เริ่นเหว่ยหยางรีบวิ่งไปยังบ้านของท่านป้าฟ่านหนิงซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากบ้านของเขา แต่ก่อนในยามที่บ้านเขาขาดแคลนอาหาร ท่านป้าฟ่างหนิงก็มักจะนำอาหารมาแบ่งปันให้อย่างไม่ขาดสาย เป็นผู้ใหญ่ใจดีที่เขานับถือเสมอมา
เมื่อมาถึงหน้าบ้าน เขาหยุดยืนหอบหายใจอยู่หน้ารั้วดินเหนียวที่ก่อขึ้นอย่างมั่นคง ตัวบ้านดูดีกว่าของเขามากนัก “ท่านป้าฟ่านหนิงขอรับ!” เขาเรียกออกไปด้วยเสียงดังฟังชัด ไม่นาน หญิงสูงวัยผู้หนึ่งก็เปิดประตูออกมา นางชะเง้อมองก่อนจะเห็นหน้าเด็กชายผู้คุ้นเคย จึงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “เหว่ยหยางหรือ? มาหาข้ามีธุระอันใดหรือ?” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แม้จะเป็นเวลาดึกแล้ว เด็กชายรีบยกมือไหว้ และเอ่ยสิ่งที่ตนต้องการอย่างไม่รีรอ “ข้ามีเรื่องรบกวนท่านป้าเพียงเล็กน้อยขอรับ ข้าอยากขอยืมเกวียนลาของท่าน เพื่อจะนำของเข้าเมือง” “เจ้าอยากเข้าเมืองในเวลานี้หรือ?” นางถามอย่างประหลาดใจ “ใช่ขอรับ และข้ายังอยากขอร้องให้ท่านช่วยไปดูแลท่านแม่ให้สักพัก พอดีข้าต้องรีบเอาของไปขายข้างในเมืองให้ทันตลาด” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ปิดบัง เพราะรู้ว่าท่านป้าฟ่านหนิงเป็นคนใจดีและไว้ใจได้ นางพยักหน้าโดยไม่ลังเล “ได้สิ เจ้าเข้าไปขับเกวียนได้เลย เดี๋ยวข้าจะไปดูแม่ให้เอง” นางเปิดประตูบ้านให้เขาเดินเข้าไปหยิบเกวียน ระหว่างที่เหว่ยหยางเดินผ่านหน้าท่านป้า เสียงท้องร้องดังขึ้นมาจากร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรง เด็กชายยิ้มเขิน หันไปสบตานางอย่างรู้สึกผิด ฟ่านหนิงได้ยินเช่นกัน นางถอนหายใจเล็กน้อยแต่ยิ้มออกมา “เจ้ามิได้กินข้าวมาอีกแล้วใช่หรือไม่? ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าอย่าปล่อยให้ตัวเองอดแบบนี้” นางหันหลังเดินเข้าไปในครัว หยิบหมั่นโถวร้อน ๆ มาสองลูกแล้วยื่นให้เด็กชาย “เจ้ากินซะเถอะ อย่าปฏิเสธเลย หากเข้าเมืองด้วยท้องว่างเช่นนี้ จะมีแรงทำสิ่งใดกัน?” เหว่ยหยางมองหมั่นโถวตรงหน้า ใจหนึ่งก็อยากกินจนทนไม่ไหว แต่อีกใจก็ไม่อยากเป็นภาระ เขาเตรียมจะปฏิเสธ ทว่าท่านป้าฟ่างหนิงชิงพูดดักไว้ก่อน “กินซะเถอะ ข้าไม่อยากให้เจ้าล้มป่วยไปอีกคน” เด็กชายยิ้มอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณท่านป้าฟ่านหนิงมากขอรับ ข้าสัญญาว่าหากข้ากลับมา จะนำของดี ๆ มาตอบแทนอย่างแน่นอน” เขากล่าวด้วยความจริงใจ แล้วจึงรีบขับเกวียนไปส่งป้าฟ่างหนิงที่บ้านตน เมื่อหญิงชราเห็นสิ่งที่เขานำมาด้วย นางแปลกใจแต่ก็ดีใจแทนเขา และเอ่ยเตือนด้วยความห่วงใย “ของเช่นนี้หากจะเอาไปขาย ต้องใช้ทางหลังหมู่บ้านนะ หากใช้ทางหลัก เดี๋ยวจะมีคนมาแย่งของเจ้าไปเสียก่อน” เหว่ยหยางพยักหน้า รับคำด้วยความสำนึกในน้ำใจ “ขอบคุณขอรับท่านป้า ฝากดูแลท่านแม่ด้วยนะขอรับ” แล้วเด็กชายก็บังคับเกวียนออกไป ท่ามกลางความมืดและลมหนาวที่เริ่มโบกโบย เขาใช้ใบไม้คลุมของไว้ในเกวียนอย่างมิดชิด ก่อนเร่งฝีเท้าลาให้ก้าวเร็วขึ้น มุ่งหน้าไปยังเมืองซานเฉิง เมืองขนาดกลางที่เขาคุ้นเคย ใช้เวลาราวสามชั่วยามก็เดินทางถึง เมืองเงียบสงบ มีเพียงทหารสองนายตรวจตราอยู่หน้าประตู เขาเคยเข้ามาที่นี่หลายครั้ง จึงผ่านเข้าเมืองได้อย่างไม่ติดขัด ร้านอาหารเล็ก ๆ ตรงหัวมุมถนน เป็นจุดหมายที่เขามักมาขายของ เพราะเจ้าของร้านอย่างหลงจู เป็นคนซื่อตรงมากกว่าใคร เสี่ยวเอ้อเห็นเด็กชายผู้คุ้นหน้าคุ้นตาที่มักมาขายของอยู่บ่อยครั้ง เขาจึงทักทายด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง “เหว่ยหยาง เจ้ามาขายของอีกแล้วหรือ?” เขาถามพลางชะเง้อมองไปยังเกวียนลาที่จอดอยู่ “ใช่ขอรับ ครั้งนี้ข้ามีของชิ้นใหญ่ ไม่ทราบว่าท่านหลงจูอยู่หรือไม่?” เด็กชายตอบเสียงเบา สายตาเหลือบมองไปรอบ ๆ อย่างระวัง “ของชิ้นใหญ่หรือ?” เสี่ยวเอ้อพูดพลางก้าวเข้าไปดูใกล้ ๆ อย่างสนใจ เมื่อเขาแหวกใบไม้ที่คลุมอยู่บนเกวียน ก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก เมื่อพบว่ามันคือกวางป่าที่ยังสมบูรณ์ “เจ้าเข้าไปด้านหลังร้านเถอะ ข้าจะไปตามท่านหลงจูให้” เสี่ยวเอ้อกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แล้วรีบหันหลังกลับทันที เหว่ยหยางพยักหน้า แล้วบังคับเกวียนลาช้า ๆ เข้าไปจอดยังหลังร้าน รอไม่นานก็เห็นหลงจูเดินมาอย่างรีบร้อน แววตาเต็มไปด้วยความอยากรู้ “เจ้าว่ามีของชิ้นใหญ่… ข้าไม่คิดว่าจะใหญ่ถึงเพียงนี้ เป็นกวางทั้งตัวเสียด้วย” เขาเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ใช่แล้วขอรับท่านหลงจู ข้าไปเจอมันในป่าขณะมันได้รับบาดเจ็บ จึงจัดการมันได้ ข้าคิดว่าท่านน่าจะสนใจ” เหว่ยหยางตอบพร้อมแหวกใบไม้ออก เผยให้เห็นร่างกวางเต็มตัว หลงจูก้มลงตรวจดูรอบกายของกวางอย่างละเอียด เขาพบว่าร่างมันสมบูรณ์ แม้จะผอมไปเล็กน้อย แต่ไม่มีบาดแผลฉีกขาดรุนแรง “แล้วเจ้าคิดจะขายมันในราคาเท่าใด?” เขาถาม ขณะกวาดตามองเด็กชายตรงหน้าอย่างพินิจ เขารู้ดีว่าเด็กผู้นี้ไม่ใช่คนโง่ แม้ยังเยาว์วัยก็เฉลียวฉลาดเกินตัว “ข้าไม่รู้ราคาที่แน่นอนหรอกขอรับ แต่เท่าที่รู้มา กวางเช่นนี้ใช้ได้ทุกส่วน ทั้งยังเป็นของหายากในเมือง ข้าคิดว่าคงมีค่าไม่น้อย” เหว่ยหยางตอบเรียบ ๆ สายตาสบกับหลงจูอย่างแน่วแน่ หลงจูหัวเราะในลำคอ “เจ้าพูดถูก ของพวกนี้หายากจริง เมืองของเราก็ไม่ได้กินเนื้อกวางมานาน หากเช่นนั้น… ข้าขอเสนอราคายี่สิบตำลึงทอง เจ้าคิดว่าอย่างไร?” ราคานี้สูงมาก แม้หลงจูจะรู้ว่าตนสามารถทำกำไรจากกวางตัวนี้ได้มากกว่านี้ แต่เขาก็ยินดีตอบแทนความเสี่ยงของเด็กชายตรงหน้า เหว่ยหยางพยักหน้าอย่างพอใจ “ขอรับ ข้าขอรับเป็นตั๋วเงินสิบห้าตำลึงทอง อีกห้าตำลึงขอเป็นตำลึงเงินและเงินอีแปะ ข้าคิดว่าแยกไว้ดีกว่า เผื่อจะปลอดภัยมากกว่าเวลาพกพา” “ได้สิ ข้าจะให้คนจัดการให้” หลงจูยิ้มพึงพอใจในไหวพริบของเด็กน้อย พร้อมสั่งให้เสี่ยวเอ้อจัดการเงินตามที่ตกลง ไม่นานนัก เหว่ยหยางก็ได้รับเงินครบถ้วน ทั้งตั๋วเงินสองใบและเงินสดอีกจำนวนหนึ่ง เขากล่าวลาหลงจูด้วยความสุภาพ แล้วรีบควบเกวียนกลับออกจากเมือง ยามนั้นยังไม่เย็นนัก เขาใช้เวลาเลือกซื้อของอย่างตั้งใจ ข้าวสารคุณภาพดีหลายชั่ง ผ้าห่มหนานุ่ม เสื้อผ้าใหม่ทั้งของตนและของมารดา รวมทั้งผ้าชั้นดีสำหรับท่านป้าฟ่างหนิง เขายังซื้อเนื้อหมู มันหมู น้ำตาล และยารักษาโรคที่เริ่มจะหมดแล้ว รวมถึงไข่ไก่จำนวนมากไว้สำหรับบำรุงร่างกายมารดา เมื่อได้ของครบ เขารีบบังคับเกวียนกลับหมู่บ้านทันที ขณะที่เกวียนของเหว่ยหยางค่อย ๆ เคลื่อนตัวลับตาไป ชายขอทานผู้หนึ่งที่เฝ้าสังเกตอยู่ไม่ไกล แย้มยิ้มบางด้วยแววตาแฝงเล่ห์ “เด็กนั่น… น่าสนใจยิ่งนัก” เขาพึมพำเบา ๆ ก่อนจะหมุนตัว เดินหายไปทางนอกเมืองอย่างเงียบงัน เงามืดของอันตราย เริ่มย่างกรายเข้ามาอย่างช้า ๆ …ขณะที่เริ่นเหว่ยหยางบังคับเกวียนลามุ่งหน้ากลับหมู่บ้าน เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีตั้งแต่ยังไม่พ้นเขตเมือง สัมผัสแปลก ๆ เหมือนมีสายตาคอยจับจ้องอยู่เบื้องหลังตั้งแต่ตอนที่เขาขายกวางตัวนั้นมือเล็ก ๆ กำแน่นตรงหน้าอก ที่ซ่อนเงินทั้งหมดไว้ในเสื้อผ้าชั้นใน ความกังวลเกาะกินหัวใจ เขาได้แต่ภาวนาว่า ขอให้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในคืนที่ดึกดื่นเช่นนี้เมื่อเดินทางมาได้ครึ่งทาง ชายผู้หนึ่งก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้กระโจนเข้าขวางเกวียนของเขา ชายคนนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น ร่างผอมโซจนแทบเห็นกระดูก เหว่ยหยางรีบหยุดเกวียนด้วยความตกใจเขาจับจ้องชายเบื้องหน้าด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนเอ่ยเสียงนิ่ง“เจ้าคือใคร? มาขวางทางข้าทำไม?”ขณะนั้น ดวงตาของเขากวาดไปสองข้างทาง สำรวจว่าอาจมีใครซ่อนตัวอยู่อีกชายขอทานหัวเราะในลำคอ พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าหนูน้อย ข้ารู้นะว่าเจ้าเพิ่งขายของมีค่า ได้เงินมาไม่น้อย เอามาแบ่งข้าบ้างสิ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ”ได้ยินเช่นนั้น เหว่ยหยางกลับแสยะยิ้มเย็น มองชายตรงหน้าขึ้นลงราวกับประเมินศัตรู“เจ้าก็มีมือมีเท้าครบ เหตุใดไม่ไปหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง ต้องมาดักปล้นเด็กเช่นข้า เจ้านึกว่าข้
เริ่นเหว่ยหยางรีบวิ่งไปยังบ้านของท่านป้าฟ่านหนิงซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากบ้านของเขา แต่ก่อนในยามที่บ้านเขาขาดแคลนอาหาร ท่านป้าฟ่างหนิงก็มักจะนำอาหารมาแบ่งปันให้อย่างไม่ขาดสาย เป็นผู้ใหญ่ใจดีที่เขานับถือเสมอมาเมื่อมาถึงหน้าบ้าน เขาหยุดยืนหอบหายใจอยู่หน้ารั้วดินเหนียวที่ก่อขึ้นอย่างมั่นคง ตัวบ้านดูดีกว่าของเขามากนัก“ท่านป้าฟ่านหนิงขอรับ!” เขาเรียกออกไปด้วยเสียงดังฟังชัดไม่นาน หญิงสูงวัยผู้หนึ่งก็เปิดประตูออกมา นางชะเง้อมองก่อนจะเห็นหน้าเด็กชายผู้คุ้นเคย จึงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน“เหว่ยหยางหรือ? มาหาข้ามีธุระอันใดหรือ?” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แม้จะเป็นเวลาดึกแล้วเด็กชายรีบยกมือไหว้ และเอ่ยสิ่งที่ตนต้องการอย่างไม่รีรอ“ข้ามีเรื่องรบกวนท่านป้าเพียงเล็กน้อยขอรับ ข้าอยากขอยืมเกวียนลาของท่าน เพื่อจะนำของเข้าเมือง”“เจ้าอยากเข้าเมืองในเวลานี้หรือ?” นางถามอย่างประหลาดใจ“ใช่ขอรับ และข้ายังอยากขอร้องให้ท่านช่วยไปดูแลท่านแม่ให้สักพัก พอดีข้าต้องรีบเอาของไปขายข้างในเมืองให้ทันตลาด” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ปิดบัง เพราะรู้ว่าท่านป้าฟ่านหนิงเป็นคนใจดีและไว้ใจได้นางพยักหน้าโดยไม่ลังเล “ได้สิ เ
ผ้าแพรเลิกสนใจเหล่าไก่ที่เคยเดินเข้ามารบกวน และหันสายตามองไปยังเด็กชายผู้มีแววตาโตเกินวัย เขานั่งพิงฝาไม้ของเล้าไก่ เศษไม้ไผ่ในมือถูกจับเล่นเบา ๆ พลางทอดสายตามองไปยังที่ว่างเบื้องหน้าเริ่นเหว่ยหยางนั่งนิ่ง ท่ามกลางสายลมอ่อนของยามบ่ายที่พัดผ่านใบหญ้าให้เอนลู่ช้า ๆ ข้างเล้าไก่ทรุดโทรมในหมู่บ้านเล็ก ๆ ห่างไกลผู้คน ดอกหญ้าแห้งเหี่ยวโผล่ขึ้นจากผืนดินแข็งกระด้าง สะท้อนความว่างเปล่าที่ไม่มีใครเหลียวแลแม้จะมีอายุเพียงสิบขวบ แต่แววตาของเขากลับแข็งกร้าวเกินวัยนัก ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปยังท้องฟ้าที่ทอดยาวไร้จุดสิ้นสุด เสียงจิ้งหรีดร้องระงม เสียงไก่ขันดังแทรกอยู่ใกล้ ๆ เขาเงียบงัน ราวกับกำลังกลืนกินความทรงจำบางอย่างที่ฝังแน่นไม่เคยจางเขาคือ “หวังเหว่ยหยาง” บุตรชายของแม่ทัพหวังแห่งเมืองหลวง ผู้เคยเป็นเสาหลักของกองทัพแคว้นชาง แต่ในวันที่อำนาจเริ่มสั่นคลอน ขุนนางผู้ละโมบและจักรพรรดิผู้หวาดระแวงก็ร่วมกันวางแผนโค่นล้มตระกูลหวังจนสิ้นคืนนั้น… ตอนที่เขาอายุเพียงห้าขวบ เปลวไฟลุกท่วมทั่วจวนใหญ่ เสียงดาบฟาดฟันปะทะกันระงม เสียงทหารโห่ร้องดังทั่วฟ้าเหว่ยหยางถูกปลุกขึ้นจากนิทราด้วยมือสั่นเทาของมารดา มือที
ผ้าแพรรู้สึกสับสนอย่างหนัก นางไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่ที่ใด และเหตุใดจึงไม่สามารถขยับร่างกายได้ ความทรงจำสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลือ คือภาพรถชนเสาไฟฟ้าอย่างแรงจนหมดสติไป หลังจากนั้น…ทุกอย่างก็ดับวูบ‘มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…’ นางครุ่นคิดในความเงียบ และในขณะนั้นเอง เสียงจากบ้านไม้ไผ่หลังเล็กที่อยู่เบื้องหน้าก็ดังขึ้น“ท่านแม่ขอรับ ท่านเป็นเช่นไรบ้าง?”เป็นเสียงของเด็กชายคนหนึ่ง พูดภาษาจีนชัดถ้อยชัดคำ ซึ่งฟังดูไม่เหมือนภาษาที่นางใช้ในชีวิตประจำวันเลยแม้แต่น้อย‘ภาษาจีน?’ นางคิดอย่างประหลาดใจ ทั้งที่ตนเป็นคนไทยแท้ ทำไมถึงเข้าใจถ้อยคำเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นภาษาแม่ในไม่ช้า เด็กชายอายุราวสิบขวบเดินออกมาจากตัวบ้าน ในมือหิ้วถังไม้เก่าใบหนึ่งไว้แน่น เขาตรงไปยังเล้าไก่ใกล้ ๆ และเทน้ำให้ไก่ป่าดื่มอย่างคล่องแคล่วเริ่นเหว่ยหยาง เด็กชายผู้นั้น เดินเข้ามาตามกิจวัตร สายตาของเขาเหลือบไปเห็นต้นหญ้าต้นหนึ่งงอกอยู่ข้างเล้า มันมีขนาดเล็กจิ๋ว แต่กลับมีดอกสีม่วงอ่อนบานสะพรั่ง ราวกับของขวัญจากธรรมชาติที่ซุกซ่อนความงามไว้ในความธรรมดาเขาเดินเข้าไปใกล้ เอื้อมมือรดน้ำลงไปที่ลำต้น“เจ้าก็ต้องการน้ำเช่นกันใช
ณ สถานที่ถ่ายทำละครแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่หลายคนกำลังเตรียมเซ็ตฉากอย่างขะมักเขม้น เสียงจากห้องด้านข้างดังลอดออกมาเบา ๆ ห้องที่นักแสดงนำของเรื่องกำลังนั่งอ่านบทอยู่ไม่ไกลนัก“ผ้าแพร ได้เวลาถ่ายทำต่อแล้ว มัวทำอะไรอยู่!” ผู้จัดการส่งเสียงเรียกดาราสาวดาวรุ่งผู้กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันตามไป” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นตอบเรียบ ๆเธอคือ “ผ้าแพร” ดาราสาวที่เพิ่งเข้าสู่วงการ แต่กลับได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เมื่อไม่นานมานี้ยังเป็นเพียงพนักงานในร้านสะดวกซื้อใจกลางเมือง ความสวยที่โดดเด่นสะดุดตานั่นเองที่ทำให้เธอถูกแมวมองชักชวนเข้าสู่วงการบันเทิง หลังจากผลงานเรื่องแรกออกฉาย กระแสตอบรับก็ถาโถมจนชีวิตของเธอเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเธอรีบเก็บบทละครแล้วเดินตามผู้จัดการเข้าไปในกองถ่าย ใช้เวลาอยู่หน้ากล้องตั้งแต่เช้าจรดเย็น จนร่างกายแทบหมดแรงผ้าแพรเดินออกจากกองถ่ายพลางนวดไหล่เบา ๆ ความเหนื่อยล้าถาโถมเข้าใส่จนไม่อยากแวะไปไหนต่อ อยากกลับไปซบเตียงนุ่ม ๆ ที่บ้านมากกว่า เพื่อให้หน้าตาได้พักผ่อน และพร้อมสำหรับการถ่ายทำในวันพรุ่งนี้“ให้พี่ไปส่งที่บ้านไหม?” ผู้จัดการสาวหันมาถามด้วยน้ำเส