เด็กหญิงไม่ได้ยินเสียงของหมอตำแยเฒ่าที่กำลังตำหนิตนอยู่ข้างๆ ในหัวของนางตอนนี้คิดเพียงเหตุใดมารดาถึงได้ไม่ยอมลืมตามาพูดกับตน มิใช่ว่าท่านแม่บอกว่านางกำลังจะมีน้องชายสองคนอย่างนั้นหรือ แล้วอีกคนเล่าหายไปที่ใด
แม่เฒ่าจวงเห็นท่าไม่ดี เพราะพานเยว่หลานหมดสติไปนานจึงได้ลองใช้นิ้วอังไปที่รูจมูกของนาง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าไร้ลมหายใจหญิงชราจึงรีบอุ้มทารกที่พึ่งคลอดออกมา ก่อนออกจากห้องพร้อมทั้งดึงแขนผอมแห้งของหลี่อันหนิงตามออกมาด้วย
“แย่แล้ว!! แย่แล้ว!! พานเยว่หลานตายแล้ว นางคลอดเด็กสองคนไม่ไหวสิ้นใจแล้ว”
คนบ้านหลี่ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบกรู่เข้ารุมล้อมแม่เฒ่าจวงทันที
“แม่เฒ่าท่านหมายความว่าอย่างไร ที่บอกว่านางตายแล้ว”
ผู้เฒ่าหลี่ผู้เป็นพ่อสามีของพานเยว่หลานทิ้งปล้องยาสูบในมือพุ่งเข้ามาจับตัวแม่เฒ่าจวงเขย่าถาม แม่เฒ่าจวงผู้เป็นหมอตำแยละล่ำละลักตอบออกมาทั้งน้ำตา ในอ้อมแขนยังมีเด็กทารกเพศชายนอนไร้เรี่ยวแรง เสียงร้องแผ่วเบาราวกับลูกแมวน้อย
“ก็อย่างที่ข้าพูด นางเสียชีวิตแล้ว สะใภ้ใหญ่ของท่านตายแล้ว นี่หลานชายของท่าน เด็กคนนี้พานเยว่หลานใช่กำลังทั้งหมดที่มีเบ่งเขาออกมา”
หลี่อันหนิงไม่เข้าใจว่าตายที่แม่เฒ่าจวงเอ่ยถึงหมายความว่าอย่างไร ตอนนี้นางเพียงต้องการมารดาเท่านั้น เด็กน้อยใช้แรงทั้งหมดสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของหญิงชรา ก่อนจะวิ่งกลับเข้าห้องไป
“ตายไปแล้วก็ตายไปสิ ยังจะคลอดเจ้ามารหัวขนนี่ออกมาอีกทำไม”
แม่เฒ่าหม่าเดินออกมาดูเพราะได้ยินเสียงโวยวายของแม่เฒ่าจวง เมื่อรู้ว่าสะใภ้ใหญ่ของตนเสียชีวิตแล้วนางก็แสดงท่าทางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างไม่รู้สึกผิดแม้เพียงนิด ส่วนปากก็ยังมิวายเอ่ยเหน็บแนมทั้งที่เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะนางที่ใช้งานพานเยว่หลานหนักเกินไป
“พ่อของเด็กไปไหนหรือ”
แม่เฒ่าจวงมองหาบุตรชายคนโตตระกูลหลี่ที่ช่วงนี้ไม่ค่อยจะได้เห็นหน้าเห็นตา แม้แต่ภรรยาคลอดลูกเขาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่
“ท่านจะอยากรู้ไปทำไม บุตรชายของข้าเป็นถึงบัณฑิตถงเซิงไหนเลยจะมามีเวลาว่างมายุ่งกับเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ เจ้าทำหน้าที่ตนเองเสร็จแล้วก็รีบไปเถอะ นี่ตำลึงของเจ้า”
แม่เฒ่าหม่ายอมควักเนื้อตนเองจ่ายเงินให้หมอตำแยจวง ก่อนจะไล่ให้นางออกจากเรือนของตนไป
“ถือเสียว่าเป็นค่าทำศพของนางก็แล้วกัน อาเฟิงลูกไปเอาเสื่อมาสตรีอย่างพานเยว่หลานไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินซื้อโลงดีๆ ให้นางหรอก”
หญิงชราใจอำมหิตเรียกให้บุตรชายคนรองนำเสื่อมาห่อร่างของสะใภ้ใหญ่ ก่อนจะสั่งให้เขาแบกนางไปยังภูเขาด้านหลังหมู่บ้าน ส่วนผู้เฒ่าหลี่ทันทีที่ได้อุ้มหลานชายคนโตผู้ที่ต่อไปจะกลายเป็นผู้สืบสายเลือดของตน ชายชราก็ไม่สนใจว่าแม่ของเด็กจะอยู่หรือตาย มีเพียงหลี่อันหนิงเท่านั้นที่เดินตามอารองไปยังภูเขาด้านหลังหมู่บ้านเพียงลำพัง
“เจ้าตามมาทำไม! ถ้าท่านย่ารู้เข้าเดี๋ยวก็ถูกตีอีกหรอก”
หลี่เฟิงหัวดุผู้เป็นหลานสาวด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก แม้เขาจะเป็นคนไม่เอาไหนแต่ก็ไม่เคยเข้าร่วมการกลั่นแกล้งสองแม่ลูกเลยสักครั้ง ทำเพียงมองดูภรรยามารดาและน้องสาวคนเล็กร่วมมือกันเอาเปรียบนาง
“อารอง จะพาท่านแม่ไปที่ใดเจ้าคะ”
หลี่เฟิงหัวได้ยินคำถามใสซื่อของหลานสาว จึงหยุดเดินก่อนจะหันกลับมามองร่างเล็กแกร็นที่สูงเพียงเข่า
“ท่านแม่ของเจ้านางตายแล้ว ข้ากำลังจะนำร่างของนางไปฝังบนภูเขาน่ะสิ เมื่อรู้อย่างนั้นแล้วก็เลิกตามมาเสียที”
เด็กน้อยมองไปยังผู้เป็นอาด้วยสีหน้างงงัน ก่อนจะถามออกไปอีกครั้ง
“ตายคืออะไรหรือเจ้าคะ ท่านอารอง”
หลี่เฟิงหัวถอนหายใจออกมาอย่างรำคาญ ก่อนจะโยนร่างของพานเยว่หลานลงบนพื้นอย่างไม่ไยดี
“เฮ่อ!! หลี่อันหนิงฟังข้านะ ตายก็คือตายนางไม่หายใจแล้ว แล้วก็อยู่ดูแลเจ้าไม่ได้อีกต่อไป เอาล่ะในเมื่อรู้เช่นนี้ก็กลับลงเขาไป อย่ามาขวางทางข้า”
หลี่เฟิงหัวก้มลงหวังแบกร่างของพานเยว่หลานที่ถูกห่อด้วยเสื่ออีกครั้ง ทว่าแรงขยับที่เขาสัมผัสได้ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงก่อนจะถีบม้วนเสื่อออกไปให้ห่างจากตน
“เฮ้ย!! อะไรกันวะ!! หมอตำแยบอกว่านางตายไปแล้วนี่ แล้วยังดิ้นอยู่ได้อย่างไร”
ชายหนุ่มผู้เริ่มรู้สึกตาขาวเหลือบสายตามองไปรอบๆ ด้วยท่าทางขี้ขลาด
ท้องนภายามอัสดงอาบย้อมไปด้วยสีโลหิต แม้จะยังมิได้มืดมิดทว่าภายในภูเขาที่มีต้นไม้ขึ้นหนาทึบได้บดบังทัศนวิสัยทำให้มองเห็นเส้นทางได้ไม่ชัดเจน
เสียงกระพือปีกของเหล่านกป่าดังพรึบพรับ ยิ่งทำให้หลี่เฟิงหัวขลาดกลัวจนกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอได้อย่างยากเย็น
สายตาหลุกหลิกมองไปยังม้วนเสื่อที่กองอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีหวาดๆ ชายหนุ่มหยิบท่อนไม้แห้งที่วางอยู่ไม่ไกลเขี่ยม้วนเสื่อเบาๆ เพียงหวังว่าตนเองจะตาฝาดหรือคิดไปเองเท่านั้น
แต่แล้วม้วนเสื่อที่มีร่างไร้ลมหายใจของพานเยว่หลานก็ขยับขึ้นมาจริงๆ
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งทิ้งท่อนไม้ในมือ ก่อนจะเผ่นแนบโกยอ้าวไปอย่างไม่เหลียวหลัง ทิ้งหลานสาวตัวน้อยที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ด้านข้างโดยไม่สนใจว่านางจะตามมาหรือไม่
หลังจากที่หลี่เฟิงหัววิ่งกลับลงเขาไปชายหนุ่มก็แหกปากร้องตะโกนว่าตนถูกผีหลอก จนชาวบ้านที่กำลังกลับมาจากทำนาต้องจับตัวเขาเอาไว้
สิ้นเสียงของเขาพลันสายลมหอบใหญ่ก็พัดกรรโชกขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สร้างความหนาวสะท้านให้แก่ชายหนุ่มไปจนถึงขั้วหัวใจ
เมฆดำทะมึนก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้าอย่างกะทันหัน ฟ้าแลบแปลบปลาบสร้างแสงวูบวาบน่าขนลุก สายลมกรรโชกพัดพาเอาเศษดินและใบไม้ปลิวว่อนไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
ทันใดนั้นสายฝนห่าใหญ่ก็เทลงมาไม่ขาดสายทำเอาท้องฟ้ายามเย็นพลันมืดทะมึนในบัดดล
“ท่านแม่!! ท่านแม่!! ตื่นสิเจ้าคะ นอนที่นี่ไม่ได้นะเดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
ร่างเล็กแกร็นแกะเอาเสื่อที่ห่อม้วนร่างของมารดาออก ก่อนจะเขย่ากายที่เย็นชืดไปนานแล้วของนาง
ทว่าในระหว่างที่สายฝนกำลังเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เสียงร้องแผ่วเบาราวกับลูกแมวน้อยก็ดังขึ้น
หลี่อันหนิงมองไปยังช่วงขาของมารดาเห็นบางสิ่งกำลังขยับไหว นางจึงเลิกชุดสีขาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตของมารดาขึ้น
บัดดลร่างเล็กของเด็กทารกที่กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดก็ปรากฏแก่สายตา
ด้วยสัญชาตญาณ เด็กน้อยในวัยห้าขวบรีบถอดเสื้อคลุมด้านนอกอันเปียกชื้นไปด้วยละอองน้ำฝนออกมาห่อร่างเล็กของน้องสาวเอาไว้ ส่วนตนเองก็เอาแต่เอ่ยพึมพำว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พี่สาวจะดูแลน้องเอง
หลี่อันหนิงกอดเด็กทารกเอาไว้ในอ้อมแขน ใช้ร่างกายเล็กจ้อยของตนกำบังลมฝนให้น้องน้อยอย่างกล้าหาญ
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักก็ค่อยๆ ซาลง แสงแลบแปลบปลาบบนท้องฟ้าทำให้มองเห็นรอบๆ ป่าได้อย่างชัดเจน
ร่างเล็กนั่งตากฝนอยู่บนเขาเป็นเวลาเนิ่นนาน เพราะหาหนทางกลับเรือนเฉกเช่นผู้ใหญ่ไม่ได้ กายของเด็กน้อยเริ่มสั่นสะท้านเสียงฟันของนางกระทบกันดังกึกกัก
ก่อนสติสุดท้ายของเด็กหญิงจะดับวูบไป หลี่อันหนิงคล้ายมองเห็นมารดาของตนที่นอนอยู่เบื้องหน้าลุกขึ้นมาตระกองกอดนางเอาไว้แนบอก ก่อนกระซิบน้ำเสียงอ่อนโยนว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แม่อยู่นี่แล้ว
เสียงเพลงกล่อมเด็กที่มารดาเคยร้องกล่อมตนยามค่ำคืนยังคงดังก้องประทับในโสต หลี่อันหนิงหลับไปทั้งรอยยิ้มโดยไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นต่อจากนั้น
ทางด้านหลี่เจี๋ยที่พักอยู่ในหอพักของเหล่าบัณฑิตในสถานศึกษา เมื่อได้รับจดหมายแจ้งที่ทางตระกูลหลี่ส่งมา เขาทำเพียงเงียบไปไม่แสดงความรู้สึกใดใดออกมา ทำราวกับว่าเรื่องที่เขียนมาในจดหมายไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตน
ณ เรือนตระกูลหลี่“กลับมาแล้วหรือเจ้าพวกตัวซวย หายหัวไปทั้งคืนยังกล้ากลับมาที่นี่อีกนะ”เสียงแหลมสากของแม่เฒ่าหม่าดังขึ้นด้านหลัง ในระหว่างที่สองพี่น้องกำลังย่องกลับไปยังห้องเก็บฟืน“ท่านย่า”หญิงชรามีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ที่เด็กสาวหันมาพูดกับตนด้วยสีหน้าเย็นชา ทั้งที่ในยามปกติมักจะแสดงท่าทีขลาดกลัวเป็นครั้งแรกที่ได้พบหญิงชราหลังจากย้อนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง หลี่อันหนิงกำหมัดแน่นเพื่อระงับอารมณ์โกรธแค้นที่ปะทุขึ้นภายในใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของตนเป็นเพราะหญิงชราผู้นี้ วันหน้านางจะต้องตอบแทนอย่างสาสมให้สมกับที่ครอบครัวของตนได้รับมาหลี่อันหนิงสบถสาบานในใจ“ท่าย่ามีอะไรจะใช้ข้าหรือ”เด็กสาวถามเสียงห้วน ไร้ท่าทีขลาดกลัวดั่งเช่นวันวาน“วันนี้พวกแกสองคนไม่ได้รับอนุญาตให้ทานอาหาร ต้องทำงานที่เหลือจากเมื่อวานให้เสร็จทั้งหมด จากนั้นก็ขึ้นเขาไปเก็บผักป่ามาซะ”หลี่อันหนิงบิดปากเล็กน้อย ห้ามทานอาหารหรือ อาหารที่แม้แต่หมูยังไม่อยากทานใครมันจะกลืนลงท้องได้ เด็กน้อยทั้งสองไม่ตอบโต้ กลับทำตามที่หญิงชราสั่งอย่างว่าง่าย ซึ่งต่างจากท่าทีเฉยชาที่แสดงออกหลี่เจียนเจียนเดินผ่านสองพี่น้องที่กำล
กลางดึก ในระหว่างที่พี่น้องกำลังหลับสนิท เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังก้องสะท้านขึ้นที่ด้านนอกถ้ำ หลี่อันหนิงและหลี่ซางเป่าสะดุ้งรู้สึกตัวขึ้นพร้อมกันเด็กสาวมิได้เล่าเรื่องที่ตนได้ยินเจ้าก้อนขนสีดำพูดคุยกันให้น้องสาวฟัง ไม่คิดว่าแม่ของมันจะกลับมาในคืนนี้ ในระหว่างที่หลี่อันหนิงกำลังคิดหาทางหนี เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดของเจ้าสัตว์ร้ายด้านนอกดังขึ้นแผ่วเบาในหัวของนางได้ยินเสียงของมันรำพึงถึงลูกน้อยทั้งสอง เด็กสาวมองไปยังฝั่งตรงข้ามของบ่อน้ำร้อน ก่อนตัดสินใจเดินออกไปดูในความมืดสลัวราง หลี่ซางเป่าจับแขนเสื้อของพี่สาวเอาไว้มั่น“พี่ใหญ่ไปไหนหรือ”“ซางเป่ารอพี่อยู่ที่นี่ได้หรือไม่ ไม่นานพี่จะกลับมา”เด็กน้อยส่ายหน้าปฏิเสธแสดงท่าทีหวาดกลัว นางเห็นน้องน้อยแสดงท่าทางเช่นนั้นออกมา ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ“ได้ๆ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด”หญิงสาวจับมือของน้องสาวเดินออกมาทางปากถ้ำ ที่ยังคงได้ยินเสียงร้องครางของสัตว์บาดเจ็บชัดเจน เมื่อไปถึงบริเวณปากถ้ำที่นั่นมีคบเพลิงมากมายถูกจุดโดยมนุษย์ดวงตาดำสนิทของเจ้าสัตว์ร้ายจ้องมองมายังนางและน้องสาวที่ซ่อนตัวอยู่ เจ้าก้อนขนทั้งสองที่ไม่รู้ว่าตามมาตั้งแ
หลี่อันหนิงพยักหน้าพลางลูบผมของเด็กน้อยซางเป่าอย่างภูมิใจ ตอนนี้ตนเองเป็นเพียงเด็กเท่านั้นไม่อาจทำตามใจตนดั่งเช่นผู้ใหญ่ได้ หากต้องการปกป้องน้องทั้งสองนางจำต้องมีอำนาจในมือและแล้วหลี่อันหนิงก็หวนกลับไปนึกถึงใบหน้าอันหล่อเหลาที่แสนเย็นชาของท่านขุนนางหนุ่ม เพียงเท่านั้นในหัวใจของนางก็รู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด“พี่ใหญ่ข้ารู้ว่าที่ใดที่เราสามารถใช้นอนได้”เด็กสาวมองหน้าน้องน้อยของตนด้วยสีหน้าสนใจ หลี่ซางเป่าเดินลิ่วนำหน้าไปเหมือนกับคุ้นเคยเส้นทางบนภูเขา หลี่อันหนิงผู้เป็นพี่สาวรีบวิ่งตามจนกระทั่งทั้งสองไปถึงผาหินที่มีต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นรกชัฏแห่งหนึ่ง“เป่าเอ๋อเราใช้ที่นี่นอนไม่ได้หรอกนะ มันรกเกินไปอีกอย่างอาจมีงูพิษออกมาก็ได้ รู้หรือไม่ว่ามันอันตราย”หลี่ซางเป่าเกาหัวตนเองเบาๆ นางแสดงสีหน้ามั่นใจก่อนจะหันไปดึงแขนเสื้อของพี่สาว“ได้เรานอนที่นี่ได้ นางบอกว่าคืนนี้ให้เรานอนที่นี่”นางหรือ...ใครกัน หลี่อันหนิงมองใบหน้าที่เล็กกว่าฝ่ามือของน้องสาวอย่างงุนงง สายตาสำรวจมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีที่ใดเลยที่จะสามารถใช้นอนได้ แล้วเหตุใดซางเป่าถึงพูดเช่นนั้นออกมา“ใครเป็นคนบอกน้องหรือ เป่าเอ๋อ”“ท่านแ
แม่เฒ่าจวงจีบปากจีบคือเอ่ย พลางหันไปถามความเห็นของเหล่าจีนมุงที่ตอนนี้เริ่มมากขึ้นทุกทีหลี่เจียนเจียนผู้ที่ถูกตามใจมาตั้งแต่ยังเล็ก คิดไม่ถึงว่าจะถูกหญิงชราตรงหน้าตอกกลับเช่นนี้ นางกำหมัดกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ ก่อนตวาดแหวออกไปอีกครั้ง“เจ้า!! ยายเฒ่า เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด ข้าบอกให้ส่งนางเด็กสารเลวสองคนนั้นออกมา”ใบหน้าของหลี่เจียนเจียนเริ่มแดงก่ำด้วยความโกรธ นางไม่รู้วิธีจัดการกับคนอย่างหญิงชราผู้นี้ เพราะที่ผ่านมาเป็นนางที่เป็นผู้กระทำมาตลอด“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เรือนหลังนี้มีเพียงข้าและหลานชายอาศัยอยู่ หากจะพูดว่ามีเด็กสารเลวที่นี่ก็มีแต่เจ้าคนเดียว”แม่เฒ่าจวงลอยหน้าลอยตาเอ่ย โดยไม่สนใจในใบหน้าที่เริ่มเขียวคล้ำดำมืดของหลี่เจียนเจียน“กรี๊ด!!! ยายเฒ่าจวง กล้าว่าข้าสารเลวหรือ”หญิงสาวพุ่งเข้าใส่แม่เฒ่าจวงแต่ถูกจวงอี้ซิงเอาตัวขวางเอาไว้ เขาและนางอายุสิบเจ็ดเท่ากันทว่าเด็กหนุ่มกลับสูงใหญ่และแข็งแรงมากกว่า อาจเพราะเขาทำงานหนักมาตั้งแต่ยังเล็กหลี่เจียนเจียนไม่สนใจว่าคนที่ขวางทางตนจะเป็นใคร นางใช้เล็บข่วนเด็กหนุ่มตรงหน้าเพื่อระบายโทสะของตน แต่สิ่งที่หลี่เจียนเจียนทำไม่สามารถสร้างความ
“อันหนิง!! อันหนิงลูกแม่ ลูกต้องช่วยน้องชายของเจ้านะ อย่าปล่อยให้เขาต้องเดินทางผิดเช่นในอดีต บัดนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถนำทางให้เขากลับมาเดินในเส้นทางที่ถูกต้องได้”ในความมืดมิดอันเวิ้งว้าง เด็กสาวได้ยินเสียงคุ้นเคยของผู้เป็นมารดาดังแว่วอยู่ไกลๆ นางมองสถานที่ที่ไม่คุ้นตานี้ด้วยสีหน้าสงสัย แม้รอบกายจะมืดทะมึนแต่กลับมิได้ให้บรรยากาศที่น่าหวาดกลัวหลังจากเงี่ยหูฟังว่าเสียงของมารดามาจากที่ใด นางจึงตัดสินใจเดินตามเสียงนั้น กระทั่งได้เห็นภาพเหตุการณ์ของชายหนุ่มรูปงามในชุดขาว ราวกับเทพสงครามกำลังเข่นฆ่าสังหารผู้อื่นด้วยใบหน้าเฉยชาเด็กสาวตกใจกับภาพตรงหน้าจนถอยกรูดไปด้านหลัง ทว่าภายในใจกลับคิดว่าดวงตาของคนผู้นี้ช่างดูคุ้นเคยยิ่งนักเมื่อหลี่อันหนิงมองเพ่งมองให้ชัดๆ นางเห็นไฝเม็ดเล็กที่อยู่ใต้ดวงตาขวาของเขาแล้วภาพของเด็กชายตัวน้อยที่ถือตำราในมือก็ผุดขึ้นมาในหัวของนาง บ้านหลี่มีเพียงเด็กสองคนที่เกิดมาพร้อมกัน และพวกเขามีไฝน้ำตาอยู่คนละฝั่งหลี่ซางเป่ามีไฝเม็ดเล็กใต้ดวงตาข้างซ้าย เช่นนั้นเขาก็คือหลี่อี้เจ๋อ น้องชายคนรองของนาง ทว่าภาพตรงหน้ามันคืออันใด เหตุใดเขาถึงได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมอำ
“อวัยวะภายในของนางและกระดูกหลายส่วนถูกทำลายจนสิ้น ต่อให้ช่วยได้ในตอนนี้นางก็คงอยู่ไม่พ้นเดือน ทำได้เพียงใช้สมุนไพรยื้อชีวิตไปเรื่อยๆ เท่านั้น อีกอย่างเราอยู่ในภารกิจที่เร่งด่วน จำเป็นต้องปล่อยนางไป เฮ่อ!! ช่างน่าเวทนานัก นางยังเด็กอยู่เลยกลับต้องมาพบกับชะตากรรมอันเลวร้ายเช่นนี้”ชายหนุ่มรูปงามที่แต่งกายด้วยชุดสีดำทั้งตัว เส้นผมสีดำสนิทถูกรวบสูงและสวมกวานหยก เขาประคองร่างบางขึ้นอย่างทะนุถนอม แม้ร่างกายของนางจะเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน แต่ถึงกระนั้นเขากลับกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างไม่นึกรังเกียจชายหนุ่มยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเลือดที่ใบหน้าของหลี่อันหนิงอย่างแผ่วเบา นางไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนตั้งแต่ที่มารดาจากไป หญิงสาวส่งยิ้มให้กับบุรุษตรงหน้าเพื่อเป็นการขอบคุณ จากนั้นเขาจึงก้มลงกระซิบที่ข้างหูของนาง“ข้าคือขุนนางที่ฮ่องเต้ส่งมา เด็กน้อยเจ้ามีคำขออื่นใดหรือไม่”หลี่อันหนิงได้ยินคำถามนั้นก็รู้แล้วว่าอีกไม่ช้าชีวิตของตนก็คงจะถูกพรากไป แต่ก็ยังดี อย่างน้อยนางสามารถเลือกที่จะตายด้วยน้ำมือของใครได้เด็กสาวใช้แรงเฮือกสุดท้ายกระซิบเอ่ยตอบกลับไป“รบกวนช่วย!!...ฆ่า!!ข้า อย่าให้ข้าต้อ