ขณะที่เริ่นเหว่ยหยางบังคับเกวียนลามุ่งหน้ากลับหมู่บ้าน เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีตั้งแต่ยังไม่พ้นเขตเมือง สัมผัสแปลก ๆ เหมือนมีสายตาคอยจับจ้องอยู่เบื้องหลังตั้งแต่ตอนที่เขาขายกวางตัวนั้น
มือเล็ก ๆ กำแน่นตรงหน้าอก ที่ซ่อนเงินทั้งหมดไว้ในเสื้อผ้าชั้นใน ความกังวลเกาะกินหัวใจ เขาได้แต่ภาวนาว่า ขอให้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในคืนที่ดึกดื่นเช่นนี้ เมื่อเดินทางมาได้ครึ่งทาง ชายผู้หนึ่งก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้กระโจนเข้าขวางเกวียนของเขา ชายคนนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น ร่างผอมโซจนแทบเห็นกระดูก เหว่ยหยางรีบหยุดเกวียนด้วยความตกใจ เขาจับจ้องชายเบื้องหน้าด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนเอ่ยเสียงนิ่ง “เจ้าคือใคร? มาขวางทางข้าทำไม?” ขณะนั้น ดวงตาของเขากวาดไปสองข้างทาง สำรวจว่าอาจมีใครซ่อนตัวอยู่อีก ชายขอทานหัวเราะในลำคอ พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าหนูน้อย ข้ารู้นะว่าเจ้าเพิ่งขายของมีค่า ได้เงินมาไม่น้อย เอามาแบ่งข้าบ้างสิ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ” ได้ยินเช่นนั้น เหว่ยหยางกลับแสยะยิ้มเย็น มองชายตรงหน้าขึ้นลงราวกับประเมินศัตรู “เจ้าก็มีมือมีเท้าครบ เหตุใดไม่ไปหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง ต้องมาดักปล้นเด็กเช่นข้า เจ้านึกว่าข้าจะยอมงั้นหรือ?” เขาตอบเสียงเรียบ ไม่แฝงความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ขอทานหัวเราะเหี้ยม “ปากดีนักนะเด็กน้อย ถ้าไม่อยากตาย ก็ส่งเงินและของทั้งหมดมา! รวมถึงของในรถเกวียนด้วย!” เขากำไม้ในมือแน่น ดวงตาแวววาวเมื่อเห็นถุงข้าวและกลิ่นเนื้อที่โชยออกจากท้ายเกวียน ท้องไส้ของเขาร้องโครกด้วยความหิวโหย เหว่ยหยางกำลูกธนูในมือแน่น สายตาเยียบเย็น “ถ้าอยากได้… ก็เข้ามาเอาเอง แต่อย่าลืมว่าเจ้าต้องแลกด้วยชีวิต ในเมื่อชีวิตของเจ้ามันไร้ค่า ตายเสียยังจะดีกว่า” คำท้าทายนั้นจุดชนวนให้ชายขอทานพุ่งเข้าใส่ทันทีด้วยความโกรธจัด ร่างผอมโซของเขาวิ่งเข้ามาด้วยไม้ในมือ เตรียมจะฟาดลงบนเด็กชายเบื้องหน้าอย่างสุดแรง แต่เหว่ยหยางไม่ได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย เขารอจังหวะเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะยกลูกธนูขึ้นแล้วฟาดด้วยปลายลูกธนูที่แหลมคมเข้าใส่ศัตรูอย่างแม่นยำ ขอทานที่คิดว่าเด็กชายจะอ่อนแอ กลับต้องชะงักเมื่อเจอแรงสวนกลับ ท่ามกลางความตกใจ เขาเหวี่ยงไม้ไปอย่างสะเปะสะปะ ทว่าไม่มีชิ้นไหนแตะต้องร่างของเด็กชายได้เลย เพียงชั่วพริบตา เหว่ยหยางก็กระโจนเข้าใส่ด้วยความว่องไว ลูกธนูในมือพุ่งเสียบเข้าลำคอของชายขอทานอย่างแม่นยำ ร่างนั้นทรุดลงทันที พร้อมเสียงหอบสุดท้าย เด็กชายมองร่างไร้วิญญาณที่นอนแน่นิ่งอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า เขาเดินเข้าไป ดึงลูกธนูออกจากลำคออย่างไม่ลังเล แล้วลากร่างของชายขอทานไปทิ้งไว้ข้างพุ่มไม้ มือเล็ก ๆ เช็ดเลือดที่ปลายลูกธนูลงกับเสื้อผ้าขาด ๆ ของร่างนั้น ก่อนจะกลับมานั่งบนเกวียน และบังคับลามุ่งหน้ากลับบ้านอีกครั้ง ปล่อยให้ร่างไร้วิญญาณนั้นเป็นเพียงซากที่สัตว์ป่าจะจัดการในยามค่ำคืน… กว่าเหว่ยหยางจะขับเกวียนกลับถึงบ้าน ฟ้ายามค่ำก็ปกคลุมทั่วหมู่บ้าน เขาเปิดประตูเข้าไป พบว่าท่านป้าฟ่างหนิงเดินออกมาต้อนรับ “เจ้ากลับมาแล้วหรือ แม่ของเจ้าเพิ่งหลับไปเมื่อครู่” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงโล่งใจ ก่อนจะกวาดตามองเขาทั่วร่าง เมื่อเห็นว่าไม่มีบาดแผลใด จึงพยักหน้าเบา ๆ “ข้าขอบคุณท่านป้ามากขอรับ เดี๋ยวข้าจะไปส่งท่านป้าเอง ตอนนี้มันดึกมากแล้ว ข้ากลัวว่าท่านจะไม่ปลอดภัย” เหว่ยหยางพูดพลางรีบยกของลงจากเกวียน ท่านป้าก็ช่วยหยิบของด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “แม่ของเจ้าคงดีใจมากเมื่อได้เห็นของพวกนี้ เจ้าไม่ต้องส่งข้าหรอก ข้าเคยกลับมืดค่ำอยู่บ่อยครั้งแล้ว” นางพูดพลางหัวเราะเบา ๆ ก่อนขึ้นนั่งบนเกวียน เหว่ยหยางยื่นถุงผ้าเล็ก ๆ ให้แก่ท่านป้า ข้างในมีเนื้อหมู ข้าวขาว และผ้าสีพื้นอย่างดี “ท่านป้ารับไว้เถอะขอรับ อย่าปฏิเสธเลย ท่านช่วยข้ามามาก ข้าเพียงอยากตอบแทนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” ฟ่านหนิงมองของในมือ สีหน้าแสดงความเกรงใจ “เจ้ารู้ไหม… ของพวกนี้มากเกินไปแล้ว เจ้าเก็บไว้ให้แม่ของเจ้าดีกว่า” เริ่นเหว่ยหยางยิ้มบางออกมา “ท่านป้ารับไว้เถอะขอรับ ข้ายังมีของอยู่อีกมาก ส่วนนี้ถือเป็นค่ารถเกวียนลาของท่าน ท่านเก็บไว้เถิด หากท่านปฏิเสธ ข้าคงเสียใจมาก” เขาพูดพลางทำสีหน้าเศร้าเล็กน้อยอย่างตั้งใจ ฟ่านหนิงมองข้าวของในมือ ทั้งอาหาร และเงินหนึ่งร้อยอีแปะด้วยความลังเล นางเหลือบมองหน้าเหว่ยหยางสลับกับของที่อยู่ในมือ ก่อนถอนหายใจเบา ๆ “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะรับไว้ก็แล้วกัน… เจ้ากลับเข้าไปดูแลแม่ของเจ้าเถอะ ครั้งหน้าไม่ต้องให้ข้ามากขนาดนี้ก็ได้” นางเอ่ยพลางยิ้มเอ็นดู เหว่ยหยางยิ้มเล็กน้อย เขายืนส่งท่านป้าฟ่านหนิงจนร่างของนางลับสายตา ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในบ้าน เสียงเรียกอ่อนแรงของมารดาดังขึ้นทันที “เหว่ยหยาง… ลูกกลับมาแล้วหรือ?” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความห่วงใย ราวกับเฝ้ารอเขามาตลอดยามที่หลับตา “ลูกกลับมาแล้วขอรับ ต่อจากนี้บ้านเราจะไม่ลำบากอีกต่อไป ท่านแม่จะได้กินอาหารดี ๆ ทุกวัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความหวัง ก่อนจะหยิบตั๋วเงินสิบห้าตำลึงทองออกมายื่นให้มารดา เริ่นหรงฮวามองเงินจำนวนมากด้วยสายตาตื้นตัน นางไม่ได้จับเงินมากมายเช่นนี้มานานมากแล้ว แววตาเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม ก่อนจะมองลูกชายด้วยสายตาเปี่ยมรัก “ในเมื่อตอนนี้เรามีเงินแล้ว เจ้าก็อย่าเสี่ยงขึ้นเขาบ่อยนัก แม่เป็นห่วง” “ถึงเรามีเงินแล้วก็จริง แต่ข้ายังต้องซื้อยา และเงินมากดีกว่าไม่มีไว้ใช้ ท่านแม่ต้องหายป่วยเร็ว ๆ นะขอรับ ถ้าท่านหายดีเมื่อไร ข้าจะไม่ขึ้นเขาบ่อยอีกแน่นอน” เขาพูดยิ้ม ๆ พลางหยอกล้อ “เจ้าช่างปากกล้านัก แม่จะหายเร็ว ๆ เพื่อเจ้าก็แล้วกัน” นางหัวเราะเบา ๆ มองลูกชายด้วยความอ่อนโยน “ท่านแม่กินข้าวแล้วหรือยังขอรับ?” เขาถามพลางหยิบซาลาเปาที่ซื้อมาจากในเมืองขึ้นมา “ท่านป้าฟ่านหนิงทำอาหารให้แม่กินแล้ว เจ้าล่ะ กินอะไรมาหรือยัง?” “ข้ากินซาลาเปามาแล้วในเมือง แต่ยังมีอีกสามลูก ท่านแม่กินอีกสักหน่อยเถอะนะขอรับ” เขาส่งซาลาเปาไปให้นาง เริ่นหรงฮวามองซาลาเปาด้วยความรู้สึกอิ่มเอม “ได้ แม่จะกินอีกสักครึ่งลูกก็แล้วกัน” นางตอบพลางกัดเบา ๆ ความหอมของมันทำให้นางรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เหว่ยหยางมองดูมารดากินด้วยรอยยิ้ม ยามที่นางอิ่ม เขาก็รู้สึกอิ่มไปด้วย… หลังจากนั้น เมื่อมารดาหลับไป เขาก็นำของที่ซื้อมาเข้าเก็บให้เรียบร้อย ห่มผ้าห่มหนาให้มารดาอย่างทะนุถนอม พร้อมกับปูผืนใหม่ให้นอนด้านล่างเตียง เขาเตรียมไว้หลายผืนพอสำหรับหน้าหนาว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดว่า… บ้านหลังนี้ไม่น่าจะต้านลมหนาวได้ เขาคงต้องสร้างบ้านใหม่ในไม่ช้าเมื่อคิดถึงฟ่านอิง เด็กน้อยก็คลานเข้ามาหานางพอดี เขายังดูน่ารักมากขึ้นทุกวัน ฮวาอี้อุ้มเขาไว้ในอ้อมแขน เดินชมร้านไปพลาง เด็กน้อยก็มองนางด้วยสายตาใสซื่อราวกับกำลังพยายามจดจำใบหน้าของผู้คนรอบตัวอย่างจริงจังเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน จนถึงกำหนดวันแต่งงาน ฮวาอี้กลับไปพักที่บ้านของเหว่ยหยาง และเข้าไปเตรียมตัวที่ร้านในเมืองหลวงเมื่อถึงวันงาน เหว่ยหยางส่งเกี้ยวแปดคนหามมาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อรับตัวเจ้าสาว ผู้คนริมทางต่างพากันชื่นชมและยินดี เมื่อเกี้ยวหยุดหน้าบ้าน เขาก็เป็นผู้มารับตัวนางด้วยตนเองฮวาอี้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดงดงาม ผ้าคลุมหน้าสีเดียวกันปิดบังใบหน้าไว้ บนศีรษะประดับด้วยปิ่นที่เหว่ยหยางเคยมอบให้นางเมื่อครั้งก่อน แซมด้วยปิ่นหยกอันใหม่ที่ส่องประกายเจิดจรัสยิ่งนักหลังพิธีเสร็จสิ้น เหว่ยหยางพานางเข้าห้องหอ ซึ่งเป็นห้องเดิมที่นางเคยนอนป่วยอยู่ บัดนี้ถูกประดับตกแต่งด้วยผ้าแพรสีแดงสด ดูอบอุ่นและเป็นสิริมงคลยิ่งนัก“ฮวาอี้…” เขาเอ่ยเรียกนางเบา ๆ“เจ้าค่ะ” เสียงตอบรับของนางนุ่มนวล เจือความเขินอาย“ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาของข้าแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสียเปรียบอีก คืนนี้เจ้าตรวจร่างกายของข้าได้เต็มที
“เจ้าเช็ดน้ำลายเสียหน่อยเถิด” เหว่ยหยางเอ่ยยิ้ม ๆฮวาอี้รีบยกมือเช็ดปากทันที ทว่ากลับไม่มีอะไรอย่างที่เขาว่า นางจึงหันมามองเขาตาขวางเหว่ยหยางหัวเราะเสียงดัง เขารู้สึกว่าการมีนางอยู่ให้หยอกเย้าเช่นนี้ คือความสุขที่แท้จริงของเขา“ข้าอยากออกไปข้างนอกแล้ว” ฮวาอี้รีบเปลี่ยนเรื่อง“ได้เลย หากทุกคนได้เห็นเจ้า คงดีใจกันไม่น้อย โดยเฉพาะท่านแม่ของข้า” เขาตอบก่อนจะเข้ามาพยุงนาง แม้นางจะเดินได้แล้ว แต่เขาก็ยังคงห่วงใยอย่างไม่คลายฮวาอี้รับรู้ถึงความใส่ใจของเขา จึงยินยอมให้เขาช่วยพยุงโดยไม่ขัดขืน นางกลับรู้สึกอบอุ่น… อยากให้เขาเอาใจใส่เช่นนี้ตลอดไปจริง ๆเมื่อเดินออกมานอกเรือน กลับไม่พบผู้ใดอยู่เลยแม้แต่คนเดียว เป็นเรื่องแปลกที่ไม่มีบ่าวมาคอยดูแล“ทุกคนไปไหนกันหมดหรือ?” ฮวาอี้ถามอย่างสงสัย“ตอนนี้ท่านแม่ไปช่วยงานที่อีกเรือนหนึ่ง ข้าจะพาเจ้าไปดูด้วยตนเอง”“ช่วยงานอะไรหรือ? ที่นี่มีงานให้ทำด้วยหรือ?” นางถามอย่างแปลกใจเหว่ยหยางไม่ปล่อยให้ความสงสัยนั้นอยู่นาน เขาจูงมือนางมายังเรือนหลังหนึ่งซึ่งมีบ่าวรับใช้นั่งทำงานกันอยู่หลายคน และตรงกลางเรือนก็คือมารดาของเขาเมื่อสายตาของฮวาอี้มองไปยังสิ่งที่พวกเขา
“ข้าไม่ขอกลับไปยังโลกเดิมอีก… ในเมื่อที่แห่งนี้มีคนที่รักข้ารออยู่ ข้าย่อมไม่หนีเขาไปที่ใดได้อีก ท่านสามารถส่งข้ากลับไปได้หรือไม่?” หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงสั่น น้ำตาไหลพรากลงมาตามพวงแก้มชายชราแย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “หากเจ้าเลือกเช่นนี้ ตัวตนของเจ้าในโลกเดิมจะสูญสลายไปทันที… เจ้ายอมรับได้แล้วจริงหรือ?”“ข้ายอมรับ” ฮวาอี้ตอบด้วยแววตามุ่งมั่น น้ำเสียงหนักแน่นเปี่ยมความเชื่อมั่นเมื่อได้รับคำยืนยันอีกครั้ง ชายชราก็โบกมือเบา ๆ ภาพของร่างในโรงพยาบาลค่อย ๆ จางหาย พร้อมกับเรื่องราวในโลกเดิมที่นางเคยดำรงอยู่“บัดนี้ เจ้าหาได้มีตัวตนในโลกเดิมอีกต่อไปแล้ว… เจ้าจงใช้ชีวิตที่เจ้าเลือกให้คุ้มค่า ส่วนมิติที่ข้ามอบให้ จะยังคงอยู่ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของเจ้า ขอให้เจ้าพบความสุขในสิ่งที่เลือกไว้เถิด”เมื่อกล่าวจบ ร่างของชายชราก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากสายตา เหมือนสายลมที่พัดผ่านฮวาอี้ตกใจ รีบร้องเรียกเสียงหลง “เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ! ท่านยังไม่ส่งข้ากลับไปเลย ข้าจะกลับไปโลกนั้นได้อย่างไร!” นางโอดครวญอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดเขาจึงไม่เคยบอกอะไรให้นางรู้ล่วงหน้าสักครั้งแต่ไม่นานนัก เส้นทางสีขาวสว่างไสวก็ปรากฏขึ้นตร
ไป๋จิ้งอวี่รับดาบนั้นไว้ แต่แรงปะทะรุนแรงจนเขากระอักเลือดออกมา ร่างกายของเขาเองก็อ่อนแรงเต็มที ทว่าในห้วงสุดท้ายนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นนักฆ่าคนสนิทปรากฏตัวขึ้น เขาซ่อนรอยยิ้มไว้ในเงามืด ศึกครั้งนี้เขายังไม่แพ้!นักฆ่าในชุดดำที่เพิ่งมาถึง รีบพุ่งเข้าหาด้วยความรวดเร็ว ดาบในมือฟาดลงมาเพื่อช่วยเจ้านายของตนโดยไม่ลังเลฮวาอี้ที่เห็นดังนั้น รีบผลักเหว่ยหยางให้พ้นทาง แล้วรับคมดาบแทน ร่างของนางทรุดลงทันทีตรงหน้าชายคนรัก“ไม่!!” เหว่ยหยางตะโกนลั่น ก่อนจะใช้ดาบในมือตวัดแทงทะลุร่างของไป๋จิ้งอวี่ทันที ศัตรูตัวฉกาจล้มลงในบัดดลเหว่ยหยางรีบโผเข้าประคองร่างของฮวาอี้ไว้ในอ้อมแขน “ฮวาอี้… เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่… อย่าเป็นอะไรไปเลย…” เสียงของเขาสั่นเครือ มือของเขากุมมือของนางไว้แน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นคมดาบเล่มนั้นปักกลางอกซ้ายของนางพอดี เลือดสีแดงไหลรินลงมาเปื้อนเสื้อคลุมสีอ่อนอย่างน่าสลดใจชายชุดดำอีกคนที่เหลืออยู่เห็นท่าไม่ดี พยายามหนีเอาตัวรอด แต่ยังไม่ทันพ้นระยะ ก็ถูกชายหน้าหวานผู้หนึ่งแทงร่างจนสิ้นใจไป๋เทียนวิ่งตรงเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ เมื่อมองเห็นหญิงสาวในอ้อมแขนของเหว่ยหยาง เขา
“เจ้าช่างปากหวานเสียจริง…” ฮวาอี้ยิ้มบาง “แล้วเจ้าส่งคนไปดูทางขบวนเจ้าบ่าวหรือยัง?”“ข้าน้อยส่งไปแล้วตามที่นายหญิงสั่งเจ้าค่ะ” ลัวหยูตอบด้วยความเคารพ นางไม่เข้าใจนักว่านายหญิงกังวลสิ่งใด เพราะเหว่ยหยางเองก็เป็นผู้มีฝีมือสูงส่ง ไม่มีใครกล้ารังแกได้ง่าย ๆ“ดี…ข้าค่อยวางใจได้หน่อย” ฮวาอี้พึมพำเบา ๆ พลางลูบต้นหญ้าปักกิ่งในมืออย่างแผ่วเบา หากเกิดเหตุร้ายใด ๆ ขึ้น นางยังมีวิธีช่วยเหลือเขาทางฝั่งของ เหว่ยหยางเขาสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงเข้มอย่างสง่างาม แววตาเต็มไปด้วยความสุข ในที่สุด…วันที่เขารอคอยก็มาถึงระหว่างทางขบวนขันหมากกำลังเคลื่อนตัวอย่างสงบ ผ่านเส้นทางแคบในหุบเขา ท่ามกลางเสียงดนตรีและเสียงหัวเราะเบา ๆ ของผู้ร่วมขบวนกระทั่ง…เงาดำหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า!ชายในชุดดำกระโจนออกมายืนขวางทางรถม้าอย่างไม่เกรงกลัวสายตาใด ๆ“นายท่าน! เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”เสียงอู๋หยวนดังขึ้นอย่างร้อนรน ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดผิดปกติ…“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” เหว่ยหยางขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง“มีชายชุดดำขวางหน้ารถม้าของเราขอรับ!”“ถ้าเช่นนั้น ฆ่ามันเสีย!” เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงกร้าว โม
“เจ้า…ปลูกมันขึ้นมาได้เช่นไร?” เขาเอ่ยถามเสียงสั่นอย่างไม่เชื่อสายตา“ข้าก็ปลูกมันลงในดินธรรมดาเท่านั้น มันก็ขึ้นมาเอง ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลยขอรับ” เหว่ยหยางพูดออกมาด้วยท่าทางโอ้อวดเล็กน้อยเจ้าของร้านขายยามองทั้งสองด้วยสายตาเคลือบความหมั่นไส้ แต่ในใจก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอันใด เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่เรื่องธรรมดา ต้นโสมสวรรค์จะเติบโตได้ต้องอาศัยปัจจัยบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ง่ายดาย เช่นเดียวกับโชคชะตาและบุญวาสนา และแม้จะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายใช้วิธีใด แต่เรื่องนี้ก็ไม่สมควรถามออกไปตรง ๆ“แล้วต้นโสมต้นนี้… เจ้าจะนำกลับไปหรือไม่? หากไม่ ข้าขอซื้อต่อในราคาที่สูงกว่าหลายเท่า” เขาถามพลางจับต้นโสมแน่นราวกับกลัวว่ามันจะหลุดมือเหว่ยหยางแย้มยิ้มบาง “หากไม่ใช่เพราะท่านมอบเมล็ดให้ข้า ข้าก็ไม่มีวันได้ต้นโสมต้นนี้มา ข้ามอบมันให้ท่านโดยไม่คิดสิ่งตอบแทนใด ๆ ถือว่าข้าได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้ว และเมื่อสัญญานั้นสิ้นสุด ข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาพบท่านอีกหรือไม่”เจ้าของร้านขายยาพลันยิ้มกว้างด้วยความยินดีที่ได้ต้นโสมสวรรค์มาโดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่ตำลึงเดียว แต่เมื่อได้ยินว่าเหว่ยหยางจะจากไป ก