LOGINบรรยากาศในห้องโถงของจวนสกุลไป๋เงียบสงัดจนได้ยินแม้แต่เสียงของสายลมพัดลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ทั้งไป๋จิ่นอวี่และไป๋อวี่เซวียนต่างยืนกอดอก จ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาขุ่นเคืองซ่อนอารมณ์ หัวคิ้วเข้มของทั้งคู่ขมวดแน่น ความอึดอัดลอยอวลในอากาศราวกับม่านหมอกควันหนาแน่น
ไป๋ซูหนิงยกจอกน้ำชาขึ้นแนบริมฝีปาก แม้จะพยายามเก็บอาการแต่ความตื่นประหม่าในแววตากลับปิดไม่มิด หัวใจดวงน้อยสั่นสะท้านครั้งแล้วครั้งเล่า ริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา ฟังดูคล้ายกำลังพึมพำกับตนเองมากกว่าจะพูดกับให้ใครได้ยิน “หากการกลับมาของข้าก่อให้ท่านพี่รู้สึกไม่พอใจ เช่นนั้น ข้าก็ไม่กล้าคิดจะรั้งอยู่ที่นี่นานนัก เพียงแต่…ขอพักพิงสักสองสามวันได้หรือไม่เจ้าคะ” แม้จะเป็นพี่น้องร่วมท้องมารดาแต่เพราะความห่างเหินตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความสนิทสนมระหว่างนางกับพี่ชายแทบไม่หลงเหลืออยู่เลยสักนิด ทุกถ้อยคำที่เอ่ยจึงเต็มไปด้วยความเกรงใจและขมขื่น ไป๋จิ่นอวี่เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนหัวเราะเยาะในลำคออย่างเย็นเยียบ น้ำเสียงทุ้มราบเรียบเอื้อนเอ่ยโดยไร้ความอ่อนโยน “สตรีม่ายแถมยังตั้งครรภ์…หากอยู่ที่นี่จะทำอันใดได้เล่า” พอสิ้นคำพูดนั้น ความเงียบพลันแผ่ปกคลุมทั่วทั้งห้องอีกครั้งทันที ดวงตาของไป๋ซูหนิงเบิกกว้างด้วยคสามแปลกใจ พร้อมกับสายตาคมกริบของไป๋อวี่เซวียนก็หันขวับไปมองพี่ชายคนรองคล้ายไม่อยากเชื่อหูตนเอง “หมายความว่าอย่างไรพี่รอง!” ไป๋อวี่เซวียนถาม “ท่านพี่…รู้ได้อย่างไรกันรึ” น้ำเสียงของไป๋ซูหนิงสั่นเครือ เผยความตกตื่นตระหนกอย่างไม่อาจปิดบังได้ เรื่องนี้ต่อให้เป็นชาติก่อน ก็มีเพียงนางและหมอชราเท่านั้นที่ล่วงรู้ ดังนั้น ความลับนี้ผู้อื่นย่อมไม่มีทางรู้แน่! ไป๋อวี่เซวียนขมวดคิ้ว มองน้องสาวด้วยแววตาซับซ้อน “เจ้าท้องจริงหรือ!” น้ำเสียงทุ้มแฝงความตกใจและไม่เชื่อเต็มที่ สายตาคมกริบกวาดมองครรภ์แบนราบที่ถูกอาภรณ์สีหวานบดบัง มองเพียงผิวเผินก็แทบไม่เห็นเค้าลางของสตรีตั้งครรภ์… เขาหันไปจ้องหน้าไป๋จิ่นอวี่ทันที “เจ้ารู้ได้อย่างไร หรือว่า…เคยทำผู้ใดท้องมาก่อน ถึงได้ดาดเดาแม่นยำเช่นนี้” ไป๋จิ่นอวี่เพียงฮึดฮัดใส่น้องชาย ดวงตาคมกริบหันกลับไปจ้องไป๋ซูหนิงอย่างไม่วางตา เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างสูงใหญ่ทอดเงาทาบลงบนพื้น “เจ้าจะอยู่ที่นี่ได้หรือไม่ หาใช่เรื่องที่ข้าตัดสินใจได้เพียงผู้เดียว” น้ำเสียงทุ้มราบเรียบ ทว่าหนักแน่นจนคนฟังใจหาย “อย่างไร เรื่องนี้ต้องรอฟังความเห็นของพี่ใหญ่เสียก่อน” ความห่างเหินที่กั้นกลางระหว่างพี่น้องตลอดหลายปี ยามนี้ยิ่งเผยชัดยิ่งกว่าที่นางคาดคิดนัก พอได้ยินถ้อยคำเอื้อนเอ่ยถึงพี่ใหญ่นั้น ไป๋ซูหนิงก็คล้ายจะเข้าใจทันทีว่าในจวนสกุลไป๋ ไม่ว่าเรื่องสำคัญใดล้วนแล้วแต่ต้องผ่านการตัดสินใจของพี่ชายคนโตเสียก่อน เกรงว่า...ตอนที่ยังอยู่ มารดาและบิดาล้วนฝากความไว้วางใจไว้กับเขาเป็นที่สุดกระมัง ใบหน้าคนงามยกยิ้มจางๆ ทว่ามือทั้งสองข้างกลับกำแน่น หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่นราวกับมีม่านหมอกหนาทึบเกาะกุมความคิด ไป๋ซูหนิงรู้ดีว่านางกลับมาครั้งนี้ หาใช่เรื่องยินดีที่จวนสกุลไป๋จะเปิดประตูต้อนรับด้วยอ้อมแขนกว้างได้ง่ายๆ เช่นนั้นอีกแล้ว ท้ายที่สุด นางก็ต้องหาหนทางเอาชีวิตรอดเองและปกป้องบุตรในครรภ์ให้จงได้ ไม่ว่าจะต้องลำบากเพียงใดหรือต่อให้เหลือเพียงลมหายใจเฮือกเดียว นางก็ไม่มีทางยอมหันหลังกลับไปเหยียบจวนสกุลเซี่ยขอความช่วยเหลือจากบุรุษผู้นั้นอีกเด็ดขาด! “เหอะ! พี่ใหญ่น่ะหรือ…” น้ำเสียงเย้ยหยันของไป๋อวี่เซวียนดังขึ้น มุมปากโค้งยกขึ้นอย่างเยาะเย้ยเล็กน้อย ดวงตาคมหันมามองน้องสาว “เกรงว่าแม้แต่ตอนยกน้ำชายามเช้า เขายังไม่เอ่ยปากทักเจ้าสักครึ่งคำด้วยซ้ำ” ยังไม่ทันที่บรรยากาศขุ่มัวจะคลายลง น้ำเสียงทุ้มเข้มดังขึ้นจากหน้าห้องโถง เย็นเยียบดุจคมมีดบาดลึกในอก “คุณหนูจากบ้านใดมาหรือ” ร่างสูงใหญ่ของไป๋เหวินห่าวปรากฏขึ้นที่ธรณีประตู ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่ง ข่มอารมณ์แข็งกร้าวไว้อย่างชัดเจน ดวงตาคมกริบฉายแววไม่เป็นมิตร กลิ่นอายกดดันราวพายุโหมกระหน่ำเข้ามาในทันที “พี่ใหญ่…” น้ำเสียงหวานสั่นเครือของไป๋ซูหนิงหลุดลอดออกมาโดยไม่รู้ตัว นางรีบลุกขึ้นวางจอกน้ำชา ยอบกายคารวะอย่างนอบน้อม สายตาคมกริบของไป๋เหวินห่าวกวาดมองน้องชายทั้งสอง ก่อนจะหยุดลงที่สตรีตรงหน้า ความคุ้นเคยบางอย่างวาบขึ้นมาทันทีทว่าเพียงชั่วอึดใหญ่ใจ เขากลับแค่นเสียงเย็นเยียบออกมาแทน “เหอะ! นี่มิใช่วันครบรอบวันตายของผู้ใด เหตุใดฮูหยินถึงกลับมาที่นี่” น้ำเสียงทุ้มคมชัดราวคมดาบ ฟาดฟันลงมาอย่างเย็นชาและตรงไปตรงมาราวกับหาไม่มีเรื่องอันใดก็ไม่พต้องการพบหน้า ไป๋ซูหนิงเม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตาเมล็ดซิ่งสั่นระริกวูบไหวด้วยความหวาดหวั่น ยามนี้ต่อให้ต้องพูดอธิบายอันใดออก นางก็รู้ว่าทุกสิ่งที่เคยทำไว้ในอดีตคงไม่อาจหลบล้างทำให้อีกฝ่ายเอ็นดูหรือรู้สึกเห็นในจนยอมยื่นมือมาช่วยเหลือแล ครั้งหนึ่ง…นางเคยเป็นน้องสาวที่พี่ชายทั้งสามถนุถนอมราวไข่ในหิน ทว่ากาลเวลาผันผ่าน ความห่างเหินก่อกำแพงสูง จนบัดนี้นางและอีกฝ่ายห่างเหินไม่ต่างจากคนแปลกหน้าที่รู้จักกันดี… “นางหย่าขาดกับสามีแล้ว” ไป๋จิ่นอวี่เอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาคมเพ่งมองน้องสาวด้วยความซับซ้อน ไป๋อวี่เซวียนกวาดตามองบรรยากาศรอบห้องที่เริ่มหนักอึ้งราวพายุใกล้ตั้งเค้า เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางมองพี่ชายคนโตกับสตรีผู้นั้นสลับกัน ก่อนเอ่ยอย่างเหนื่อยล้า “เรื่องนี้ค่อยพูดคุยกันวันหลังเถิด นางเพิ่งเดินทางมาถึงส่วนพี่ใหญ่เองก็เพิ่งกลับจากตรวจตราสินค้า…ข้าว่าไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ” สำหรับเขาแล้ว แม้ว่าในอดีตอีกฝ่ายจะเคยทำผิดทว่ายามนี้พอมีปัญหากลับนึกถึง...ครอบครัวควรจะช่วยเหลือกันมิใช่หรือ!? บรรยากาศเย็นเยียบยังคงอบอวลในห้องไม่คลาย แม้จะมีคำพูดไกล่เกลี่ย แต่ความรู้สึกห่างเหินกลับยิ่งชัดเจนขึ้นจนไป๋ซูหนิงอดกำมือแน่นไม่ได้… เรื่องนี้นางเข้าใจได้ บุรุษผู้นี้เป็นพี่ใหญ่ของสกุลไป๋ ย่อมต้องแบกรับทั้งความหวังและภาระหน้าที่ ภายหลังมารดาและบิดาจากไป เขายังต้องดูแลกิจการและเป็นเสาหลักของจวน เกรงว่าไม่เด็ดขาดหรือหนักแน่นมากพอก็อาจที่จะจัดการได้ ไป๋เหวินห่าวมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาลุ่มลึก สายตาคมกริบของไป๋เหวินห่าวจ้องมองสตรีตรงหน้าราวกับคนแปลกหน้า แววตาทั้งเย็นเยียบพอจะกลั่นน้ำแข็งขึ้นกลางอากาศได้ มือใหญ่ทั้งสองกลับกำแน่นจนข้อขาวซีด หัวใจแกร่งปวดหนึบเหมือนถูกบีบแน่นจนหายใจติดขัด “หย่ากับสกุลเซี่ยแล้วหรือ” เสียงทุ้มกดต่ำ “เจ้าค่ะ…” ไป๋ซูหนิงพยักหน้ารับ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งสั่นระริก “หึ!” ไป๋เหวินห่าวแค่นเสียงหัวเราะเย้ยหยัน สายตาคมกริบดุดันฉายแววเฉียดเฉือน “แล้วเกี่ยวอันใดกับคนสกุลไป๋เล่า” ถ้อยคำนั้นกระแทกดั่งค้อนหนัก ทุบลงกลางหัวใจของนางอย่างไร้ความปรานี เส้นใยความหวังที่เหลืออยู่ขาดสะบั้นในพริบตา ไป๋ซูหนิงฝืนยิ้มจางๆ ทว่าเพียงแค่ชั่วอึดใจรอยยิ้มก็ดับวูบ นางเม้มริมฝีปากแน่น มือสั่นเทาเมื่อเห็นแผ่นหลังแกร่งของผู้เป็นพี่หมุนกายเดินจากไปไม่แม้แต่หันกลับมา “เพ่ย! ประเดี๋ยวก่อนพี่ใหญ่” ไป๋อวี่เซวียนร้องเรียกเสียงดัง พลางลุกขึ้นก้าวตาม ทว่าถูกไป๋จิ่นอวี่ยกมือขวางเอาไว้ เขาส่ายหน้าเบาๆ น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น “เขาเป็นหัวหน้าครอบครัว คำที่เอ่ยออกมาย่อมหมายความเช่นนั้น ต่อให้ชักจูงด้วยเหตุผลนับร้อยก็เปล่าประโยชน์” สายตาของไป๋จิ่นอวี่กปรายมองน้องสาวที่นั่งตัวสั่นเล็กๆ ดวงตาคู่งามแดงเรื่อด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจจนหัวใจเขาเจ็บหนึบ สุดท้ายความอดกลั้นก็พังครืนลง “แม้นางจะเคยแต่งออกไป แต่เลือดในกายนี้ย่อมยังเป็นคนสกุลไป๋! ไหนจะหลานในครรภ์อีก…พวกท่านจะใจดำทอดทิ้งไปได้อย่างไรกัน!” น้ำเสียงทุ้มของไป๋อวี่เซวี่ยนความเดือดดาล ข่มโทสะเอาไว้ไม่อยู่แม้พยายามจะเย็นชาเพียงใด บรรยากาศในโถงเงียบงันราวโลกหยุดหมุน เหลือเพียงลมหายใจหนักอึ้งที่ค้างคาในอกของทุกคน “เหอะ! ไร้น้ำใจเกินไปแล้วกระมัง…ผู้อื่นยังช่วยเหลือแต่กลับกล้าไร้เมตตากับน้องสาวในไส้เช่นนี้” เสียงทุ้มของไป๋อวี่เซวียนพึมพำออกมาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ไป๋ซูหนิงหันขวับไปมองพี่ชาย นันย์ตาเมล็ดซิ่งฉายแววเจ็บปวด นางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ช่างเถอะเจ้าค่ะ…ถือว่าข้าแวะมาเยี่ยมเยือนก็เท่านั้น” นางทำใจไว้บ้างแล้ว แต่ความเจ็บปวดกลับแทรกซึมเข้ามาในหัวใจเสมือนมีคมมีดที่แหลมคมทิ่มแทงตลอดเวลา ยามนี้นางพอมีเงินติดตัวอยู่บ้าง เกรงว่าหนทางในวันข้างหน้าคงไม่ถกละบต้องลำบากตรากตรำถึงเพียงนั้นกระมัง ฝีเท้าของไป๋เหวินห่าวหยุดชะงัก ไป๋เหวินห่าวหันกลับมามองไป๋ซูหนิงราวกับคิดบางอย่างได้ “จวนสกุลเซี่ยที่เจ้าซื่อตรงหนักหนาแต่ยามนี้…เหตุใดถึงได้กล้าทอดทิ้งภรรยาที่รักใคร่สุดหัวใจและเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองกันเล่า” ไป๋ซูหนิงเม้มริมฝีปากแน่น ภาพในอดีตย้อนกลับมาฉับพลัน หัวใจของนางบีบรัดแน่นเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว ไป๋ซูหนิงยืนนิ่งหาได้ตอบอันใดออกไปได้ จะให้นางบอกว่าอย่างไร…ชาติที่แล้วนางตายไปแล้วหนหนึ่งเพราะบุรุษผู้นั้นหยิบยื่นความตายให้ และพอได้หวนกลับคืนมาอีกทีจึงคิดได้แล้วอย่างงั้นหรือ!? เกรงว่า คงไม่พ้นถูกมองด้วยสายตาแปลกประหลาดและถูกกล่าวหาว่าสติฟั่นเฟือนแน่ นางค่อยๆ คุกเข่าลงอย่างระมัดระวัง มือทั้งสองประสานเหนือศีรษะด้วยท่าทางขอความเมตตา น้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา “ที่ผ่านมาเป็นเพราะข้าที่ทำตัวโง่งม กตัญญูต่อบิดามารดาและพี่ชายทุกคนทว่ายามนี้ข้านี่หาไร้ที่พึ่งพิงและไร้ผู้ใดจะพิงพาอีกแล้ว นอกจากพวกท่าน...” !!! ไป๋อวี่เซวียนไม่อาจทนมองได้ ก่อนจะรีบปรี่เข้าไปประคองอีกฝ่ายไว้ก่อนที่นางจะทิ้งตัวลงกับพื้น “เพ่ย! เจ้าท้องอยู่ไม่ใช่หรือหากเกิดพลาดล้มขึ้นมาจะทำอย่างไร” ไป๋จิ่นอวี่เพียงแค่เหลือบสายตามองดู ก่อนจะหันไปกล่าวกับไป๋เหวินห่าวเสียงเรียบ “ดูแล้ว...นางคนไร้ที่ไปจริงๆ เห็นแก่ท่านแม่หน่อยเถอะ เหวินห่าว” ไป๋เหวินห่าวขมวดคิ้วมุ่น ขมับกระตุกเล็กน้อย พอได้ยินคำของไป๋จิ่นอวี่ ก่อนจะปรายมอง เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง “เพียงแค่นี้กิจการของจวนสกุลไป๋ก็ล้นมือมากพออยู่แล้ว ข้าหาได้มีเวลามาดูแลหรือสนใจผู้ใด หากไร้ที่ไปก็ไปพักที่โรงเตี๊ยมสกุลไป๋ก่อน หากยังคิดเรื่องมาก ไม่พอใจก็ไปที่อื่นอย่าได้โยนภาระไว้กับข้า” ไป๋ซูหนิงเพียงกระพริบตาปริบๆ ใบคนหน้างดงามคล้ายจะหม่นหมองลงเล็กน้อย ทว่าหาได้เอ่ยอันใดออกมาไป ในเมื่อคำกล่าวเมื่อครู่ก็นับว่าเขายอมเห็นใจและมีเมตตาให้ก็มากพอแล้ว สำหรับผูที่ไร้ที่พึ่งพิงเช่นนาง ขอเพียงมีสถานที่ให้ซุกหัวนอน หาทางตั้งหลักต่อไปได้ก็ถือว่ามากนักแล้วหลายเดือนผ่านไปจวนสกุลไป๋เผชิญเรื่องราวมากมายจนหาความสงบไม่ได้ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างเริ่มราบรื่น ไม่มีอุปสรรคใดกีดขวางและแม้กิจการของสกุลไป๋จะมีเศรษฐีมู่คอยจัดการให้ ทุกอย่างราบรื่นจนแทบไม่น่าเชื่อ ยิ่งกว่านั้น ครรภ์ของคุณหนูก็ล่วงเลยมาถึงเดือนสุดท้ายก่อนคลอด สุขภาพทั้งมารดาและบุตรก็แข็งแรงสมบูรณ์หากเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว ไม่มีผู้ใดไม่ตื่นเต้นรอคอยวันที่จะได้พบเด็กน้อยผู้นั้น คุณชายไป๋ทั้งสามต่างก็หลงหลานกันไม่ต่างกัน และนายท่านมู่ก็ไม่แพ้กัน ถึงขั้นอยากย้ายข้าวของเข้ามาอยู่ในจวนสกุลไป๋เพื่อดูแลคุณหนูอย่างใกล้ชิด แต่ถูกคุณชายทั้งสามห้ามไว้เสียก่อนแม้คุณหนูไป๋กับเศรษฐีมู่จะยังไม่ได้แต่งงานร่วมกราบไหว้ฟ้าดินกันแต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เป็นที่รู้กันในชิงโจวว่างานมงคลครั้งใหญ่กำลังจะมาถึงในไม่ช้าแน่!ไป๋ซูหนิงนอนเอนกายริมสระบัว สายลมพัดผ่านทำให้รู้สึกเย็นสบาย เคลิบเคลิ้มเกือบจะหลับไปหลายครั้งนัยน์ตาคู่สวยหนักอึ้ง ปรือขึ้นอย่างยากลำบาก จริงๆ แล้ว นางก็ไม่ได้ทำอะไรทั้งวัน นอกจากนอนและกินเกือบทั้งวัน“อาเหยียน…” เสี
น้ำเสียงหวานแฝงความน้อยเนื้อต่ำใจ หากแต่เจือไปด้วยความโกรธลึกอย่างถึงที่สุด ภายในใจของนางก็เดือดดาลไม่แพ้กัน มือทั้งสองข้างกำจนข้อนิ้วขาวซีด ลมหายใจหอบถี่ เนื้อตัวสั่นทึ่มนัยน์ตาเมล็ดซิ่งสบเข้ากับดวงตาคมกริบของบุรุษตรงหน้า หาได้กระพริบตาหรือหลบสายตาเลยแม้แต่น้อยมู่เหยียนเจ๋อรู้สึกปวดใจจริงๆ ไหนเลยยามนี้นางจะยังท้องอยู่อีก เขาเดินเข้าไปใกล้ก่อนเอ่ยแผ่วเบาเจือด้วยความอ่อนโยน“หากยุ่งยากนักก็ปล่อยให้ข้าปล่อยให้พี่ชายของเจ้าและข้าจัดการเรื่องนี้เถอะ” เขาไม่อยากเห็นนางโกรธ หรือต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าได้บังอาจทำให้อารมณ์ของนางต้องขุ่นเคืองและมัวหมองเด็ดขาด!“อือ! พวกเจ้าพานางเข้าไปในจวนเถอะ” ไป๋อวี่เซวียนเห็นด้วย เขาออกคำสั่งกับสาวใช้ที่ยืนมองอยู่ อย่างรวบรัด หาได้ให้อีกฝ่ายเอ่ยปฏิเสธจัดการเอง มองดูแล้วคนสกุลเซี่ยผู้นี้ไม่มีทางยอมจากไปโดยง่ายแน่!เกรงว่าคงจะได้โดนเขาตีก่อนจริงๆ ถึงจะหลาบจำมู่เหยียนเจ๋อว่ามือลงบนหน้าท้องของนางอย่างแผ่วเบาสัมผัสแรกพลันทำให้หัวใจแกร่งกระตุกวูบ แผ่ซ่านไปด้วยความรู้สึกอยากจะกางแขนใช้ทั้งชีวิตปกป้อง สายตาคมกริบช้อนสบกับสตรีตรงหน้า “ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่
นึกไม่ถึงเลยว่านางจะปล่อยให้แมวกินปลาย่างได้!เหม่ยจินฮวาหาได้คุ้นเคยกับสถานที่และผู้คนที่นี่ ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางใด ล้วนเจอสายตาแปลกประหลาดจับจ้อง นางเดินออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็เปลี่ยนใจหันหลังกลับเข้าโรงเตี๊ยมทันทีทว่าเมื่อก้าวเข้าห้อง สิ่งที่เห็นกลับทำให้นางชะงัก เมื่อสามีที่สมควรจะนอนแผ่อยู่บนเตียงกลับหายตัวไปเหลือเพียงไออุ่นจางๆ บนฟูกเป็นหลักฐานว่ามีเคยคนอยู่ตรงนี้เมื่อไม่นานก่อนเพียงชั่วขณะนั้น ความอดทนที่อดกลั้นมาหลายวันพลันพลุ่งพล่านแตกกระจาย ราวกับหม้อต้มเดือดจัดจนฝาปิดกระเด็น เสียงกรีดร้องโกรธเกรี้ยวหลุดจากปาก ดวงตาคู่งามแดงก่ำ เส้นเอ็นบนขมับเต้นตุบๆ อย่างเด่นชัด มือกำแน่นจนข้อนิ้วขาวซีดเสียงแหลมปรี๊ดของนางดังลั่น ข้าวของบางชิ้นแตกกระจาย บางชิ้นหล่นกระแทกพื้นดังสนั่น ความโกรธเกรี้ยวของเหม่ยจินฮวาทำเอาห้องข้างเคียง ห้องตรงข้ามรวมถึงชั้นบนชั้นล่าง ต่างพากันได้ยินและรีบแห่มาดูอย่างตื่นตระหนก ทว่านางหาได้สนใจไม่แต่กลับตะโกนเรียกหาเจ้าของโรงเตี๊ยมแทน โดยไม่สนใจเสียงด่าทอหรือสายตาสาปส่งของผู้คนแม้แต่น้อยเหม่ยจินฮวาถามกับผู้ดูแลโรงเตี๊ยมอยู่สองสามประโยคก็ได้ความว่า ตอนนี้เขา
กว่าจะเดินทางมาถึงชิงโจวก็ใช้เวลาหลายวัน แล้วยิ่งห่างภรรยาเกือบสองเดือน เซี่ยจวิ้นอี้ยิ่งไม่อาจข่มตาหลับได้ทั้งที่ร่างกายจะเหนื่อยล้าเพียงใดก็ตามเซี่ยจวิ้นอี้ออกจากโรงเตี๊ยม สายตาคมกริบกวาดมองถนนยามสายที่หาได้คึกคักเหมือนวันแรกที่มาถึง และยอมรับตามตรงว่า เขาไม่รู้แม้แต่ว่าควรเริ่มตามหาภรรยาจากที่ใดโรงเตี๊ยมที่พักอยู่เป็นกิจการของสกุลไป๋ แซ่เดียวกับภรรยา เมื่อซักถามอยู่พักใหญ่จึงได้ความว่า ในชิงโจวมีเพียงสกุลไป๋ตระกูลเดียว ทว่ามีเพียงบุตรชายสามคน หาได้มีสตรีตามที่เขาตามหาเพียงเท่านี้ก็พอให้เขามั่นใจได้แล้ว เขาจำได้ว่าไป๋ซูหนิงเคยเล่าเรื่องพี่ชายทั้งสามให้ฟัง เพียงแต่ตอนนั้นเขาอาจมัววุ่นอยู่กับงาน จึงไม่ได้ใส่ใจนัก ใครจะคิดเล่าว่าวันหนึ่งนางจะหนีจากจวนไปเช่นนี้ จนต้องการมาตามหาเซี่ยจวิ้นอี้เดินตามทางที่ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมแนะนำ อย่างน้อยก็ยังมีความหวัง สายตาคมสอดส่องไปทั่ว ไม่แน่ว่าจะบังเอิญอาจได้พบนางระหว่างทางก็ได้ทว่ากลับผิดคาด…ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาคมคาย รูปร่างสูงกำยำ อาภรณ์ที่สวมใส่สะอาดสะอ้านและกลิ่นอายของขุนนาง ทำให้ระหว่างทางไม่ว่าผู้ใดต่างก็อดเหลียวมองไม่ได้ ราวกับถูกสะกดจนยา
ไป๋ซูหนิงไม่รู้ว่าเมื่อวานพี่ชายทั้งสามของนางพูดอะไรกับนายท่านมู่บ้าง เหตุใดเช้าวันถัดมาจึงส่งรถม้าสกุลมู่มารับนางถึงที่จวนโดยไม่มีผู้ใดเอ่ยปากห้ามหรือแสดงท่าทีขุ่นเคืองไม่พอใจออกมาทางสีหน้า เพียงแค่กล่าวว่า เห็นนางอุดอู้เอาแต่อยู่ในจวนหลายวัน สมควรออกไปเดินเล่นผ่อนคลายบ้างไป๋ซูหนิงเพียงพยักหน้าหงึกๆ ออกมาอย่างว่าง่ายจวนสกุลไป๋อยู่ไม่ห่างจากตลาดนัก ทว่าตลอดทางนางเอาแต่นั่งเงียบ เก็บเงื่อนงำความสงสัยไว้ในใจ ไม่เอ่ยถามสักคำ เพียงทอดสายตามองเขาอย่างไม่วางใจจนกระทั่งเสียงล้อรถม้าหยุดลง“หากคุณหนูไป๋เปลี่ยนใจ ไม่อยากลงเดินแล้ว แต่อยากจะนั่งจ้องข้าเช่นนี้ ก็กลับดีกว่าหรือไม่ ข้าจะนั่งให้มองจนกว่าจะเบื่อ”มู่เหยียนเจ๋อรู้สึกได้ว่านางจ้องเขามาตลอดทาง ทั้งที่สงสัยมากแต่กลับนิ่งเงียบ เขาหันมาสบตากับนัยน์ตาเมล็ดซิ่งพอดีไป๋ซูหนิงชะงัก ก่อนเรียกสติกลับมา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกระพริบปริบๆ อย่างเก้อเขิน ริมฝีปากบางเม้มแน่น “วันนั้น…พี่ชายข้าพูดอะไรกับนายท่านมู่กันแน่”นางถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อมมู่เหยียนเจ๋อลงจากรถม้า แล้วยื่นมือประคองนางลงอย่างระมัดระวัง สายตาคมเฝ้ามองทุกฝีเท้าราวกับกลัวว่าจะพลาดแล้วคว้
ครั้งนี้ แม้จะไม่ได้พูดคุยกันสองคน ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่จับจ้องอยู่คุณชายไป๋ทั้งสามไม่เปิดโอกาสให้เศรษฐีมู่ผู้นี้ได้พูดคุยกับคุณหนูอย่างสงบแต่กลับชักชวนอีกฝ่ายมาดวลหมากด้วยกันเสียอย่างนั้น ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะให้ดื่มน้ำชาเพียงจอกเดียว แล้วไล่ออกไปจากจวนทันที ทว่าด้วยความตั้งแง่ จึงอยากข่มขู่หยั่งเชิงเพียงชั่วพริบตา บรรยากาศในจวนกลับคุกรุ่น เต็มไปด้วยกลิ่นอายกดดันปกคลุมทั่วบริเวณสาวใช้ที่อยู่แถวนั้นพลันรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ราวนั่งอยู่ตรงหน้ากระดานหมากเสียเอง ไม่ว่าจะสายตาจริงจัง สีหน้าเคร่งขรึมของคุณชายทั้งสามที่จ้องเขม็งนายท่านมู่ พลางทำให้พวกนางรู้สึกแทบกระอักกระอ่วนแทนไป๋ซูหนิงนอนเอนกายทอดสายตามองลานประลองหมากตรงหน้า รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าอย่างเบิกบาน“เสี่ยวเถา…เจ้าว่า พี่ชายของข้าจะแพ้หรือไม่”เสี่ยวเถาจ้องหมากกระดานอย่างตั้งใจ ก่อนจะปรายตามองคนถาม “คุณหนูว่าอย่างไรเจ้าคะ”“พี่ชายของข้าชอบดวลหมากมาก เกรงว่าคงฝีมือดีแต่กับนายท่านมู่ที่วันๆ คงดีดลูกคิดนับแต่เงิน” ไป๋ซูหนิงกล่าวตามที่เห็น แม้พี่ชายทั้งสามนั้นต่างมีนิสัยและความชอบต่างกัน ทว่าหากเมื่อใดว่าก็ชักชวนกันดวลมาก







