LOGINไป๋ซูหนิงรู้ดีว่าอีกฝ่ายยังคงเก็บความขุ่นเคืองจากเรื่องในอดีตไว้ในอก ทว่าเพียงเท่านี้ นางก็ถือว่ามากพอแล้ว สำหรับคนไร้ที่พึ่งพิงเช่นนาง อย่างน้อยก็มีที่ให้ซุกหัวนอนชั่วคราว
โรงเตี๊ยมสกุลไป๋ตั้งอยู่ย่านการค้ากลางเมืองชิงโจว ผู้คนสัญจรขวักไขว่ไม่ขาดสาย แผ่นป้ายสลักอักษรไป๋เด่นเป็นสง่าเหนือประตูใหญ่ บ่งบอกถึงชื่อเสียงและความรุ่งเรืองของกิจการสกุลได้โดยไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำใดให้มากความ นึกไม่ถึงว่าวันเวลาผ่านไปเพียงสิบกว่าปี กิจการของสกุลไป๋จะก้าวหน้าได้ถึงเพียงนี้ ยามที่ไป๋ซูหยินออกจากจวนมาเมื่อครั้งยังเด็กนักมองเห็นมารดาและบิดาวิ่งวุ่นกับการขยายกิจการทำงารแทบไม่เว้นวัน ทว่าในวันนี้...ความเหน็ดเหนื่อยเหล่านั้นย่อมแปรเปลี่ยนเป็นผลกำไรมหาศาลสมดังที่ตั้งใจ ทว่าไป๋ซูหนิงหาได้มีอารมณ์จะเพ่งมองหรือตรึกตรองไปมากกว่านี้ไม่ เมื่อคนงานพามาส่งถึงหน้าห้องพักแล้ว นางเพียงพยักหน้าให้แทนคำขอบคุณ ก่อนจะผลักประตูเข้าไปปิดลงเท่านั้น หาได้พูดอันใดไปมากกว่าครึ่งคำเพราะความเหนื่อยล้าที่หนักอึ้ง ทันทีที่แผ่นหลังสัมผัสฟูกนุ่ม ร่างกายที่อ่อนล้าเหมือนหมดเรี่ยวแรงไปสิ้น นางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หลายวันมานี้นางเดินทางรอนแรมผ่านหมู่บ้านและเส้นทางเปลี่ยวรกร้าง ต้องคอยระวังภัยไม่หยุดหย่อน ไหนจะเพราะยามนี้ที่กำลังตั้งครรภ์จึงทำให้เหน็ดเหนื่อยง่ายกว่าปกติ แม้แต่จะได้นอนเอนกายนั่งในรถม้าก็รู้สึกหวาดระแวงจนหลับตาลงไม่สนิทอยู่ดี และเมื่อได้นอนบนฟูกนุ่มๆ และบรรยากาศเงียบสงัดไร้แรงสั่นสะเทือนจากรถม้า ความง่วงที่กักเก็บมาหลายวันก็ถาโถมราวคลื่นซัด ไม่ถึงครู่สติของนางก็ถูกดึงเข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเสียงเคาะประตูและเสียงเรียกจากด้านนอกดังขึ้นยามโหย่ว (17.00 – 19.00 น.) ไป๋ซูหนิงสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นอย่างง่วงงุน ใบหน้าคนงามยังมีร่องรอยอ่อนเพลียไม่จางหาย มือเรียวลูบหน้าท้องเบๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นไปเปิดประตูอย่างระมัดระวัง ปลายยามโหย่ว (17.00 – 19.00 น.) มื้อค่ำในจวนสกุลไป๋วันนี้ ช่างเต็มไปด้วยบรรยากาศแปลกใหม่ราวกับเวลาย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน โต๊ะกลมขนาดใหญ่ถูกจัดวางจนแน่นขนัดด้วยอาหารมากมาย ทั้งต้ม ผัด ตุ๋น นึ่งและทอด กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ราวกับนี่เป็นงานเลี้ยงเล็กๆ เพื่อต้อนรับคุณหนูที่จากบ้านไปเนิ่นนานกลับคืนสู่อ้อมอกครอบครัว ไป๋ซูหนิงนั่งเหยียนดหลังตรง มือทั้งสองข้างประสานกันบนตักอย่างประหม่า ไม่รู้จะเหลือบตามองไปทางใดดี ซ้ายมือคือพี่รอง ขวามือคือพี่เล็ก และตรงข้าม…คือพี่ใหญ่ที่สายตาคมกริบยังเย็นชาไม่ต่างจากเมื่อตอนกลางวันนัก “ไม่หิวหรือ…เหตุไม่กิน” ไป๋อวี่เซวียนเอ่ยถาม น้ำเสียงทุ้มของเขาฟังดูเหมือนชวนหยอกเย้าแต่แฝงความเอ็นดู เขาพลางยื่นมือออกไปคีบน่องไก่ย่างชิ้นโตที่จ้องมานานทว่าเสียงกระแอมไอดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อนจนต้องชะงักงัน !!! ไป๋อวี่เซวียนหันขวับไปมอง เห็นไป๋เหวินห่าวขยับตะเกียบแย่งคีบน่องไก่นั้นไปมาวางลงในชามข้าวของไป๋ซูหนิงแทน สายตาคมกริบหรี่ลงมองเงียบๆ ความไม่พอใจเริ่มก่อขึ้นในอก “นั่นไก่ของข้า” เขาทักทวงทันที “เจ้ากินเนื้อทุกวันมิใช่หรือ…แต่ดูนางเสีย ผอมแห้งราวหนังหุ้มกระดูก จวนสกุลเซี่ยเลี้ยงผู้คนอย่างไรกัน ให้กินข้าวกับผักต้มวันละมื้ออย่างงั้นหรือ” ไป๋เหวินเหวินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับว่าหาได้ทำอันใดผิดแปลก ไป๋ซูหนิงชะงักงัน นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกระพริบปริบๆ ก่อนจะยกยิ้มบางๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางไม่คาดคิดเลยว่าพี่ชายที่ดูเย็นชาไร้เยื่อใยเมื่อกลางวัน จะมีมุมที่คอยมองและใส่ใจนางเช่นนี้ “แต่นั่นมันของข้า!” ไป๋อวี่เซวียนร้องโวยวายเสียงขุ่น หันไปจ้องพี่ใหญ่ตาเขม็งจนสันกรามขึ้นสัน ไป๋จิ่นอวี่เพียงส่ายหน้าไปมา เอ่ยขึ้นเสียงเรียบอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าก็กินอย่างอื่นเสีย…บนโต๊ะหาได้มีเพียงแค่ไก่ย่างเท่านั้น” ไป๋ซูหนิงกะพริบตาเหลือบมองพี่ทั้งสามไปมา เอ่ยขึ้นอย่างลังเล “แต่ว่านี่เป็นของพี่เล็ก…” “กินเสีย” น้ำเสียงทุ้มแข็งทื่อเอ่ยขึ้นหวนๆ ไป๋เหวินห่าวพูดพลางคีบข้าวเข้าปากอย่างไม่สนใจความขุ่นเคือง “บนโต๊ะนี้หากมิได้ลงชื่อสลักไว้ก็หาใช่ของผู้ใดโดยเฉพาะ” “เพ่ย! ไม่ยุติธรรม!” ไป๋อวี่เซวียนกระแทกเสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจ เมื่อวานเขายังเป็นน้องเล็กที่ใครต่อใครตามใจ แต่มาวันนี้กลับต้องยอมเสียสละแม้แต่น่องไก่ชิ้นเดียวหรือ! หากยอมครั้งนี้ ต่อไปคงถูกกดหัวอยู่ร่ำไปแน่ ไป๋ซูหนิงอดที่จะระบายยิ้มกว้างออกมาอย่างอดไม่ได้ ในใจของนางอุ่นซ่านด้วยความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่เมื่อกลางวันพี่ชายผู้นี้ยังทำราวกับไม่เหลียวแลหรือสนใจนางสักนิด แต่ยามนี้…กลับโอนอ่อนลงทีละน้อย ไป๋ซูหนิงเริ่มคิดว่า ไม่แน่วันหนึ่งนางคงสามารถทำให้อีกฝ่ายเปิดใจยอมรับได้ไม่ยากนัก ไป๋ซูหนิงยกมือจับตะเกียบขึ้นช้าๆ ก่อนจะกัดเนื้อน่องไก่ชิ้นโตอย่างอารมณ์ดี น้ำเสียงหวานพึมพำแผ่วเบา “ท่านลุงของเจ้าชดีเหลือเกิน ออกมาแล้วต้องเป็นเด็กดี เข้าใจไหมเจ้าคะ” มือข้างหนึ่งลูบท้องที่กลมอย่างอ่อนโยน ไป๋อวี่เซวียนกำลังจะอ้าปากทวงไก่คืน แต่พอได้ยินถ้อยคำนี้ กลับกลืนลงคอไปแทน เขาแค่นเสียงฮึดฮัด ก่อนจะยื่นมือคีบผักต้มใส่ชามไป๋ซูหนิงอย่างไม่ทันตั้งตัว “อืม! กินอาหารต้องครบถ้วนไม่ใช่เลือกกินอย่างใดอย่างหนึ่ง หากเด็กในครรภ์ออกมาแล้วจะได้ไม่โง่งมเสียก่อน” แม้ว่าไป๋อวี่จิ่นจะเงียบไม่เอ่ยใดๆ ทว่าดวงตาคมกริบกลับเหลือบมองน้องสาวด้วยแววอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยถาม “หนีมาไกลปานนี้ คนสกุลเซี่ยจะไม่คลุ้มคลั่งเป็นสุนัขบ้าไปหรอกหรือ” ไป๋เหวินห่าวสวนขึ้นทันที น้ำเสียงเย็นเฉียบ “หึ! หนีไกลมาเพียงนี่แล้ว หากย้อนกลับไปอีกก็คงโง่งมเจ็บซ้ำซากไม่รู้จักจำ” ไป๋ซูหนิงได้แล้วพลันจุกอกพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ริมฝีปากบางเม้มแน่น นางไม่ได้โกรธที่ทั้งคู่พูดเช่นนั้น ทว่าในใจกลับเจ็บปวดราวถูกตอกย้ำความโง่เขลาของตนเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา ขอบพลันค่อยๆ ร้อนผ่าวขึ้นมา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งเหลือบมองเหล่าพี่ชายผ่านม่านน้ำตา มือบางกำตะเกียบแน่น “เพ่ย! มิใช่ว่าเวลากินก็สมควรกินมิใช่หรือ” เสียงทุ้มของไป๋อวี่เซวียนทักท้วง พลางมองสีหน้าของไป๋ซูหนิงด้วยความห่วงใย เกรงว่าอีกฝ่ายคงมีค้างคาใจยังไม่กล้าพูดออกมากระมัง “รีบกินข้าวกันเถอะ ก่อนอาหารจะเย็นชืดเสียก่อน” ไป๋อวี่เซวียนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน “เหอะ!” ไป๋จิ่นอวี่แค่นเสียงฮึดฮัดทีหนึ่ง หากนางไม่อยากพูด เขาก็หาได้เร่งรัด เพราะจากท่าทีแล้ว น้องสาวผู้นี้คงต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนาน ดูท่าคงหมดหนทางและไร้ที่พึ่งพิงอย่างแท้จริง วันใดวันหนึ่ง...คงเผยความจริงออกมาเอง เพล้ง! เสียงกระแทกดังสนั่น พลันทำให้ทุกคน…แม้แต่เหล่าสาวที่อยู่ใช้บริเวณนั้น ต่างสะดุ้งตกใจเงยหน้าขึ้นมอง ไป๋เหวินห่าววางตะเกียบลง สายตาคมกริบยังคงจับจ้องอีกฝ่ายไม่ลดละ “จะอยู่หรือจะไปล้วนแล้วแต่เจ้า ทว่าโรงเตี๊ยมสกุลไป๋…หาได้ให้ใครอยู่อาศัยฟรีไปตลอดชีวิต” !!! ทั้งไป๋จิ่นอวี่และไป๋อวี่เซวียนต่างหันขวับไปมองอย่างพร้อมเพรียงทันที หัวคิ้วเข้มของทั้งคู่ขมวดมุ่นแน่น หมายความว่าอย่างไรกัน…!? ทั้งที่นางหย่าขาดจากสามีและตั้งครรภ์อยู่ มิหนำซ้ำเป็นน้องสาวแท้ๆ ร่วมสายเลือดเดียวกันแต่ยังจะเก็บเงินหรือ!? ไป๋ซูหนิงได้ยินแล้วกลับหัวเราะออกมาแผ่วเบา นางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าสบตาคมกริบขอพี่ใหญ่โดยไร้ความเกรงกลัว “แค่ท่านพี่ไม่ขับไล่ข้าก็นับว่าเป็นบุญคุณแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยแผ่วเบาเจือด้วยความซาบซึ้ง ไป๋จิ่นอวี่เอ่ยแทรกทันควัน “พี่ใหญ่! แม้ว่าท่านจะยังโกรธเคืองเรื่องในอดีตอยู่ แต่คำพูดเช่นนี้เกินไปกระมัง” “ใช่! นางทั้งตั้งครรภ์ ที่หนีออกมาถึงที่นี่เพื่อพึงพา เกรงว่าเงินติดตัวก็คงเหลือไม่มากแล้ว” ไป๋อวี่เซวียนเสริมเสียงเข้ม เขาเองก็ไม่อาจเข้าใจความคิดของพี่ชายผู้นี้ได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดกันแน่ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ยิ่งเห็นท่าทางสงบเสงี่ยมของนาง… ไป๋เหวินห่าวกลับยิ่งรู้สึกหงุดหงิดราวกับมีไฟลุกโชนในอก เขากระแทกเสียงต่ำออกมาอย่างกดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ “แม้แต่นางยังไม่โต้แย้งสิ่งใด…หึ! เกรงว่าตอนที่อยู่จวนสกุลเซี่ยคงปิดปากเงียบยินยอมให้ถูกเหยียบย่ำ กลั่นแกล้ง เอาเปรียบอย่างเต็มใจเช่นนั้นหรือ! เหตุใดหาไม่พอใจไม่พูดออกมา” เพียงได้ยินถ้อยคำนี้ ไป๋ซูหนิงสะอึก พูดไม่ออกชั่วขณะ ไป๋ซูหนิงเม้มริมฝีปากแน่น หลุบสายตาลงต่ำหลบสายตาคมกริบที่เพ่งมองมาอย่างแข็งกร้าว ก่อนที่สตรีผู้นั้นจะก้าวเข้ามา มีคำใดบ้างที่นางพูดออกไปแล้วเขาจะไม่สนใจ ไป๋ซูหนิงพูดออกไปร้อยคำ…เซี่ยจวิ้นอี้ย่อมเก็บมาใส่ใจทั้งหมดทว่าภายหลังจากนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับสามีก็สั่นคลอนทันที ต่อให้นางพูดอีกเป็นร้อยครั้ง เขากลับรับฟังเพียงหนึ่งคำเท่านั้น นางเหลียวสายตามองพี่ชายทีละคน ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เพราะข้าเคยรักเขา…รักมากเกินกว่าที่เขาจะต้องการ จนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เขาพึงพอใจในตัวข้า ทว่าท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่เขาปรารถนากลับไม่ใช่ความรักจากข้า” ไป๋เหวินห่าวได้ยินแล้วแค่นหัวเราะเย็นชา น้ำเสียงทุ้มเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “สรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนเปลี่ยนแปลงไปทุกชั่วลมหายใจ ไฉนความสัมพันธ์ที่เจ้าเคยเชื่อว่ามีวาสนา แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเพียง…ฝันลวงตาเท่านั้น”หลายเดือนผ่านไปจวนสกุลไป๋เผชิญเรื่องราวมากมายจนหาความสงบไม่ได้ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างเริ่มราบรื่น ไม่มีอุปสรรคใดกีดขวางและแม้กิจการของสกุลไป๋จะมีเศรษฐีมู่คอยจัดการให้ ทุกอย่างราบรื่นจนแทบไม่น่าเชื่อ ยิ่งกว่านั้น ครรภ์ของคุณหนูก็ล่วงเลยมาถึงเดือนสุดท้ายก่อนคลอด สุขภาพทั้งมารดาและบุตรก็แข็งแรงสมบูรณ์หากเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว ไม่มีผู้ใดไม่ตื่นเต้นรอคอยวันที่จะได้พบเด็กน้อยผู้นั้น คุณชายไป๋ทั้งสามต่างก็หลงหลานกันไม่ต่างกัน และนายท่านมู่ก็ไม่แพ้กัน ถึงขั้นอยากย้ายข้าวของเข้ามาอยู่ในจวนสกุลไป๋เพื่อดูแลคุณหนูอย่างใกล้ชิด แต่ถูกคุณชายทั้งสามห้ามไว้เสียก่อนแม้คุณหนูไป๋กับเศรษฐีมู่จะยังไม่ได้แต่งงานร่วมกราบไหว้ฟ้าดินกันแต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เป็นที่รู้กันในชิงโจวว่างานมงคลครั้งใหญ่กำลังจะมาถึงในไม่ช้าแน่!ไป๋ซูหนิงนอนเอนกายริมสระบัว สายลมพัดผ่านทำให้รู้สึกเย็นสบาย เคลิบเคลิ้มเกือบจะหลับไปหลายครั้งนัยน์ตาคู่สวยหนักอึ้ง ปรือขึ้นอย่างยากลำบาก จริงๆ แล้ว นางก็ไม่ได้ทำอะไรทั้งวัน นอกจากนอนและกินเกือบทั้งวัน“อาเหยียน…” เสี
น้ำเสียงหวานแฝงความน้อยเนื้อต่ำใจ หากแต่เจือไปด้วยความโกรธลึกอย่างถึงที่สุด ภายในใจของนางก็เดือดดาลไม่แพ้กัน มือทั้งสองข้างกำจนข้อนิ้วขาวซีด ลมหายใจหอบถี่ เนื้อตัวสั่นทึ่มนัยน์ตาเมล็ดซิ่งสบเข้ากับดวงตาคมกริบของบุรุษตรงหน้า หาได้กระพริบตาหรือหลบสายตาเลยแม้แต่น้อยมู่เหยียนเจ๋อรู้สึกปวดใจจริงๆ ไหนเลยยามนี้นางจะยังท้องอยู่อีก เขาเดินเข้าไปใกล้ก่อนเอ่ยแผ่วเบาเจือด้วยความอ่อนโยน“หากยุ่งยากนักก็ปล่อยให้ข้าปล่อยให้พี่ชายของเจ้าและข้าจัดการเรื่องนี้เถอะ” เขาไม่อยากเห็นนางโกรธ หรือต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าได้บังอาจทำให้อารมณ์ของนางต้องขุ่นเคืองและมัวหมองเด็ดขาด!“อือ! พวกเจ้าพานางเข้าไปในจวนเถอะ” ไป๋อวี่เซวียนเห็นด้วย เขาออกคำสั่งกับสาวใช้ที่ยืนมองอยู่ อย่างรวบรัด หาได้ให้อีกฝ่ายเอ่ยปฏิเสธจัดการเอง มองดูแล้วคนสกุลเซี่ยผู้นี้ไม่มีทางยอมจากไปโดยง่ายแน่!เกรงว่าคงจะได้โดนเขาตีก่อนจริงๆ ถึงจะหลาบจำมู่เหยียนเจ๋อว่ามือลงบนหน้าท้องของนางอย่างแผ่วเบาสัมผัสแรกพลันทำให้หัวใจแกร่งกระตุกวูบ แผ่ซ่านไปด้วยความรู้สึกอยากจะกางแขนใช้ทั้งชีวิตปกป้อง สายตาคมกริบช้อนสบกับสตรีตรงหน้า “ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่
นึกไม่ถึงเลยว่านางจะปล่อยให้แมวกินปลาย่างได้!เหม่ยจินฮวาหาได้คุ้นเคยกับสถานที่และผู้คนที่นี่ ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางใด ล้วนเจอสายตาแปลกประหลาดจับจ้อง นางเดินออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็เปลี่ยนใจหันหลังกลับเข้าโรงเตี๊ยมทันทีทว่าเมื่อก้าวเข้าห้อง สิ่งที่เห็นกลับทำให้นางชะงัก เมื่อสามีที่สมควรจะนอนแผ่อยู่บนเตียงกลับหายตัวไปเหลือเพียงไออุ่นจางๆ บนฟูกเป็นหลักฐานว่ามีเคยคนอยู่ตรงนี้เมื่อไม่นานก่อนเพียงชั่วขณะนั้น ความอดทนที่อดกลั้นมาหลายวันพลันพลุ่งพล่านแตกกระจาย ราวกับหม้อต้มเดือดจัดจนฝาปิดกระเด็น เสียงกรีดร้องโกรธเกรี้ยวหลุดจากปาก ดวงตาคู่งามแดงก่ำ เส้นเอ็นบนขมับเต้นตุบๆ อย่างเด่นชัด มือกำแน่นจนข้อนิ้วขาวซีดเสียงแหลมปรี๊ดของนางดังลั่น ข้าวของบางชิ้นแตกกระจาย บางชิ้นหล่นกระแทกพื้นดังสนั่น ความโกรธเกรี้ยวของเหม่ยจินฮวาทำเอาห้องข้างเคียง ห้องตรงข้ามรวมถึงชั้นบนชั้นล่าง ต่างพากันได้ยินและรีบแห่มาดูอย่างตื่นตระหนก ทว่านางหาได้สนใจไม่แต่กลับตะโกนเรียกหาเจ้าของโรงเตี๊ยมแทน โดยไม่สนใจเสียงด่าทอหรือสายตาสาปส่งของผู้คนแม้แต่น้อยเหม่ยจินฮวาถามกับผู้ดูแลโรงเตี๊ยมอยู่สองสามประโยคก็ได้ความว่า ตอนนี้เขา
กว่าจะเดินทางมาถึงชิงโจวก็ใช้เวลาหลายวัน แล้วยิ่งห่างภรรยาเกือบสองเดือน เซี่ยจวิ้นอี้ยิ่งไม่อาจข่มตาหลับได้ทั้งที่ร่างกายจะเหนื่อยล้าเพียงใดก็ตามเซี่ยจวิ้นอี้ออกจากโรงเตี๊ยม สายตาคมกริบกวาดมองถนนยามสายที่หาได้คึกคักเหมือนวันแรกที่มาถึง และยอมรับตามตรงว่า เขาไม่รู้แม้แต่ว่าควรเริ่มตามหาภรรยาจากที่ใดโรงเตี๊ยมที่พักอยู่เป็นกิจการของสกุลไป๋ แซ่เดียวกับภรรยา เมื่อซักถามอยู่พักใหญ่จึงได้ความว่า ในชิงโจวมีเพียงสกุลไป๋ตระกูลเดียว ทว่ามีเพียงบุตรชายสามคน หาได้มีสตรีตามที่เขาตามหาเพียงเท่านี้ก็พอให้เขามั่นใจได้แล้ว เขาจำได้ว่าไป๋ซูหนิงเคยเล่าเรื่องพี่ชายทั้งสามให้ฟัง เพียงแต่ตอนนั้นเขาอาจมัววุ่นอยู่กับงาน จึงไม่ได้ใส่ใจนัก ใครจะคิดเล่าว่าวันหนึ่งนางจะหนีจากจวนไปเช่นนี้ จนต้องการมาตามหาเซี่ยจวิ้นอี้เดินตามทางที่ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมแนะนำ อย่างน้อยก็ยังมีความหวัง สายตาคมสอดส่องไปทั่ว ไม่แน่ว่าจะบังเอิญอาจได้พบนางระหว่างทางก็ได้ทว่ากลับผิดคาด…ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาคมคาย รูปร่างสูงกำยำ อาภรณ์ที่สวมใส่สะอาดสะอ้านและกลิ่นอายของขุนนาง ทำให้ระหว่างทางไม่ว่าผู้ใดต่างก็อดเหลียวมองไม่ได้ ราวกับถูกสะกดจนยา
ไป๋ซูหนิงไม่รู้ว่าเมื่อวานพี่ชายทั้งสามของนางพูดอะไรกับนายท่านมู่บ้าง เหตุใดเช้าวันถัดมาจึงส่งรถม้าสกุลมู่มารับนางถึงที่จวนโดยไม่มีผู้ใดเอ่ยปากห้ามหรือแสดงท่าทีขุ่นเคืองไม่พอใจออกมาทางสีหน้า เพียงแค่กล่าวว่า เห็นนางอุดอู้เอาแต่อยู่ในจวนหลายวัน สมควรออกไปเดินเล่นผ่อนคลายบ้างไป๋ซูหนิงเพียงพยักหน้าหงึกๆ ออกมาอย่างว่าง่ายจวนสกุลไป๋อยู่ไม่ห่างจากตลาดนัก ทว่าตลอดทางนางเอาแต่นั่งเงียบ เก็บเงื่อนงำความสงสัยไว้ในใจ ไม่เอ่ยถามสักคำ เพียงทอดสายตามองเขาอย่างไม่วางใจจนกระทั่งเสียงล้อรถม้าหยุดลง“หากคุณหนูไป๋เปลี่ยนใจ ไม่อยากลงเดินแล้ว แต่อยากจะนั่งจ้องข้าเช่นนี้ ก็กลับดีกว่าหรือไม่ ข้าจะนั่งให้มองจนกว่าจะเบื่อ”มู่เหยียนเจ๋อรู้สึกได้ว่านางจ้องเขามาตลอดทาง ทั้งที่สงสัยมากแต่กลับนิ่งเงียบ เขาหันมาสบตากับนัยน์ตาเมล็ดซิ่งพอดีไป๋ซูหนิงชะงัก ก่อนเรียกสติกลับมา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกระพริบปริบๆ อย่างเก้อเขิน ริมฝีปากบางเม้มแน่น “วันนั้น…พี่ชายข้าพูดอะไรกับนายท่านมู่กันแน่”นางถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อมมู่เหยียนเจ๋อลงจากรถม้า แล้วยื่นมือประคองนางลงอย่างระมัดระวัง สายตาคมเฝ้ามองทุกฝีเท้าราวกับกลัวว่าจะพลาดแล้วคว้
ครั้งนี้ แม้จะไม่ได้พูดคุยกันสองคน ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่จับจ้องอยู่คุณชายไป๋ทั้งสามไม่เปิดโอกาสให้เศรษฐีมู่ผู้นี้ได้พูดคุยกับคุณหนูอย่างสงบแต่กลับชักชวนอีกฝ่ายมาดวลหมากด้วยกันเสียอย่างนั้น ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะให้ดื่มน้ำชาเพียงจอกเดียว แล้วไล่ออกไปจากจวนทันที ทว่าด้วยความตั้งแง่ จึงอยากข่มขู่หยั่งเชิงเพียงชั่วพริบตา บรรยากาศในจวนกลับคุกรุ่น เต็มไปด้วยกลิ่นอายกดดันปกคลุมทั่วบริเวณสาวใช้ที่อยู่แถวนั้นพลันรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ราวนั่งอยู่ตรงหน้ากระดานหมากเสียเอง ไม่ว่าจะสายตาจริงจัง สีหน้าเคร่งขรึมของคุณชายทั้งสามที่จ้องเขม็งนายท่านมู่ พลางทำให้พวกนางรู้สึกแทบกระอักกระอ่วนแทนไป๋ซูหนิงนอนเอนกายทอดสายตามองลานประลองหมากตรงหน้า รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าอย่างเบิกบาน“เสี่ยวเถา…เจ้าว่า พี่ชายของข้าจะแพ้หรือไม่”เสี่ยวเถาจ้องหมากกระดานอย่างตั้งใจ ก่อนจะปรายตามองคนถาม “คุณหนูว่าอย่างไรเจ้าคะ”“พี่ชายของข้าชอบดวลหมากมาก เกรงว่าคงฝีมือดีแต่กับนายท่านมู่ที่วันๆ คงดีดลูกคิดนับแต่เงิน” ไป๋ซูหนิงกล่าวตามที่เห็น แม้พี่ชายทั้งสามนั้นต่างมีนิสัยและความชอบต่างกัน ทว่าหากเมื่อใดว่าก็ชักชวนกันดวลมาก







