ผ้าแพรเลิกสนใจเหล่าไก่ที่เคยเดินเข้ามารบกวน และหันสายตามองไปยังเด็กชายผู้มีแววตาโตเกินวัย เขานั่งพิงฝาไม้ของเล้าไก่ เศษไม้ไผ่ในมือถูกจับเล่นเบา ๆ พลางทอดสายตามองไปยังที่ว่างเบื้องหน้า
เริ่นเหว่ยหยางนั่งนิ่ง ท่ามกลางสายลมอ่อนของยามบ่ายที่พัดผ่านใบหญ้าให้เอนลู่ช้า ๆ ข้างเล้าไก่ทรุดโทรมในหมู่บ้านเล็ก ๆ ห่างไกลผู้คน ดอกหญ้าแห้งเหี่ยวโผล่ขึ้นจากผืนดินแข็งกระด้าง สะท้อนความว่างเปล่าที่ไม่มีใครเหลียวแล แม้จะมีอายุเพียงสิบขวบ แต่แววตาของเขากลับแข็งกร้าวเกินวัยนัก ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปยังท้องฟ้าที่ทอดยาวไร้จุดสิ้นสุด เสียงจิ้งหรีดร้องระงม เสียงไก่ขันดังแทรกอยู่ใกล้ ๆ เขาเงียบงัน ราวกับกำลังกลืนกินความทรงจำบางอย่างที่ฝังแน่นไม่เคยจาง เขาคือ “หวังเหว่ยหยาง” บุตรชายของแม่ทัพหวังแห่งเมืองหลวง ผู้เคยเป็นเสาหลักของกองทัพแคว้นชาง แต่ในวันที่อำนาจเริ่มสั่นคลอน ขุนนางผู้ละโมบและจักรพรรดิผู้หวาดระแวงก็ร่วมกันวางแผนโค่นล้มตระกูลหวังจนสิ้น คืนนั้น… ตอนที่เขาอายุเพียงห้าขวบ เปลวไฟลุกท่วมทั่วจวนใหญ่ เสียงดาบฟาดฟันปะทะกันระงม เสียงทหารโห่ร้องดังทั่วฟ้า เหว่ยหยางถูกปลุกขึ้นจากนิทราด้วยมือสั่นเทาของมารดา มือที่เปื้อนเลือด… “เหว่ยหยาง… อย่าร้อง อย่ากลัวไปนะลูก ตามแม่มาเถอะ” น้ำเสียงของนางแม้จะสั่น แต่แฝงไว้ด้วยความกล้าหาญอันเปี่ยมล้น นางแบกลูกชายวิ่งฝ่าความมืด ทั้งที่เลือดจากบาดแผลยังไหลไม่หยุด ไม่ยอมพัก ไม่ยอมหยุดฝีเท้า ทั้งสองหนีออกจากเมืองหลวง ฝ่าป่าฝ่าเขา ใช้เวลาหลายวัน จนในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองคือใคร มารดาของเขาแสร้งเป็นเพียงหญิงเดินทางที่มากับบุตรชาย นางใช้เงินที่เหลืออยู่น้อยนิดซื้อที่ดินและกระท่อมร้างใกล้ตีนเขาอันแห้งแล้ง เหว่ยหยางพยายามปีนเขาเพื่อจับไก่ป่ามาได้สองตัว จากนั้นก็ช่วยกันทำเล้าไก่ไว้ให้พอมีไข่เลี้ยงชีวิตประทังกันไปวัน ๆ เขาต้องเติบโตด้วยตนเองตั้งแต่วันที่หนีออกมา ต้องดูแลมารดาที่อ่อนแรงลงทุกวันด้วยสองมือของเด็กชายอายุเพียงสิบปี แต่เขาไม่เคยร้องไห้… ไม่ใช่เพราะไม่เจ็บ ไม่เสียใจ แต่เพราะเขาได้สาบานไว้แล้วว่า วันหนึ่ง เขาจะกลับไปทวงคืนความยุติธรรมให้ตระกูลหวัง แซ่เดิมของท่านพ่อ ถึงตอนนี้เขากับมารดาจะเปลี่ยนมาใช้นามสกุล “เริ่น” ซึ่งเป็นแซ่ที่มารดาตั้งขึ้นเพื่อปกปิดตัวตน แม้ชีวิตจะเริ่มต้นจากจุดที่ต่ำที่สุด เขาก็จะปีนขึ้นไปให้ถึงยอดฟ้าอีกครั้ง เพื่อความยุติธรรม… หรือเพื่อแก้แค้นให้ท่านพ่อผู้ล่วงลับ เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ฝังลึกในใจ เหว่ยหยางก็กำมือแน่นด้วยความคับแค้น แล้วจู่ ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นต้นหญ้าต้นหนึ่ง มันมีดอกสีม่วงชูช่อไหวอยู่ท่ามกลางแดดอ่อน ยามจ้องมอง เขากลับรู้สึกสงบลงอย่างประหลาด ราวกับมันปลอบโยนหัวใจที่ด้านชาให้กลับมีชีวิตอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปใกล้ รดน้ำให้มันอีกครั้งอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหยุดมองรอบ ๆ แล้วก็ต้องประหลาดใจ… บริเวณที่ต้นหญ้าต้นนี้ขึ้น กลับดูเขียวชอุ่ม สดใส ผิดกับพื้นดินโดยรอบซึ่งแห้งแล้งและไร้ชีวิต ที่นี่ไม่เคยปลูกอะไรขึ้นเลยแม้แต่ต้นเดียว แต่ต้นหญ้าเล็ก ๆ นี้กลับเติบโตงอกงามราวกับได้รับพรจากฟ้า เขาคิดแล้วก็หัวเราะเบา ๆ กับตนเอง ก่อนจะเดินหยิบธนูคู่ใจเข้าไปยังภูเขาใหญ่เบื้องหน้า วันนี้…เขาต้องหาอาหารมาให้มารดา แม้ต้องเดินผ่านหุบเขา แม้จะพบชาวบ้านระหว่างทางบ้าง แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เขานัก เพราะทุกคนรู้ว่าเขาไม่ใช่คนในหมู่บ้าน และนั่นก็อาจเป็นสิ่งที่ดี… สำหรับครอบครัวของเขา การไม่เป็นที่สนใจ คือความปลอดภัยสูงสุดในตอนนี้ เหว่ยหยางเดินไปตามทางที่ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรเท่าใดนัก สองเท้าเหยียบย่ำผ่านพื้นหญ้าแห้งกรัง ต้นไม้ที่เคยเขียวชอุ่มบัดนี้กลับเหี่ยวเฉาราวกับหมดสิ้นชีวิต ‘นานแค่ไหนแล้ว… ที่ฝนไม่ตกลงมาในหมู่บ้านแห่งนี้?’ เขาเงยหน้ามองฟ้าแห้งแล้ง ก่อนจะก้มมองพื้นดินแตกระแหงใต้ฝ่าเท้า หัวใจของเด็กชายอายุเพียงสิบขวบเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง ขณะเดียวกัน คล้อยหลังเหว่ยหยางไป ชาวบ้านที่เดินผ่านกลับมองตามเขาด้วยแววตาเวทนาและสลดใจ ต่างหันมาสบตากันและพูดถึงเรื่องราวของเด็กชายที่พึ่งพาตนเองเกินวัย “ดูเด็กผู้นั้นสิ… อายุแค่นี้แต่ใจเด็ดนัก” หญิงผู้หนึ่งเอ่ยเบา ๆ “ถ้าไม่กล้า แล้วจะมีอะไรกินเล่า ได้ข่าวว่ามารดาของเขาล้มป่วยมานานแล้ว… แม้แต่จะลุกก็ยังทำไม่ได้ น่าสงสารจริง ๆ” อีกคนพูดพลางส่ายหน้าอย่างเศร้า ทั้งสองหันกลับไปมองทางที่เด็กชายเพิ่งเดินผ่าน ก่อนจะเร่งฝีเท้ากลับบ้านของตน ทว่าเหว่ยหยางไม่รับรู้ถึงบทสนทนาเหล่านั้นเลย เขามุ่งหน้าสู่ป่าด้วยใจตั้งมั่น หวังเพียงจะหาอาหารประทังชีวิต และหากโชคดีอาจได้สัตว์สักตัวไปขายในเมือง เพื่อแลกกับเงินซื้อข้าวสารและเสื้อผ้ารับลมหนาวที่ใกล้เข้ามาทุกที ดูเหมือนสวรรค์จะยังไม่ลืมเขา… เพียงไม่นานหลังจากเข้าสู่ป่าลึก เขาก็พบกับกวางป่าตัวหนึ่ง แม้ไม่ใหญ่นัก แต่ก็ถือว่าเป็นสัตว์ตัวแรกที่เขามีโอกาสล่าได้ด้วยตนเอง เหว่ยหยางลดฝีเท้าช้า ๆ ย่องเข้าใกล้อย่างระมัดระวัง สายตาจับจ้องไปยังกวางที่กำลังเล็มหญ้าแห้ง มือที่จับธนูสั่นเล็กน้อยเพราะทั้งวันยังไม่ได้กินอาหาร แต่เด็กชายก็รวบรวมสติทั้งหมด ยกธนูขึ้น เล็งอย่างมั่นคง ก่อนจะปล่อยลูกศรพุ่งออกไปอย่างแม่นยำ เสียงแหลมของธนูฉีกอากาศเพียงชั่ววินาที ก่อนจะปักเข้าที่ลำคอของกวางอย่างพอดิบพอดี ร่างของมันทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง หัวใจของเหว่ยหยางเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นและดีใจ เขารีบตรงเข้าไปดูร่างของกวางเพื่อแน่ใจว่ามันหมดลมหายใจแล้วจริง ๆ กวางตัวนี้แม้จะไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่ก็ยังโตเกินกว่าเขาหลายเท่าตัว โชคดีที่เขานำเชือกที่ถักจากเถาวัลย์ติดตัวมาด้วย เขาใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดหลายปี ผูกกวางเข้ากับไม้ที่เตรียมไว้เป็นเลื่อนง่าย ๆ แล้วออกแรงลากมันไปตามทางราบที่ปกคลุมด้วยหญ้าแห้ง เส้นทางนี้หลีกเลี่ยงผู้คนได้ดี และตรงกลับบ้านของเขาพอดี การนำกวางไปขายในเมืองต้องเป็นไปอย่างมิดชิด และคนเดียวที่พอจะช่วยลากเกวียนได้ก็คือท่านป้าฟ่านหนิง หลังจากฝืนแรงลากกวางมาจนถึงบ้าน เขาก็หาที่ลับตาเก็บมันไว้ก่อน แล้วจึงเดินเข้าไปดูมารดาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่านางยังคงหลับ เขาจึงย่อตัวลงจับแขนเบา ๆ พอแน่ใจว่าเพียงแค่หลับไปจึงวางใจ เด็กชายเดินเข้าครัวไปหยิบข้าวต้มใส่ไข่ที่เขาเคี่ยวไว้ตั้งแต่เช้า โชคดีที่มันยังอุ่นอยู่ เขาจัดเตรียมน้ำและอาหารไว้พร้อมในถาด เมื่อมองถ้วยข้าวต้ม กลิ่นหอมของมันทำให้น้ำลายส่อแววจะหลั่งไหล แต่เมื่อคิดถึงมารดาที่ยังป่วยไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้ เด็กชายก็กัดฟัน หักห้ามใจ ปล่อยให้ความหิวรอไปก่อน ผ้าแพรเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยสายตาเงียบงัน ตั้งแต่ที่เด็กชายลากสิ่งใดบางอย่างกลับมา แววตาของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับกำลังวางแผนหรือปิดบังอะไรอยู่ และไม่นาน เขาก็เดินออกจากบ้านอีกครั้ง ‘เจ้าเด็กคนนี้จะทำอะไรอีกหรือ?’ นางครุ่นคิดด้วยความสงสัย ตั้งแต่ต้องมาเป็นต้นหญ้า นางก็รู้สึกว่าทุกอย่างลำบากเหลือเกิน ไม่มีพลังวิเศษ ไม่มีปาฏิหาริย์ ทุกวันก็ได้แค่มอง…เฝ้ามอง และเฝ้ารอ ‘นี่ข้าต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ไปตลอดเลยหรืออย่างไร…?’ ความน้อยใจถาโถมเข้ามาอย่างเงียบงัน ราวกับลมเย็นที่พัดผ่านกลางทุ่งร้างเมื่อคิดถึงฟ่านอิง เด็กน้อยก็คลานเข้ามาหานางพอดี เขายังดูน่ารักมากขึ้นทุกวัน ฮวาอี้อุ้มเขาไว้ในอ้อมแขน เดินชมร้านไปพลาง เด็กน้อยก็มองนางด้วยสายตาใสซื่อราวกับกำลังพยายามจดจำใบหน้าของผู้คนรอบตัวอย่างจริงจังเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน จนถึงกำหนดวันแต่งงาน ฮวาอี้กลับไปพักที่บ้านของเหว่ยหยาง และเข้าไปเตรียมตัวที่ร้านในเมืองหลวงเมื่อถึงวันงาน เหว่ยหยางส่งเกี้ยวแปดคนหามมาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อรับตัวเจ้าสาว ผู้คนริมทางต่างพากันชื่นชมและยินดี เมื่อเกี้ยวหยุดหน้าบ้าน เขาก็เป็นผู้มารับตัวนางด้วยตนเองฮวาอี้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดงดงาม ผ้าคลุมหน้าสีเดียวกันปิดบังใบหน้าไว้ บนศีรษะประดับด้วยปิ่นที่เหว่ยหยางเคยมอบให้นางเมื่อครั้งก่อน แซมด้วยปิ่นหยกอันใหม่ที่ส่องประกายเจิดจรัสยิ่งนักหลังพิธีเสร็จสิ้น เหว่ยหยางพานางเข้าห้องหอ ซึ่งเป็นห้องเดิมที่นางเคยนอนป่วยอยู่ บัดนี้ถูกประดับตกแต่งด้วยผ้าแพรสีแดงสด ดูอบอุ่นและเป็นสิริมงคลยิ่งนัก“ฮวาอี้…” เขาเอ่ยเรียกนางเบา ๆ“เจ้าค่ะ” เสียงตอบรับของนางนุ่มนวล เจือความเขินอาย“ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาของข้าแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสียเปรียบอีก คืนนี้เจ้าตรวจร่างกายของข้าได้เต็มที
“เจ้าเช็ดน้ำลายเสียหน่อยเถิด” เหว่ยหยางเอ่ยยิ้ม ๆฮวาอี้รีบยกมือเช็ดปากทันที ทว่ากลับไม่มีอะไรอย่างที่เขาว่า นางจึงหันมามองเขาตาขวางเหว่ยหยางหัวเราะเสียงดัง เขารู้สึกว่าการมีนางอยู่ให้หยอกเย้าเช่นนี้ คือความสุขที่แท้จริงของเขา“ข้าอยากออกไปข้างนอกแล้ว” ฮวาอี้รีบเปลี่ยนเรื่อง“ได้เลย หากทุกคนได้เห็นเจ้า คงดีใจกันไม่น้อย โดยเฉพาะท่านแม่ของข้า” เขาตอบก่อนจะเข้ามาพยุงนาง แม้นางจะเดินได้แล้ว แต่เขาก็ยังคงห่วงใยอย่างไม่คลายฮวาอี้รับรู้ถึงความใส่ใจของเขา จึงยินยอมให้เขาช่วยพยุงโดยไม่ขัดขืน นางกลับรู้สึกอบอุ่น… อยากให้เขาเอาใจใส่เช่นนี้ตลอดไปจริง ๆเมื่อเดินออกมานอกเรือน กลับไม่พบผู้ใดอยู่เลยแม้แต่คนเดียว เป็นเรื่องแปลกที่ไม่มีบ่าวมาคอยดูแล“ทุกคนไปไหนกันหมดหรือ?” ฮวาอี้ถามอย่างสงสัย“ตอนนี้ท่านแม่ไปช่วยงานที่อีกเรือนหนึ่ง ข้าจะพาเจ้าไปดูด้วยตนเอง”“ช่วยงานอะไรหรือ? ที่นี่มีงานให้ทำด้วยหรือ?” นางถามอย่างแปลกใจเหว่ยหยางไม่ปล่อยให้ความสงสัยนั้นอยู่นาน เขาจูงมือนางมายังเรือนหลังหนึ่งซึ่งมีบ่าวรับใช้นั่งทำงานกันอยู่หลายคน และตรงกลางเรือนก็คือมารดาของเขาเมื่อสายตาของฮวาอี้มองไปยังสิ่งที่พวกเขา
“ข้าไม่ขอกลับไปยังโลกเดิมอีก… ในเมื่อที่แห่งนี้มีคนที่รักข้ารออยู่ ข้าย่อมไม่หนีเขาไปที่ใดได้อีก ท่านสามารถส่งข้ากลับไปได้หรือไม่?” หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงสั่น น้ำตาไหลพรากลงมาตามพวงแก้มชายชราแย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “หากเจ้าเลือกเช่นนี้ ตัวตนของเจ้าในโลกเดิมจะสูญสลายไปทันที… เจ้ายอมรับได้แล้วจริงหรือ?”“ข้ายอมรับ” ฮวาอี้ตอบด้วยแววตามุ่งมั่น น้ำเสียงหนักแน่นเปี่ยมความเชื่อมั่นเมื่อได้รับคำยืนยันอีกครั้ง ชายชราก็โบกมือเบา ๆ ภาพของร่างในโรงพยาบาลค่อย ๆ จางหาย พร้อมกับเรื่องราวในโลกเดิมที่นางเคยดำรงอยู่“บัดนี้ เจ้าหาได้มีตัวตนในโลกเดิมอีกต่อไปแล้ว… เจ้าจงใช้ชีวิตที่เจ้าเลือกให้คุ้มค่า ส่วนมิติที่ข้ามอบให้ จะยังคงอยู่ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของเจ้า ขอให้เจ้าพบความสุขในสิ่งที่เลือกไว้เถิด”เมื่อกล่าวจบ ร่างของชายชราก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากสายตา เหมือนสายลมที่พัดผ่านฮวาอี้ตกใจ รีบร้องเรียกเสียงหลง “เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ! ท่านยังไม่ส่งข้ากลับไปเลย ข้าจะกลับไปโลกนั้นได้อย่างไร!” นางโอดครวญอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดเขาจึงไม่เคยบอกอะไรให้นางรู้ล่วงหน้าสักครั้งแต่ไม่นานนัก เส้นทางสีขาวสว่างไสวก็ปรากฏขึ้นตร
ไป๋จิ้งอวี่รับดาบนั้นไว้ แต่แรงปะทะรุนแรงจนเขากระอักเลือดออกมา ร่างกายของเขาเองก็อ่อนแรงเต็มที ทว่าในห้วงสุดท้ายนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นนักฆ่าคนสนิทปรากฏตัวขึ้น เขาซ่อนรอยยิ้มไว้ในเงามืด ศึกครั้งนี้เขายังไม่แพ้!นักฆ่าในชุดดำที่เพิ่งมาถึง รีบพุ่งเข้าหาด้วยความรวดเร็ว ดาบในมือฟาดลงมาเพื่อช่วยเจ้านายของตนโดยไม่ลังเลฮวาอี้ที่เห็นดังนั้น รีบผลักเหว่ยหยางให้พ้นทาง แล้วรับคมดาบแทน ร่างของนางทรุดลงทันทีตรงหน้าชายคนรัก“ไม่!!” เหว่ยหยางตะโกนลั่น ก่อนจะใช้ดาบในมือตวัดแทงทะลุร่างของไป๋จิ้งอวี่ทันที ศัตรูตัวฉกาจล้มลงในบัดดลเหว่ยหยางรีบโผเข้าประคองร่างของฮวาอี้ไว้ในอ้อมแขน “ฮวาอี้… เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่… อย่าเป็นอะไรไปเลย…” เสียงของเขาสั่นเครือ มือของเขากุมมือของนางไว้แน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นคมดาบเล่มนั้นปักกลางอกซ้ายของนางพอดี เลือดสีแดงไหลรินลงมาเปื้อนเสื้อคลุมสีอ่อนอย่างน่าสลดใจชายชุดดำอีกคนที่เหลืออยู่เห็นท่าไม่ดี พยายามหนีเอาตัวรอด แต่ยังไม่ทันพ้นระยะ ก็ถูกชายหน้าหวานผู้หนึ่งแทงร่างจนสิ้นใจไป๋เทียนวิ่งตรงเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ เมื่อมองเห็นหญิงสาวในอ้อมแขนของเหว่ยหยาง เขา
“เจ้าช่างปากหวานเสียจริง…” ฮวาอี้ยิ้มบาง “แล้วเจ้าส่งคนไปดูทางขบวนเจ้าบ่าวหรือยัง?”“ข้าน้อยส่งไปแล้วตามที่นายหญิงสั่งเจ้าค่ะ” ลัวหยูตอบด้วยความเคารพ นางไม่เข้าใจนักว่านายหญิงกังวลสิ่งใด เพราะเหว่ยหยางเองก็เป็นผู้มีฝีมือสูงส่ง ไม่มีใครกล้ารังแกได้ง่าย ๆ“ดี…ข้าค่อยวางใจได้หน่อย” ฮวาอี้พึมพำเบา ๆ พลางลูบต้นหญ้าปักกิ่งในมืออย่างแผ่วเบา หากเกิดเหตุร้ายใด ๆ ขึ้น นางยังมีวิธีช่วยเหลือเขาทางฝั่งของ เหว่ยหยางเขาสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงเข้มอย่างสง่างาม แววตาเต็มไปด้วยความสุข ในที่สุด…วันที่เขารอคอยก็มาถึงระหว่างทางขบวนขันหมากกำลังเคลื่อนตัวอย่างสงบ ผ่านเส้นทางแคบในหุบเขา ท่ามกลางเสียงดนตรีและเสียงหัวเราะเบา ๆ ของผู้ร่วมขบวนกระทั่ง…เงาดำหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า!ชายในชุดดำกระโจนออกมายืนขวางทางรถม้าอย่างไม่เกรงกลัวสายตาใด ๆ“นายท่าน! เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”เสียงอู๋หยวนดังขึ้นอย่างร้อนรน ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดผิดปกติ…“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” เหว่ยหยางขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง“มีชายชุดดำขวางหน้ารถม้าของเราขอรับ!”“ถ้าเช่นนั้น ฆ่ามันเสีย!” เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงกร้าว โม
“เจ้า…ปลูกมันขึ้นมาได้เช่นไร?” เขาเอ่ยถามเสียงสั่นอย่างไม่เชื่อสายตา“ข้าก็ปลูกมันลงในดินธรรมดาเท่านั้น มันก็ขึ้นมาเอง ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลยขอรับ” เหว่ยหยางพูดออกมาด้วยท่าทางโอ้อวดเล็กน้อยเจ้าของร้านขายยามองทั้งสองด้วยสายตาเคลือบความหมั่นไส้ แต่ในใจก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอันใด เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่เรื่องธรรมดา ต้นโสมสวรรค์จะเติบโตได้ต้องอาศัยปัจจัยบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ง่ายดาย เช่นเดียวกับโชคชะตาและบุญวาสนา และแม้จะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายใช้วิธีใด แต่เรื่องนี้ก็ไม่สมควรถามออกไปตรง ๆ“แล้วต้นโสมต้นนี้… เจ้าจะนำกลับไปหรือไม่? หากไม่ ข้าขอซื้อต่อในราคาที่สูงกว่าหลายเท่า” เขาถามพลางจับต้นโสมแน่นราวกับกลัวว่ามันจะหลุดมือเหว่ยหยางแย้มยิ้มบาง “หากไม่ใช่เพราะท่านมอบเมล็ดให้ข้า ข้าก็ไม่มีวันได้ต้นโสมต้นนี้มา ข้ามอบมันให้ท่านโดยไม่คิดสิ่งตอบแทนใด ๆ ถือว่าข้าได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้ว และเมื่อสัญญานั้นสิ้นสุด ข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาพบท่านอีกหรือไม่”เจ้าของร้านขายยาพลันยิ้มกว้างด้วยความยินดีที่ได้ต้นโสมสวรรค์มาโดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่ตำลึงเดียว แต่เมื่อได้ยินว่าเหว่ยหยางจะจากไป ก