ผ้าแพรเลิกสนใจเหล่าไก่ที่เคยเดินเข้ามารบกวน และหันสายตามองไปยังเด็กชายผู้มีแววตาโตเกินวัย เขานั่งพิงฝาไม้ของเล้าไก่ เศษไม้ไผ่ในมือถูกจับเล่นเบา ๆ พลางทอดสายตามองไปยังที่ว่างเบื้องหน้า
เริ่นเหว่ยหยางนั่งนิ่ง ท่ามกลางสายลมอ่อนของยามบ่ายที่พัดผ่านใบหญ้าให้เอนลู่ช้า ๆ ข้างเล้าไก่ทรุดโทรมในหมู่บ้านเล็ก ๆ ห่างไกลผู้คน ดอกหญ้าแห้งเหี่ยวโผล่ขึ้นจากผืนดินแข็งกระด้าง สะท้อนความว่างเปล่าที่ไม่มีใครเหลียวแล แม้จะมีอายุเพียงสิบขวบ แต่แววตาของเขากลับแข็งกร้าวเกินวัยนัก ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปยังท้องฟ้าที่ทอดยาวไร้จุดสิ้นสุด เสียงจิ้งหรีดร้องระงม เสียงไก่ขันดังแทรกอยู่ใกล้ ๆ เขาเงียบงัน ราวกับกำลังกลืนกินความทรงจำบางอย่างที่ฝังแน่นไม่เคยจาง เขาคือ “หวังเหว่ยหยาง” บุตรชายของแม่ทัพหวังแห่งเมืองหลวง ผู้เคยเป็นเสาหลักของกองทัพแคว้นชาง แต่ในวันที่อำนาจเริ่มสั่นคลอน ขุนนางผู้ละโมบและจักรพรรดิผู้หวาดระแวงก็ร่วมกันวางแผนโค่นล้มตระกูลหวังจนสิ้น คืนนั้น… ตอนที่เขาอายุเพียงห้าขวบ เปลวไฟลุกท่วมทั่วจวนใหญ่ เสียงดาบฟาดฟันปะทะกันระงม เสียงทหารโห่ร้องดังทั่วฟ้า เหว่ยหยางถูกปลุกขึ้นจากนิทราด้วยมือสั่นเทาของมารดา มือที่เปื้อนเลือด… “เหว่ยหยาง… อย่าร้อง อย่ากลัวไปนะลูก ตามแม่มาเถอะ” น้ำเสียงของนางแม้จะสั่น แต่แฝงไว้ด้วยความกล้าหาญอันเปี่ยมล้น นางแบกลูกชายวิ่งฝ่าความมืด ทั้งที่เลือดจากบาดแผลยังไหลไม่หยุด ไม่ยอมพัก ไม่ยอมหยุดฝีเท้า ทั้งสองหนีออกจากเมืองหลวง ฝ่าป่าฝ่าเขา ใช้เวลาหลายวัน จนในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองคือใคร มารดาของเขาแสร้งเป็นเพียงหญิงเดินทางที่มากับบุตรชาย นางใช้เงินที่เหลืออยู่น้อยนิดซื้อที่ดินและกระท่อมร้างใกล้ตีนเขาอันแห้งแล้ง เหว่ยหยางพยายามปีนเขาเพื่อจับไก่ป่ามาได้สองตัว จากนั้นก็ช่วยกันทำเล้าไก่ไว้ให้พอมีไข่เลี้ยงชีวิตประทังกันไปวัน ๆ เขาต้องเติบโตด้วยตนเองตั้งแต่วันที่หนีออกมา ต้องดูแลมารดาที่อ่อนแรงลงทุกวันด้วยสองมือของเด็กชายอายุเพียงสิบปี แต่เขาไม่เคยร้องไห้… ไม่ใช่เพราะไม่เจ็บ ไม่เสียใจ แต่เพราะเขาได้สาบานไว้แล้วว่า วันหนึ่ง เขาจะกลับไปทวงคืนความยุติธรรมให้ตระกูลหวัง แซ่เดิมของท่านพ่อ ถึงตอนนี้เขากับมารดาจะเปลี่ยนมาใช้นามสกุล “เริ่น” ซึ่งเป็นแซ่ที่มารดาตั้งขึ้นเพื่อปกปิดตัวตน แม้ชีวิตจะเริ่มต้นจากจุดที่ต่ำที่สุด เขาก็จะปีนขึ้นไปให้ถึงยอดฟ้าอีกครั้ง เพื่อความยุติธรรม… หรือเพื่อแก้แค้นให้ท่านพ่อผู้ล่วงลับ เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ฝังลึกในใจ เหว่ยหยางก็กำมือแน่นด้วยความคับแค้น แล้วจู่ ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นต้นหญ้าต้นหนึ่ง มันมีดอกสีม่วงชูช่อไหวอยู่ท่ามกลางแดดอ่อน ยามจ้องมอง เขากลับรู้สึกสงบลงอย่างประหลาด ราวกับมันปลอบโยนหัวใจที่ด้านชาให้กลับมีชีวิตอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปใกล้ รดน้ำให้มันอีกครั้งอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหยุดมองรอบ ๆ แล้วก็ต้องประหลาดใจ… บริเวณที่ต้นหญ้าต้นนี้ขึ้น กลับดูเขียวชอุ่ม สดใส ผิดกับพื้นดินโดยรอบซึ่งแห้งแล้งและไร้ชีวิต ที่นี่ไม่เคยปลูกอะไรขึ้นเลยแม้แต่ต้นเดียว แต่ต้นหญ้าเล็ก ๆ นี้กลับเติบโตงอกงามราวกับได้รับพรจากฟ้า เขาคิดแล้วก็หัวเราะเบา ๆ กับตนเอง ก่อนจะเดินหยิบธนูคู่ใจเข้าไปยังภูเขาใหญ่เบื้องหน้า วันนี้…เขาต้องหาอาหารมาให้มารดา แม้ต้องเดินผ่านหุบเขา แม้จะพบชาวบ้านระหว่างทางบ้าง แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เขานัก เพราะทุกคนรู้ว่าเขาไม่ใช่คนในหมู่บ้าน และนั่นก็อาจเป็นสิ่งที่ดี… สำหรับครอบครัวของเขา การไม่เป็นที่สนใจ คือความปลอดภัยสูงสุดในตอนนี้ เหว่ยหยางเดินไปตามทางที่ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรเท่าใดนัก สองเท้าเหยียบย่ำผ่านพื้นหญ้าแห้งกรัง ต้นไม้ที่เคยเขียวชอุ่มบัดนี้กลับเหี่ยวเฉาราวกับหมดสิ้นชีวิต ‘นานแค่ไหนแล้ว… ที่ฝนไม่ตกลงมาในหมู่บ้านแห่งนี้?’ เขาเงยหน้ามองฟ้าแห้งแล้ง ก่อนจะก้มมองพื้นดินแตกระแหงใต้ฝ่าเท้า หัวใจของเด็กชายอายุเพียงสิบขวบเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง ขณะเดียวกัน คล้อยหลังเหว่ยหยางไป ชาวบ้านที่เดินผ่านกลับมองตามเขาด้วยแววตาเวทนาและสลดใจ ต่างหันมาสบตากันและพูดถึงเรื่องราวของเด็กชายที่พึ่งพาตนเองเกินวัย “ดูเด็กผู้นั้นสิ… อายุแค่นี้แต่ใจเด็ดนัก” หญิงผู้หนึ่งเอ่ยเบา ๆ “ถ้าไม่กล้า แล้วจะมีอะไรกินเล่า ได้ข่าวว่ามารดาของเขาล้มป่วยมานานแล้ว… แม้แต่จะลุกก็ยังทำไม่ได้ น่าสงสารจริง ๆ” อีกคนพูดพลางส่ายหน้าอย่างเศร้า ทั้งสองหันกลับไปมองทางที่เด็กชายเพิ่งเดินผ่าน ก่อนจะเร่งฝีเท้ากลับบ้านของตน ทว่าเหว่ยหยางไม่รับรู้ถึงบทสนทนาเหล่านั้นเลย เขามุ่งหน้าสู่ป่าด้วยใจตั้งมั่น หวังเพียงจะหาอาหารประทังชีวิต และหากโชคดีอาจได้สัตว์สักตัวไปขายในเมือง เพื่อแลกกับเงินซื้อข้าวสารและเสื้อผ้ารับลมหนาวที่ใกล้เข้ามาทุกที ดูเหมือนสวรรค์จะยังไม่ลืมเขา… เพียงไม่นานหลังจากเข้าสู่ป่าลึก เขาก็พบกับกวางป่าตัวหนึ่ง แม้ไม่ใหญ่นัก แต่ก็ถือว่าเป็นสัตว์ตัวแรกที่เขามีโอกาสล่าได้ด้วยตนเอง เหว่ยหยางลดฝีเท้าช้า ๆ ย่องเข้าใกล้อย่างระมัดระวัง สายตาจับจ้องไปยังกวางที่กำลังเล็มหญ้าแห้ง มือที่จับธนูสั่นเล็กน้อยเพราะทั้งวันยังไม่ได้กินอาหาร แต่เด็กชายก็รวบรวมสติทั้งหมด ยกธนูขึ้น เล็งอย่างมั่นคง ก่อนจะปล่อยลูกศรพุ่งออกไปอย่างแม่นยำ เสียงแหลมของธนูฉีกอากาศเพียงชั่ววินาที ก่อนจะปักเข้าที่ลำคอของกวางอย่างพอดิบพอดี ร่างของมันทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง หัวใจของเหว่ยหยางเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นและดีใจ เขารีบตรงเข้าไปดูร่างของกวางเพื่อแน่ใจว่ามันหมดลมหายใจแล้วจริง ๆ กวางตัวนี้แม้จะไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่ก็ยังโตเกินกว่าเขาหลายเท่าตัว โชคดีที่เขานำเชือกที่ถักจากเถาวัลย์ติดตัวมาด้วย เขาใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดหลายปี ผูกกวางเข้ากับไม้ที่เตรียมไว้เป็นเลื่อนง่าย ๆ แล้วออกแรงลากมันไปตามทางราบที่ปกคลุมด้วยหญ้าแห้ง เส้นทางนี้หลีกเลี่ยงผู้คนได้ดี และตรงกลับบ้านของเขาพอดี การนำกวางไปขายในเมืองต้องเป็นไปอย่างมิดชิด และคนเดียวที่พอจะช่วยลากเกวียนได้ก็คือท่านป้าฟ่านหนิง หลังจากฝืนแรงลากกวางมาจนถึงบ้าน เขาก็หาที่ลับตาเก็บมันไว้ก่อน แล้วจึงเดินเข้าไปดูมารดาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่านางยังคงหลับ เขาจึงย่อตัวลงจับแขนเบา ๆ พอแน่ใจว่าเพียงแค่หลับไปจึงวางใจ เด็กชายเดินเข้าครัวไปหยิบข้าวต้มใส่ไข่ที่เขาเคี่ยวไว้ตั้งแต่เช้า โชคดีที่มันยังอุ่นอยู่ เขาจัดเตรียมน้ำและอาหารไว้พร้อมในถาด เมื่อมองถ้วยข้าวต้ม กลิ่นหอมของมันทำให้น้ำลายส่อแววจะหลั่งไหล แต่เมื่อคิดถึงมารดาที่ยังป่วยไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้ เด็กชายก็กัดฟัน หักห้ามใจ ปล่อยให้ความหิวรอไปก่อน ผ้าแพรเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยสายตาเงียบงัน ตั้งแต่ที่เด็กชายลากสิ่งใดบางอย่างกลับมา แววตาของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับกำลังวางแผนหรือปิดบังอะไรอยู่ และไม่นาน เขาก็เดินออกจากบ้านอีกครั้ง ‘เจ้าเด็กคนนี้จะทำอะไรอีกหรือ?’ นางครุ่นคิดด้วยความสงสัย ตั้งแต่ต้องมาเป็นต้นหญ้า นางก็รู้สึกว่าทุกอย่างลำบากเหลือเกิน ไม่มีพลังวิเศษ ไม่มีปาฏิหาริย์ ทุกวันก็ได้แค่มอง…เฝ้ามอง และเฝ้ารอ ‘นี่ข้าต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ไปตลอดเลยหรืออย่างไร…?’ ความน้อยใจถาโถมเข้ามาอย่างเงียบงัน ราวกับลมเย็นที่พัดผ่านกลางทุ่งร้างขณะที่เริ่นเหว่ยหยางบังคับเกวียนลามุ่งหน้ากลับหมู่บ้าน เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีตั้งแต่ยังไม่พ้นเขตเมือง สัมผัสแปลก ๆ เหมือนมีสายตาคอยจับจ้องอยู่เบื้องหลังตั้งแต่ตอนที่เขาขายกวางตัวนั้นมือเล็ก ๆ กำแน่นตรงหน้าอก ที่ซ่อนเงินทั้งหมดไว้ในเสื้อผ้าชั้นใน ความกังวลเกาะกินหัวใจ เขาได้แต่ภาวนาว่า ขอให้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในคืนที่ดึกดื่นเช่นนี้เมื่อเดินทางมาได้ครึ่งทาง ชายผู้หนึ่งก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้กระโจนเข้าขวางเกวียนของเขา ชายคนนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น ร่างผอมโซจนแทบเห็นกระดูก เหว่ยหยางรีบหยุดเกวียนด้วยความตกใจเขาจับจ้องชายเบื้องหน้าด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนเอ่ยเสียงนิ่ง“เจ้าคือใคร? มาขวางทางข้าทำไม?”ขณะนั้น ดวงตาของเขากวาดไปสองข้างทาง สำรวจว่าอาจมีใครซ่อนตัวอยู่อีกชายขอทานหัวเราะในลำคอ พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าหนูน้อย ข้ารู้นะว่าเจ้าเพิ่งขายของมีค่า ได้เงินมาไม่น้อย เอามาแบ่งข้าบ้างสิ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ”ได้ยินเช่นนั้น เหว่ยหยางกลับแสยะยิ้มเย็น มองชายตรงหน้าขึ้นลงราวกับประเมินศัตรู“เจ้าก็มีมือมีเท้าครบ เหตุใดไม่ไปหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง ต้องมาดักปล้นเด็กเช่นข้า เจ้านึกว่าข้
เริ่นเหว่ยหยางรีบวิ่งไปยังบ้านของท่านป้าฟ่านหนิงซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากบ้านของเขา แต่ก่อนในยามที่บ้านเขาขาดแคลนอาหาร ท่านป้าฟ่างหนิงก็มักจะนำอาหารมาแบ่งปันให้อย่างไม่ขาดสาย เป็นผู้ใหญ่ใจดีที่เขานับถือเสมอมาเมื่อมาถึงหน้าบ้าน เขาหยุดยืนหอบหายใจอยู่หน้ารั้วดินเหนียวที่ก่อขึ้นอย่างมั่นคง ตัวบ้านดูดีกว่าของเขามากนัก“ท่านป้าฟ่านหนิงขอรับ!” เขาเรียกออกไปด้วยเสียงดังฟังชัดไม่นาน หญิงสูงวัยผู้หนึ่งก็เปิดประตูออกมา นางชะเง้อมองก่อนจะเห็นหน้าเด็กชายผู้คุ้นเคย จึงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน“เหว่ยหยางหรือ? มาหาข้ามีธุระอันใดหรือ?” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แม้จะเป็นเวลาดึกแล้วเด็กชายรีบยกมือไหว้ และเอ่ยสิ่งที่ตนต้องการอย่างไม่รีรอ“ข้ามีเรื่องรบกวนท่านป้าเพียงเล็กน้อยขอรับ ข้าอยากขอยืมเกวียนลาของท่าน เพื่อจะนำของเข้าเมือง”“เจ้าอยากเข้าเมืองในเวลานี้หรือ?” นางถามอย่างประหลาดใจ“ใช่ขอรับ และข้ายังอยากขอร้องให้ท่านช่วยไปดูแลท่านแม่ให้สักพัก พอดีข้าต้องรีบเอาของไปขายข้างในเมืองให้ทันตลาด” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ปิดบัง เพราะรู้ว่าท่านป้าฟ่านหนิงเป็นคนใจดีและไว้ใจได้นางพยักหน้าโดยไม่ลังเล “ได้สิ เ
ผ้าแพรเลิกสนใจเหล่าไก่ที่เคยเดินเข้ามารบกวน และหันสายตามองไปยังเด็กชายผู้มีแววตาโตเกินวัย เขานั่งพิงฝาไม้ของเล้าไก่ เศษไม้ไผ่ในมือถูกจับเล่นเบา ๆ พลางทอดสายตามองไปยังที่ว่างเบื้องหน้าเริ่นเหว่ยหยางนั่งนิ่ง ท่ามกลางสายลมอ่อนของยามบ่ายที่พัดผ่านใบหญ้าให้เอนลู่ช้า ๆ ข้างเล้าไก่ทรุดโทรมในหมู่บ้านเล็ก ๆ ห่างไกลผู้คน ดอกหญ้าแห้งเหี่ยวโผล่ขึ้นจากผืนดินแข็งกระด้าง สะท้อนความว่างเปล่าที่ไม่มีใครเหลียวแลแม้จะมีอายุเพียงสิบขวบ แต่แววตาของเขากลับแข็งกร้าวเกินวัยนัก ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปยังท้องฟ้าที่ทอดยาวไร้จุดสิ้นสุด เสียงจิ้งหรีดร้องระงม เสียงไก่ขันดังแทรกอยู่ใกล้ ๆ เขาเงียบงัน ราวกับกำลังกลืนกินความทรงจำบางอย่างที่ฝังแน่นไม่เคยจางเขาคือ “หวังเหว่ยหยาง” บุตรชายของแม่ทัพหวังแห่งเมืองหลวง ผู้เคยเป็นเสาหลักของกองทัพแคว้นชาง แต่ในวันที่อำนาจเริ่มสั่นคลอน ขุนนางผู้ละโมบและจักรพรรดิผู้หวาดระแวงก็ร่วมกันวางแผนโค่นล้มตระกูลหวังจนสิ้นคืนนั้น… ตอนที่เขาอายุเพียงห้าขวบ เปลวไฟลุกท่วมทั่วจวนใหญ่ เสียงดาบฟาดฟันปะทะกันระงม เสียงทหารโห่ร้องดังทั่วฟ้าเหว่ยหยางถูกปลุกขึ้นจากนิทราด้วยมือสั่นเทาของมารดา มือที
ผ้าแพรรู้สึกสับสนอย่างหนัก นางไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่ที่ใด และเหตุใดจึงไม่สามารถขยับร่างกายได้ ความทรงจำสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลือ คือภาพรถชนเสาไฟฟ้าอย่างแรงจนหมดสติไป หลังจากนั้น…ทุกอย่างก็ดับวูบ‘มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…’ นางครุ่นคิดในความเงียบ และในขณะนั้นเอง เสียงจากบ้านไม้ไผ่หลังเล็กที่อยู่เบื้องหน้าก็ดังขึ้น“ท่านแม่ขอรับ ท่านเป็นเช่นไรบ้าง?”เป็นเสียงของเด็กชายคนหนึ่ง พูดภาษาจีนชัดถ้อยชัดคำ ซึ่งฟังดูไม่เหมือนภาษาที่นางใช้ในชีวิตประจำวันเลยแม้แต่น้อย‘ภาษาจีน?’ นางคิดอย่างประหลาดใจ ทั้งที่ตนเป็นคนไทยแท้ ทำไมถึงเข้าใจถ้อยคำเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นภาษาแม่ในไม่ช้า เด็กชายอายุราวสิบขวบเดินออกมาจากตัวบ้าน ในมือหิ้วถังไม้เก่าใบหนึ่งไว้แน่น เขาตรงไปยังเล้าไก่ใกล้ ๆ และเทน้ำให้ไก่ป่าดื่มอย่างคล่องแคล่วเริ่นเหว่ยหยาง เด็กชายผู้นั้น เดินเข้ามาตามกิจวัตร สายตาของเขาเหลือบไปเห็นต้นหญ้าต้นหนึ่งงอกอยู่ข้างเล้า มันมีขนาดเล็กจิ๋ว แต่กลับมีดอกสีม่วงอ่อนบานสะพรั่ง ราวกับของขวัญจากธรรมชาติที่ซุกซ่อนความงามไว้ในความธรรมดาเขาเดินเข้าไปใกล้ เอื้อมมือรดน้ำลงไปที่ลำต้น“เจ้าก็ต้องการน้ำเช่นกันใช
ณ สถานที่ถ่ายทำละครแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่หลายคนกำลังเตรียมเซ็ตฉากอย่างขะมักเขม้น เสียงจากห้องด้านข้างดังลอดออกมาเบา ๆ ห้องที่นักแสดงนำของเรื่องกำลังนั่งอ่านบทอยู่ไม่ไกลนัก“ผ้าแพร ได้เวลาถ่ายทำต่อแล้ว มัวทำอะไรอยู่!” ผู้จัดการส่งเสียงเรียกดาราสาวดาวรุ่งผู้กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันตามไป” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นตอบเรียบ ๆเธอคือ “ผ้าแพร” ดาราสาวที่เพิ่งเข้าสู่วงการ แต่กลับได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เมื่อไม่นานมานี้ยังเป็นเพียงพนักงานในร้านสะดวกซื้อใจกลางเมือง ความสวยที่โดดเด่นสะดุดตานั่นเองที่ทำให้เธอถูกแมวมองชักชวนเข้าสู่วงการบันเทิง หลังจากผลงานเรื่องแรกออกฉาย กระแสตอบรับก็ถาโถมจนชีวิตของเธอเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเธอรีบเก็บบทละครแล้วเดินตามผู้จัดการเข้าไปในกองถ่าย ใช้เวลาอยู่หน้ากล้องตั้งแต่เช้าจรดเย็น จนร่างกายแทบหมดแรงผ้าแพรเดินออกจากกองถ่ายพลางนวดไหล่เบา ๆ ความเหนื่อยล้าถาโถมเข้าใส่จนไม่อยากแวะไปไหนต่อ อยากกลับไปซบเตียงนุ่ม ๆ ที่บ้านมากกว่า เพื่อให้หน้าตาได้พักผ่อน และพร้อมสำหรับการถ่ายทำในวันพรุ่งนี้“ให้พี่ไปส่งที่บ้านไหม?” ผู้จัดการสาวหันมาถามด้วยน้ำเส