Masukคนที่อยู่ในสำนักตระกูลหวังล้วนมีพันธะอย่างหนึ่งที่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธ ไม่ว่าจะฐานะคุณชาย ลูกศิษย์หรือแม้แต่คนใช้ ทุกคนเข้ามาที่จวนแห่งนี้ได้ แต่หากจะออกไปย่อมต้องไปอย่างคนไร้วิญญาณเพื่อรักษาความลับของวิชาที่สืบทอดกันมา
และหากมีผู้ใดคิดจะหนี ก็คงหนีไปได้ไม่ไกลเพราะพันธะนั้นเป็นเหมือนเชือกที่คอยผูกมัดคอเอาไว้ ยิ่งหนีเชือกเส้นนั้นยิ่งตึงขึ้น จำต้องยอมถอยกลับมาที่เดิม ในอดีตมีคนมากมายพยายามหนีออกไป โดยไม่รู้ตัวว่ามีพันธะอยู่ พวกเขาหนีไปได้ไม่ถึงสิบก้าวก็สิ้นใจลงในทันที
เมื่อไม่มีทางหนีแล้ว ทางเดียวที่จะอยู่รอดคือแข็งแกร่ง การฝึกหฤโหดดำเนินไปในแต่ละวันไม่มีหยุด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ความคิดของคนเหล่านี้ผิดแผกจากคนทั่วไป
แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ พี่น้องนั้นนับเป็นศัตรูได้ทุกเมื่อ หวังซีซวนจึงไม่เคยไว้ใจใคร แรกเริ่มที่แกล้งเซี่ยฟานก็เพื่อทดสอบ เมื่อผ่านอะไรมาด้วยกัน จึงได้รู้ว่าเซี่ยฟานไม่เหมือนใคร เขาคนนี้ต่างหากคือพี่ชายที่แท้จริง พี่ชายอย่างที่ควรจะเป็น
อย่าว่าแต่ความผูกผันกันในสายเลือดของพี่น้องเลย แม้แต่บิดาของเขา หวังซีซวนก็ได้รับแต่ความเย็นชา หากไม่ใช่ว่ามีแต้มเป็นต่อ คงไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้
“เซี่ยฟาน ไปเก็บสมุนไพรข้างนอกกันเถอะ” หวังซีซวนชวนเขาไปด้วยเป็นครั้งแรก
“ไปได้หรือขอรับ” เซี่ยฟานตาโต มองหน้าเจ้าตัวเล็กที่สะพายย่ามเอาไว้
“ลอดใต้กำแพง เจ้าไปช่วยข้าขุดพอดีเลย” หวังซีซวนยิ้มแป้นให้เขา
“ถ้าโดนจับได้เล่าขอรับ” เซี่ยฟานถามเพื่อหาทางหนีเอาไว้
“ไม่มีทาง เจ้าเดินตามข้าไปเงียบ ๆ ก็พอ” หวังซีซวนมั่นใจในฝีมือของตนเอง เพราะเขาทำแบบนี้มากว่าหนึ่งปีแล้ว
ปีก่อนเขาคิดค้นยารักษาตัวใหม่ได้ แต่ไม่อยากให้ใครรู้ จึงวางแผนจะหนีออกไปหว่านเมล็ดที่ข้างนอกสำนักแต่พอเดินมาถึงกำแพงที่สูงตระหง่าน เขาก็เปลี่ยนใจจากจะปีนกำแพงเป็นขุดดินเป็นโพลงแล้วลอดออกไปง่ายกว่า
หวังซีซวนคอยหลบออกไปข้างนอกยามที่ทุกคนไปฝึกวิชาด้านหลังติดภูเขา ทำอย่างนี้หลายคราจนชำนาญ ครั้งนี้มีความมั่นใจเต็มสิบส่วน
“เซี่ยฟาน เร็วเข้า เดี๋ยวไม่ทัน” เขาเร่งให้เซี่ยฟานตามมาติด ๆ
จนมาถึงกำแพงหนา เซี่ยฟานคาดคะเนความเป็นไปได้ที่จะปีนกำแพงหนีแล้วก็จนใจ กำแพงรอบจวนนั้นลื่นราวกับทาน้ำมันเอาไว้ คงต้องเป็นผู้มีวิชาเท่านั้นถึงจะมีพลังลอยข้ามออกไป คนธรรมดาอย่างเขาหมดสิทธิ์
ทั้งสองคนช่วยกันขุดรูให้ใหญ่ขึ้นพอที่จะลอดออกไปได้ก่อนจะมุดลงข้างล่างแล้วนำเศษหญ้ากองใหญ่มาปิดหลุมเอาไว้
พอโผล่พ้นจากหลุมมาได้ เซี่ยฟานก็ได้เห็นภาพทิวทัศน์นอกกำแพงเป็นครั้งแรก เขารับรู้ถึงสายลมที่พัดพามา จิตใจผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ข้าเข้าใจว่าเจ้ารู้สึกอย่างไร สักวันเราจะหนีไปด้วยกัน” หวังซีซวนเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน “จะดีสักแค่ไหนกันนะ ถ้าข้ามีอิสระอยู่ข้างนอกแบบนี้”
“สักนิดอย่างวันนี้ก็ดีนะขอรับ” เขายิ้มน้อย ๆ ให้หวังซีซวน
“เซี่ยฟาน เจ้ายิ้มเป็นแล้วหรือ ข้านึกว่าเจ้ามีหน้าเดียวเสียอีก” หวังซีซวนทักเขาสีหน้าระรื่น “เจ้ากำลังมีความสุขหรือ” เด็กน้อยยิ้มสดใสให้เขา
“ขอรับ” เซี่ยฟานพยักหน้า
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปที่สวนสมุนไพรของหวังซีซวน แล้วใช้เวลาที่เหลืออยู่เล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
เซี่ยฟานนอนราบกับพื้นหญ้า สายตามองฝูงนกที่บินบนท้องฟ้า ใจของเขายามนี้ผ่อนคลายจากทุกสิ่งอย่าง เสียงสายลมพัดกิ่งไผ่ส่งเสียงหวีดหวิว แสงแดดอ่อนสาดส่องลงมาจากด้านบน เขายิ้มกว้างกว่าเดิมเพราะมีความสุข
หวังซีซวนเห็นดังนั้นจึงมานอนข้าง ๆ เขา ชี้ให้เซี่ยฟานดูก้อนเมฆอ้วนกลม รูปร่างคล้ายซาลาเปาแล้วก็ทำท่าหยิบมากิน หัวเราะคิกคักดังลั่นทั่วบริเวณ
ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็เยียวยาจิตใจของทั้งสองคนเป็นอย่างดี
“เซี่ยฟาน ไปเล่นน้ำที่น้ำตกกัน เจ้าเคยเห็นหรือไม่” หวังซีซวนนึกขึ้นได้
“น้ำตกคืออะไรหรือขอรับ” เซี่ยฟานขมวดคิ้วเอียงคอถามเขา
“รีบไปกันดีกว่า จะได้มีเวลาเล่นนาน ๆ เจ้าต้องชอบแน่ ๆ” หวังซีซวนดึงแขนของเซี่ยฟานแล้วออกวิ่งไปทิศทางนั้นในทันใด
เสียงซ่า ซ่า ของกระแสน้ำที่ตกลงมาจากด้านบนโขดหินใหญ่กระทบกับพื้นน้ำด้านล่างเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เซี่ยฟานตื่นเต้นในใจคิดภาพน้ำตกไปต่าง ๆ นานาเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน
กลิ่นไอดินอบอวลราวกับกลิ่นของดินยามต้องสายฝนพัดเอื่อย ๆ
“เซี่ยฟาน หลับตาแล้วเดินตามข้ามาดี ๆ ล่ะ” หวังซีซวนบอกเขา “ห้ามลืมตาเด็ดขาด” เขาโบกมือหน้าเซี่ยฟานเพื่อตรวจดูให้แน่ใจ จากนั้นค่อย ๆ พาเซี่ยฟานเดินไปที่ริมน้ำตกแล้วก้าวทีละก้าวไปบนก้อนหินเล็ก ๆ ไปจนถึงกลางน้ำตกใหญ่
“ลืมตาสิ” หวังซีซวนบอกเขา
เซี่ยฟานตะลึงงันเมื่อได้เห็นน้ำตกสูงใหญ่เจ็ดชั้นอยู่เบื้องหน้า แต่ละชั้นไล่เรียงเป็นขั้นบันได มีแอ่งน้ำเล็ก ๆ ก่อนจะไหลลงมายังที่ที่เขายืนอยู่ เซี่ยฟานลองจุ่มเท้าลงไปในน้ำใส สัมผัสความรู้สึกแปลกใหม่ เขามองหน้าของหวังซีซวน
“สิ่งนี้คือน้ำตกหรือ” เซี่ยฟานถามให้แน่ใจ เขานั่งลงแล้วทำมือกวักน้ำขึ้นมา
“ใช่แล้ว ลงไปเล่นกันดีกว่า” หวังซีซวนไม่รอช้าแกล้งดันหลังของเซี่ยฟานลงไปในแอ่งน้ำ ทว่าลืมนึกไปว่าคนที่ไม่เคยเล่นน้ำ ใยจะว่ายน้ำเป็น หวังซีซวนจึงรีบกระโดดลงน้ำไปดึงเขาขึ้นมา
“เซี่ยฟาน!” หวังซีซวนสีหน้าตื่นตระหนก “ข้าขอโทษ ข้าไม่นึกว่าเจ้าจะว่ายน้ำไม่เป็น”
“คุณชาย! เกือบไปแล้ว” เซี่ยฟานสูดหายใจ พยายามควบคุมสติของตนเอง
“ไปนั่งเล่นตรงโน้นดีกว่า น้ำตื้นปลอดภัย” หวังซีซวนชี้ไปที่อีกฝั่ง ลุกขึ้นยืนแล้วรอจับมือเซี่ยฟานเดินไปพร้อมกัน
จากที่เมื่อครู่สำลักน้ำไปสองสามอึก ตอนนี้เซี่ยฟานเริ่มชินกับการเล่นน้ำแล้ว หวังซีซวนสอนให้เขากลั้นหายใจในน้ำ ลืมตามองดูปลาที่ว่ายน้ำอยู่ใกล้ ๆ จนแทบจะลืมเวลากลับสำนัก
จู่ ๆ เสียงระฆังใหญ่บอกเวลาเลิกฝึกวิชาก็ดังขึ้น หวังซีซวนโผล่ออกมาจากน้ำหน้าตาตื่น
“เซี่ยฟาน แย่แล้ว เสียงระฆังดัง” เขาพูดละล่ำละลัก “เร็วเข้า ไม่อย่างนั้น ความลับแตกแน่ ๆ”
เซี่ยฟานรู้งานเป็นอย่างดี ทั้งคู่รีบขึ้นจากน้ำแล้ววิ่งกลับไปที่สำนักด้วยสภาพเสื้อผ้าเปียกชุ่ม กว่าจะถึงกำแพงสำนักเสื้อผ้าก็เกือบแห้งพอดี
ครั้นได้มุดหลุมที่ขุดไว้ ดินแดงก็เปรอะเปื้อนเสื้อผ้า ทำให้เนื้อตัวที่เพิ่งเล่นน้ำสะอาดมามอมแมมขี้ฝุ่น
สุดท้ายทั้งสองคนก็มาถึงเรือนต้นสนได้อย่างปลอดภัย หวังซีซวนรีบเอาย่ามสมุนไพรไปซ่อนก่อนที่ใครจะมาเห็น ส่วนเซี่ยฟานก็ไปเตรียมน้ำมาให้หวังซีซวนอาบล้างเนื้อตัว
ขณะที่เซี่ยฟานถือถังน้ำร้อนมา มัวแต่คิดใจลอยถึงเรื่องสนุกสนานในวันนี้ เขาก็เดินชนกับคนผู้หนึ่งที่อายุรุ่นราวเดียวกับเขา ถังน้ำร้อนกระเด็นไปทางคนผู้นั้น แต่เซี่ยฟานไม่ทันได้เห็นว่าเขาหลบทันก็คิดไปว่าน้ำร้อนลวกเขาไปแล้ว จึงลนลานจะเข้ามาดูแผลจับเนื้อต้องตัวเขาโดยไม่รู้ตัว
“ถอยไป!” เขาตวาดเสียงดัง แต่เซี่ยฟานไม่ฟัง ครั้งนี้เป็นความผิดเขาจริง ๆ ที่ไม่ระมัดระวัง ทำให้คนอื่นต้องบาดเจ็บ
“แต่ว่า น้ำร้อนลวกท่านหรือไม่ เจ็บที่ใดหรือไม่” เซี่ยฟานพยายามตรวจดูที่ขาของเขา
“ถอยไป!” คนผู้นั้นไม่ยี่หระ ผลักตัวของเซี่ยฟานออกไป เขาไม่คุ้นชินกับการที่มีใครทำทีเป็นห่วงเขา คิดในใจว่าคนตรงหน้านั้นเสแสร้ง
“พี่สาม” หวังซีซวนอุทานเรียกเขาเบา ๆ เพราะได้ยินเสียงเอะอะนอกเรือนจึงมาดู
“คุณชายห้าข้าผิดเองที่ทำน้ำร้อนลวกเขา” เซี่ยฟานยังคงตกใจไม่หาย เพราะคิดว่าปลายกางเกงที่เปียกน้ำนั้นเป็นเพราะโดนน้ำร้อนของตนเอง
“เฮ้อ! เซี่ยฟาน เจ้าทำอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือเลย พี่สาม ข้าต้องขอโทษด้วย เรื่องในวันนี้ ข้าจะลงโทษเขาเอง ท่านไม่ต้องกังวล” หวังซีซวน
พยายามสรุปตัดบทเพื่อพาเซี่ยฟานหนีมาจากเขา
“คนใช้ของเจ้า? โง่เง่าเสียจริง” เขาเหยียดหยามเซี่ยฟาน แล้วนั่งลง เอามือจับคางของเซี่ยฟานมาดูหน้าชัด ๆ แล้วเอ่ยเบา ๆ “เซี่ยฟาน”
สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ

![นายบำเรอของมาเฟีย [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)





