หลิวจินหลันกับความรักครั้งที่สอง
บทที่ 1
องค์หญิงรอง หลิวจินหลัน
ลมกลางคืนเย็นเฉียบ เสื้อคลุมสีม่วงอ่อนปักลายดิ้นทองหรูหราโบกพลิ้วตามกระแสลม ทั้งที่อากาศกลางคืนค่อนข้างเย็น ทว่าบนหน้าผากมนและตามขมับของ ‘หลิวจินหลัน’ กลับมีหยาดเหงื่อผุดซึม เส้นผมสีดำที่หลุดลุ่ยจากมวนแนบติดข้างแก้มที่ซีดเผือด
นางเชิดคางยืนมองหญิงผู้หนึ่งที่กำลังได้รับโทษทัณฑ์โบยสามสิบไม้
“...อึก...ดี...ตีข้า...ให้ตายไปเลย...ท่านแม่ทัพจะได้รู้ว่าองค์หญิงรองเหี้ยมโหดเพียงใด...ฮึก!”
อดทนกับความเจ็บก่นด่าจนจบประโยค สาวใช้ผู้เคราะห์ร้ายก็กัดปากจนปริแตก หยดน้ำตาเม็ดเล็กร่วงพรูตามสองข้างแก้ม แลดูเป็นสตรีที่เด็ดเดี่ยวและน่าสงสารอะไรอย่างนี้ ทว่าชั่วอึดใจต่อมา เสียงด่าเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นไห้ ก่อนจะตะโกนขอความช่วยเหลือจากเจ้าของจวน
“ทะ ท่านแม่ทัพ...ท่านแม่ทัพ...ฮื่อ ช่วยเสี่ยวลู่ด้วยเจ้าค่ะ...องค์หญิงรองจะฆ่าเสี่ยวลู่แล้ว...”
เป็นการขอความเห็นใจอย่างเวทนาเสียนี่กระไร
กระนั้น หลิวจินหลันก็ไม่สะทกสะท้าน กลับเลิกคิ้วขึ้น จ้องมองสาวใช้ที่ถูกโบยด้วยสายตาเย็นชา
ถึงตรงนี้แม่นมซุนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เดินเข้าไปยืนตรงหน้าสาวใช้ซึ่งเรียกตัวเองว่าเสี่ยวลู่ สะบัดมือตบเข้าที่ใบหน้านางไปฉาดหนึ่ง
“นังหญิงแพศยา! เจ้าต่างหากที่เหี้ยมโหดอวดดี คิดจะลอบปลงพระชนม์องค์หญิงรึ ฝันไปเถอะ เด็กๆ โบยนางให้หนักๆ”
ไม้กระบอกกระหน่ำตีลงบนเอวและต้นขา แม้ว่าสาวใช้นางนั้นจะเจ็บจนสลบไปแล้ว แต่แม่นมซุนก็สั่งให้คนสาดน้ำเย็นใส่ เมื่อฟื้นขึ้นมาก็สั่งให้ลงทัณฑ์ต่อ
สาวใช้นางนี้มีชื่อว่า ‘จางลู่’ เป็นสาวใช้ติดตาม ‘กู้อิ่นมู่’ มาจากจวนเสนาบดีกู้
หากจางลู่เป็นเพียงสาวใช้ธรรมดาก็ว่าไปอย่าง นอกจากจะไม่เจียมกะลาหัว ปีนขึ้นเตียงกู้อิ่นมู่จนได้เป็นสาวใช้อุ่นเตียง ยังลงมือลอบปลงพระชนม์องค์หญิงรอง หลิวจินหลัน
เพียงแค่สืบเชื้อสายราชวงศ์ก็เสี่ยงถูกลอบปลงพระชนม์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เหล่าเชื้อพระวงศ์จึงพกยาต้านพิษเผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน แม้ไม่ได้ป่าวประกาศ ทว่าทุกคนล้วนทราบกันดี
ค่ำคืนนี้กู้อิ่นมู่ออกไปกินเลี้ยงกับเหล่าขุนนาง จางลู่ที่ไม่รู้ว่ากินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน ถึงได้แอบผสมยาพิษไร้สีไร้กลิ่นในน้ำชาที่หลิวจินหลันดื่มประจำ ทว่าในจวนแม่ทัพแห่งนี้หูตาเป็นสัปปะรด สอบสวนเพียงครู่ก็รู้ความว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลัง
จางลู่คงร้อนรนอยากเป็นฮูหยินแม่ทัพเต็มแก่ จึงกล้าลงมือด้วยวิธีแสนโง่เขลา
แม้หลิวจินหลันกินยาขับพิษได้ทันเวลา ทว่าความผิดของจางลู่นั้นไม่อาจอภัยได้อีกแล้ว
ทั้งที่ตลอดมาหลิวจินหลันแกล้งเมินความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แต่การกระทำของจางลู่ครั้งนี้ถือเป็นการล้ำเส้น ด้วยเหตุนี้จางลู่จึงมีสภาพอย่างที่เห็น
“องค์หญิงรอง ข้างนอกลมเย็น เสด็จกลับเข้าไปข้างในเถิดเพคะ”
แม่นมซุนเข้ามาประคองหลิวจินหลัน
นางพยักหน้าด้วยความเหนื่อยล้า
ตอนที่หลิวจินหลันหมุนตัวหันหลังกลับ สายตาก็สะดุดกับเงาร่างของบุรุษที่ยืนอยู่ตรงบันไดหิน ขาที่กำลังก้าวไปข้างหน้าพลันหยุดชะงัก
กู้อิ่นมู่!
เขามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร
เห็นการลงทัณฑ์นานแล้วหรือยัง
นางคิดพร้อมกับใจที่เต้นแรง
...ก็ดี ผู้ชายคนนี้จะได้รู้ถึงความชั่วร้ายในสิ่งที่ผู้หญิงของตนทำ
หลิวจินหลันหลุบตามองพื้นอย่างลังเล ตอนที่ดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมองกู้อิ่นมู่ สายตาของนางเปลี่ยนมาเฉียบคมเหมือนเดิม
นางบอกให้แม่นมซุนช่วยประคองพาไปตรงที่กู้อิ่นมู่ยืนอยู่ เมื่อมายืนตรงหน้าชายหนุ่ม นางฝืนยิ้มพร้อมว่า “จางลู่คนนี้ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ใฝ่สูงคิดการใหญ่เกินตัว แต่เห็นแก่หน้าแม่ทัพกู้ ข้าจึงมอบโทษโบยให้กับนาง หวังว่าแม่ทัพกู้จะไม่ตำหนิที่ข้าลงทัณฑ์คนของท่าน”
กู้อิ่นมู่มองหลิวจินหลันด้วยสีหน้านิ่งเฉย จากนั้นกล่าวเสียงเรียบ
“หากเป็นเช่นนั้นจริง นางก็สมควรได้รับโทษ”
ลมราตรีของต้นฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านไปอีกระลอกหนึ่ง ความหนาวเย็นของอากาศยามค่ำทำเอาหลิวจินหลันอดขนลุกนิดๆ ไม่ได้
ทั้งที่สาวใช้อุ่นเตียงคนโปรดกำลังถูกโบยปางตาย แต่บุรุษผู้นี้กลับใช้คำว่า ‘สมควร’ แทนที่จะ ‘ขอให้หยุด’ เขาคิดอะไรอยู่กันแน่นะ
ยิ่งตอกย้ำความสงสัยเข้าไปใหญ่ เมื่อจางลู่ได้สติและรู้ว่ากู้อิ่นมู่อยู่ตรงนี้ นางรีบตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากชายหนุ่มทันที
“ทะ...ท่านแม่ทัพ...ช่วย...ด้วย...ฮื่อ...ช่วยเสี่ยวลู่ด้วย”
แขนอันสั่นเทาของสาวใช้ผู้เปราะบางเอื้อมออกมาคล้ายกับไขว่คว้าอะไรบางอย่าง พร้อมกับอ้อนวอนด้วยเสียงปนสะอื้น
กู้อิ่นมู่เหลือบมองไปตามเสียงนั้น สีหน้านิ่งเฉยไม่เปลี่ยน อึดใจสั้นๆ เสียงทุ้มดังขึ้นท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของสายลม
“ลากนางออกไป”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
“...อ๊า!” จางลู่ตะลึงลาน ก่อนจะกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง “ไม่...ท่านแม่ทัพ...ไม่จริง อย่าไล่ข้า ท่านแม่ทัพ!!”
เสียงหวีดร้องของจางลู่ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ นั่นหมายถึงนางกำลังถูกลากออกจากจวนแม่ทัพไปแล้ว แต่จนถึงตรงนี้กู้อิ่นมู่กลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ ทั้งไม่ได้ออกหน้าปกป้องคน หลิวจินหลันอยากจะถามเหลือเกินว่าทำไม ทว่าร่างกายที่ถูกพิษเริ่มแสดงอาการอ่อนล้า ปากที่กำลังขยับทำท่าจะถามจึงหุบลงฉับ
ลำพังแค่วิญญาณข้ามกาลเวลามาอยู่ในยุคที่คล้ายจีนโบราณก็เหลือเชื่อมากพอแล้ว พอฟื้นขึ้นมาร่างกายก็ถูกพิษ ไม่เพียงเท่านั้น ความทรงจำที่หลั่งไหลเข้าในหัวอย่างรวดเร็วยังทำให้หลิวจินหลันปวดหัวตุบๆ หากกระนั้น ก็ค้นพบว่ากู้อิ่นมู่กับหลิวจินหลัน สามีภรรยาในชาติภพนี้ นอกจากจะมีชื่อและหน้าตา ความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงของทั้งคู่ยังไม่ต่างจาก ‘เธอ’ และ ‘เขา’ ในชาติภพก่อน!
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 38บทพิเศษ วันเวลาล่วงเลยมาอีกเล็กน้อย แม้บาดแผลบนเอวของมู่ฉีหลินยังไม่หายสนิท ทว่าเวลาขยับตัวก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใดแล้ว นับตั้งแต่วันที่สุ่ยเซียนพูดความในใจออกมา การใช้ชีวิตของพวกเขายังคงดำเนินไปอย่างปกติ เหมือนการสารภาพครั้งนั้นไม่เคยเกิดขึ้น นั่นทำให้มู่ฉีหลินเกิดความกังวล กลัวว่าความหวานล้ำในวันนั้นอาจจะเป็นแค่ความฝัน และเป็นเขาเองที่ละเหม่อมเพ้อไปฝ่ายเดียว หลังมื้อเย็นของวันนี้ มู่ฉีหลินเดินออกมานอกจวน ภายนอกอาจดูเหมือนแม่ทัพอยู่ในอารมณ์สุนทรีย์ ออกมารับลมกลางคืน แต่แท้จริงชายหนุ่มกำลังคิดไม่ตก ไม่รู้ว่าจะเริ่มสานสัมพันธ์กับฮูหยินของตนอย่างไร อากาศกลางคืนยิ่งดึกยิ่งหนาวเย็น มู่ฉีหลินหมุนปลายเท้า เดินกลับเข้าจวน ภายในห้องนอนของฮูหยินท่านแม่ทัพ สุ่ยเซียนนั่งอ่านหนังสือประโลมโลกตรงโต๊ะกลางห้อง แม้ว่าสายตาของนางจะจดจ่ออยู่บนตัวหนังสือ แต่จิตใจกลับคิดไปเรื่องอื่น หลังจากวันนั้น สุ่ยเซียนกับมู่ฉีหลินก็ยังแยกห้องนอนเหมือนเดิม ไม่มีอะไรต่างออกไป ทั้งที่พวก
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 37บทส่งท้าย “ม...มู่ฉีหลิน!?” ไม่เพียงถูกโอบกอดด้วยวงแขนอบอุ่น คำสารภาพครั้งที่สองทั้งหนักแน่นทั้งทรงพลัง ทำเอาสุ่ยเซียนถึงกับใจเต้นโครมคราม ตั้งแต่ที่มู่ฉีหลินกลับจวนมา ดูเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย แม้ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย และถึงจะเข้าใจยาก แต่พอทุกอย่างดำเนินมาถึงตรงนี้ สุ่ยเซียนถึงเพิ่งเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร สุ่ยเซียนยกมือขึ้นผลักอกมู่ฉีหลิน เขาส่งเสียง “อึก!” พร้อมกับสีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อย เมื่อเห็นอย่างนั้น สุ่ยเซียนรีบกล่าวขอโทษขอโพย ด้วยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามู่ฉีหลินยังบาดเจ็บอยู่ “ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” “ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้เจ็บหนักขนาดนั้น อีกอย่าง เป็นข้าต่างหากที่ต้องขอโทษเจ้า...สุ่ยเซียน ข้าขอโทษที่หลอกลวงเจ้า แต่บาดแผลนี้ได้มาจากการปะทะกับกลุ่มโจรพวกนั้นเป็นเรื่องจริง” สุ่ยเซียนไม่ได้ถือสาที่ถูกหลอกลวง ขอแค่เขาไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว กระนั้น ก็ไม่วายถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านเจ็บหรือไม่” มู่ฉีหลินส่ายหน้าตอบ
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 36ความดีของมู่ฉีหลิน ได้รับการตอบแทนแล้ว เป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ ที่มู่ฉีหลินเดินทางลงใต้ ปราบโจรชั่ว และใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวง การปราบปรามโจรไม่ได้ลำบากด้านฝีมือ แต่เสียเวลากับการเดินทาง และยังยุ่งยากกับการหาที่ซ่อนตัวของพวกมัน สรุปแล้ว มู่ฉีหลินจัดการกลุ่มโจรชั่วได้อย่างเสร็จสรรพ และเป็นไปตามกำหนดการที่วางเอาไว้ ทว่า...ถ้าจะพูดถึงปัญหาคงติดอยู่เรื่องเดียว นั่นคือการได้รับบาดเจ็บระหว่างต่อสู้กับกลุ่มโจรพวกนั้น และเพราะเรื่องนี้เอง ทำให้การกลับเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ มู่ฉีหลินไม่ได้นั่งบนหลังอาชาศึกด้วยท่วงท่างามสง่า แต่ได้นั่งๆ นอนๆ อยู่ในรถม้า ทั้งร่างกายและบนใบหน้ายังถูกพันด้วยผ้าพันแผลเต็มไปหมด “แปลกเสียจริง เหตุใดถึงไม่เห็นแม่ทัพอสูรเล่า” “จริงด้วย” “ที่ว่ากันว่า โจรชั่วพวกนั้นเป็นยอดฝีมือในยุทธภพเห็นจะเป็นเรื่องจริง” “ทำไมรึ” “ก็ถ้าไม่เห็นแม่ทัพอสูรนั่งอยู่บนหลังม้าหน้าขบวนอย่างทุกที อาจเป็นไปได้ว่าเขาจะถูกโ
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 35นั่นเรียกว่าความคะนึงหา ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ณ คฤหาสน์ตระกูลมู่ ปัง! เสียงทุบโต๊ะดังขึ้น ก่อนที่เสียงโกรธเกรี้ยวของมู่ฮูหยินจะดังตามมาทีหลัง “ทั้งที่เพิ่งแต่งภรรยาไม่นาน ฉีหลินเสนอตัวออกไปปรามโจรชั่ว เดินทางแต่ละครั้งใช้เวลาเป็นเดือนๆ ต่อให้มีปัญหากัน แต่ทำเช่นนี้ไม่เกินไปหน่อยรึ” ในช่วงบ่ายแก่ๆ ทันทีที่มู่ซื่อจื่อผู้เป็นสามีกลับมาถึงคฤหาสน์ บอกกล่าวเรื่องของมู่ฉีหลินบุตรชายคนรอง ซึ่งอาสาออกไปปราบกองโจรที่กำลังเป็นปัญหาในเมืองทางใต้ตอนนี้ให้ภรรยาฟัง มู่ฮูหยินก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทุบโต๊ะอย่างไม่ยั้งกำลัง ทำให้โต๊ะไม้จื่อถานสีดำที่มีความหนาเกิดรอยร้าวเล็กน้อย “ข้าเองก็กังวลใจไม่แพ้ฮูหยิน อัดอั้นอยากรีบกลับมาบอกโดยเร็ว แต่ที่กรมก็มีงานให้สะสางมากมาย อีกอย่าง ดูจากท่าทาง เหมือนฉีหลินต้องการเร่งออกเดินทางเร็วๆ พวกเราควรทำเช่นไรดี” มู่จื่อซื่อบอกและถามภรรยาในประโยคเดียวกัน “ข้าจะไปถามฉีหลินให้รู้เรื่อง” มู่ฮูหยินลุกพรวด “ช้าก่อนท่านแม่”
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 34หวั่นไหว และ อาการของความเสียใจ สุ่ยเซียนรู้สึกว่ากำลังถูกมู่ฉีหลินหลบหน้าอยู่? ตั้งแต่วันที่เซี่ยงจวิ้นมาเพื่อตัดความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิง ในตอนนั้นมู่ฉีหลินยื่นมือออกมาทำท่าจะคว้าสุ่ยเซียน สายตาสื่อคล้ายต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง สุ่ยเซียนตั้งใจว่าหลังกลับเข้าจวนจะถามมู่ฉีหลินให้รู้ความ รวมถึงบอกกล่าวความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซี่ยงจวิ้นที่คลี่คลายแล้ว การพูดคุยกันอย่างเปิดอก บอกกล่าวเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมา เป็นการแสดงออกอย่างบริสุทธิ์ใจในแบบของนาง ทว่า มู่ฉีหลินกลับหนีออกจากจวนไปดื้อๆ หลังจากนั้นก็เหมือนว่าจะคาดกันตลอด มู่ฉีหลินตื่นเช้ากว่าปกติ และออกจากจวนไปก่อนที่นางจะออกจากห้อง หากเช้าวันไหนบังเอิญเจอกันกลางห้องโถง เขาเพียงแค่ทักทายนางด้วยการพยักศีรษะพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ในช่วงเย็น มู่ฉีหลินจะกลับเย็นกว่าปกติ ซ้ำยังบอกว่ากินมื้อเย็นมาจากบ้านเฉินเจี๋ยซูแล้วเนื่องจากมีเรื่องสำคัญต้องปรึกษา สำหรับสุ่ยเซียน ดูอย่างไรเขาก็ตั้งใจหลบหน้านางไม่ใช่หรือ จากความสงสัยเริ่มกลายเป็
เกิดใหม่เป็นฮูหยินของแม่ทัพ(อสูร)นั้นไม่ง่าย บทที่ 33แผนของเฉินเจี๋ยซู แม้ไม่อยากคิด แต่ก็เคยสงสัยว่าหากสุ่ยเซียนกับเซี่ยงจวิ้นตกลงปลงใจด้วยกันจริงๆ ตนจะยอมรับเรื่องนี้ได้มากน้อยแค่ไหน ถึงสุ่ยเซียนไม่เคยบอกว่าเลือกทางนั้น ลำพังแค่เพียงเรื่องเข้าใจผิดระหว่างมู่ฉีหลินกับนาง เหมารวมเอาความใส่ใจที่นางมอบให้มาคิดเข้าข้างตัวเองว่าเป็นความรัก นั่นก็เพียงพอทำให้มู่ฉีหลินรู้ว่าตนเองไม่ได้เข้มแข็งเลยสักนิด ความรู้สึกที่มาไกลทำให้มู่ฉีหลินเจ็บปวดและอับอายทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับสุ่ยเซียน ยิ่งต้องมาทนเห็นนางออกไปพบเซี่ยงจวิ้นก็ยิ่งยอมรับไม่ได้ จึงเป็นฝ่ายหนีออกจากจวนทางประตูหลังเพื่อหลบไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง รู้ตัวอีกที มู่ฉีหลินก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านของเฉินเจี๋ยซูเสียแล้ว ตั้งแต่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่มั่นคง เฉินเจี๋ยซูก็ย้ายออกจากตระกูลใหญ่เพื่อมาอยู่คนเดียว ด้วยการซื้อบ้านหลังเล็กในตรอกที่เงียบสงบ ถึงกระนั้น ชายหนุ่มตัวคนเดียวและรักสันโดษอย่างเฉินเจี๋ยซูหาได้ขาดตกบกพร่องเรื่องอาหารการกินแต่อย่างใด เพราะมารดาของเขามักจะทำอาหารและส่งมาให้ลูกชายอยู่เ