เวลาผ่านไปสามปี
ชีวิตของเซี่ยฟานเติบโตขึ้นอย่างทุลักทุเล นับตั้งแต่ที่เห็นว่าสองพี่น้องมีชะตาชีวิตอย่างไร เขาก็ไม่กล้าที่จะดื้อดึงหรือมองหาหนทางเป็นอิสระอีกต่อไป เวลานั้นเขารู้ข่าวจากหานโจวมาว่าคนเป็นน้องไม่รอด ส่วนคนเป็นพี่สาวหายตัวไปอย่างลึกลับ เขาคิดว่าสาเหตุคงจะเป็นเหมือนจางเจียและหลินซินอี๋
ด้านเซี่ยเวย แม้เวลาจะล่วงเลยแต่ยังคงประพฤติตัวเช่นเดิม จนเรื่องราวภายในจวนของเขาส่งกลิ่นไปด้านนอก ผู้คนเริ่มระแคะระคายอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนของเขา
แม้แต่ฮูหยินเองก็ตามเช็ดทุกเรื่องที่เขาทำไม่ไหว ไหน ๆ ก็ไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลได้ นางจึงคิดที่จะฮุบเอาสมบัติทั้งหมดมาเป็นของนางคนเดียว
วันนั้นเอง คนเป็นพี่สาวที่หนีไปได้เมื่อครั้งนั้น ได้กลับมาพร้อมกับสามีของนาง เขาเป็นคนของทางการ มีอำนาจในการตรวจสอบขุนนางท้องถิ่น หลังจากได้ยินสิ่งที่ภรรยาเล่าให้ฟัง ตอนนั้นเขาแทบจะห้ามใจไม่ไหว อยากแก้แค้นแทนนางให้สาสม แต่ถูกห้ามปรามเอาไว้ก่อน
นั่นก็เพราะว่าไม่มีหลักฐานใด ๆ จะเอาผิดเซี่ยเวยได้ เขาจึงแฝงตัวเข้ามาในตำบลเหลียนจู แล้วส่งคนมาคอยติดตามเซี่ยเวยอยู่พักหนึ่ง ราวกับว่าโชคดี ได้ความช่วยเหลือเล็กน้อยจากฮูหยิน ซึ่งก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นแผนของนางหรือไม่
ค่ำคืนที่เซี่ยเวยคิดว่ากำลังเริงรมย์สำราญกับหญิงสาว ใต้เท้าหนุ่มก็พาคนบุกเข้าไปด้านในทันที เขาตะลึงงันแวบหนึ่ง เมื่อคิดว่าภรรยาเขาต้องมาพบเจอกับอะไรเช่นนี้ ก็ปลดปล่อยอารมณ์โกรธแค้น ขุ่นเคืองใส่เซี่ยเวยอย่างไม่ยั้งมือจนทหารที่ติดตามมาด้วยต้องปรามเอาไว้
“ใต้เท้า พอเถิดขอรับ” เขากล่าวพลางช่วยกันดึงตัวของใต้เท้าหนุ่มออกมาสงบสติอารมณ์ข้างนอก
เวลานั้น เสียงอึกทึกดังจนผู้คนในจวนออกมายืนดูเหตุการณ์ พอได้เห็นเซี่ยเวยแล้วก็อดสมเพชเวทนาไม่ได้ ไม่นึกฝันว่าจะได้เห็นเขาในสภาพนี้
ขณะที่เซี่ยเวยถูกนำตัวไปสืบสวน ทาสสาวที่เขาซื้อมาบำเรอกามตนเองให้การตามความจริงว่าถูกเขากระทำเช่นไร แต่ไม่กล่าวโทษความเย็นชาและโหดร้ายของฮูหยินสักนิด เมื่อมีพยานหลายคนมากเข้า เซี่ยเวยก็ถูกตัดสินลงโทษริบอำนาจและขังคุก
วันตัดสินโทษ คนเป็นพี่สาวเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของนางให้เซี่ยเวยได้เห็น แน่นอนว่าเขาจำนางได้เป็นอย่างดี แต่ถึงจะคับแค้นในใจที่ถูกเอาคืน เขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว วันนี้เขาไม่หลงเหลืออำนาจที่จะใช้ข่มเหงใครอีกแล้ว
ใต้เท้าหนุ่มยืนกอดนางไว้แน่นให้รู้ว่านางยังมีเขาคอยเคียงข้าง ทั้งคู่พากันไปสุสานท้ายจวน น้ำตาของนางเอ่อล้น
“ข้ามาหาเจ้าแล้วนะ” นางเก็บกวาดหลุมฝังศพของเขาแล้ววางดอกไม้ไว้อาลัย “เจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอกนะ หลับให้สบายเถิด”
จวนสกุลเซี่ย
ฮูหยินจัดการสะสางทุกสิ่งอย่างรวดเร็ว นางลดจำนวนทาสในเรือนให้น้อยลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยการขายต่อให้ผู้อื่น เหลือไว้แต่คนที่แข็งแรงพอจะทำงานช่วยนางได้เท่านั้น บรรดาทาสสาวที่เป็นพยานเรื่องของเซี่ยเวย ได้รับอัฐนิดหน่อย ส่วนชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกนางนั้น จะเป็นอย่างไร ฮูหยินไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซี่ยฟาน เด็กน้อยสิบกว่าขวบที่เป็นสายเลือดของเขาและหน้าเหมือนหลินซินอี๋เจ็ดส่วน นางรีบหาที่ทางขายเขาอย่างรีบร้อนเพราะไม่อยากจะเห็นหน้าเซี่ยฟานเต็มแก่
“ท่านลุง ไปกับข้าไม่ได้หรือ” เซี่ยฟานมองตาเขา ถามออกมาเพราะไม่รู้ว่าปลายทางที่เขาจะไปนั้นเป็นอย่างไร อาจจะดีกว่านี้หรือร้ายกว่าเดิม เขาคิดว่าไม่มีเซี่ยเวยแล้ว ถ้าได้ใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสงบขึ้นสักหน่อยคงจะดี แต่กลับกลายเป็นว่า เขาไม่อาจอยู่ที่เดิมได้อีกต่อไป
“ข้าอยากไปกับเจ้า แต่ทางนั้นไม่ซื้อตัวข้า ฮูหยินก็ไม่ยอมให้ข้าไปที่ใด” หานโจวลูบหัวของเซี่ยฟาน “ไม่แน่ว่าที่นั่นอาจจะดีกว่านี้ก็ได้นะอาฟาน”
แม้ว่าหานโจวจะพยายามปลอบใจเขาเท่าใด ก็ไม่ทำให้เซี่ยฟานรู้สึกคลายความกังวลเลย
“อย่าชักช้า รีบไปได้แล้ว” ฮูหยินตะโกนสั่งเซี่ยฟาน
“อาฟาน ดูแลตัวเองด้วย” หานโจวตะโกนไล่หลังพร้อมโบกมือลา
สำนักตระกูลหวัง
เซี่ยฟานหยุดยืนอยู่ด้านหน้าประตูบานใหญ่ที่สูงตระหง่าน เขามองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าสภาพด้านในสำนักเป็นอย่างไร
“ข้าพาคนมาส่ง” ชายหนุ่มผู้หนึ่งเตะประตูไม้สองสามทีแล้วตะโกนออกไป
ครั้นประตูบานใหญ่แง้มเปิด ร่างของหญิงวัยกลางคนก็โผล่ออกมาด้วยสีหน้างุนงง
“ข้ามาส่งคน ค่าแรงล่ะ” เขาพูดห้วน ๆ
นางไม่อยากมากความ ยื่นถุงเล็ก ๆ ให้เขา “ตามข้ามา” นางพูดกับเซี่ยฟานแล้วเดินกลับเข้าไปข้างใน
เซี่ยฟานมองซ้ายมองขวาตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อม สมแล้วที่มีกำแพงหนาโอบล้อมเอาไว้ สำนักแห่งนี้ไม่เหมือนกับจวนสกุลเซี่ยแม้แต่น้อย พื้นที่โอ่อ่ากว้างขวางมากกว่าหลายเท่า ต้นไม้นานาชนิดขึ้นเรียงรายราวกับเป็นป่าแห่งหนึ่ง ดูสงบร่มรื่นสบายใจ
“เจ้าชื่ออะไร” นางพอจะรู้มาบ้างว่าช่วงนี้หัวหน้าสำนักอย่างหวังเฉิงเย่ซื้อทาสมาเพิ่มเพื่อให้ดูแลงานการภายใน จึงพาเขาไปที่แห่งหนึ่งอย่างรู้งาน
“เซี่ยฟาน” เสียงเล็ก ๆ ตอบกลับ
“หน้าที่ของเจ้าคือดูแลคุณชายห้า คุณชายหวังซีซวน อย่าได้ทำอะไรขัดใจเขา เข้าใจหรือไม่” นางกำชับนักหนาให้คอยดูแลเด็กอายุเจ็ดขวบคนนี้ให้ดี
“ขอรับ” เซี่ยฟานเดินตามนางไปจนสุดทางจนได้พบเรือนเล็กหลังหนึ่ง ด้านหลังมีต้นสนใหญ่หลายต้นขึ้นเรียงราย ด้านหน้าเรือนมีกระถางสมุนไพรวางไว้เป็นชั้น ๆ ส่งกลิ่นอบอวลลอยมาตามสายลม
“คุณชายห้าเจ้าคะ” นางเคาะประตู “ทาสรับใช้คนใหม่มาแล้วเจ้าค่ะ”
“จะไปอยู่ที่ไหนก็ไป ไม่ต้องมายุ่งกับข้า” เสียงเล็ก ๆ ตะโกนกลับมา
“แต่ว่านายท่านสั่งให้เขามาดูแลคุณชายนะเจ้าคะ” หญิงวัยกลางคนเริ่มมีสีหน้าเลิ่กลั่ก
“ช่างเขาสิ” หวังซีซวนไม่ใส่ใจ อยู่คนเดียวสบายใจมากกว่า
“คุณชาย ขัดคำสั่งไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าแล้วหันมาหาเซี่ยฟาน “เอาเป็นว่า เจ้าต้องคอยดูแลเขา ทำหน้าที่ทุกอย่างอย่าให้บกพร่อง มิเช่นนั้นแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะต้องเจออะไรบ้าง” นางพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านี้แล้วรีบเดินหายลับไปโดยไม่สนใจว่าหวังซีซวนจะยอมรับหรือไม่ ถึงอย่างไรคนที่ใหญ่สุดในเรือนย่อมต้องเป็นหวังเฉิงเย่อยู่แล้ว
“ท่านป้า ช้าก่อน...” เซี่ยฟานเรียกนางแล้วแต่นางไม่หันกลับมา ทิ้งเขาไว้ในความเงียบ
เขานึกถึงคำพูดของนาง ไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้าง นั้นหมายความว่าอย่างไร หรือว่าจะเหมือนที่ที่เขาจากมา
“คุณชายห้า” เซี่ยฟานลองเรียกเขาเป็นครั้งแรก ค่อย ๆ ชะเง้อมองผ่านช่องประตู ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ออกไป!” เขาไม่เพียงพูดเท่านั้น ยังคงขว้างหนังสือเล่มหนาใส่เซี่ยฟานอีกด้วย นึกในใจว่าเซี่ยฟานคงจะหลบได้ แต่ผิดจากความคาดหมาย เซี่ยฟานยืนนิ่งให้สันหนังสือกระแทกใส่ตัวเขา
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ ทำไมไม่รู้จักหลบ” เสียงของหวังซีซวนตะโกนถามด้วยความสงสัย พลางตกใจ แต่ไหนแต่ไรแรงปาหนังสือของเขาเท่านี้
ไม่เคยทำให้ผู้ใดบาดเจ็บได้หรอก นั่นก็เพราะว่าตัวเขาอ่อนแอที่สุดในสำนักนี้ต่างหาก แต่คนตรงหน้าไม่รู้ว่าเซ่อหรือบ้าถึงได้ยืนทื่ออยู่ได้
หากจะคิดเช่นนั้นก็ไม่ผิดอันใด เซี่ยฟานเคยสู้มาแล้ว แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการโดนทุบตีหนักกว่าเดิม ถ้าเขาฝืนยอมรับ อย่างน้อยเรื่องก็จบเร็วขึ้น
“เข้ามา” จู่ ๆ หวังซีซวนก็เรียกเขาเข้ามาใกล้ ยืนพินิจพิจารณาสภาพร่างกายของเซี่ยฟานอย่างละเอียด
“คุณชาย ท่านทำอะไรหรือ” เซี่ยฟานปรับอารมณ์ไม่ทัน เมื่อครู่หวังซีซวนทำหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเขา แต่เวลานี้กลับจ้องมองเขาดวงตากลมโต คิ้วขมวด
“เจ้าน่ะ แตกต่างจากพวกนั้น” เขาพูดพึมพำไม่ได้หวังว่าเซี่ยฟานจะได้ยิน
รุ่งเช้าวันต่อมา สีหน้าเรียบเฉยของคนผู้หนึ่งยืนดูเหตุการณ์ชุลมุนอยู่ข้างบนระเบียงชั้นสองของโรงเตี๊ยม เขาไม่มีทีท่าสะทกสะท้านหวาดกลัวเฉกเช่นคนทั่วไป พลันรอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นเพราะแน่ใจแล้วว่าผู้ที่สร้างเรื่องทั้งหมดหวังสิ่งใด “ตามตัวได้หรือไม่” เสียงเย็นชาถามลูกน้องคนสนิท มือข้างหนึ่งถือถ้วยชายกดื่มสบายอารมณ์ “ยังไม่พบขอรับนายท่าน” เขารายงานตามความจริง นับตั้งแต่รับคำสั่งจากหวังเยี่ยนหลง เขาออกเดินทางสืบเสาะไปทั่วแคว้นซีเป่ย ในที่สุดก็พบว่าคนผู้นี้แอบหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองเฟิง ใช้วิชาของตนเองหลบหนียามเมื่อถึงคราวจวนตัว เพียงแต่ครานี้ เขากลับทิ้งร่องรอยไว้ชัดเจนมากเกินไปจนผิดสังเกต “นายท่าน กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ” ชายอีกคนเอ่ยปาก “เห็นหรือไม่ว่าเจ้านั่นตั้งใจทิ้งร่องรอยของปราณมารเอาไว้” เขาชี้ไปยังข้างล่างที่มีทหารสี่ห้านายกำลังเก็บศพของชายขอทาน “วิชาของหลินหลีเหว่ยไม่เคยมีร่องรอยเช่นนั้น” “เพราะเหตุใดเล่าขอรับ” ลูกน้องทั้งสองคนยังคงไม่เข้าใจ แต่เจ้านายของพวกเขากลับคาดการณ์แผนทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
สุดท้ายแล้ววันนั้นเหลียนเฟินก็ผ่านการสอบมาได้ กลายเป็นศิษย์ที่เหล่าอาจารย์และเพื่อนพ้องร่วมสำนักภาคภูมิใจ อาจารย์อาจึงตกรางวัลเขาด้วยวันหยุดพักผ่อนห้าวันพร้อมอัฐอีกหนึ่งถุงใหญ่เอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว กระนั้นความฝันที่จะได้นอนเล่นอยู่เงียบ ๆ ก็สลายไปเมื่อศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา สีหน้าตื่นเต้นเหมือนจะได้ออกไปนอกสำนัก “เหลียนเฟินนนน” นางเรียกศิษย์น้องพร้อมรอยยิ้มเลศนัย เหลียนเฟินจึงรีบหันหน้าไปอีกทางเตรียมวิ่งหนีเพราะรู้ดีว่าสีหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอะไร “เหลียนเฟิน ถ้าเจ้าหนี ข้าจะฟ้องอาจารย์ว่าเจ้าไม่ดูแลข้า” หลวนเล่ออ้างคำสั่งของหมิงฮวาที่ฝากฝังเอาไว้ เขาจึงถอนหายใจรอรับฟังสิ่งที่นางจะเอ่ย “ข้าเดาว่า ข้าต้องช่วยทำอะไรสักอย่างใช่หรือไม่” เหลียนเฟินถาม ในใจภาวนาว่าอย่าให้ตรงกับวันว่างของเขาเลย “อาจารย์อาสั่งให้ข้าไปตรวจหาสาเหตุการตายของชาวบ้านที่เมืองเฟิง ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองไม่อยู่ ศิษย์พี่ซีหลิวมีงานรัดตัว ข้าเลยขอพาเจ้าไปด้วย อาจารย์อาอนุญาตแล้ว” หลวนเล่อร่ายยาวเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ นางรู้ดีว่า
สิบแปดปีต่อมา ยามนี้หิมะแรกตกโปรยปรายราวกับละอองฝนไปทั่วทั้งแคว้นฉิน ทำให้ผู้คนที่ออกมาเที่ยวเดินชมงานรื่นเริงประจำปีต่างรู้สึกเบิกบานใจ บ้างอธิษฐานขอให้พบแต่ความสงบสุข บ้างขอให้ได้เจอคนรักในเร็ววัน มีไม่น้อยที่มัวแต่เล่นสนุกสนานอยู่บนลานน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย “ศิษย์พี่รอข้าด้วย!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กอายุเจ็ดขวบดังขึ้นเพราะไสลากเลื่อนตามศิษย์พี่ของเขาไม่ทัน “ซิ่นเฉิง ข้าจะไปรอเจ้าที่เส้นชัย รีบ ๆ ตามมาเล่า” หญิงสาวผู้หนึ่งตอบกลับ “ศิษย์พี่หลวนเล่อ แบบนั้นไม่เรียกว่ารอแล้วขอรับ คราวนี้ท่านยอมข้าหน่อยไม่ได้หรือ” ซิ่นเฉิงรีบไสลากเลื่อนให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นว่านางใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว สีหน้าของเขาดูจริงจังเสียจนศิษย์อีกสองคนที่ยืนดูรู้สึกเอ็นดู “หลวนเล่อ เจ้าโตจนป่านนี้แล้วยังชอบแกล้งเขาอยู่เรื่อย เพลา ๆ บ้างเถิด” น้ำเสียงหวานละมุนเอ่ยปากห้ามปราม “ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ฟังที่ศิษย์พี่พูดเลยนะขอรับ” ศิษย์น้องของนางชี้ให้ดูคนทั้งสองที่ตั้งหน้าตั้งตาไสลากเลื่อนอย่างสุดกำลัง “เฮ้อ! ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์
รุ่งเช้าของอีกวัน หวังเฉิงเย่พร้อมบุตรชายเดินทางกลับจากถ้ำที่อยู่อีกฝั่งของป่า ไม่ทันจะได้เข้าใกล้สำนักกลับได้กลิ่นเลือดโชยมาจากทุกทิศทาง บรรยากาศอึมครึมหมองหม่น เยือกเย็น ทั้งสองคนก้าวเข้ามาด้านในสำนักด้วยความระมัดระวัง สิ่งที่ปรากฏต่อหน้ามีเพียงซากศพของบรรดาคนในสำนัก ทั้งศิษย์สำนัก อาจารย์ ทาสรับใช้ “เจ้าไปดูทางโน้น” หวังเฉิงเย่สั่งการบุตรชาย เขาเดินไปเรือนของตนเองเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตมาถามไถ่เรื่องราว “ขอรับ” หวังซีซวนเห็นภาพที่เกิดขึ้นจึงรีบตรงดิ่งไปที่เรือนใบไผ่ก่อนอันดับแรก เพราะหางตาเหลือบเห็นร่องรอยของปราณมาร&
ราวกับหวังเยี่ยนหลงกำลังตกอยู่ในภวังค์จึงไม่ได้ยินสิ่งที่เซี่ยฟานพูด เขาเสพสมกามารมณ์หลายท่วงท่าตลอดทั้งคืนจนรุ่งเช้า โอบกอดร่างบางของเซี่ยฟานแล้วนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย ช่วงสายของวัน เขาลืมตาตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงนกร้องอยู่ริมหน้าต่าง แสงแดดบาง ๆ ส่องมาที่เตียงนอน หวังเยี่ยนหลงยังคงกอดเซี่ยฟานไว้อย่างเช่นเคย พลันรู้สึกได้ว่าร่างกายของเซี่ยฟานเริ่มเย็น สีหน้าตระหนกปรากฏขึ้น เขาตรวจเส้นชีพจรของคนที่ยังนอนหลับใหล “เซี่ยฟาน” คนที่ถูกเรียกไม่ขานตอบ เขาจึงนำยาที่อยู่ในขวดมาให้เซี่ยฟานดื่มแล้วนั่งเฝ้าไม่ห่าง&nbs
สามเดือนผ่านไป หวังเยี่ยนหลงเริ่มหลอมรวมปราณมารที่อยู่ในศิลาหินให้เป็นหนึ่งเดียวกับตนเองได้บ้างแล้ว จึงออกมาจากถ้ำแห่งนั้น โดยไม่รู้เลยว่ากาลเวลาผ่านไปนานเท่าใด ครั้นข่ายอาคมที่ศิลาหินสร้างขึ้นหายไป ป่าวิญญาณจึงกลายเป็นเพียงป่าทึบทั่วไปที่มีสัตว์ดุร้ายกับปีศาจอาฆาตแค้นก็เท่านั้น หมอกพรางตาที่คอยล่อลวงผู้คนได้สลายไปเพราะไม่มีพลังจากศิลาหินคอยควบคุม เขากลับมาที่เรือนใบไผ่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วกว่าเดิมจนไม่มีใครจับตาทัน บรรยากาศภายในสำนักตระกูลหวังจึงยังคงความสงบเงียบได้อยู่