“ฟู่!ฟู่!ฟู่! อื๊อออออ!!!”
“เบ่งอีก! ออกแรงเบ่งอีกหน่อย เด็กใกล้จะออกมาแล้ว”
เสียงฟ้าคำรามและสายฝนที่ตกกระทบหลังคาแข่งกับเสียงของหมอตำแย หญิงชราอายุราวห้าหกสิบปีที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา ส่งเสียงเร่งหญิงสาวที่กำลังจะกลายเป็นมารดาด้วยสีหน้าลุ้นระทึก
แม้ใบหน้าชื้นเหงื่อของนางบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด แต่ถึงกระนั้นก็ยินยอมทำตามที่หญิงชราเอ่ยอย่างไม่อิดออด เพราะนางรู้ดีว่าอีกเพียงไม่นานจะมีหนึ่งชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้น
“นางหนู เจ้าต้องออกแรงมากกว่านี้ นี่ก็ผ่านไปหลายชั่วยามแล้ว ขืนเด็กยังไม่ออกมาทั้งเจ้าและเขาจะต้องเกิดอันตรายขึ้นแน่ สู้เข้าเพื่อลูกที่กำลังจะลืมตาดูโลกของเจ้า”
พานเยว่หลาน หญิงสาวร่างบางที่พึ่งกราบไหว้ฟ้าดินกับหลี่เจี๋ยได้เพียงไม่นาน เวลานี้นางกำลังพยายามทำหน้าที่ของมารดาอย่างสุดความสามารถ
ส่วนแม่เฒ่าจวงหมอตำแยประจำหมู่บ้านมู่โถวเองก็พยายามรีดเคล้นหน้าท้องนูนป่องของนาง เพื่อช่วยให้เด็กได้คลอดออกมาอย่างปลอดภัย
“ฟู่!ฟู่!..แม่เฒ่า!!ท่าน!!ต้อง!!ช่วยลูกของข้า!!..อื๊อออออ”
พานเยว่หลานเค้นแรงเฮือกสุดท้ายของตนเพื่อชีวิตน้อยๆ ที่นางเพียรทะนุถนอมมาเก้าเดือน และแล้วเสียงร้องไห้จ้าก็ดังขึ้นราวกับเสียงสวรรค์ที่ปลดปล่อยนางออกจากความทุกข์ทั้งมวล
“คลอดแล้ว!!คลอดแล้ว!! เป็นผู้หญิง!! เจ้าได้ลูกผู้หญิง ตัวขาวอวบอ้วนเชียวล่ะดีใจด้วยนะนางหนู เจ้าเก่งมากๆ เลย”
แม่เฒ่าจวงแสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมา แววตาอ่อนโยนของหญิงชรามองไปยังเด็กทารกตัวน้อยที่กำลังดิ้นอยู่ในอ้อมแขน ทว่ายังไม่ลืมเอ่ยชมหญิงสาวหลังจากได้เห็นความพยายามเพื่อให้บุตรสาวของนางได้เกิดออกมา
ถึงแม้อากาศภายนอกจะเย็นชื้นแต่หญิงสาวก็ร่างชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกาฬ นางผงกหัวขึ้นมองหญิงชราที่กำลังทำความสะอาดเด็กทารกก่อนนางจะอุ้มห่อผ้ามาวางในอ้อมแขนของตน
“ขอบคุณแม่เฒ่าที่ช่วยพวกเราแม่ลูกเจ้าค่ะ”
พานเยว่หลานพยักหน้าให้แม่เฒ่าจวง พร้อมทั้งแสดงรอยยิ้มขอบคุณอย่างจริงใจ
“ขอบใจอันใดกัน มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว อีกอย่างสามีของเจ้าเองก็จ่ายตำลึงมามากโขเชียวล่ะ เพื่อให้ข้าช่วยพวกเจ้าแม่ลูกปลอดภัย เขารักเจ้ามากรู้หรือไม่”
“ข้ารู้”
หญิงสาวมองลูกน้อยในอ้อมแขนทั้งรอยยิ้ม
ที่ด้านนอกห้อง ครอบครัวตระกูลหลี่ต่างมารวมตัวกันเพื่อเฝ้ารอสมาชิกใหม่ ผู้เป็นบิดาอย่างหลี่เจี๋ยเดินวนไปวนเดินมาด้วยท่าทีร้อนรน ทว่าหลังจากที่ได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้จ้าจากภายใน เขาเองก็อุทานออกมาด้วยความปีติเช่นเดียวกัน
“ท่านแม่!! ฟังสิ!! ลูกของข้าคลอดแล้ว ขอบคุณสวรรค์ที่อวยพรให้พวกนางแม่ลูกปลอดภัย”
หลี่เจี๋ยจับร่างมารดาของตนเขย่าด้วยความดีใจ ทว่าแม่เฒ่าหม่าผู้มีศักดิ์เป็นย่ากลับถลึงตาใส่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่โมโห เสียงพูดของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจพลางบิดปากอย่างไม่พอใจ
“เฮอะ!! ขอบคุณสวรรค์อันใด ต้องโทษสวรรค์มากกว่าที่ส่งนางมาให้เจ้า เพราะไม่อย่างนั้น....”
“เอาเถอะน่า ถึงอย่างไรเด็กคนนั้นก็เป็นหลานคนแรกของตระกูลหลี่ เจ้าก็พูดให้มันน้อยๆ หน่อย”
พ่อเฒ่าหลี่ผู้เป็นประมุขของเรือนจ้องตาเขม็งไปยังภรรยาคู่ยาก ก่อนจะเคาะปล้องยาสูบเสียงดัง
แม่เฒ่าหม่าเห็นว่าคนบ้านหลี่ไม่มีผู้ใดเข้าข้างตน นางจึงกระทืบเท้าเดินจากไปอย่างฉุนเฉียว ก่อนไปนางยังไม่ลืมหันมาสบถใส่สามีเฒ่าด้วยความหงุดหงิด
“ต่อให้นางคลอดทายาทตระกูลหลี่ออกมาแล้วอย่างไร อย่าหวังว่าข้าจะยอมรับนาง”
บุตรชายอย่างหลี่เจี๋ยเมื่อได้ยินมารดาเอ่ยเช่นนั้น เขาก็ได้แต่มองตามด้านหลังของนางไปอย่างท้อแท้
“ท่านพ่อ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเองไม่ใช้ความผิดของอาหลาน หากข้าไม่ดึงดันที่จะพานางกลับมาที่นี่ท่านและท่านแม่ก็คงจะไม่ผิดใจกัน เป็นข้าที่ทำให้พวกท่านผิดหวัง”
หลี่เจี๋ยแสดงท่าทางสำนึกผิดต่อผู้เป็นบิดา
เขาที่เป็นบุตรชายคนโตของบ้าน แบกความหวังของบิดาเอาไว้บนบ่า แต่เพราะตกหลุมรักพานเยว่หลานจนโงหัวไม่ขึ้นจึงทำให้บิดามารดาต้องผิดหวังอย่างช่วยไม่ได้
“เรื่องมันก็ผ่านไปแล้วพูดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา อีกอย่างเจ้าพาสตรีท้องแก่ใกล้คลอดกลับมาที่นี่ชาวบ้านต่างก็เห็นตำตา คงไม่สามารถปล่อยให้พวกนางแม่ลูกไปอยู่ที่อื่นได้ ไม่อย่างนั้นตระกูลหลี่ของเราคงได้ถูกผู้อื่นครหาไม่รู้จักจบจักสิ้นแน่”
ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน
ตระกูลพานถูกกล่าวหาว่าทรยศต่อแผ่นดินไปเข้าร่วมกับฝ่ายของศัตรู ทำให้ถูกลงโทษประหารทั้งตระกูล ส่วนพานเยว่หลานเพราะแต่งเข้าตระกูลโจวทำให้นางรอดพ้นจากความตายไปได้
ภายหลังการประหารเสร็จสิ้นโจวหานอี้ได้เขียนหนังสือหย่ามอบให้นาง ทั้งยังเอ่ยวาจาเหยียดหยามเรื่องที่นางคือบุตรสาวของกบฏ และมิอาจใช้ชีวิตด้วยตนเองได้ถ้าไร้การปกป้องจากตน
หญิงสาวผู้ดื้อรั้น นางคิดออกจากตระกูลโจวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นหลังถูกสามีหย่าพานเยว่หลานจึงเดินทางรอนแรมมายังอำเภอตงผิงบ้านเกิดของบิดา
หญิงสาวใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ เพียงลำพัง อาศัยฝีมือการทำอาหารของตนเลี้ยงชีพโดยการขายซาลาเปาและขนมทานเล่น ร้านของนางตั้งอยู่ใกล้กับสำนักศึกษาหมิงหลัน และนั่นเป็นครั้งแรกที่หลี่เจี๋ยได้พบกับนาง
บัณฑิตหนุ่มแวะเวียนมายังร้านเล็กๆ ของหญิงสาวเป็นประจำโดยมิได้รู้ถึงภูมิหลังของนางแม้เพียงนิด เขารู้เพียงหญิงสาวไร้ญาติขาดบิดามารดา และเพราะความรักที่บังตาทำให้เขามองข้ามสิ่งที่นางเป็น
ชายหนุ่มถูกใจที่หญิงสาวกำพร้าอย่างพานเยว่หลาน แม้จะเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา แต่กลับมีกิริยาอ่อนหวานไม่ต่างจากบุตรสาวจากตระกูลขุนนาง
หลี่เจี๋ยตามเกี้ยวพาพานเยว่หลานอยู่นานหลายเดือน จนกระทั่งนางใจอ่อนยินยอมตามเขากลับไปยังตระกูลหลี่เพื่อกราบไหว้ฟ้าดินอยู่ด้วยกันอย่างถูกต้องตามประเพณี
หกปีต่อมา
หลังจากที่พานเยว่หลานได้ให้กำเนิดบุตรสาวคนโตนามว่าหลี่อันหนิง นางก็ได้ตั้งครรภ์อีกครั้งและครั้งนี้ในครรภ์ของนางมีเด็กทารกอยู่ถึงสองคน
“ฟู่!ฟู่! อื๊ออออ!! แม่เฒ่าจวงข้าเจ็บเหลือเกิน แรงทั้งหมดของข้าใช้ไปจนหมดแล้ว ข้าขอร้อง!ท่านเคย...ช่วยพวกเราแม่ลูกเอาไว้ ครั้งนี้ท่านช่วยพวกเราอีกครั้งได้หรือไม่”
พานเยว่หลานที่ถูกใช้งานอย่างหนักจากแม่เฒ่าหม่าผู้เป็นแม่สามี บัดนี้จึงทำให้ต้องคลอดก่อนกำหนด
ยิ่งช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาที่หลี่เจี๋ยไม่ค่อยกลับมาที่ตระกูลหลี่ โดยมักจะอ้างเหตุผลว่าตนเองกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการอ่านตำราสอบ นั่นยิ่งทำให้แม่เฒ่าหม่าได้ใจลงมือกับนางหนักขึ้นทุกวัน
ยิ่งได้รู้ว่าพานเยว่หลานตั้งครรภ์แฝด หญิงชราก็ยิ่งภาวนาต่อสวรรค์ขอให้สตรีผู้นั้นและลูกในท้องของนางตายไปในการคลอดครั้งนี้ เสี้ยนหนามที่ตำใจตนมาถึงห้าปีจะได้หายไปเสียที
“อาหลานเอ้ย มันเกินกำลังของหญิงชราเช่นข้าแล้ว ข้าขอโทษเจ้าจริงๆ”
แม่เฒ่าจวงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาของหญิงชราเอ่อคลอและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด พานเยว่หลานมองใบหน้าสิ้นหวังของแม่เฒ่าจวงจากนั้นจึงกัดฟันทน
นางออกแรงเบ่งอีกครั้ง
“อื๊อออออ!!”
“อุแว๊!!!!”
เมื่อเห็นเด็กทารกคนแรกคลอดออกมาได้ แม่เฒ่าจวงก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด ก่อนจะเร่งเร้าให้หญิงสาวพยายามมากขึ้นกว่าเดิม
“จะ...เจ้าทำได้! เร็วเข้ายังมีอีกหนึ่งคน พยายามหน่อยอาหลาน นี่อาหลาน!!เจ้าอย่าพึ่งหมดสติ รีบฟื้นขึ้นมาก่อน อาหลาน!!”
ดูเหมือนสวรรค์จะไม่รับฟังคำภาวนาของนาง พานเยว่หลานที่ออกแรงเบ่งจนสุดกำลังในคราแรกได้หมดแรงและหมดสติไป
แม่เฒ่าจวงผู้เป็นหมอตำแยตบหน้านางหลายครั้งเพื่อให้นางฟื้นคืนสติ ทว่าร่างของหญิงสาวกลับนอนหลับตานิ่งไม่ไหวติง
“ฮื่อออ!! ท่านแม่!! ท่านแม่!! ตื่นสิเจ้าคะท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป”
เด็กหญิงตัวน้อยในวัยห้าขวบที่แอบเข้ามาภายในห้อง เขย่าร่างของมารดาพร้อมทั้งหยาดน้ำตาที่พรั่งพรูไม่ขาดสาย ตลอดห้าปีที่ผ่านมาในตระกูลหลี่นางมีมารดาคอยเป็นดังที่คุ้มภัย แม้จะถูกท่านย่าและอาสะใภ้รังแกเพียงใดนางก็ไม่เคยรู้สึกกังวล
ทว่าร่างเย็นชืดของมารดาที่อยู่ตรงหน้าทำหัวใจของหลี่อันหนิงรู้สึกหนาวเหน็บ ทั้งที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าแต่ด้วยสัญชาตญาณของเด็กน้อย นางรู้สึกเหมือนว่ามารดาจะไม่ลืมตาขึ้นมาอีกแล้ว
“เสี่ยวหนิง!! เจ้า!! เจ้าเข้ามาในนี้ได้อย่างไร ใครปล่อยให้เจ้าเข้ามาในนี้”
ณ เรือนตระกูลหลี่“กลับมาแล้วหรือเจ้าพวกตัวซวย หายหัวไปทั้งคืนยังกล้ากลับมาที่นี่อีกนะ”เสียงแหลมสากของแม่เฒ่าหม่าดังขึ้นด้านหลัง ในระหว่างที่สองพี่น้องกำลังย่องกลับไปยังห้องเก็บฟืน“ท่านย่า”หญิงชรามีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ที่เด็กสาวหันมาพูดกับตนด้วยสีหน้าเย็นชา ทั้งที่ในยามปกติมักจะแสดงท่าทีขลาดกลัวเป็นครั้งแรกที่ได้พบหญิงชราหลังจากย้อนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง หลี่อันหนิงกำหมัดแน่นเพื่อระงับอารมณ์โกรธแค้นที่ปะทุขึ้นภายในใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของตนเป็นเพราะหญิงชราผู้นี้ วันหน้านางจะต้องตอบแทนอย่างสาสมให้สมกับที่ครอบครัวของตนได้รับมาหลี่อันหนิงสบถสาบานในใจ“ท่าย่ามีอะไรจะใช้ข้าหรือ”เด็กสาวถามเสียงห้วน ไร้ท่าทีขลาดกลัวดั่งเช่นวันวาน“วันนี้พวกแกสองคนไม่ได้รับอนุญาตให้ทานอาหาร ต้องทำงานที่เหลือจากเมื่อวานให้เสร็จทั้งหมด จากนั้นก็ขึ้นเขาไปเก็บผักป่ามาซะ”หลี่อันหนิงบิดปากเล็กน้อย ห้ามทานอาหารหรือ อาหารที่แม้แต่หมูยังไม่อยากทานใครมันจะกลืนลงท้องได้ เด็กน้อยทั้งสองไม่ตอบโต้ กลับทำตามที่หญิงชราสั่งอย่างว่าง่าย ซึ่งต่างจากท่าทีเฉยชาที่แสดงออกหลี่เจียนเจียนเดินผ่านสองพี่น้องที่กำล
กลางดึก ในระหว่างที่พี่น้องกำลังหลับสนิท เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังก้องสะท้านขึ้นที่ด้านนอกถ้ำ หลี่อันหนิงและหลี่ซางเป่าสะดุ้งรู้สึกตัวขึ้นพร้อมกันเด็กสาวมิได้เล่าเรื่องที่ตนได้ยินเจ้าก้อนขนสีดำพูดคุยกันให้น้องสาวฟัง ไม่คิดว่าแม่ของมันจะกลับมาในคืนนี้ ในระหว่างที่หลี่อันหนิงกำลังคิดหาทางหนี เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดของเจ้าสัตว์ร้ายด้านนอกดังขึ้นแผ่วเบาในหัวของนางได้ยินเสียงของมันรำพึงถึงลูกน้อยทั้งสอง เด็กสาวมองไปยังฝั่งตรงข้ามของบ่อน้ำร้อน ก่อนตัดสินใจเดินออกไปดูในความมืดสลัวราง หลี่ซางเป่าจับแขนเสื้อของพี่สาวเอาไว้มั่น“พี่ใหญ่ไปไหนหรือ”“ซางเป่ารอพี่อยู่ที่นี่ได้หรือไม่ ไม่นานพี่จะกลับมา”เด็กน้อยส่ายหน้าปฏิเสธแสดงท่าทีหวาดกลัว นางเห็นน้องน้อยแสดงท่าทางเช่นนั้นออกมา ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ“ได้ๆ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด”หญิงสาวจับมือของน้องสาวเดินออกมาทางปากถ้ำ ที่ยังคงได้ยินเสียงร้องครางของสัตว์บาดเจ็บชัดเจน เมื่อไปถึงบริเวณปากถ้ำที่นั่นมีคบเพลิงมากมายถูกจุดโดยมนุษย์ดวงตาดำสนิทของเจ้าสัตว์ร้ายจ้องมองมายังนางและน้องสาวที่ซ่อนตัวอยู่ เจ้าก้อนขนทั้งสองที่ไม่รู้ว่าตามมาตั้งแ
หลี่อันหนิงพยักหน้าพลางลูบผมของเด็กน้อยซางเป่าอย่างภูมิใจ ตอนนี้ตนเองเป็นเพียงเด็กเท่านั้นไม่อาจทำตามใจตนดั่งเช่นผู้ใหญ่ได้ หากต้องการปกป้องน้องทั้งสองนางจำต้องมีอำนาจในมือและแล้วหลี่อันหนิงก็หวนกลับไปนึกถึงใบหน้าอันหล่อเหลาที่แสนเย็นชาของท่านขุนนางหนุ่ม เพียงเท่านั้นในหัวใจของนางก็รู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด“พี่ใหญ่ข้ารู้ว่าที่ใดที่เราสามารถใช้นอนได้”เด็กสาวมองหน้าน้องน้อยของตนด้วยสีหน้าสนใจ หลี่ซางเป่าเดินลิ่วนำหน้าไปเหมือนกับคุ้นเคยเส้นทางบนภูเขา หลี่อันหนิงผู้เป็นพี่สาวรีบวิ่งตามจนกระทั่งทั้งสองไปถึงผาหินที่มีต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นรกชัฏแห่งหนึ่ง“เป่าเอ๋อเราใช้ที่นี่นอนไม่ได้หรอกนะ มันรกเกินไปอีกอย่างอาจมีงูพิษออกมาก็ได้ รู้หรือไม่ว่ามันอันตราย”หลี่ซางเป่าเกาหัวตนเองเบาๆ นางแสดงสีหน้ามั่นใจก่อนจะหันไปดึงแขนเสื้อของพี่สาว“ได้เรานอนที่นี่ได้ นางบอกว่าคืนนี้ให้เรานอนที่นี่”นางหรือ...ใครกัน หลี่อันหนิงมองใบหน้าที่เล็กกว่าฝ่ามือของน้องสาวอย่างงุนงง สายตาสำรวจมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีที่ใดเลยที่จะสามารถใช้นอนได้ แล้วเหตุใดซางเป่าถึงพูดเช่นนั้นออกมา“ใครเป็นคนบอกน้องหรือ เป่าเอ๋อ”“ท่านแ
แม่เฒ่าจวงจีบปากจีบคือเอ่ย พลางหันไปถามความเห็นของเหล่าจีนมุงที่ตอนนี้เริ่มมากขึ้นทุกทีหลี่เจียนเจียนผู้ที่ถูกตามใจมาตั้งแต่ยังเล็ก คิดไม่ถึงว่าจะถูกหญิงชราตรงหน้าตอกกลับเช่นนี้ นางกำหมัดกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ ก่อนตวาดแหวออกไปอีกครั้ง“เจ้า!! ยายเฒ่า เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด ข้าบอกให้ส่งนางเด็กสารเลวสองคนนั้นออกมา”ใบหน้าของหลี่เจียนเจียนเริ่มแดงก่ำด้วยความโกรธ นางไม่รู้วิธีจัดการกับคนอย่างหญิงชราผู้นี้ เพราะที่ผ่านมาเป็นนางที่เป็นผู้กระทำมาตลอด“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เรือนหลังนี้มีเพียงข้าและหลานชายอาศัยอยู่ หากจะพูดว่ามีเด็กสารเลวที่นี่ก็มีแต่เจ้าคนเดียว”แม่เฒ่าจวงลอยหน้าลอยตาเอ่ย โดยไม่สนใจในใบหน้าที่เริ่มเขียวคล้ำดำมืดของหลี่เจียนเจียน“กรี๊ด!!! ยายเฒ่าจวง กล้าว่าข้าสารเลวหรือ”หญิงสาวพุ่งเข้าใส่แม่เฒ่าจวงแต่ถูกจวงอี้ซิงเอาตัวขวางเอาไว้ เขาและนางอายุสิบเจ็ดเท่ากันทว่าเด็กหนุ่มกลับสูงใหญ่และแข็งแรงมากกว่า อาจเพราะเขาทำงานหนักมาตั้งแต่ยังเล็กหลี่เจียนเจียนไม่สนใจว่าคนที่ขวางทางตนจะเป็นใคร นางใช้เล็บข่วนเด็กหนุ่มตรงหน้าเพื่อระบายโทสะของตน แต่สิ่งที่หลี่เจียนเจียนทำไม่สามารถสร้างความ
“อันหนิง!! อันหนิงลูกแม่ ลูกต้องช่วยน้องชายของเจ้านะ อย่าปล่อยให้เขาต้องเดินทางผิดเช่นในอดีต บัดนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถนำทางให้เขากลับมาเดินในเส้นทางที่ถูกต้องได้”ในความมืดมิดอันเวิ้งว้าง เด็กสาวได้ยินเสียงคุ้นเคยของผู้เป็นมารดาดังแว่วอยู่ไกลๆ นางมองสถานที่ที่ไม่คุ้นตานี้ด้วยสีหน้าสงสัย แม้รอบกายจะมืดทะมึนแต่กลับมิได้ให้บรรยากาศที่น่าหวาดกลัวหลังจากเงี่ยหูฟังว่าเสียงของมารดามาจากที่ใด นางจึงตัดสินใจเดินตามเสียงนั้น กระทั่งได้เห็นภาพเหตุการณ์ของชายหนุ่มรูปงามในชุดขาว ราวกับเทพสงครามกำลังเข่นฆ่าสังหารผู้อื่นด้วยใบหน้าเฉยชาเด็กสาวตกใจกับภาพตรงหน้าจนถอยกรูดไปด้านหลัง ทว่าภายในใจกลับคิดว่าดวงตาของคนผู้นี้ช่างดูคุ้นเคยยิ่งนักเมื่อหลี่อันหนิงมองเพ่งมองให้ชัดๆ นางเห็นไฝเม็ดเล็กที่อยู่ใต้ดวงตาขวาของเขาแล้วภาพของเด็กชายตัวน้อยที่ถือตำราในมือก็ผุดขึ้นมาในหัวของนาง บ้านหลี่มีเพียงเด็กสองคนที่เกิดมาพร้อมกัน และพวกเขามีไฝน้ำตาอยู่คนละฝั่งหลี่ซางเป่ามีไฝเม็ดเล็กใต้ดวงตาข้างซ้าย เช่นนั้นเขาก็คือหลี่อี้เจ๋อ น้องชายคนรองของนาง ทว่าภาพตรงหน้ามันคืออันใด เหตุใดเขาถึงได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมอำ
“อวัยวะภายในของนางและกระดูกหลายส่วนถูกทำลายจนสิ้น ต่อให้ช่วยได้ในตอนนี้นางก็คงอยู่ไม่พ้นเดือน ทำได้เพียงใช้สมุนไพรยื้อชีวิตไปเรื่อยๆ เท่านั้น อีกอย่างเราอยู่ในภารกิจที่เร่งด่วน จำเป็นต้องปล่อยนางไป เฮ่อ!! ช่างน่าเวทนานัก นางยังเด็กอยู่เลยกลับต้องมาพบกับชะตากรรมอันเลวร้ายเช่นนี้”ชายหนุ่มรูปงามที่แต่งกายด้วยชุดสีดำทั้งตัว เส้นผมสีดำสนิทถูกรวบสูงและสวมกวานหยก เขาประคองร่างบางขึ้นอย่างทะนุถนอม แม้ร่างกายของนางจะเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน แต่ถึงกระนั้นเขากลับกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างไม่นึกรังเกียจชายหนุ่มยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเลือดที่ใบหน้าของหลี่อันหนิงอย่างแผ่วเบา นางไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนตั้งแต่ที่มารดาจากไป หญิงสาวส่งยิ้มให้กับบุรุษตรงหน้าเพื่อเป็นการขอบคุณ จากนั้นเขาจึงก้มลงกระซิบที่ข้างหูของนาง“ข้าคือขุนนางที่ฮ่องเต้ส่งมา เด็กน้อยเจ้ามีคำขออื่นใดหรือไม่”หลี่อันหนิงได้ยินคำถามนั้นก็รู้แล้วว่าอีกไม่ช้าชีวิตของตนก็คงจะถูกพรากไป แต่ก็ยังดี อย่างน้อยนางสามารถเลือกที่จะตายด้วยน้ำมือของใครได้เด็กสาวใช้แรงเฮือกสุดท้ายกระซิบเอ่ยตอบกลับไป“รบกวนช่วย!!...ฆ่า!!ข้า อย่าให้ข้าต้อ