คนที่อยู่ในสำนักตระกูลหวังล้วนมีพันธะอย่างหนึ่งที่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธ ไม่ว่าจะฐานะคุณชาย ลูกศิษย์หรือแม้แต่คนใช้ ทุกคนเข้ามาที่จวนแห่งนี้ได้ แต่หากจะออกไปย่อมต้องไปอย่างคนไร้วิญญาณเพื่อรักษาความลับของวิชาที่สืบทอดกันมา
และหากมีผู้ใดคิดจะหนี ก็คงหนีไปได้ไม่ไกลเพราะพันธะนั้นเป็นเหมือนเชือกที่คอยผูกมัดคอเอาไว้ ยิ่งหนีเชือกเส้นนั้นยิ่งตึงขึ้น จำต้องยอมถอยกลับมาที่เดิม ในอดีตมีคนมากมายพยายามหนีออกไป โดยไม่รู้ตัวว่ามีพันธะอยู่ พวกเขาหนีไปได้ไม่ถึงสิบก้าวก็สิ้นใจลงในทันที
เมื่อไม่มีทางหนีแล้ว ทางเดียวที่จะอยู่รอดคือแข็งแกร่ง การฝึกหฤโหดดำเนินไปในแต่ละวันไม่มีหยุด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ความคิดของคนเหล่านี้ผิดแผกจากคนทั่วไป
แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ พี่น้องนั้นนับเป็นศัตรูได้ทุกเมื่อ หวังซีซวนจึงไม่เคยไว้ใจใคร แรกเริ่มที่แกล้งเซี่ยฟานก็เพื่อทดสอบ เมื่อผ่านอะไรมาด้วยกัน จึงได้รู้ว่าเซี่ยฟานไม่เหมือนใคร เขาคนนี้ต่างหากคือพี่ชายที่แท้จริง พี่ชายอย่างที่ควรจะเป็น
อย่าว่าแต่ความผูกผันกันในสายเลือดของพี่น้องเลย แม้แต่บิดาของเขา หวังซีซวนก็ได้รับแต่ความเย็นชา หากไม่ใช่ว่ามีแต้มเป็นต่อ คงไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้
“เซี่ยฟาน ไปเก็บสมุนไพรข้างนอกกันเถอะ” หวังซีซวนชวนเขาไปด้วยเป็นครั้งแรก
“ไปได้หรือขอรับ” เซี่ยฟานตาโต มองหน้าเจ้าตัวเล็กที่สะพายย่ามเอาไว้
“ลอดใต้กำแพง เจ้าไปช่วยข้าขุดพอดีเลย” หวังซีซวนยิ้มแป้นให้เขา
“ถ้าโดนจับได้เล่าขอรับ” เซี่ยฟานถามเพื่อหาทางหนีเอาไว้
“ไม่มีทาง เจ้าเดินตามข้าไปเงียบ ๆ ก็พอ” หวังซีซวนมั่นใจในฝีมือของตนเอง เพราะเขาทำแบบนี้มากว่าหนึ่งปีแล้ว
ปีก่อนเขาคิดค้นยารักษาตัวใหม่ได้ แต่ไม่อยากให้ใครรู้ จึงวางแผนจะหนีออกไปหว่านเมล็ดที่ข้างนอกสำนักแต่พอเดินมาถึงกำแพงที่สูงตระหง่าน เขาก็เปลี่ยนใจจากจะปีนกำแพงเป็นขุดดินเป็นโพลงแล้วลอดออกไปง่ายกว่า
หวังซีซวนคอยหลบออกไปข้างนอกยามที่ทุกคนไปฝึกวิชาด้านหลังติดภูเขา ทำอย่างนี้หลายคราจนชำนาญ ครั้งนี้มีความมั่นใจเต็มสิบส่วน
“เซี่ยฟาน เร็วเข้า เดี๋ยวไม่ทัน” เขาเร่งให้เซี่ยฟานตามมาติด ๆ
จนมาถึงกำแพงหนา เซี่ยฟานคาดคะเนความเป็นไปได้ที่จะปีนกำแพงหนีแล้วก็จนใจ กำแพงรอบจวนนั้นลื่นราวกับทาน้ำมันเอาไว้ คงต้องเป็นผู้มีวิชาเท่านั้นถึงจะมีพลังลอยข้ามออกไป คนธรรมดาอย่างเขาหมดสิทธิ์
ทั้งสองคนช่วยกันขุดรูให้ใหญ่ขึ้นพอที่จะลอดออกไปได้ก่อนจะมุดลงข้างล่างแล้วนำเศษหญ้ากองใหญ่มาปิดหลุมเอาไว้
พอโผล่พ้นจากหลุมมาได้ เซี่ยฟานก็ได้เห็นภาพทิวทัศน์นอกกำแพงเป็นครั้งแรก เขารับรู้ถึงสายลมที่พัดพามา จิตใจผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ข้าเข้าใจว่าเจ้ารู้สึกอย่างไร สักวันเราจะหนีไปด้วยกัน” หวังซีซวนเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน “จะดีสักแค่ไหนกันนะ ถ้าข้ามีอิสระอยู่ข้างนอกแบบนี้”
“สักนิดอย่างวันนี้ก็ดีนะขอรับ” เขายิ้มน้อย ๆ ให้หวังซีซวน
“เซี่ยฟาน เจ้ายิ้มเป็นแล้วหรือ ข้านึกว่าเจ้ามีหน้าเดียวเสียอีก” หวังซีซวนทักเขาสีหน้าระรื่น “เจ้ากำลังมีความสุขหรือ” เด็กน้อยยิ้มสดใสให้เขา
“ขอรับ” เซี่ยฟานพยักหน้า
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปที่สวนสมุนไพรของหวังซีซวน แล้วใช้เวลาที่เหลืออยู่เล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
เซี่ยฟานนอนราบกับพื้นหญ้า สายตามองฝูงนกที่บินบนท้องฟ้า ใจของเขายามนี้ผ่อนคลายจากทุกสิ่งอย่าง เสียงสายลมพัดกิ่งไผ่ส่งเสียงหวีดหวิว แสงแดดอ่อนสาดส่องลงมาจากด้านบน เขายิ้มกว้างกว่าเดิมเพราะมีความสุข
หวังซีซวนเห็นดังนั้นจึงมานอนข้าง ๆ เขา ชี้ให้เซี่ยฟานดูก้อนเมฆอ้วนกลม รูปร่างคล้ายซาลาเปาแล้วก็ทำท่าหยิบมากิน หัวเราะคิกคักดังลั่นทั่วบริเวณ
ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็เยียวยาจิตใจของทั้งสองคนเป็นอย่างดี
“เซี่ยฟาน ไปเล่นน้ำที่น้ำตกกัน เจ้าเคยเห็นหรือไม่” หวังซีซวนนึกขึ้นได้
“น้ำตกคืออะไรหรือขอรับ” เซี่ยฟานขมวดคิ้วเอียงคอถามเขา
“รีบไปกันดีกว่า จะได้มีเวลาเล่นนาน ๆ เจ้าต้องชอบแน่ ๆ” หวังซีซวนดึงแขนของเซี่ยฟานแล้วออกวิ่งไปทิศทางนั้นในทันใด
เสียงซ่า ซ่า ของกระแสน้ำที่ตกลงมาจากด้านบนโขดหินใหญ่กระทบกับพื้นน้ำด้านล่างเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เซี่ยฟานตื่นเต้นในใจคิดภาพน้ำตกไปต่าง ๆ นานาเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน
กลิ่นไอดินอบอวลราวกับกลิ่นของดินยามต้องสายฝนพัดเอื่อย ๆ
“เซี่ยฟาน หลับตาแล้วเดินตามข้ามาดี ๆ ล่ะ” หวังซีซวนบอกเขา “ห้ามลืมตาเด็ดขาด” เขาโบกมือหน้าเซี่ยฟานเพื่อตรวจดูให้แน่ใจ จากนั้นค่อย ๆ พาเซี่ยฟานเดินไปที่ริมน้ำตกแล้วก้าวทีละก้าวไปบนก้อนหินเล็ก ๆ ไปจนถึงกลางน้ำตกใหญ่
“ลืมตาสิ” หวังซีซวนบอกเขา
เซี่ยฟานตะลึงงันเมื่อได้เห็นน้ำตกสูงใหญ่เจ็ดชั้นอยู่เบื้องหน้า แต่ละชั้นไล่เรียงเป็นขั้นบันได มีแอ่งน้ำเล็ก ๆ ก่อนจะไหลลงมายังที่ที่เขายืนอยู่ เซี่ยฟานลองจุ่มเท้าลงไปในน้ำใส สัมผัสความรู้สึกแปลกใหม่ เขามองหน้าของหวังซีซวน
“สิ่งนี้คือน้ำตกหรือ” เซี่ยฟานถามให้แน่ใจ เขานั่งลงแล้วทำมือกวักน้ำขึ้นมา
“ใช่แล้ว ลงไปเล่นกันดีกว่า” หวังซีซวนไม่รอช้าแกล้งดันหลังของเซี่ยฟานลงไปในแอ่งน้ำ ทว่าลืมนึกไปว่าคนที่ไม่เคยเล่นน้ำ ใยจะว่ายน้ำเป็น หวังซีซวนจึงรีบกระโดดลงน้ำไปดึงเขาขึ้นมา
“เซี่ยฟาน!” หวังซีซวนสีหน้าตื่นตระหนก “ข้าขอโทษ ข้าไม่นึกว่าเจ้าจะว่ายน้ำไม่เป็น”
“คุณชาย! เกือบไปแล้ว” เซี่ยฟานสูดหายใจ พยายามควบคุมสติของตนเอง
“ไปนั่งเล่นตรงโน้นดีกว่า น้ำตื้นปลอดภัย” หวังซีซวนชี้ไปที่อีกฝั่ง ลุกขึ้นยืนแล้วรอจับมือเซี่ยฟานเดินไปพร้อมกัน
จากที่เมื่อครู่สำลักน้ำไปสองสามอึก ตอนนี้เซี่ยฟานเริ่มชินกับการเล่นน้ำแล้ว หวังซีซวนสอนให้เขากลั้นหายใจในน้ำ ลืมตามองดูปลาที่ว่ายน้ำอยู่ใกล้ ๆ จนแทบจะลืมเวลากลับสำนัก
จู่ ๆ เสียงระฆังใหญ่บอกเวลาเลิกฝึกวิชาก็ดังขึ้น หวังซีซวนโผล่ออกมาจากน้ำหน้าตาตื่น
“เซี่ยฟาน แย่แล้ว เสียงระฆังดัง” เขาพูดละล่ำละลัก “เร็วเข้า ไม่อย่างนั้น ความลับแตกแน่ ๆ”
เซี่ยฟานรู้งานเป็นอย่างดี ทั้งคู่รีบขึ้นจากน้ำแล้ววิ่งกลับไปที่สำนักด้วยสภาพเสื้อผ้าเปียกชุ่ม กว่าจะถึงกำแพงสำนักเสื้อผ้าก็เกือบแห้งพอดี
ครั้นได้มุดหลุมที่ขุดไว้ ดินแดงก็เปรอะเปื้อนเสื้อผ้า ทำให้เนื้อตัวที่เพิ่งเล่นน้ำสะอาดมามอมแมมขี้ฝุ่น
สุดท้ายทั้งสองคนก็มาถึงเรือนต้นสนได้อย่างปลอดภัย หวังซีซวนรีบเอาย่ามสมุนไพรไปซ่อนก่อนที่ใครจะมาเห็น ส่วนเซี่ยฟานก็ไปเตรียมน้ำมาให้หวังซีซวนอาบล้างเนื้อตัว
ขณะที่เซี่ยฟานถือถังน้ำร้อนมา มัวแต่คิดใจลอยถึงเรื่องสนุกสนานในวันนี้ เขาก็เดินชนกับคนผู้หนึ่งที่อายุรุ่นราวเดียวกับเขา ถังน้ำร้อนกระเด็นไปทางคนผู้นั้น แต่เซี่ยฟานไม่ทันได้เห็นว่าเขาหลบทันก็คิดไปว่าน้ำร้อนลวกเขาไปแล้ว จึงลนลานจะเข้ามาดูแผลจับเนื้อต้องตัวเขาโดยไม่รู้ตัว
“ถอยไป!” เขาตวาดเสียงดัง แต่เซี่ยฟานไม่ฟัง ครั้งนี้เป็นความผิดเขาจริง ๆ ที่ไม่ระมัดระวัง ทำให้คนอื่นต้องบาดเจ็บ
“แต่ว่า น้ำร้อนลวกท่านหรือไม่ เจ็บที่ใดหรือไม่” เซี่ยฟานพยายามตรวจดูที่ขาของเขา
“ถอยไป!” คนผู้นั้นไม่ยี่หระ ผลักตัวของเซี่ยฟานออกไป เขาไม่คุ้นชินกับการที่มีใครทำทีเป็นห่วงเขา คิดในใจว่าคนตรงหน้านั้นเสแสร้ง
“พี่สาม” หวังซีซวนอุทานเรียกเขาเบา ๆ เพราะได้ยินเสียงเอะอะนอกเรือนจึงมาดู
“คุณชายห้าข้าผิดเองที่ทำน้ำร้อนลวกเขา” เซี่ยฟานยังคงตกใจไม่หาย เพราะคิดว่าปลายกางเกงที่เปียกน้ำนั้นเป็นเพราะโดนน้ำร้อนของตนเอง
“เฮ้อ! เซี่ยฟาน เจ้าทำอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือเลย พี่สาม ข้าต้องขอโทษด้วย เรื่องในวันนี้ ข้าจะลงโทษเขาเอง ท่านไม่ต้องกังวล” หวังซีซวน
พยายามสรุปตัดบทเพื่อพาเซี่ยฟานหนีมาจากเขา
“คนใช้ของเจ้า? โง่เง่าเสียจริง” เขาเหยียดหยามเซี่ยฟาน แล้วนั่งลง เอามือจับคางของเซี่ยฟานมาดูหน้าชัด ๆ แล้วเอ่ยเบา ๆ “เซี่ยฟาน”
รุ่งเช้าวันต่อมา สีหน้าเรียบเฉยของคนผู้หนึ่งยืนดูเหตุการณ์ชุลมุนอยู่ข้างบนระเบียงชั้นสองของโรงเตี๊ยม เขาไม่มีทีท่าสะทกสะท้านหวาดกลัวเฉกเช่นคนทั่วไป พลันรอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นเพราะแน่ใจแล้วว่าผู้ที่สร้างเรื่องทั้งหมดหวังสิ่งใด “ตามตัวได้หรือไม่” เสียงเย็นชาถามลูกน้องคนสนิท มือข้างหนึ่งถือถ้วยชายกดื่มสบายอารมณ์ “ยังไม่พบขอรับนายท่าน” เขารายงานตามความจริง นับตั้งแต่รับคำสั่งจากหวังเยี่ยนหลง เขาออกเดินทางสืบเสาะไปทั่วแคว้นซีเป่ย ในที่สุดก็พบว่าคนผู้นี้แอบหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองเฟิง ใช้วิชาของตนเองหลบหนียามเมื่อถึงคราวจวนตัว เพียงแต่ครานี้ เขากลับทิ้งร่องรอยไว้ชัดเจนมากเกินไปจนผิดสังเกต “นายท่าน กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ” ชายอีกคนเอ่ยปาก “เห็นหรือไม่ว่าเจ้านั่นตั้งใจทิ้งร่องรอยของปราณมารเอาไว้” เขาชี้ไปยังข้างล่างที่มีทหารสี่ห้านายกำลังเก็บศพของชายขอทาน “วิชาของหลินหลีเหว่ยไม่เคยมีร่องรอยเช่นนั้น” “เพราะเหตุใดเล่าขอรับ” ลูกน้องทั้งสองคนยังคงไม่เข้าใจ แต่เจ้านายของพวกเขากลับคาดการณ์แผนทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
สุดท้ายแล้ววันนั้นเหลียนเฟินก็ผ่านการสอบมาได้ กลายเป็นศิษย์ที่เหล่าอาจารย์และเพื่อนพ้องร่วมสำนักภาคภูมิใจ อาจารย์อาจึงตกรางวัลเขาด้วยวันหยุดพักผ่อนห้าวันพร้อมอัฐอีกหนึ่งถุงใหญ่เอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว กระนั้นความฝันที่จะได้นอนเล่นอยู่เงียบ ๆ ก็สลายไปเมื่อศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา สีหน้าตื่นเต้นเหมือนจะได้ออกไปนอกสำนัก “เหลียนเฟินนนน” นางเรียกศิษย์น้องพร้อมรอยยิ้มเลศนัย เหลียนเฟินจึงรีบหันหน้าไปอีกทางเตรียมวิ่งหนีเพราะรู้ดีว่าสีหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอะไร “เหลียนเฟิน ถ้าเจ้าหนี ข้าจะฟ้องอาจารย์ว่าเจ้าไม่ดูแลข้า” หลวนเล่ออ้างคำสั่งของหมิงฮวาที่ฝากฝังเอาไว้ เขาจึงถอนหายใจรอรับฟังสิ่งที่นางจะเอ่ย “ข้าเดาว่า ข้าต้องช่วยทำอะไรสักอย่างใช่หรือไม่” เหลียนเฟินถาม ในใจภาวนาว่าอย่าให้ตรงกับวันว่างของเขาเลย “อาจารย์อาสั่งให้ข้าไปตรวจหาสาเหตุการตายของชาวบ้านที่เมืองเฟิง ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองไม่อยู่ ศิษย์พี่ซีหลิวมีงานรัดตัว ข้าเลยขอพาเจ้าไปด้วย อาจารย์อาอนุญาตแล้ว” หลวนเล่อร่ายยาวเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ นางรู้ดีว่า
สิบแปดปีต่อมา ยามนี้หิมะแรกตกโปรยปรายราวกับละอองฝนไปทั่วทั้งแคว้นฉิน ทำให้ผู้คนที่ออกมาเที่ยวเดินชมงานรื่นเริงประจำปีต่างรู้สึกเบิกบานใจ บ้างอธิษฐานขอให้พบแต่ความสงบสุข บ้างขอให้ได้เจอคนรักในเร็ววัน มีไม่น้อยที่มัวแต่เล่นสนุกสนานอยู่บนลานน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย “ศิษย์พี่รอข้าด้วย!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กอายุเจ็ดขวบดังขึ้นเพราะไสลากเลื่อนตามศิษย์พี่ของเขาไม่ทัน “ซิ่นเฉิง ข้าจะไปรอเจ้าที่เส้นชัย รีบ ๆ ตามมาเล่า” หญิงสาวผู้หนึ่งตอบกลับ “ศิษย์พี่หลวนเล่อ แบบนั้นไม่เรียกว่ารอแล้วขอรับ คราวนี้ท่านยอมข้าหน่อยไม่ได้หรือ” ซิ่นเฉิงรีบไสลากเลื่อนให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นว่านางใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว สีหน้าของเขาดูจริงจังเสียจนศิษย์อีกสองคนที่ยืนดูรู้สึกเอ็นดู “หลวนเล่อ เจ้าโตจนป่านนี้แล้วยังชอบแกล้งเขาอยู่เรื่อย เพลา ๆ บ้างเถิด” น้ำเสียงหวานละมุนเอ่ยปากห้ามปราม “ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ฟังที่ศิษย์พี่พูดเลยนะขอรับ” ศิษย์น้องของนางชี้ให้ดูคนทั้งสองที่ตั้งหน้าตั้งตาไสลากเลื่อนอย่างสุดกำลัง “เฮ้อ! ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์
รุ่งเช้าของอีกวัน หวังเฉิงเย่พร้อมบุตรชายเดินทางกลับจากถ้ำที่อยู่อีกฝั่งของป่า ไม่ทันจะได้เข้าใกล้สำนักกลับได้กลิ่นเลือดโชยมาจากทุกทิศทาง บรรยากาศอึมครึมหมองหม่น เยือกเย็น ทั้งสองคนก้าวเข้ามาด้านในสำนักด้วยความระมัดระวัง สิ่งที่ปรากฏต่อหน้ามีเพียงซากศพของบรรดาคนในสำนัก ทั้งศิษย์สำนัก อาจารย์ ทาสรับใช้ “เจ้าไปดูทางโน้น” หวังเฉิงเย่สั่งการบุตรชาย เขาเดินไปเรือนของตนเองเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตมาถามไถ่เรื่องราว “ขอรับ” หวังซีซวนเห็นภาพที่เกิดขึ้นจึงรีบตรงดิ่งไปที่เรือนใบไผ่ก่อนอันดับแรก เพราะหางตาเหลือบเห็นร่องรอยของปราณมาร&
ราวกับหวังเยี่ยนหลงกำลังตกอยู่ในภวังค์จึงไม่ได้ยินสิ่งที่เซี่ยฟานพูด เขาเสพสมกามารมณ์หลายท่วงท่าตลอดทั้งคืนจนรุ่งเช้า โอบกอดร่างบางของเซี่ยฟานแล้วนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย ช่วงสายของวัน เขาลืมตาตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงนกร้องอยู่ริมหน้าต่าง แสงแดดบาง ๆ ส่องมาที่เตียงนอน หวังเยี่ยนหลงยังคงกอดเซี่ยฟานไว้อย่างเช่นเคย พลันรู้สึกได้ว่าร่างกายของเซี่ยฟานเริ่มเย็น สีหน้าตระหนกปรากฏขึ้น เขาตรวจเส้นชีพจรของคนที่ยังนอนหลับใหล “เซี่ยฟาน” คนที่ถูกเรียกไม่ขานตอบ เขาจึงนำยาที่อยู่ในขวดมาให้เซี่ยฟานดื่มแล้วนั่งเฝ้าไม่ห่าง&nbs
สามเดือนผ่านไป หวังเยี่ยนหลงเริ่มหลอมรวมปราณมารที่อยู่ในศิลาหินให้เป็นหนึ่งเดียวกับตนเองได้บ้างแล้ว จึงออกมาจากถ้ำแห่งนั้น โดยไม่รู้เลยว่ากาลเวลาผ่านไปนานเท่าใด ครั้นข่ายอาคมที่ศิลาหินสร้างขึ้นหายไป ป่าวิญญาณจึงกลายเป็นเพียงป่าทึบทั่วไปที่มีสัตว์ดุร้ายกับปีศาจอาฆาตแค้นก็เท่านั้น หมอกพรางตาที่คอยล่อลวงผู้คนได้สลายไปเพราะไม่มีพลังจากศิลาหินคอยควบคุม เขากลับมาที่เรือนใบไผ่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วกว่าเดิมจนไม่มีใครจับตาทัน บรรยากาศภายในสำนักตระกูลหวังจึงยังคงความสงบเงียบได้อยู่