Masukนับตั้งแต่วันที่หวังซีซวนได้เจอกับเซี่ยฟาน เขาก็ทดสอบจิตใจและความอดทนของเซี่ยฟานตลอดเวลา เซี่ยฟานนั้นเดิมทีไม่ค่อยมีปากมีเสียงอะไร เวลาโดนหวังซีซวนแกล้ง เขาก็นิ่งเงียบไม่ตอบโต้ ครั้นเจอหวังซีซวนดื้อ เอาแต่ใจ เขาก็ใจเย็นรอคอยและทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จ เซี่ยฟานปลอบใจตนเองว่าอย่างน้อยที่นี่ก็ดีกว่ามาก
แต่สิ่งที่เขาคิดกลับเป็นแค่เพียงฉากหนึ่งที่ได้เห็นในเวลานั้น สถานที่เงียบสงบเริ่มกลับมาครึกครื้น เซี่ยฟานได้เห็นคนรุ่นเดียวกันมากมายในสำนัก คุณชายทั้งเจ็ด ลูกศิษย์ คนรับใช้ คนงาน ความวุ่นวายก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ
แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รู้ว่า ที่นี่ก็ไม่ต่างจากนรกขุมเดิม แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เขาก็มีความหวังอยู่เสมอ เซี่ยฟานเรียนรู้จากสองพี่น้องคู่นั้นว่าต้องทำงานแล้วเก็บหอมรอมริบ จากนั้นไถ่ถอนตัวเอง เขาก็จะได้เป็นอิสระ
เขาอดทนกับความเอาแต่ใจของหวังซีซวนมาได้สองเดือน แล้วก็ได้รู้ว่าหวังซีซวนเป็นคนที่อ่อนแอสุดในบรรดาคุณชายทั้งเจ็ด รวมถึงลูกศิษย์หลายสิบคนของหวังเฉิงเย่
สำนักตระกูลหวังเป็นสถานที่ฝึกวิชาสร้างขึ้นใหม่ เติบโตอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงแค่สิบปีด้วยฝีมือของหวังเฉิงเย่ แต่ละวันคุณชายและลูกศิษย์ต่างฝึกหนัก เนื้อตัวได้แผลไม่เว้นวัน แต่ก็ยังไม่วายชอบมารังแกหวังซีซวนอยู่เรื่อย
“หวังซีซวน เจ้าน่ะ มีสิทธิ์อะไรถึงไม่ต้องฝึกอย่างพวกข้า” คุณชายหกถามเขาพร้อมง้างมือหมายจะตีหัวของหวังซีซวน
เซี่ยฟานเห็นดังนั้นจึงเอาตัวเข้ามาขวาง
“เจ้านี่ หาเรื่องใส่ตัว?” คุณชายหกตวาดใส่เขาแล้วผลักเซี่ยฟานออกไป กำลังง้างมือทุบหวังซีซวนอีกรอบ เซี่ยฟานลุกขึ้นพยายามวิ่งเข้ามาแต่ถูกมือข้างหนึ่งของคนที่ตัวใหญ่กว่าดึงเอาไว้
“พี่สี่!” เสียงของคุณชายหกดังขึ้น หลบสายตาเขา
“เฮอะ เรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ แล้วจะเอาชนะเจ้าสามได้เช่นไร” คุณชายสี่เยาะเย้ยเขา วันนี้อารมณ์ดีจึงมาดูน้องต่างมารดาทั้งสองคนทะเลาะกัน
“ก็เจ้าทาสนี่มาขวางข้า” เขาพยายามโบ้ยความผิดให้เซี่ยฟาน
“ขวางแล้วอย่างไร แค่ทาสคนเดียว จัดการไม่ได้รึ” คุณชายสี่มองเซี่ยฟานด้วยหางตา
คุณชายหกไม่รอช้า เห็นว่าพี่สี่ของเขาจับตัวเซี่ยฟานเอาไว้ จึงเริ่มลงมือกับหวังซีซวน ไม่อย่างนั้นแล้ว คนที่จะโดนทุบตีคงจะเป็นเขาอย่างแน่นอน
ระบบการปกครองภายในสำนักตระกูลหวังนั้น แตกต่างจากสำนักอื่น ๆ คือ ไม่ว่าจะเป็นบุตรของเขาหรือลูกศิษย์ย่อมมีค่าเท่ากัน แต่ละวันล้วนต้องต่อสู้กันเองเพื่อฝึกฝนอย่างเคร่งครัดและทำคะแนนให้ตนเองอยู่ระดับที่สูงกว่าเดิม คนที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมเป็นผู้อยู่รอด
เซี่ยฟานที่เห็นหวังซีซวนโดนทุบตีก็แปลกใจ ตอนอยู่กับเขาดูไม่เหมือนคนที่จะยอมใครง่าย ๆ แต่พอเห็นสภาพของเขาแล้วก็นึกถึงคู่พี่น้องสองคน เซี่ยฟานสะบัดข้อมือให้หลุดจากเงื้อมมือของคุณชายสี่ แล้ววิ่งไปกอดหวังซีซวนเอาไว้ ยอมโดนคนอื่นทำร้ายอีกคราเพื่อปกป้องเจ้าเด็กน้อยเอาแต่ใจ
หลังจากที่คนเหล่านั้นพอใจแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไป เซี่ยฟานนำยามาทาแผลให้หวังซีซวนอย่างอ่อนโยน
“เจ้าเข้ามายุ่งทำไม” เขาทำเสียงฮึดฮัด ในใจเริ่มลังเลว่าเซี่ยฟานไม่เหมือนคนอื่น ๆ แต่ก็ยังไม่อยากยอมรับใครง่าย ๆ เพราะทุกคนที่เข้ามาที่นี่ ย่อมต้องหวังผลประโยชน์ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
เซี่ยฟานไม่ตอบอะไร ยังคงทายาให้หวังซีซวนเงียบ ๆ
“เซี่ยฟาน ข้าพูดกับเจ้าอยู่” เสียงเล็ก ๆ เริ่มหงุดหงิด
“ข้ามีหน้าที่ดูแลคุณชายขอรับ”
“แต่ทำแบบนั้น เจ้าจะตายได้นะ” หวังซีซวนสงสัย “ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรกับเจ้ากันแน่”
วันต่อมาเรื่องราวแบบเดิมยังคงเกิดขึ้นวนเวียน ไม่เจอฤทธิ์ของคุณชายหก ก็จะเจอคุณชายรอง หรือไม่ก็คุณชายใหญ่ ชีวิตของหวังซีซวนไม่ง่ายเลย แต่ถึงแม้ว่าเขาจะอ่อนแอที่สุด เขาก็เป็นคนที่ฉลาดที่สุดเช่นกัน
และเมื่อได้เห็นว่าเซี่ยฟานปฏิบัติกับตนเช่นไร เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าไม่มีพิษภัย ไม่ได้เป็นคนของใคร ไม่ได้หวังประโยชน์อะไรจากเขา
“เซี่ยฟาน เจ้ามานี่สิ” หวังซีซวนหยิบยาตลับหนึ่งออกมาแล้วทาแผลให้เซี่ยฟาน
“คุณชายทำอะไรหรือขอรับ ข้าทาเองได้” เซี่ยฟานตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขา เด็กน้อยเอาแต่ใจวันนี้ดูเป็นเด็กน้อยที่น่ารักอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าจะทายาให้เจ้า อยู่นิ่ง ๆ” เขาแตะยาจากตลับแล้วป้ายบนใบหน้าของเซี่ยฟาน แขน ขา ลำตัวทีละนิด “สภาพเจ้า ดูไม่ได้เลย” หวังซีซวนส่ายหน้าถอนหายใจ ร่างกายของเขาไม่เป็นอะไรมากก็เพราะเซี่ยฟานช่วยเอาไว้
“ขอบคุณขอรับ”
“เซี่ยฟาน ที่ผ่านมา ข้าขอโทษ” หวังซีซวนเอ่ยขึ้น สายตามีความจริงใจซ่อนอยู่
“เรื่องอันใดหรือ” เซี่ยฟานกำลังงุนงงกับคำพูดของเขา แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครขอโทษเขาสักครั้ง
“ข้าแกล้งเจ้า อารมณ์เสียใส่ ทำให้เจ้าต้องถูกเจ้าพวกนั้นรังแกไปด้วย ข้าขอโทษจริง ๆ” เขาพาเซี่ยฟานไปนั่งที่โต๊ะแล้วพูดอย่างจริงจัง “สักวันหนึ่ง ข้าจะพาเจ้าหนีไปจากที่นี่”
“คุณชายหมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าไม่อยากหรือ” หวังซีซวนคิ้วขมวด คนบ้าที่ไหนจะอยากอยู่ที่แบบนี้กัน
“ข้าเป็นทาส ทำงานเก็บอัฐไว้ได้ส่วนหนึ่งก็ไถ่ถอนตนเองได้นี่ขอรับ ไม่จำเป็นจะต้องหนีเสียหน่อย” เซี่ยฟานอธิบายสิ่งที่เขารู้มาให้หวังซีซวนฟัง
“เฮ้อ..” หวังซีซวนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ต่อให้เจ้าเก็บอัฐกองเท่าภูเขาได้ เจ้าก็ไถ่ถอนตนเองไม่ได้หรอก คนที่จะออกไปจากสำนักได้ มีแต่คนที่หมดลมหายใจแล้วเท่านั้น” สีหน้าของหวังซีซวนไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจ เขามีแผนในใจแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา จึงต้องยอมทำตัวเป็นคนอ่อนแอตามน้ำไปเพื่อไม่ให้ใครมายุ่งกับเขา แม้สถานการณ์จริงจะตรงกันข้ามก็เถอะ
“คนตายเท่านั้นหรือ” ราวกับแสงสว่างในใจของเซี่ยฟานเริ่มมอดลง สีหน้าเขาสลด ห่อเหี่ยวจนหวังซีซวนสังเกตได้
“ข้าถึงบอกเจ้าอย่างไรเล่า ว่าข้าจะพาเจ้าหนีไปด้วย ข้ากำลังพยายามอยู่ สักวันต้องสำเร็จแน่นอน เจ้าจะหนีไปกับข้าหรือไม่” หวังซีซวนถามเขาอีกครั้งให้แน่ใจ
“ไปขอรับ” หากจะมีวิธีใดที่หลุดพ้นไปได้ เซี่ยฟานย่อมไม่ลังเล
“แต่ตอนนี้ ต้องตามน้ำไปก่อน จำไว้ว่า ใครมารังแกก็ยอม ๆ ไปบ้าง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะโดนหนักกว่าเดิม ข้าจะสอนวิธีซับแรงให้เจ้า อย่าได้บอกใครเชียวล่ะ” หวังซีซวนกระชิบเบา ๆ ไม่อยากให้ใครได้ยิน นั่นเป็นหนึ่งในวิชาทางฝั่งมารดาของเขาที่ทิ้งเอาไว้ให้ ไม่รวมวิชากลั่นยารักษาที่ทำให้อาการช้ำในหายไปในชั่วข้ามคืน
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นไม้ตายที่หวังซีซวนเก็บไว้ต่อรองกับบิดาของเขาเพื่อไม่ต้องเข้าฝึกเหมือนคุณชายคนอื่น ๆ
“แผลตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้ สองวันก็หายแล้ว ถึงบาดแผลข้างนอกจะดูเจ็บหนัก แต่ข้างในร่างกายเจ้าจะแข็งแรงดี เจ้าไม่ต้องห่วง” หวังซีซวนภูมิใจในฝีมือกลั่นยาของตนเอง
“ขอบคุณขอรับ” เซี่ยฟานตอบเรียบง่าย ในหัวของเขากำลังคิดตามสิ่งที่หวังซีซวนพูด วันนี้ได้รู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมายเหลือเกิน
นับแต่นั้นมา หวังซีซวนก็เป็นฝ่ายติดเขางอมแงมราวกับว่าเซี่ยฟานเป็นพี่ชายคนหนึ่ง ยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็แกล้งทำเป็นดุด่า พาลใส่เซี่ยฟาน แต่ลับหลังที่อยู่กันสองคนก็กลายเป็นเด็กน้อยน่ารัก
เซี่ยฟานเองก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าความสัมพันธ์แบบพี่น้องนั้นเป็นเช่นไร เขารู้แล้วว่าทำไมคู่พี่น้องสองคนนั้นถึงรักและดูแลปกป้องกัน
“ข้าจะดูแลคุณชายเอง” เซี่ยฟานลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน อย่างน้อย เขาก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ







