แชร์

๕ ไร้ที่พึ่งพิง

ผู้เขียน: วอลจู
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-09-11 22:05:24

บรรยากาศในห้องโถงของจวนสกุลไป๋เงียบสงัดจนได้ยินแม้แต่เสียงของสายลมพัดลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ทั้งไป๋จิ่นอวี่และไป๋อวี่เซวียนต่างยืนกอดอก จ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาขุ่นเคืองซ่อนอารมณ์ หัวคิ้วเข้มของทั้งคู่ขมวดแน่น ความอึดอัดลอยอวลในอากาศราวกับม่านหมอกควันหนาแน่น

ไป๋ซูหนิงยกจอกน้ำชาขึ้นแนบริมฝีปาก แม้จะพยายามเก็บอาการแต่ความตื่นประหม่าในแววตากลับปิดไม่มิด หัวใจดวงน้อยสั่นสะท้านครั้งแล้วครั้งเล่า

ริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา ฟังดูคล้ายกำลังพึมพำกับตนเองมากกว่าจะพูดกับให้ใครได้ยิน

“หากการกลับมาของข้าก่อให้ท่านพี่รู้สึกไม่พอใจ เช่นนั้น ข้าก็ไม่กล้าคิดจะรั้งอยู่ที่นี่นานนัก เพียงแต่…ขอพักพิงสักสองสามวันได้หรือไม่เจ้าคะ”

แม้จะเป็นพี่น้องร่วมท้องมารดาแต่เพราะความห่างเหินตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความสนิทสนมระหว่างนางกับพี่ชายแทบไม่หลงเหลืออยู่เลยสักนิด ทุกถ้อยคำที่เอ่ยจึงเต็มไปด้วยความเกรงใจและขมขื่น

ไป๋จิ่นอวี่เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนหัวเราะเยาะในลำคออย่างเย็นเยียบ น้ำเสียงทุ้มราบเรียบเอื้อนเอ่ยโดยไร้ความอ่อนโยน

“สตรีม่ายแถมยังตั้งครรภ์…หากอยู่ที่นี่จะทำอันใดได้เล่า”

พอสิ้นคำพูดนั้น ความเงียบพลันแผ่ปกคลุมทั่วทั้งห้องอีกครั้งทันที ดวงตาของไป๋ซูหนิงเบิกกว้างด้วยคสามแปลกใจ พร้อมกับสายตาคมกริบของไป๋อวี่เซวียนก็หันขวับไปมองพี่ชายคนรองคล้ายไม่อยากเชื่อหูตนเอง

“หมายความว่าอย่างไรพี่รอง!” ไป๋อวี่เซวียนถาม

“ท่านพี่…รู้ได้อย่างไรกันรึ” น้ำเสียงของไป๋ซูหนิงสั่นเครือ เผยความตกตื่นตระหนกอย่างไม่อาจปิดบังได้ เรื่องนี้ต่อให้เป็นชาติก่อน ก็มีเพียงนางและหมอชราเท่านั้นที่ล่วงรู้

ดังนั้น ความลับนี้ผู้อื่นย่อมไม่มีทางรู้แน่!

ไป๋อวี่เซวียนขมวดคิ้ว มองน้องสาวด้วยแววตาซับซ้อน

“เจ้าท้องจริงหรือ!” น้ำเสียงทุ้มแฝงความตกใจและไม่เชื่อเต็มที่ สายตาคมกริบกวาดมองครรภ์แบนราบที่ถูกอาภรณ์สีหวานบดบัง มองเพียงผิวเผินก็แทบไม่เห็นเค้าลางของสตรีตั้งครรภ์…

เขาหันไปจ้องหน้าไป๋จิ่นอวี่ทันที “เจ้ารู้ได้อย่างไร หรือว่า…เคยทำผู้ใดท้องมาก่อน ถึงได้ดาดเดาแม่นยำเช่นนี้”

ไป๋จิ่นอวี่เพียงฮึดฮัดใส่น้องชาย ดวงตาคมกริบหันกลับไปจ้องไป๋ซูหนิงอย่างไม่วางตา เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างสูงใหญ่ทอดเงาทาบลงบนพื้น

“เจ้าจะอยู่ที่นี่ได้หรือไม่ หาใช่เรื่องที่ข้าตัดสินใจได้เพียงผู้เดียว” น้ำเสียงทุ้มราบเรียบ ทว่าหนักแน่นจนคนฟังใจหาย

“อย่างไร เรื่องนี้ต้องรอฟังความเห็นของพี่ใหญ่เสียก่อน”

ความห่างเหินที่กั้นกลางระหว่างพี่น้องตลอดหลายปี ยามนี้ยิ่งเผยชัดยิ่งกว่าที่นางคาดคิดนัก

พอได้ยินถ้อยคำเอื้อนเอ่ยถึงพี่ใหญ่นั้น ไป๋ซูหนิงก็คล้ายจะเข้าใจทันทีว่าในจวนสกุลไป๋ ไม่ว่าเรื่องสำคัญใดล้วนแล้วแต่ต้องผ่านการตัดสินใจของพี่ชายคนโตเสียก่อน เกรงว่า...ตอนที่ยังอยู่ มารดาและบิดาล้วนฝากความไว้วางใจไว้กับเขาเป็นที่สุดกระมัง

ใบหน้าคนงามยกยิ้มจางๆ ทว่ามือทั้งสองข้างกลับกำแน่น หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่นราวกับมีม่านหมอกหนาทึบเกาะกุมความคิด

ไป๋ซูหนิงรู้ดีว่านางกลับมาครั้งนี้ หาใช่เรื่องยินดีที่จวนสกุลไป๋จะเปิดประตูต้อนรับด้วยอ้อมแขนกว้างได้ง่ายๆ เช่นนั้นอีกแล้ว

ท้ายที่สุด นางก็ต้องหาหนทางเอาชีวิตรอดเองและปกป้องบุตรในครรภ์ให้จงได้ ไม่ว่าจะต้องลำบากเพียงใดหรือต่อให้เหลือเพียงลมหายใจเฮือกเดียว นางก็ไม่มีทางยอมหันหลังกลับไปเหยียบจวนสกุลเซี่ยขอความช่วยเหลือจากบุรุษผู้นั้นอีกเด็ดขาด!

“เหอะ! พี่ใหญ่น่ะหรือ…”

น้ำเสียงเย้ยหยันของไป๋อวี่เซวียนดังขึ้น มุมปากโค้งยกขึ้นอย่างเยาะเย้ยเล็กน้อย ดวงตาคมหันมามองน้องสาว “เกรงว่าแม้แต่ตอนยกน้ำชายามเช้า เขายังไม่เอ่ยปากทักเจ้าสักครึ่งคำด้วยซ้ำ”

ยังไม่ทันที่บรรยากาศขุ่มัวจะคลายลง น้ำเสียงทุ้มเข้มดังขึ้นจากหน้าห้องโถง เย็นเยียบดุจคมมีดบาดลึกในอก

“คุณหนูจากบ้านใดมาหรือ”

ร่างสูงใหญ่ของไป๋เหวินห่าวปรากฏขึ้นที่ธรณีประตู ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่ง ข่มอารมณ์แข็งกร้าวไว้อย่างชัดเจน ดวงตาคมกริบฉายแววไม่เป็นมิตร กลิ่นอายกดดันราวพายุโหมกระหน่ำเข้ามาในทันที

“พี่ใหญ่…” น้ำเสียงหวานสั่นเครือของไป๋ซูหนิงหลุดลอดออกมาโดยไม่รู้ตัว

นางรีบลุกขึ้นวางจอกน้ำชา ยอบกายคารวะอย่างนอบน้อม

สายตาคมกริบของไป๋เหวินห่าวกวาดมองน้องชายทั้งสอง ก่อนจะหยุดลงที่สตรีตรงหน้า ความคุ้นเคยบางอย่างวาบขึ้นมาทันทีทว่าเพียงชั่วอึดใหญ่ใจ เขากลับแค่นเสียงเย็นเยียบออกมาแทน

“เหอะ! นี่มิใช่วันครบรอบวันตายของผู้ใด เหตุใดฮูหยินถึงกลับมาที่นี่” น้ำเสียงทุ้มคมชัดราวคมดาบ ฟาดฟันลงมาอย่างเย็นชาและตรงไปตรงมาราวกับหาไม่มีเรื่องอันใดก็ไม่พต้องการพบหน้า

ไป๋ซูหนิงเม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตาเมล็ดซิ่งสั่นระริกวูบไหวด้วยความหวาดหวั่น

ยามนี้ต่อให้ต้องพูดอธิบายอันใดออก นางก็รู้ว่าทุกสิ่งที่เคยทำไว้ในอดีตคงไม่อาจหลบล้างทำให้อีกฝ่ายเอ็นดูหรือรู้สึกเห็นในจนยอมยื่นมือมาช่วยเหลือแล

ครั้งหนึ่ง…นางเคยเป็นน้องสาวที่พี่ชายทั้งสามถนุถนอมราวไข่ในหิน ทว่ากาลเวลาผันผ่าน ความห่างเหินก่อกำแพงสูง จนบัดนี้นางและอีกฝ่ายห่างเหินไม่ต่างจากคนแปลกหน้าที่รู้จักกันดี…

“นางหย่าขาดกับสามีแล้ว” ไป๋จิ่นอวี่เอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาคมเพ่งมองน้องสาวด้วยความซับซ้อน

ไป๋อวี่เซวียนกวาดตามองบรรยากาศรอบห้องที่เริ่มหนักอึ้งราวพายุใกล้ตั้งเค้า เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางมองพี่ชายคนโตกับสตรีผู้นั้นสลับกัน ก่อนเอ่ยอย่างเหนื่อยล้า “เรื่องนี้ค่อยพูดคุยกันวันหลังเถิด นางเพิ่งเดินทางมาถึงส่วนพี่ใหญ่เองก็เพิ่งกลับจากตรวจตราสินค้า…ข้าว่าไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ”

สำหรับเขาแล้ว แม้ว่าในอดีตอีกฝ่ายจะเคยทำผิดทว่ายามนี้พอมีปัญหากลับนึกถึง...ครอบครัวควรจะช่วยเหลือกันมิใช่หรือ!?

บรรยากาศเย็นเยียบยังคงอบอวลในห้องไม่คลาย แม้จะมีคำพูดไกล่เกลี่ย แต่ความรู้สึกห่างเหินกลับยิ่งชัดเจนขึ้นจนไป๋ซูหนิงอดกำมือแน่นไม่ได้…

เรื่องนี้นางเข้าใจได้ บุรุษผู้นี้เป็นพี่ใหญ่ของสกุลไป๋ ย่อมต้องแบกรับทั้งความหวังและภาระหน้าที่

ภายหลังมารดาและบิดาจากไป เขายังต้องดูแลกิจการและเป็นเสาหลักของจวน เกรงว่าไม่เด็ดขาดหรือหนักแน่นมากพอก็อาจที่จะจัดการได้

ไป๋เหวินห่าวมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาลุ่มลึก

สายตาคมกริบของไป๋เหวินห่าวจ้องมองสตรีตรงหน้าราวกับคนแปลกหน้า แววตาทั้งเย็นเยียบพอจะกลั่นน้ำแข็งขึ้นกลางอากาศได้ มือใหญ่ทั้งสองกลับกำแน่นจนข้อขาวซีด หัวใจแกร่งปวดหนึบเหมือนถูกบีบแน่นจนหายใจติดขัด

“หย่ากับสกุลเซี่ยแล้วหรือ” เสียงทุ้มกดต่ำ

“เจ้าค่ะ…” ไป๋ซูหนิงพยักหน้ารับ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งสั่นระริก

“หึ!” ไป๋เหวินห่าวแค่นเสียงหัวเราะเย้ยหยัน สายตาคมกริบดุดันฉายแววเฉียดเฉือน

“แล้วเกี่ยวอันใดกับคนสกุลไป๋เล่า”

ถ้อยคำนั้นกระแทกดั่งค้อนหนัก ทุบลงกลางหัวใจของนางอย่างไร้ความปรานี เส้นใยความหวังที่เหลืออยู่ขาดสะบั้นในพริบตา

ไป๋ซูหนิงฝืนยิ้มจางๆ ทว่าเพียงแค่ชั่วอึดใจรอยยิ้มก็ดับวูบ นางเม้มริมฝีปากแน่น มือสั่นเทาเมื่อเห็นแผ่นหลังแกร่งของผู้เป็นพี่หมุนกายเดินจากไปไม่แม้แต่หันกลับมา

“เพ่ย! ประเดี๋ยวก่อนพี่ใหญ่” ไป๋อวี่เซวียนร้องเรียกเสียงดัง พลางลุกขึ้นก้าวตาม ทว่าถูกไป๋จิ่นอวี่ยกมือขวางเอาไว้

เขาส่ายหน้าเบาๆ น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น “เขาเป็นหัวหน้าครอบครัว คำที่เอ่ยออกมาย่อมหมายความเช่นนั้น ต่อให้ชักจูงด้วยเหตุผลนับร้อยก็เปล่าประโยชน์” สายตาของไป๋จิ่นอวี่กปรายมองน้องสาวที่นั่งตัวสั่นเล็กๆ ดวงตาคู่งามแดงเรื่อด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจจนหัวใจเขาเจ็บหนึบ สุดท้ายความอดกลั้นก็พังครืนลง

“แม้นางจะเคยแต่งออกไป แต่เลือดในกายนี้ย่อมยังเป็นคนสกุลไป๋! ไหนจะหลานในครรภ์อีก…พวกท่านจะใจดำทอดทิ้งไปได้อย่างไรกัน!” น้ำเสียงทุ้มของไป๋อวี่เซวี่ยนความเดือดดาล ข่มโทสะเอาไว้ไม่อยู่แม้พยายามจะเย็นชาเพียงใด

บรรยากาศในโถงเงียบงันราวโลกหยุดหมุน เหลือเพียงลมหายใจหนักอึ้งที่ค้างคาในอกของทุกคน

“เหอะ! ไร้น้ำใจเกินไปแล้วกระมัง…ผู้อื่นยังช่วยเหลือแต่กลับกล้าไร้เมตตากับน้องสาวในไส้เช่นนี้” เสียงทุ้มของไป๋อวี่เซวียนพึมพำออกมาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

ไป๋ซูหนิงหันขวับไปมองพี่ชาย นันย์ตาเมล็ดซิ่งฉายแววเจ็บปวด นางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ช่างเถอะเจ้าค่ะ…ถือว่าข้าแวะมาเยี่ยมเยือนก็เท่านั้น”

นางทำใจไว้บ้างแล้ว แต่ความเจ็บปวดกลับแทรกซึมเข้ามาในหัวใจเสมือนมีคมมีดที่แหลมคมทิ่มแทงตลอดเวลา ยามนี้นางพอมีเงินติดตัวอยู่บ้าง เกรงว่าหนทางในวันข้างหน้าคงไม่ถกละบต้องลำบากตรากตรำถึงเพียงนั้นกระมัง

ฝีเท้าของไป๋เหวินห่าวหยุดชะงัก ไป๋เหวินห่าวหันกลับมามองไป๋ซูหนิงราวกับคิดบางอย่างได้ “จวนสกุลเซี่ยที่เจ้าซื่อตรงหนักหนาแต่ยามนี้…เหตุใดถึงได้กล้าทอดทิ้งภรรยาที่รักใคร่สุดหัวใจและเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองกันเล่า”

ไป๋ซูหนิงเม้มริมฝีปากแน่น

ภาพในอดีตย้อนกลับมาฉับพลัน หัวใจของนางบีบรัดแน่นเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว ไป๋ซูหนิงยืนนิ่งหาได้ตอบอันใดออกไปได้

จะให้นางบอกว่าอย่างไร…ชาติที่แล้วนางตายไปแล้วหนหนึ่งเพราะบุรุษผู้นั้นหยิบยื่นความตายให้ และพอได้หวนกลับคืนมาอีกทีจึงคิดได้แล้วอย่างงั้นหรือ!?

เกรงว่า คงไม่พ้นถูกมองด้วยสายตาแปลกประหลาดและถูกกล่าวหาว่าสติฟั่นเฟือนแน่

นางค่อยๆ คุกเข่าลงอย่างระมัดระวัง มือทั้งสองประสานเหนือศีรษะด้วยท่าทางขอความเมตตา น้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา “ที่ผ่านมาเป็นเพราะข้าที่ทำตัวโง่งม กตัญญูต่อบิดามารดาและพี่ชายทุกคนทว่ายามนี้ข้านี่หาไร้ที่พึ่งพิงและไร้ผู้ใดจะพิงพาอีกแล้ว นอกจากพวกท่าน...”

!!!

ไป๋อวี่เซวียนไม่อาจทนมองได้ ก่อนจะรีบปรี่เข้าไปประคองอีกฝ่ายไว้ก่อนที่นางจะทิ้งตัวลงกับพื้น “เพ่ย! เจ้าท้องอยู่ไม่ใช่หรือหากเกิดพลาดล้มขึ้นมาจะทำอย่างไร”

ไป๋จิ่นอวี่เพียงแค่เหลือบสายตามองดู ก่อนจะหันไปกล่าวกับไป๋เหวินห่าวเสียงเรียบ “ดูแล้ว...นางคนไร้ที่ไปจริงๆ เห็นแก่ท่านแม่หน่อยเถอะ เหวินห่าว”

ไป๋เหวินห่าวขมวดคิ้วมุ่น ขมับกระตุกเล็กน้อย พอได้ยินคำของไป๋จิ่นอวี่ ก่อนจะปรายมอง เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง

“เพียงแค่นี้กิจการของจวนสกุลไป๋ก็ล้นมือมากพออยู่แล้ว ข้าหาได้มีเวลามาดูแลหรือสนใจผู้ใด หากไร้ที่ไปก็ไปพักที่โรงเตี๊ยมสกุลไป๋ก่อน หากยังคิดเรื่องมาก ไม่พอใจก็ไปที่อื่นอย่าได้โยนภาระไว้กับข้า”

ไป๋ซูหนิงเพียงกระพริบตาปริบๆ ใบคนหน้างดงามคล้ายจะหม่นหมองลงเล็กน้อย ทว่าหาได้เอ่ยอันใดออกมาไป

ในเมื่อคำกล่าวเมื่อครู่ก็นับว่าเขายอมเห็นใจและมีเมตตาให้ก็มากพอแล้ว สำหรับผูที่ไร้ที่พึ่งพิงเช่นนาง ขอเพียงมีสถานที่ให้ซุกหัวนอน หาทางตั้งหลักต่อไปได้ก็ถือว่ามากนักแล้ว

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เกิดใหม่อีกคราข้าจะพาลูกหนีสามีชั่ว   ๑๙ ช่วยหนึ่งครั้งหวังทั้งชีวิต

    ภายในจวนสกุลไป๋ กลางลานกว้าง คุณหนูไป๋ซูหนิงกำลังสนทนากับนายท่านมู่ เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วดังลอยมากับสายลม เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่แถวนั้นพากันอมยิ้มอย่างอดอิจฉาไม่ได้สายตาของนายท่านมู่ที่ทอดมองคุณหนูอย่างอ่อนโยนและอบอุ่นจนสาวใช้ผู้หนึ่งอดพึมพำไม่ได้ว่า “หากมีบุรุษใดมองข้าด้วยแววตาเช่นนี้ ข้าคงยกแม่สื่อไปสู่ขอเป็นสามีทันที”เพราะมีสตรีใดเล่าที่ไม่อยากถูกรักอย่างถนุถนอมแต่เสี่ยวเถากลับกอดอก หรี่ตามองอย่างไม่วางใจนัก “ข้าว่าเศรษฐีมู่ผู้นี้ ดูจะตกหลุมรักคุณหนูของพวกเราเร็วเกินไปหน่อย”สาวใช้คนนั้นหันขวับมาถาม “แล้วพี่เสี่ยวเถาเคยมีความรักงั้นหรือ…ผู้ใดจะรู้ว่าความรักจะเกิดขึ้นเมื่อใด”แสงแดดยามสายเริ่มแผดร้อน เม็ดเหงื่อเริ่มผุดบนใบหน้าคนงาม มู่เหยียนเจ๋อเห็นแล้วอดไม่ได้จึงยื่นชายแขนเสื้อซับให้แผ่วเบาระมัดระวัง “ขออภัยที่ล่วงเกิน เกรงว่าเหงื่อจะไหลเข้าตา”ไป๋ซูหนิงชะงัก เห็นภาพความอ่อนโยนที่เซี่ยจวิ้นอี้เคยมีต่อนางแวบเข้ามาก่อนจะทับซ้อนด้วยภาพจอกยาพิษและผ้าขาวในวันนั้น หัวใจก็พลันเต้นกระหน่ำจนอกกระเพื่อม“ข้าเป็นพ่อค้าวาณิช ไหนเลยจะพกผ้าเช็ดหน้าติดตัว หากผ้าหยาบบาดผิวจนคุณหนูระคายต้องขออภั

  • เกิดใหม่อีกคราข้าจะพาลูกหนีสามีชั่ว   ๑๘ บุรุษดื้อรั้น

    ไป๋ซูหนิงได้ยินแล้วก็ไม่รู้ว่าควรตกใจเรื่องใดก่อนดี ระหว่างเรื่องที่เศรษฐีมู่ผู้นี้ร่ำรวยเหลือเฟือถึงขั้นใช้จ่ายราวกับเทน้ำเทท่า หรือเรื่องที่เขาซื้อจวนข้างๆ ของสกุลไป๋!?นางเอ่ยเสียงหวาน “ไปกันเถอะ พี่เล็ก…นายท่านมู่เพียงซื้อจวนหลังข้างๆ มิใช่ซื้อถนนเสียหน่อยจะไปไม่ได้อย่างไร”นางยืนอยู่หลังพี่ชาย เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายพยายามหลีกเลี่ยงและตัดขาดไม่ให้นางข้องเกี่ยวกับบุรุษผู้นี้ที่เอาแต่ตามเกี้ยว แต่ในยามนี้นางไม่ได้มีความคิดอยากแต่งงานกับผู้ใด ขอเพียงคลอดลูกในครรภ์ออกมาอย่างปลอดภัยก็มากพอแล้วหัวคิ้วเข้มของไป๋อวี่เซวียนขมวดมุ่น เพ่งมองบุรุษตรงหน้าไม่ลดละ เขาแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอ ไม่อยากขัดใจน้องสาว แต่ก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับบุรุษผู้นี้เช่นกันไป๋อวี่เซวียนหมุนตัวกลับ แล้วคว้าแขนน้องสาวออกจากจวน “อย่าอยู่ห่างจากข้า”ไป๋ซูหนิงกระพริบตาพริบๆ “นายท่านมู่ก็เป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งเท่านั้น” น้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้างามคลี่ยิ้มจางๆ เมื่อเดินผ่านอีกฝ่าย นางเข้าใจดีว่าพี่ชายทั้งหวงและห่วงเกินเรื่องมู่เหยียนเจ๋อมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความขบขัน มุม

  • เกิดใหม่อีกคราข้าจะพาลูกหนีสามีชั่ว   ๑๗ เจ้าของจวนคนใหม่

    ราคาที่ดินในชิงโจวสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะเป็นเมืองติดชายแดนเพราะมีพ่อค้าวาณิชจากต่างแคว้นย้ายมาตั้งถิ่นฐานและทำกิจการมากมาย ยิ่งจวนที่อยู่ใกล้สกุลไป๋แล้ว ราคายิ่งสูงลิ่ว ฟังแล้วชวนให้ปวดหูนัก“หากนายท่านมู่สนใจ ข้าย่อมลดราคาให้พิเศษแน่”นายหน้าขายบ้านเอ่ย ใบหน้าระบายยิ้มกว้างจนรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าปรากฏเด่นชัดเมื่อสามวันก่อน เจ้าของจวนซึ่งทำกิจการในชิงโจวมาหลายปีจนร่ำรวย เห็นว่าจากบ้านมานานจึงคิดย้ายกลับไป หลังจากขนย้ายข้าวของออกก็นำมาฝากเขาขาย พร้อมเอ่ยว่าหากขายได้เร็วจะให้เงินอีกถุงเป็นค่าตอบแทนเพิ่มแต่ไม่ทันได้ป่าวประกาศ จู่ๆ เช้าวันนี้ก็มีคนจากจวนสกุลมู่มาเคาะประตู บอกว่านายท่านมู่สนใจจะซื้อจวน!นี่ไม่ใช่ตกถังข้าวสารแล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก?เศรษฐีมู่ผู้นี้มีผู้ใดไม่รู้จัก! ไม่ว่าจะเป็นที่ดินว่างเปล่าทั้งหมดในชิงโจวก็มักเป็นของสกุลมู่ทุกตารางนิ้วกระมัง เกรงว่า ทรัพย์สินเงินทองที่มีต่อให้ตายแล้วฟื้นมาใช้อีกสิบรอบก็ไม่พร่องลงสักนิดนับวันกิจการของสกุลมู่ก็ยิ่งขยายไปทั่วทั้งใต้หล้า กอบโกยกำไรจนแทบปิดปากถุงเงินไม่มิด คิดแล้วก็น่าเสียดาย เขาน่าจะรีบหาบุตรสาวเพิ่มสักคน เผื่อวันหน้าโชคห

  • เกิดใหม่อีกคราข้าจะพาลูกหนีสามีชั่ว   ๑๖ เยื่อใยที่ยังเหลืออยู่

    เซี่ยจวิ้นอี้ไม่ได้เชื่อข่าวลือเหล่านั้นเต็มอก ทว่าเขากลับเห็นความสนิทสนมของทั้งคู่เกินเลยจนแทบไม่อาจเรียกว่าได้เป็นความบังเอิญถึงหลายครั้งหลายคราทว่าไป๋ซูหนิงที่เขารู้จักนั้น…นางไร้เดียงสายิ่งนัก เกรงว่าคงไม่มีทางคิดเรื่องบุรุษอื่นใดในหัวนอกจากเขาเท่านั้นเซี่ยจวิ้นอี้ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง พลางถอนหายใจหนักอึ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งบรรยากาศยามดึกสงัดเท่าไร ใจเขาก็ยิ่งปั่นป่วนจนไม่อาจสงบลงได้ ความคิดมากมายที่ไร้คำตอบแล่นเข้ามาในหัว จนหนังตากระตุก รู้สึกถึงความตึงเครียดที่กดทับขมับเต้นตุบๆ อย่างหนักหน่วงเพราะเหตุใดกัน เขาจึงรู้สึกคับแคลงใจสงสัยในตัวนาง และไม่ไว้วางใจ ทั้งที่รู้จักนิสัยใจคอนางดีกว่าผู้ใด“ท่านพี่นอนไม่หลับหรือเจ้าคะ”น้ำเสียงงัวเงียดังขึ้นที่หน้าประตู เซี่ยจวิ้นอี้ปรายสายตาไปมอง เห็นภรรยาอีกคนในชุดนอนผืนบาง ยืนเกาะขอบประตูกึ่งหลับกึ่งตื่น จึงหลุดหัวเราะอย่างเอ็นดู มุมปากหนาโค้งยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ ก่อนลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเซี่ยจวิ้นอี้หยุดตรงหน้าเหม่ยจินฮวา สายตาคมกริบทอดมองอีกฝ่าย ก่อนยกมือขึ้นลูบเรือนผมอย่างอ

  • เกิดใหม่อีกคราข้าจะพาลูกหนีสามีชั่ว   ๑๕ สัมพันธ์ที่ไม่อยากสานต่อ

    “รังเกียจจนไม่อยากรับของจากสกุลมู่ของข้าเลยหรือ?”น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นอย่างชัดเจน เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างสะดุ้งรีบแหวกทางให้เศรษฐีมู่ พวกนางก้มหน้าหลุบสายตาลง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองอย่างหวาดหวั่น ราวกับกลั้นลมหายใจไปชั่วขณะใบหน้าของมู่เหยียนเจ๋อเผยรอยยิ้มจางๆ เจือความผิดหวังเล็กน้อย มุมปากหยักยกขึ้น สายตาคมกริบประสานกับพี่ใหญ่จวนสกุลไป๋อย่างตรงไปตรงมา หัวคิ้วเข้มเลิกขึ้นเชิงถาม “ข้าไปทำอันใดให้คุณชายไป๋ไม่พอใจหรือ ถึงได้แสดงท่าทีรังเกียจราวกับโกรธเคือง ไม่อยากพบหน้าข้าแม้แต่ครั้งเดียว”แม้จะรู้คำตอบในใจดี แต่มู่เหยียนเจ๋อก็อดไม่ได้ที่จะยั่วยวนโทสะอีกฝ่ายนับตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นที่ท่าเรือ จวนสกุลไป๋มีสินค้าต้องส่งไปต่างแคว้น แต่กลับบังเอิญมีคนจากวังหลวงมาตรวจตรา ทำให้ล่าช้าไปหนึ่งวันทว่ามู่เหยียนเจ๋อมีของสำคัญที่ต้องส่งออกด่วนอย่างไรก็ไม่สามารถล้าช้าถึงนำของสกุลไป๋ออกแล้วนำของเขาส่งไปแทนเพราะอย่างไรเสีย เขาคิดว่าของของสกุลไป๋ก็ได้ล่าช้าแล้ว ดังนั้น พรุ่งนี้ค่อยนำสินค้าเก่าออกไปกับของใหม่พร้อมกันได้กระมัง แต

  • เกิดใหม่อีกคราข้าจะพาลูกหนีสามีชั่ว   ๑๔ สหายหรือศัตรู

    ตั้งแต่วันที่เซี่ยจวิ้นอี้บุกไปจวนเว่ยอ๋อง ท่าทางโกรธเกรี้ยว ฟาดงวงฟาดงาใส่ผู้อื่นไปทั่ว เว่ยจิ้นหลานก็ไม่ได้เห็นหน้าเห็นตาอีกฝ่ายอีกเลย และเมื่อให้คนไปสืบความที่สกุลเซี่ยกลับพบว่า สตรีผู้นั้นหายตัวไปจริงๆทว่าที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือข่าวลือระหว่างเขากับสตรีผู้นั้น ที่ไม่ว่าผู้ใดต่างก็กล่าวว่าลอบคบชู้ สวมหมวกเขียวให้เซี่ยจวิ้นอี้!บัดซบเถอะ! นางเป็นภรรยาของสหาย ส่วนเขาก็เป็นสหายของอีกฝ่ายย่อมไม่คิดที่จะลอบลักกินหลังจวนผู้ใด!ใครกันช่างกล้าปล่อยข่าวลืออัปมงคลเช่นนี้?เว่ยจิ้นหลานทำใจยอมรับได้ยาก ทั้งโกรธเคืองไม่น้อย และเกรงว่าความสัมพันธ์สหายระหว่างเขากับเซี่ยจวิ้นอี้ก็คงขาดสะบั้น เพราะข่าวลือไร้ที่มานี้กระมัง!ตอนนั้นเว่ยจิ้นหลานติดธุระในวังหลวง มีงานให้ต้องจัดการสะสางจนล้นมือ ยากจะปลีกตัวได้จนเวลาผ่านไปครึ่งเดือนเต็ม!ไม่นึกเลยว่ายิ่งเขาหายไป ข่าวลือกลับยิ่งตอกย้ำหนักขึ้นรถม้าของเว่ยอ๋องจอดแน่นิ่งอยู่หน้าประตูจวนสกุลเซี่ยเว่ยจิ้นหลานเดินลงจากม้าอย่างหนักอึ้ง ไม่นานก็ถูกเชิญเข้าไปในจวน อย่างไรเสียก็ต้องคุยและแก้ข่าวลือนั้นให้ชัดเจนเขาบริสุทธิ์ใจ หาได้คิดไม่ซื่อกับภรรยาของสหายไม่!

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status