Masukเวลาผ่านไปสามปี
ชีวิตของเซี่ยฟานเติบโตขึ้นอย่างทุลักทุเล นับตั้งแต่ที่เห็นว่าสองพี่น้องมีชะตาชีวิตอย่างไร เขาก็ไม่กล้าที่จะดื้อดึงหรือมองหาหนทางเป็นอิสระอีกต่อไป เวลานั้นเขารู้ข่าวจากหานโจวมาว่าคนเป็นน้องไม่รอด ส่วนคนเป็นพี่สาวหายตัวไปอย่างลึกลับ เขาคิดว่าสาเหตุคงจะเป็นเหมือนจางเจียและหลินซินอี๋
ด้านเซี่ยเวย แม้เวลาจะล่วงเลยแต่ยังคงประพฤติตัวเช่นเดิม จนเรื่องราวภายในจวนของเขาส่งกลิ่นไปด้านนอก ผู้คนเริ่มระแคะระคายอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนของเขา
แม้แต่ฮูหยินเองก็ตามเช็ดทุกเรื่องที่เขาทำไม่ไหว ไหน ๆ ก็ไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลได้ นางจึงคิดที่จะฮุบเอาสมบัติทั้งหมดมาเป็นของนางคนเดียว
วันนั้นเอง คนเป็นพี่สาวที่หนีไปได้เมื่อครั้งนั้น ได้กลับมาพร้อมกับสามีของนาง เขาเป็นคนของทางการ มีอำนาจในการตรวจสอบขุนนางท้องถิ่น หลังจากได้ยินสิ่งที่ภรรยาเล่าให้ฟัง ตอนนั้นเขาแทบจะห้ามใจไม่ไหว อยากแก้แค้นแทนนางให้สาสม แต่ถูกห้ามปรามเอาไว้ก่อน
นั่นก็เพราะว่าไม่มีหลักฐานใด ๆ จะเอาผิดเซี่ยเวยได้ เขาจึงแฝงตัวเข้ามาในตำบลเหลียนจู แล้วส่งคนมาคอยติดตามเซี่ยเวยอยู่พักหนึ่ง ราวกับว่าโชคดี ได้ความช่วยเหลือเล็กน้อยจากฮูหยิน ซึ่งก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นแผนของนางหรือไม่
ค่ำคืนที่เซี่ยเวยคิดว่ากำลังเริงรมย์สำราญกับหญิงสาว ใต้เท้าหนุ่มก็พาคนบุกเข้าไปด้านในทันที เขาตะลึงงันแวบหนึ่ง เมื่อคิดว่าภรรยาเขาต้องมาพบเจอกับอะไรเช่นนี้ ก็ปลดปล่อยอารมณ์โกรธแค้น ขุ่นเคืองใส่เซี่ยเวยอย่างไม่ยั้งมือจนทหารที่ติดตามมาด้วยต้องปรามเอาไว้
“ใต้เท้า พอเถิดขอรับ” เขากล่าวพลางช่วยกันดึงตัวของใต้เท้าหนุ่มออกมาสงบสติอารมณ์ข้างนอก
เวลานั้น เสียงอึกทึกดังจนผู้คนในจวนออกมายืนดูเหตุการณ์ พอได้เห็นเซี่ยเวยแล้วก็อดสมเพชเวทนาไม่ได้ ไม่นึกฝันว่าจะได้เห็นเขาในสภาพนี้
ขณะที่เซี่ยเวยถูกนำตัวไปสืบสวน ทาสสาวที่เขาซื้อมาบำเรอกามตนเองให้การตามความจริงว่าถูกเขากระทำเช่นไร แต่ไม่กล่าวโทษความเย็นชาและโหดร้ายของฮูหยินสักนิด เมื่อมีพยานหลายคนมากเข้า เซี่ยเวยก็ถูกตัดสินลงโทษริบอำนาจและขังคุก
วันตัดสินโทษ คนเป็นพี่สาวเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของนางให้เซี่ยเวยได้เห็น แน่นอนว่าเขาจำนางได้เป็นอย่างดี แต่ถึงจะคับแค้นในใจที่ถูกเอาคืน เขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว วันนี้เขาไม่หลงเหลืออำนาจที่จะใช้ข่มเหงใครอีกแล้ว
ใต้เท้าหนุ่มยืนกอดนางไว้แน่นให้รู้ว่านางยังมีเขาคอยเคียงข้าง ทั้งคู่พากันไปสุสานท้ายจวน น้ำตาของนางเอ่อล้น
“ข้ามาหาเจ้าแล้วนะ” นางเก็บกวาดหลุมฝังศพของเขาแล้ววางดอกไม้ไว้อาลัย “เจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอกนะ หลับให้สบายเถิด”
จวนสกุลเซี่ย
ฮูหยินจัดการสะสางทุกสิ่งอย่างรวดเร็ว นางลดจำนวนทาสในเรือนให้น้อยลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยการขายต่อให้ผู้อื่น เหลือไว้แต่คนที่แข็งแรงพอจะทำงานช่วยนางได้เท่านั้น บรรดาทาสสาวที่เป็นพยานเรื่องของเซี่ยเวย ได้รับอัฐนิดหน่อย ส่วนชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกนางนั้น จะเป็นอย่างไร ฮูหยินไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซี่ยฟาน เด็กน้อยสิบกว่าขวบที่เป็นสายเลือดของเขาและหน้าเหมือนหลินซินอี๋เจ็ดส่วน นางรีบหาที่ทางขายเขาอย่างรีบร้อนเพราะไม่อยากจะเห็นหน้าเซี่ยฟานเต็มแก่
“ท่านลุง ไปกับข้าไม่ได้หรือ” เซี่ยฟานมองตาเขา ถามออกมาเพราะไม่รู้ว่าปลายทางที่เขาจะไปนั้นเป็นอย่างไร อาจจะดีกว่านี้หรือร้ายกว่าเดิม เขาคิดว่าไม่มีเซี่ยเวยแล้ว ถ้าได้ใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสงบขึ้นสักหน่อยคงจะดี แต่กลับกลายเป็นว่า เขาไม่อาจอยู่ที่เดิมได้อีกต่อไป
“ข้าอยากไปกับเจ้า แต่ทางนั้นไม่ซื้อตัวข้า ฮูหยินก็ไม่ยอมให้ข้าไปที่ใด” หานโจวลูบหัวของเซี่ยฟาน “ไม่แน่ว่าที่นั่นอาจจะดีกว่านี้ก็ได้นะอาฟาน”
แม้ว่าหานโจวจะพยายามปลอบใจเขาเท่าใด ก็ไม่ทำให้เซี่ยฟานรู้สึกคลายความกังวลเลย
“อย่าชักช้า รีบไปได้แล้ว” ฮูหยินตะโกนสั่งเซี่ยฟาน
“อาฟาน ดูแลตัวเองด้วย” หานโจวตะโกนไล่หลังพร้อมโบกมือลา
สำนักตระกูลหวัง
เซี่ยฟานหยุดยืนอยู่ด้านหน้าประตูบานใหญ่ที่สูงตระหง่าน เขามองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าสภาพด้านในสำนักเป็นอย่างไร
“ข้าพาคนมาส่ง” ชายหนุ่มผู้หนึ่งเตะประตูไม้สองสามทีแล้วตะโกนออกไป
ครั้นประตูบานใหญ่แง้มเปิด ร่างของหญิงวัยกลางคนก็โผล่ออกมาด้วยสีหน้างุนงง
“ข้ามาส่งคน ค่าแรงล่ะ” เขาพูดห้วน ๆ
นางไม่อยากมากความ ยื่นถุงเล็ก ๆ ให้เขา “ตามข้ามา” นางพูดกับเซี่ยฟานแล้วเดินกลับเข้าไปข้างใน
เซี่ยฟานมองซ้ายมองขวาตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อม สมแล้วที่มีกำแพงหนาโอบล้อมเอาไว้ สำนักแห่งนี้ไม่เหมือนกับจวนสกุลเซี่ยแม้แต่น้อย พื้นที่โอ่อ่ากว้างขวางมากกว่าหลายเท่า ต้นไม้นานาชนิดขึ้นเรียงรายราวกับเป็นป่าแห่งหนึ่ง ดูสงบร่มรื่นสบายใจ
“เจ้าชื่ออะไร” นางพอจะรู้มาบ้างว่าช่วงนี้หัวหน้าสำนักอย่างหวังเฉิงเย่ซื้อทาสมาเพิ่มเพื่อให้ดูแลงานการภายใน จึงพาเขาไปที่แห่งหนึ่งอย่างรู้งาน
“เซี่ยฟาน” เสียงเล็ก ๆ ตอบกลับ
“หน้าที่ของเจ้าคือดูแลคุณชายห้า คุณชายหวังซีซวน อย่าได้ทำอะไรขัดใจเขา เข้าใจหรือไม่” นางกำชับนักหนาให้คอยดูแลเด็กอายุเจ็ดขวบคนนี้ให้ดี
“ขอรับ” เซี่ยฟานเดินตามนางไปจนสุดทางจนได้พบเรือนเล็กหลังหนึ่ง ด้านหลังมีต้นสนใหญ่หลายต้นขึ้นเรียงราย ด้านหน้าเรือนมีกระถางสมุนไพรวางไว้เป็นชั้น ๆ ส่งกลิ่นอบอวลลอยมาตามสายลม
“คุณชายห้าเจ้าคะ” นางเคาะประตู “ทาสรับใช้คนใหม่มาแล้วเจ้าค่ะ”
“จะไปอยู่ที่ไหนก็ไป ไม่ต้องมายุ่งกับข้า” เสียงเล็ก ๆ ตะโกนกลับมา
“แต่ว่านายท่านสั่งให้เขามาดูแลคุณชายนะเจ้าคะ” หญิงวัยกลางคนเริ่มมีสีหน้าเลิ่กลั่ก
“ช่างเขาสิ” หวังซีซวนไม่ใส่ใจ อยู่คนเดียวสบายใจมากกว่า
“คุณชาย ขัดคำสั่งไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าแล้วหันมาหาเซี่ยฟาน “เอาเป็นว่า เจ้าต้องคอยดูแลเขา ทำหน้าที่ทุกอย่างอย่าให้บกพร่อง มิเช่นนั้นแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะต้องเจออะไรบ้าง” นางพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านี้แล้วรีบเดินหายลับไปโดยไม่สนใจว่าหวังซีซวนจะยอมรับหรือไม่ ถึงอย่างไรคนที่ใหญ่สุดในเรือนย่อมต้องเป็นหวังเฉิงเย่อยู่แล้ว
“ท่านป้า ช้าก่อน...” เซี่ยฟานเรียกนางแล้วแต่นางไม่หันกลับมา ทิ้งเขาไว้ในความเงียบ
เขานึกถึงคำพูดของนาง ไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้าง นั้นหมายความว่าอย่างไร หรือว่าจะเหมือนที่ที่เขาจากมา
“คุณชายห้า” เซี่ยฟานลองเรียกเขาเป็นครั้งแรก ค่อย ๆ ชะเง้อมองผ่านช่องประตู ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ออกไป!” เขาไม่เพียงพูดเท่านั้น ยังคงขว้างหนังสือเล่มหนาใส่เซี่ยฟานอีกด้วย นึกในใจว่าเซี่ยฟานคงจะหลบได้ แต่ผิดจากความคาดหมาย เซี่ยฟานยืนนิ่งให้สันหนังสือกระแทกใส่ตัวเขา
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ ทำไมไม่รู้จักหลบ” เสียงของหวังซีซวนตะโกนถามด้วยความสงสัย พลางตกใจ แต่ไหนแต่ไรแรงปาหนังสือของเขาเท่านี้
ไม่เคยทำให้ผู้ใดบาดเจ็บได้หรอก นั่นก็เพราะว่าตัวเขาอ่อนแอที่สุดในสำนักนี้ต่างหาก แต่คนตรงหน้าไม่รู้ว่าเซ่อหรือบ้าถึงได้ยืนทื่ออยู่ได้
หากจะคิดเช่นนั้นก็ไม่ผิดอันใด เซี่ยฟานเคยสู้มาแล้ว แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการโดนทุบตีหนักกว่าเดิม ถ้าเขาฝืนยอมรับ อย่างน้อยเรื่องก็จบเร็วขึ้น
“เข้ามา” จู่ ๆ หวังซีซวนก็เรียกเขาเข้ามาใกล้ ยืนพินิจพิจารณาสภาพร่างกายของเซี่ยฟานอย่างละเอียด
“คุณชาย ท่านทำอะไรหรือ” เซี่ยฟานปรับอารมณ์ไม่ทัน เมื่อครู่หวังซีซวนทำหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเขา แต่เวลานี้กลับจ้องมองเขาดวงตากลมโต คิ้วขมวด
“เจ้าน่ะ แตกต่างจากพวกนั้น” เขาพูดพึมพำไม่ได้หวังว่าเซี่ยฟานจะได้ยิน
สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ







