แชร์

๖ หนทางรอดที่ริบหรี่

ผู้เขียน: วอลจู
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-09-12 19:30:24

ไป๋ซูหนิงรู้ดีว่าอีกฝ่ายยังคงเก็บความขุ่นเคืองจากเรื่องในอดีตไว้ในอก ทว่าเพียงเท่านี้ นางก็ถือว่ามากพอแล้ว สำหรับคนไร้ที่พึ่งพิงเช่นนาง อย่างน้อยก็มีที่ให้ซุกหัวนอนชั่วคราว

โรงเตี๊ยมสกุลไป๋ตั้งอยู่ย่านการค้ากลางเมืองชิงโจว ผู้คนสัญจรขวักไขว่ไม่ขาดสาย แผ่นป้ายสลักอักษรไป๋เด่นเป็นสง่าเหนือประตูใหญ่ บ่งบอกถึงชื่อเสียงและความรุ่งเรืองของกิจการสกุลได้โดยไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำใดให้มากความ

นึกไม่ถึงว่าวันเวลาผ่านไปเพียงสิบกว่าปี กิจการของสกุลไป๋จะก้าวหน้าได้ถึงเพียงนี้

ยามที่ไป๋ซูหยินออกจากจวนมาเมื่อครั้งยังเด็กนักมองเห็นมารดาและบิดาวิ่งวุ่นกับการขยายกิจการทำงารแทบไม่เว้นวัน ทว่าในวันนี้...ความเหน็ดเหนื่อยเหล่านั้นย่อมแปรเปลี่ยนเป็นผลกำไรมหาศาลสมดังที่ตั้งใจ

ทว่าไป๋ซูหนิงหาได้มีอารมณ์จะเพ่งมองหรือตรึกตรองไปมากกว่านี้ไม่ เมื่อคนงานพามาส่งถึงหน้าห้องพักแล้ว นางเพียงพยักหน้าให้แทนคำขอบคุณ ก่อนจะผลักประตูเข้าไปปิดลงเท่านั้น หาได้พูดอันใดไปมากกว่าครึ่งคำเพราะความเหนื่อยล้าที่หนักอึ้ง

ทันทีที่แผ่นหลังสัมผัสฟูกนุ่ม ร่างกายที่อ่อนล้าเหมือนหมดเรี่ยวแรงไปสิ้น นางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

หลายวันมานี้นางเดินทางรอนแรมผ่านหมู่บ้านและเส้นทางเปลี่ยวรกร้าง ต้องคอยระวังภัยไม่หยุดหย่อน ไหนจะเพราะยามนี้ที่กำลังตั้งครรภ์จึงทำให้เหน็ดเหนื่อยง่ายกว่าปกติ แม้แต่จะได้นอนเอนกายนั่งในรถม้าก็รู้สึกหวาดระแวงจนหลับตาลงไม่สนิทอยู่ดี

และเมื่อได้นอนบนฟูกนุ่มๆ และบรรยากาศเงียบสงัดไร้แรงสั่นสะเทือนจากรถม้า ความง่วงที่กักเก็บมาหลายวันก็ถาโถมราวคลื่นซัด ไม่ถึงครู่สติของนางก็ถูกดึงเข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งเสียงเคาะประตูและเสียงเรียกจากด้านนอกดังขึ้นยามโหย่ว (17.00 – 19.00 น.) ไป๋ซูหนิงสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นอย่างง่วงงุน ใบหน้าคนงามยังมีร่องรอยอ่อนเพลียไม่จางหาย มือเรียวลูบหน้าท้องเบๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นไปเปิดประตูอย่างระมัดระวัง

ปลายยามโหย่ว (17.00 – 19.00 น.)

มื้อค่ำในจวนสกุลไป๋วันนี้ ช่างเต็มไปด้วยบรรยากาศแปลกใหม่ราวกับเวลาย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน โต๊ะกลมขนาดใหญ่ถูกจัดวางจนแน่นขนัดด้วยอาหารมากมาย ทั้งต้ม ผัด ตุ๋น นึ่งและทอด กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ราวกับนี่เป็นงานเลี้ยงเล็กๆ เพื่อต้อนรับคุณหนูที่จากบ้านไปเนิ่นนานกลับคืนสู่อ้อมอกครอบครัว

ไป๋ซูหนิงนั่งเหยียนดหลังตรง มือทั้งสองข้างประสานกันบนตักอย่างประหม่า ไม่รู้จะเหลือบตามองไปทางใดดี ซ้ายมือคือพี่รอง ขวามือคือพี่เล็ก และตรงข้าม…คือพี่ใหญ่ที่สายตาคมกริบยังเย็นชาไม่ต่างจากเมื่อตอนกลางวันนัก

“ไม่หิวหรือ…เหตุไม่กิน” ไป๋อวี่เซวียนเอ่ยถาม

น้ำเสียงทุ้มของเขาฟังดูเหมือนชวนหยอกเย้าแต่แฝงความเอ็นดู เขาพลางยื่นมือออกไปคีบน่องไก่ย่างชิ้นโตที่จ้องมานานทว่าเสียงกระแอมไอดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อนจนต้องชะงักงัน

!!!

ไป๋อวี่เซวียนหันขวับไปมอง เห็นไป๋เหวินห่าวขยับตะเกียบแย่งคีบน่องไก่นั้นไปมาวางลงในชามข้าวของไป๋ซูหนิงแทน สายตาคมกริบหรี่ลงมองเงียบๆ ความไม่พอใจเริ่มก่อขึ้นในอก

“นั่นไก่ของข้า” เขาทักทวงทันที

“เจ้ากินเนื้อทุกวันมิใช่หรือ…แต่ดูนางเสีย ผอมแห้งราวหนังหุ้มกระดูก จวนสกุลเซี่ยเลี้ยงผู้คนอย่างไรกัน ให้กินข้าวกับผักต้มวันละมื้ออย่างงั้นหรือ” ไป๋เหวินเหวินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับว่าหาได้ทำอันใดผิดแปลก

ไป๋ซูหนิงชะงักงัน นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกระพริบปริบๆ ก่อนจะยกยิ้มบางๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “ขอบคุณเจ้าค่ะ”

นางไม่คาดคิดเลยว่าพี่ชายที่ดูเย็นชาไร้เยื่อใยเมื่อกลางวัน จะมีมุมที่คอยมองและใส่ใจนางเช่นนี้

“แต่นั่นมันของข้า!” ไป๋อวี่เซวียนร้องโวยวายเสียงขุ่น หันไปจ้องพี่ใหญ่ตาเขม็งจนสันกรามขึ้นสัน

ไป๋จิ่นอวี่เพียงส่ายหน้าไปมา เอ่ยขึ้นเสียงเรียบอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าก็กินอย่างอื่นเสีย…บนโต๊ะหาได้มีเพียงแค่ไก่ย่างเท่านั้น”

ไป๋ซูหนิงกะพริบตาเหลือบมองพี่ทั้งสามไปมา เอ่ยขึ้นอย่างลังเล “แต่ว่านี่เป็นของพี่เล็ก…”

“กินเสีย” น้ำเสียงทุ้มแข็งทื่อเอ่ยขึ้นหวนๆ ไป๋เหวินห่าวพูดพลางคีบข้าวเข้าปากอย่างไม่สนใจความขุ่นเคือง “บนโต๊ะนี้หากมิได้ลงชื่อสลักไว้ก็หาใช่ของผู้ใดโดยเฉพาะ”

“เพ่ย! ไม่ยุติธรรม!” ไป๋อวี่เซวียนกระแทกเสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจ เมื่อวานเขายังเป็นน้องเล็กที่ใครต่อใครตามใจ แต่มาวันนี้กลับต้องยอมเสียสละแม้แต่น่องไก่ชิ้นเดียวหรือ!

หากยอมครั้งนี้ ต่อไปคงถูกกดหัวอยู่ร่ำไปแน่

ไป๋ซูหนิงอดที่จะระบายยิ้มกว้างออกมาอย่างอดไม่ได้ ในใจของนางอุ่นซ่านด้วยความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

ทั้งที่เมื่อกลางวันพี่ชายผู้นี้ยังทำราวกับไม่เหลียวแลหรือสนใจนางสักนิด แต่ยามนี้…กลับโอนอ่อนลงทีละน้อย ไป๋ซูหนิงเริ่มคิดว่า ไม่แน่วันหนึ่งนางคงสามารถทำให้อีกฝ่ายเปิดใจยอมรับได้ไม่ยากนัก

ไป๋ซูหนิงยกมือจับตะเกียบขึ้นช้าๆ ก่อนจะกัดเนื้อน่องไก่ชิ้นโตอย่างอารมณ์ดี

น้ำเสียงหวานพึมพำแผ่วเบา “ท่านลุงของเจ้าชดีเหลือเกิน ออกมาแล้วต้องเป็นเด็กดี เข้าใจไหมเจ้าคะ” มือข้างหนึ่งลูบท้องที่กลมอย่างอ่อนโยน

ไป๋อวี่เซวียนกำลังจะอ้าปากทวงไก่คืน แต่พอได้ยินถ้อยคำนี้ กลับกลืนลงคอไปแทน เขาแค่นเสียงฮึดฮัด ก่อนจะยื่นมือคีบผักต้มใส่ชามไป๋ซูหนิงอย่างไม่ทันตั้งตัว “อืม! กินอาหารต้องครบถ้วนไม่ใช่เลือกกินอย่างใดอย่างหนึ่ง หากเด็กในครรภ์ออกมาแล้วจะได้ไม่โง่งมเสียก่อน”

แม้ว่าไป๋อวี่จิ่นจะเงียบไม่เอ่ยใดๆ ทว่าดวงตาคมกริบกลับเหลือบมองน้องสาวด้วยแววอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยถาม “หนีมาไกลปานนี้ คนสกุลเซี่ยจะไม่คลุ้มคลั่งเป็นสุนัขบ้าไปหรอกหรือ”

ไป๋เหวินห่าวสวนขึ้นทันที น้ำเสียงเย็นเฉียบ “หึ! หนีไกลมาเพียงนี่แล้ว หากย้อนกลับไปอีกก็คงโง่งมเจ็บซ้ำซากไม่รู้จักจำ”

ไป๋ซูหนิงได้แล้วพลันจุกอกพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ริมฝีปากบางเม้มแน่น นางไม่ได้โกรธที่ทั้งคู่พูดเช่นนั้น ทว่าในใจกลับเจ็บปวดราวถูกตอกย้ำความโง่เขลาของตนเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา ขอบพลันค่อยๆ ร้อนผ่าวขึ้นมา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งเหลือบมองเหล่าพี่ชายผ่านม่านน้ำตา มือบางกำตะเกียบแน่น

“เพ่ย! มิใช่ว่าเวลากินก็สมควรกินมิใช่หรือ” เสียงทุ้มของไป๋อวี่เซวียนทักท้วง พลางมองสีหน้าของไป๋ซูหนิงด้วยความห่วงใย

เกรงว่าอีกฝ่ายคงมีค้างคาใจยังไม่กล้าพูดออกมากระมัง

“รีบกินข้าวกันเถอะ ก่อนอาหารจะเย็นชืดเสียก่อน”

ไป๋อวี่เซวียนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน

“เหอะ!” ไป๋จิ่นอวี่แค่นเสียงฮึดฮัดทีหนึ่ง

หากนางไม่อยากพูด เขาก็หาได้เร่งรัด เพราะจากท่าทีแล้ว น้องสาวผู้นี้คงต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนาน ดูท่าคงหมดหนทางและไร้ที่พึ่งพิงอย่างแท้จริง วันใดวันหนึ่ง...คงเผยความจริงออกมาเอง

เพล้ง!

เสียงกระแทกดังสนั่น พลันทำให้ทุกคน…แม้แต่เหล่าสาวที่อยู่ใช้บริเวณนั้น ต่างสะดุ้งตกใจเงยหน้าขึ้นมอง

ไป๋เหวินห่าววางตะเกียบลง สายตาคมกริบยังคงจับจ้องอีกฝ่ายไม่ลดละ “จะอยู่หรือจะไปล้วนแล้วแต่เจ้า ทว่าโรงเตี๊ยมสกุลไป๋…หาได้ให้ใครอยู่อาศัยฟรีไปตลอดชีวิต”

!!!

ทั้งไป๋จิ่นอวี่และไป๋อวี่เซวียนต่างหันขวับไปมองอย่างพร้อมเพรียงทันที หัวคิ้วเข้มของทั้งคู่ขมวดมุ่นแน่น

หมายความว่าอย่างไรกัน…!?

ทั้งที่นางหย่าขาดจากสามีและตั้งครรภ์อยู่ มิหนำซ้ำเป็นน้องสาวแท้ๆ ร่วมสายเลือดเดียวกันแต่ยังจะเก็บเงินหรือ!?

ไป๋ซูหนิงได้ยินแล้วกลับหัวเราะออกมาแผ่วเบา นางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าสบตาคมกริบขอพี่ใหญ่โดยไร้ความเกรงกลัว

“แค่ท่านพี่ไม่ขับไล่ข้าก็นับว่าเป็นบุญคุณแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยแผ่วเบาเจือด้วยความซาบซึ้ง

ไป๋จิ่นอวี่เอ่ยแทรกทันควัน “พี่ใหญ่! แม้ว่าท่านจะยังโกรธเคืองเรื่องในอดีตอยู่ แต่คำพูดเช่นนี้เกินไปกระมัง”

“ใช่! นางทั้งตั้งครรภ์ ที่หนีออกมาถึงที่นี่เพื่อพึงพา เกรงว่าเงินติดตัวก็คงเหลือไม่มากแล้ว” ไป๋อวี่เซวียนเสริมเสียงเข้ม เขาเองก็ไม่อาจเข้าใจความคิดของพี่ชายผู้นี้ได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดกันแน่

ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ยิ่งเห็นท่าทางสงบเสงี่ยมของนาง…

ไป๋เหวินห่าวกลับยิ่งรู้สึกหงุดหงิดราวกับมีไฟลุกโชนในอก เขากระแทกเสียงต่ำออกมาอย่างกดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่

“แม้แต่นางยังไม่โต้แย้งสิ่งใด…หึ! เกรงว่าตอนที่อยู่จวนสกุลเซี่ยคงปิดปากเงียบยินยอมให้ถูกเหยียบย่ำ กลั่นแกล้ง เอาเปรียบอย่างเต็มใจเช่นนั้นหรือ! เหตุใดหาไม่พอใจไม่พูดออกมา”

เพียงได้ยินถ้อยคำนี้ ไป๋ซูหนิงสะอึก พูดไม่ออกชั่วขณะ

ไป๋ซูหนิงเม้มริมฝีปากแน่น หลุบสายตาลงต่ำหลบสายตาคมกริบที่เพ่งมองมาอย่างแข็งกร้าว

ก่อนที่สตรีผู้นั้นจะก้าวเข้ามา มีคำใดบ้างที่นางพูดออกไปแล้วเขาจะไม่สนใจ ไป๋ซูหนิงพูดออกไปร้อยคำ…เซี่ยจวิ้นอี้ย่อมเก็บมาใส่ใจทั้งหมดทว่าภายหลังจากนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับสามีก็สั่นคลอนทันที ต่อให้นางพูดอีกเป็นร้อยครั้ง เขากลับรับฟังเพียงหนึ่งคำเท่านั้น

นางเหลียวสายตามองพี่ชายทีละคน ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เพราะข้าเคยรักเขา…รักมากเกินกว่าที่เขาจะต้องการ จนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เขาพึงพอใจในตัวข้า ทว่าท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่เขาปรารถนากลับไม่ใช่ความรักจากข้า”

ไป๋เหวินห่าวได้ยินแล้วแค่นหัวเราะเย็นชา น้ำเสียงทุ้มเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “สรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนเปลี่ยนแปลงไปทุกชั่วลมหายใจ ไฉนความสัมพันธ์ที่เจ้าเคยเชื่อว่ามีวาสนา แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเพียง…ฝันลวงตาเท่านั้น”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เกิดใหม่อีกคราข้าจะพาลูกหนีสามีชั่ว   ๑๙ ช่วยหนึ่งครั้งหวังทั้งชีวิต

    ภายในจวนสกุลไป๋ กลางลานกว้าง คุณหนูไป๋ซูหนิงกำลังสนทนากับนายท่านมู่ เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วดังลอยมากับสายลม เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่แถวนั้นพากันอมยิ้มอย่างอดอิจฉาไม่ได้สายตาของนายท่านมู่ที่ทอดมองคุณหนูอย่างอ่อนโยนและอบอุ่นจนสาวใช้ผู้หนึ่งอดพึมพำไม่ได้ว่า “หากมีบุรุษใดมองข้าด้วยแววตาเช่นนี้ ข้าคงยกแม่สื่อไปสู่ขอเป็นสามีทันที”เพราะมีสตรีใดเล่าที่ไม่อยากถูกรักอย่างถนุถนอมแต่เสี่ยวเถากลับกอดอก หรี่ตามองอย่างไม่วางใจนัก “ข้าว่าเศรษฐีมู่ผู้นี้ ดูจะตกหลุมรักคุณหนูของพวกเราเร็วเกินไปหน่อย”สาวใช้คนนั้นหันขวับมาถาม “แล้วพี่เสี่ยวเถาเคยมีความรักงั้นหรือ…ผู้ใดจะรู้ว่าความรักจะเกิดขึ้นเมื่อใด”แสงแดดยามสายเริ่มแผดร้อน เม็ดเหงื่อเริ่มผุดบนใบหน้าคนงาม มู่เหยียนเจ๋อเห็นแล้วอดไม่ได้จึงยื่นชายแขนเสื้อซับให้แผ่วเบาระมัดระวัง “ขออภัยที่ล่วงเกิน เกรงว่าเหงื่อจะไหลเข้าตา”ไป๋ซูหนิงชะงัก เห็นภาพความอ่อนโยนที่เซี่ยจวิ้นอี้เคยมีต่อนางแวบเข้ามาก่อนจะทับซ้อนด้วยภาพจอกยาพิษและผ้าขาวในวันนั้น หัวใจก็พลันเต้นกระหน่ำจนอกกระเพื่อม“ข้าเป็นพ่อค้าวาณิช ไหนเลยจะพกผ้าเช็ดหน้าติดตัว หากผ้าหยาบบาดผิวจนคุณหนูระคายต้องขออภั

  • เกิดใหม่อีกคราข้าจะพาลูกหนีสามีชั่ว   ๑๘ บุรุษดื้อรั้น

    ไป๋ซูหนิงได้ยินแล้วก็ไม่รู้ว่าควรตกใจเรื่องใดก่อนดี ระหว่างเรื่องที่เศรษฐีมู่ผู้นี้ร่ำรวยเหลือเฟือถึงขั้นใช้จ่ายราวกับเทน้ำเทท่า หรือเรื่องที่เขาซื้อจวนข้างๆ ของสกุลไป๋!?นางเอ่ยเสียงหวาน “ไปกันเถอะ พี่เล็ก…นายท่านมู่เพียงซื้อจวนหลังข้างๆ มิใช่ซื้อถนนเสียหน่อยจะไปไม่ได้อย่างไร”นางยืนอยู่หลังพี่ชาย เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายพยายามหลีกเลี่ยงและตัดขาดไม่ให้นางข้องเกี่ยวกับบุรุษผู้นี้ที่เอาแต่ตามเกี้ยว แต่ในยามนี้นางไม่ได้มีความคิดอยากแต่งงานกับผู้ใด ขอเพียงคลอดลูกในครรภ์ออกมาอย่างปลอดภัยก็มากพอแล้วหัวคิ้วเข้มของไป๋อวี่เซวียนขมวดมุ่น เพ่งมองบุรุษตรงหน้าไม่ลดละ เขาแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอ ไม่อยากขัดใจน้องสาว แต่ก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับบุรุษผู้นี้เช่นกันไป๋อวี่เซวียนหมุนตัวกลับ แล้วคว้าแขนน้องสาวออกจากจวน “อย่าอยู่ห่างจากข้า”ไป๋ซูหนิงกระพริบตาพริบๆ “นายท่านมู่ก็เป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งเท่านั้น” น้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้างามคลี่ยิ้มจางๆ เมื่อเดินผ่านอีกฝ่าย นางเข้าใจดีว่าพี่ชายทั้งหวงและห่วงเกินเรื่องมู่เหยียนเจ๋อมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความขบขัน มุม

  • เกิดใหม่อีกคราข้าจะพาลูกหนีสามีชั่ว   ๑๗ เจ้าของจวนคนใหม่

    ราคาที่ดินในชิงโจวสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะเป็นเมืองติดชายแดนเพราะมีพ่อค้าวาณิชจากต่างแคว้นย้ายมาตั้งถิ่นฐานและทำกิจการมากมาย ยิ่งจวนที่อยู่ใกล้สกุลไป๋แล้ว ราคายิ่งสูงลิ่ว ฟังแล้วชวนให้ปวดหูนัก“หากนายท่านมู่สนใจ ข้าย่อมลดราคาให้พิเศษแน่”นายหน้าขายบ้านเอ่ย ใบหน้าระบายยิ้มกว้างจนรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าปรากฏเด่นชัดเมื่อสามวันก่อน เจ้าของจวนซึ่งทำกิจการในชิงโจวมาหลายปีจนร่ำรวย เห็นว่าจากบ้านมานานจึงคิดย้ายกลับไป หลังจากขนย้ายข้าวของออกก็นำมาฝากเขาขาย พร้อมเอ่ยว่าหากขายได้เร็วจะให้เงินอีกถุงเป็นค่าตอบแทนเพิ่มแต่ไม่ทันได้ป่าวประกาศ จู่ๆ เช้าวันนี้ก็มีคนจากจวนสกุลมู่มาเคาะประตู บอกว่านายท่านมู่สนใจจะซื้อจวน!นี่ไม่ใช่ตกถังข้าวสารแล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก?เศรษฐีมู่ผู้นี้มีผู้ใดไม่รู้จัก! ไม่ว่าจะเป็นที่ดินว่างเปล่าทั้งหมดในชิงโจวก็มักเป็นของสกุลมู่ทุกตารางนิ้วกระมัง เกรงว่า ทรัพย์สินเงินทองที่มีต่อให้ตายแล้วฟื้นมาใช้อีกสิบรอบก็ไม่พร่องลงสักนิดนับวันกิจการของสกุลมู่ก็ยิ่งขยายไปทั่วทั้งใต้หล้า กอบโกยกำไรจนแทบปิดปากถุงเงินไม่มิด คิดแล้วก็น่าเสียดาย เขาน่าจะรีบหาบุตรสาวเพิ่มสักคน เผื่อวันหน้าโชคห

  • เกิดใหม่อีกคราข้าจะพาลูกหนีสามีชั่ว   ๑๖ เยื่อใยที่ยังเหลืออยู่

    เซี่ยจวิ้นอี้ไม่ได้เชื่อข่าวลือเหล่านั้นเต็มอก ทว่าเขากลับเห็นความสนิทสนมของทั้งคู่เกินเลยจนแทบไม่อาจเรียกว่าได้เป็นความบังเอิญถึงหลายครั้งหลายคราทว่าไป๋ซูหนิงที่เขารู้จักนั้น…นางไร้เดียงสายิ่งนัก เกรงว่าคงไม่มีทางคิดเรื่องบุรุษอื่นใดในหัวนอกจากเขาเท่านั้นเซี่ยจวิ้นอี้ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง พลางถอนหายใจหนักอึ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งบรรยากาศยามดึกสงัดเท่าไร ใจเขาก็ยิ่งปั่นป่วนจนไม่อาจสงบลงได้ ความคิดมากมายที่ไร้คำตอบแล่นเข้ามาในหัว จนหนังตากระตุก รู้สึกถึงความตึงเครียดที่กดทับขมับเต้นตุบๆ อย่างหนักหน่วงเพราะเหตุใดกัน เขาจึงรู้สึกคับแคลงใจสงสัยในตัวนาง และไม่ไว้วางใจ ทั้งที่รู้จักนิสัยใจคอนางดีกว่าผู้ใด“ท่านพี่นอนไม่หลับหรือเจ้าคะ”น้ำเสียงงัวเงียดังขึ้นที่หน้าประตู เซี่ยจวิ้นอี้ปรายสายตาไปมอง เห็นภรรยาอีกคนในชุดนอนผืนบาง ยืนเกาะขอบประตูกึ่งหลับกึ่งตื่น จึงหลุดหัวเราะอย่างเอ็นดู มุมปากหนาโค้งยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ ก่อนลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเซี่ยจวิ้นอี้หยุดตรงหน้าเหม่ยจินฮวา สายตาคมกริบทอดมองอีกฝ่าย ก่อนยกมือขึ้นลูบเรือนผมอย่างอ

  • เกิดใหม่อีกคราข้าจะพาลูกหนีสามีชั่ว   ๑๕ สัมพันธ์ที่ไม่อยากสานต่อ

    “รังเกียจจนไม่อยากรับของจากสกุลมู่ของข้าเลยหรือ?”น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นอย่างชัดเจน เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างสะดุ้งรีบแหวกทางให้เศรษฐีมู่ พวกนางก้มหน้าหลุบสายตาลง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองอย่างหวาดหวั่น ราวกับกลั้นลมหายใจไปชั่วขณะใบหน้าของมู่เหยียนเจ๋อเผยรอยยิ้มจางๆ เจือความผิดหวังเล็กน้อย มุมปากหยักยกขึ้น สายตาคมกริบประสานกับพี่ใหญ่จวนสกุลไป๋อย่างตรงไปตรงมา หัวคิ้วเข้มเลิกขึ้นเชิงถาม “ข้าไปทำอันใดให้คุณชายไป๋ไม่พอใจหรือ ถึงได้แสดงท่าทีรังเกียจราวกับโกรธเคือง ไม่อยากพบหน้าข้าแม้แต่ครั้งเดียว”แม้จะรู้คำตอบในใจดี แต่มู่เหยียนเจ๋อก็อดไม่ได้ที่จะยั่วยวนโทสะอีกฝ่ายนับตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นที่ท่าเรือ จวนสกุลไป๋มีสินค้าต้องส่งไปต่างแคว้น แต่กลับบังเอิญมีคนจากวังหลวงมาตรวจตรา ทำให้ล่าช้าไปหนึ่งวันทว่ามู่เหยียนเจ๋อมีของสำคัญที่ต้องส่งออกด่วนอย่างไรก็ไม่สามารถล้าช้าถึงนำของสกุลไป๋ออกแล้วนำของเขาส่งไปแทนเพราะอย่างไรเสีย เขาคิดว่าของของสกุลไป๋ก็ได้ล่าช้าแล้ว ดังนั้น พรุ่งนี้ค่อยนำสินค้าเก่าออกไปกับของใหม่พร้อมกันได้กระมัง แต

  • เกิดใหม่อีกคราข้าจะพาลูกหนีสามีชั่ว   ๑๔ สหายหรือศัตรู

    ตั้งแต่วันที่เซี่ยจวิ้นอี้บุกไปจวนเว่ยอ๋อง ท่าทางโกรธเกรี้ยว ฟาดงวงฟาดงาใส่ผู้อื่นไปทั่ว เว่ยจิ้นหลานก็ไม่ได้เห็นหน้าเห็นตาอีกฝ่ายอีกเลย และเมื่อให้คนไปสืบความที่สกุลเซี่ยกลับพบว่า สตรีผู้นั้นหายตัวไปจริงๆทว่าที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือข่าวลือระหว่างเขากับสตรีผู้นั้น ที่ไม่ว่าผู้ใดต่างก็กล่าวว่าลอบคบชู้ สวมหมวกเขียวให้เซี่ยจวิ้นอี้!บัดซบเถอะ! นางเป็นภรรยาของสหาย ส่วนเขาก็เป็นสหายของอีกฝ่ายย่อมไม่คิดที่จะลอบลักกินหลังจวนผู้ใด!ใครกันช่างกล้าปล่อยข่าวลืออัปมงคลเช่นนี้?เว่ยจิ้นหลานทำใจยอมรับได้ยาก ทั้งโกรธเคืองไม่น้อย และเกรงว่าความสัมพันธ์สหายระหว่างเขากับเซี่ยจวิ้นอี้ก็คงขาดสะบั้น เพราะข่าวลือไร้ที่มานี้กระมัง!ตอนนั้นเว่ยจิ้นหลานติดธุระในวังหลวง มีงานให้ต้องจัดการสะสางจนล้นมือ ยากจะปลีกตัวได้จนเวลาผ่านไปครึ่งเดือนเต็ม!ไม่นึกเลยว่ายิ่งเขาหายไป ข่าวลือกลับยิ่งตอกย้ำหนักขึ้นรถม้าของเว่ยอ๋องจอดแน่นิ่งอยู่หน้าประตูจวนสกุลเซี่ยเว่ยจิ้นหลานเดินลงจากม้าอย่างหนักอึ้ง ไม่นานก็ถูกเชิญเข้าไปในจวน อย่างไรเสียก็ต้องคุยและแก้ข่าวลือนั้นให้ชัดเจนเขาบริสุทธิ์ใจ หาได้คิดไม่ซื่อกับภรรยาของสหายไม่!

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status