทั้งสองที่ตั้งหน้าตั้งตาไสลากเลื่อนอย่างสุดกำลัง “เฮ้อ! ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์
รุ่งเช้าของอีกวัน หวังเฉิงเย่พร้อมบุตรชายเดินทางกลับจากถ้ำที่อยู่อีกฝั่งของป่า ไม่ทันจะได้เข้าใกล้สำนักกลับได้กลิ่นเลือดโชยมาจากทุกทิศทาง บรรยากาศอึมครึมหมองหม่น เยือกเย็น ทั้งสองคนก้าวเข้ามาด้านในสำนักด้วยความระมัดระวัง สิ่งที่ปรากฏต่อหน้ามีเพียงซากศพของบรรดาคนในสำนัก ทั้งศิษย์สำนัก อาจารย์ ทาสรับใช้ “เจ้าไปดูทางโน้น” หวังเฉิงเย่สั่งการบุตรชาย เขาเดินไปเรือนของตนเองเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตมาถามไถ่เรื่องราว “ขอรับ” หวังซีซวนเห็นภาพที่เกิดขึ้นจึงรีบตรงดิ่งไปที่เรือนใบไผ่ก่อนอันดับแรก เพราะหางตาเหลือบเห็นร่องรอยของปราณมาร&
ราวกับหวังเยี่ยนหลงกำลังตกอยู่ในภวังค์จึงไม่ได้ยินสิ่งที่เซี่ยฟานพูด เขาเสพสมกามารมณ์หลายท่วงท่าตลอดทั้งคืนจนรุ่งเช้า โอบกอดร่างบางของเซี่ยฟานแล้วนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย ช่วงสายของวัน เขาลืมตาตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงนกร้องอยู่ริมหน้าต่าง แสงแดดบาง ๆ ส่องมาที่เตียงนอน หวังเยี่ยนหลงยังคงกอดเซี่ยฟานไว้อย่างเช่นเคย พลันรู้สึกได้ว่าร่างกายของเซี่ยฟานเริ่มเย็น สีหน้าตระหนกปรากฏขึ้น เขาตรวจเส้นชีพจรของคนที่ยังนอนหลับใหล “เซี่ยฟาน” คนที่ถูกเรียกไม่ขานตอบ เขาจึงนำยาที่อยู่ในขวดมาให้เซี่ยฟานดื่มแล้วนั่งเฝ้าไม่ห่าง&nbs
สามเดือนผ่านไป หวังเยี่ยนหลงเริ่มหลอมรวมปราณมารที่อยู่ในศิลาหินให้เป็นหนึ่งเดียวกับตนเองได้บ้างแล้ว จึงออกมาจากถ้ำแห่งนั้น โดยไม่รู้เลยว่ากาลเวลาผ่านไปนานเท่าใด ครั้นข่ายอาคมที่ศิลาหินสร้างขึ้นหายไป ป่าวิญญาณจึงกลายเป็นเพียงป่าทึบทั่วไปที่มีสัตว์ดุร้ายกับปีศาจอาฆาตแค้นก็เท่านั้น หมอกพรางตาที่คอยล่อลวงผู้คนได้สลายไปเพราะไม่มีพลังจากศิลาหินคอยควบคุม เขากลับมาที่เรือนใบไผ่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วกว่าเดิมจนไม่มีใครจับตาทัน บรรยากาศภายในสำนักตระกูลหวังจึงยังคงความสงบเงียบได้อยู่