สองวันต่อมา
พานเยว่หลานฟื้นคืนสติกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ต้องสูญเสียครอบครัวของตนไป บัดนี้นางรู้สึกเคว้งคว้างไร้ที่ยึดเหนี่ยว ภาพความทรงจำของวันก่อนผุดขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจดวงน้อยเริ่มบีบรัดและเจ็บปวด ดวงตางามเริ่มแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมองไปรอบๆ พบว่าตนเองกลับมาอยู่ที่เรือนหลังเดินของตระกูลโจว ทว่าสาวใช้ทั้งสองได้หายไปแล้ว
“ฟื้นแล้วหรือ ตื่นขึ้นมาแล้วก็ดีข้ามีเรื่องต้องการคุยกับเจ้า”
พานเยว่หลานเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ในยามปกตินางมักแสดงท่าทีเฉยเมยต่อเขาอยู่แล้ว บัดนี้กลับเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็ง
ชายหนุ่มเมื่อเห็นภรรยาไร้ความสนใจต่อคำพูดของตน อารมณ์ที่กำลังแจ่มใส่ก็คุกรุ่นขึ้นมาทันที
“นี่ เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่”
ร่างบางที่ถูกเขย่าไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว บัดนี้นางไร้ความหวังและจุดหมายในชีวิต ในเมื่อครอบครัวก็ไม่อยู่แล้ว แล้วนางจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร
โจวหานอี้ถอนหายใจออกมาอย่างรำคาญ เขาพยายามเอ่ยวาจาดีดีกับนาง ทว่าสตรีผู้นี้กลับเอาแต่เงียบอยู่อย่างนี้ ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก ร่างบางเงยหน้ามองชายหนุ่ม ริมฝีปากซีดขาวเหยียดยิ้มเย้ยหยัน
“มีอันใดต้องพูดกันอีก ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าเจ้าที่นี่ ออกไปจากห้องของข้าซะ”
พานเยว่หลานยังคงจดจำฝังใจกับท่าทีเหยียดหยามที่เขามีต่อนางที่เขากระทำต่อตระกูลพาน ยิ่งนางได้อยู่ใกล้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีอย่างโจวหานอี้ นางยิ่งรู้สึกขยะแขยง
“ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะมาเหยียบที่นี่นักหรอก แต่อย่าลืมว่าที่เจ้ายังมีชีวิตรอดอยู่ได้ก็เพราะตระกูลโจวของข้าที่คุ้มกะลาหัวเจ้าอยู่”
เขามองเห็นความรังเกียจในแววตาของนาง โจวหานอี้รู้สึกปวดใจจนต้องเอ่ยวาจาเชือดเฉือนให้นางรู้สึกเช่นเดียวกับตน
“ข้าไม่ได้ต้องการ! เหตุใดวันนั้นเจ้าไม่ปล่อยให้ข้าตายไปพร้อมกับครอบครัวของข้าเสียเล่า เจ้าห้ามข้าเอาไว้ทำไม่”
ดวงตางามแดงก่ำ หยาดน้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นไม่ขาดสาย เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาเอ่ยกับตน
“ถ้าหากเจ้ามิได้ขึ้นชื่อว่าเป็นฮูหยินน้อยโจว ข้าก็คงจะไม่ใส่ใจ ทว่าตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว ตระกูลพานของเจ้าล่มสบายแต่ตระกูลโจวของข้ายังอยู่ จากนี้ไปหากเจ้าต้องการอยู่รอดเจ้าจะต้องเชื่อฟังข้า”
“ไม่! ข้าไม่มีวันพึ่งพาเจ้า”
ร่างบางตวาดแหว พลางผลักร่างสูงให้ออกห่างจากตน
“เช่นนั้นก็ดี ต่อจากนี้ไปเจ้าจะถูกปลดเป็นเพียงเมียทาสของข้า ทำงานในเรือนไม่ต่างจากบ่าวทั่วไปเพื่อแลกอาหารประทังชีวิต”
พานเยว่หลานไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะเอ่ยเช่นนั้นกับนาง เพราะคิดว่าหญิงสาวไร้ตระกูลบิดาคอยหนุนหลังทำให้เขาสามารถเหยียบย่ำนางเช่นไรก็ได้หรือ ให้นางตายเสียดีกว่า
“คิดว่าข้าจะยอมให้เป็นเช่นนั้นหรือ โจวหานอี้เขียนใบหย่าให้ข้าซะ”
ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินหญิงสาวเอ่ยว่าต้องการหย่าขาดจากตน
“เจ้า!! เจ้าที่เป็นเพียงสตรีไร้กำลัง คิดว่าตนเองจะอยู่รอดได้หรือ ถ้าหากไม่มีข้าคอยปกป้อง”
“ข้ายอมไปเป็นขอทานข้างนอกเสียดีกว่าต้องทนเห็นหน้าพวกเจ้าตระกูลโจว”
นางไม่คิดยอมตกเป็นเบี้ยล่างของเขาอีกแล้ว หัวเด็ดตีนขาดวันนี้ยังไงนางก็จะไปจากที่นี่
“ดี! เช่นนั้นข้าก็จะสนองความต้องการของเจ้า”
ชายหนุ่มหยิบกระดาษออกมาสองแผ่น เขียนหนังสือหย่าให้พานเยว่หลานทันที
“จากนี่ไปเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า ไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้าก็ห้ามนำตระกูลโจวของข้าไปเกี่ยวข้องเด็ดขาด”
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าต้องการอยู่แล้ว”
หญิงสาวเอ่ยเพียงเท่านั้นนางก็รีบเก็บข้าวของของตน ไม่สนแม้แต่สินเดิมที่ถูกอดีตแม่สามียักยอกไป ในห่อผ้าของนางมีตำราแค่เพียงไม่กี่เล่มและเครื่องประดับติดตัวเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากก้าวออกจากจวนตระกูลโจว หญิงสาวก็รู้สึกว่าตนเองปล่อยวางเรื่องทุกอย่างแล้ว บัดนี้นางไม่มีห่วงใดทางด้านหลัง ร่างบางเดินเท้าออกนอกเมืองหลวงไปยังวัดหลิงซาน เมื่อไปถึงบันไดทางขึ้นเขา ร่างบางจึงคุกเข่าคำนับสามครั้งก่อนบ่ายหน้าจากไป
“ท่านพ่อท่านแม่ อีกไม่นานลูกจะตามไปอยู่กับพวกท่านแล้ว”
พานเยว่หลานวางห่อสัมภาระทิ้งเอาไว้ ก่อนจะกระโดดลงไปในแม่น้ำที่เย็นเฉียบ ทว่าบุญเก่าของนางยังมีอยู่จึงได้ถูกชาวบ้านช่วยชีวิตเอาไว้เอาไว้
เมื่อหญิงสาวฟื้นขึ้นมาพบว่าตนยังไม่ตายและยังมีชีวิตน้อยๆ ที่กำลังถือกำเนิดภายในร่างกายของนาง ความสิ้นหวังทั้งหมดที่ผ่านเข้ามาบัดนี้กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้นางอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
หญิงสาวตัดสินใจเดินทางไปยังบ้านเกิดของบรรพบุรุษ ที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง ที่นั่นไม่มีใครรู้จักตระกูลพานอีกแล้ว เพราะพวกเขาย้ายไปอยู่เมืองหลวงตั้งแต่สมัยทวดของนางยังเป็นเพียงนายทหารหนุ่ม
หญิงสาวเปิดร้านเล็กๆ คิดใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับลูกน้อยเพียงลำพัง ทว่าสวรรค์ก็ได้ส่งบัณฑิตหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งเขามาในชีวิตของนาง
พานเยว่หลานที่หัวใจด้านชาไม่คิดข้องเกี่ยวกับผู้ใดอีก แต่ชายหนุ่มผู้นั้นเมื่อรู้นางเป็นหม้ายและมีลูกแล้วก็มิได้นึกรังเกียจ เขาคอยแวะเวียนมาที่ร้านของนางอยู่เป็นประจำ
เพราะชายหนุ่มที่คอยดูแลเอาใจใส่นางมาตลอดทำให้หญิงสาวใจอ่อนตกลงปลงใจเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเขา โดยการปิดผนึกชาติกำเนิดและอดีตของตนกลบฝังเอาไว้ ไม่เปิดเผยให้ผู้ใดล่วงรู้
บัดนี้นางคือพานเยว่หลานหญิงสาวกำพร้า มิใช่พานเยว่หลานบุตรสาวของแม่ทัพพาน ชีวิตต่อจากนี้ที่เหลือของนางจะใช้มันเพื่อปกป้องบุตรที่กำลังลืมตาดูโลกและไม่ขอข้องเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตอีกต่อไป
ทว่าหญิงสาวได้ลืมคำทำนายที่ได้ยินที่วัดหลิงซานไปแล้ว ชะตากรรมอันทุกข์ระทมของนางยังไม่สิ้นสุด ทุกอย่างที่นางประสบเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
พานเยียนหลิงและเย่เสวียนจื่อมีบุตรชายหญิงด้วยกันถึงสี่คน พานจื่อหยวนแต่งงานกับหลานสาวแม่ทัพเจิ้งมีบุตรชายหญิงฝาแฝดด้วยกันสองคน ส่วนพานซืออวิ๋นได้แต่งงานกับเย่อิ่งเจินมีบุตรีสองคนและชายหนึ่งคน ชีวิตที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดของสามพี่น้องบัดนี้ดีพร้อมเกินกว่าจิตนาการในทุกฤดูใบไม้ผลิหญิงสาวจะพาครอบครัวและเจ้าเสือดำพี่น้องนั่งเรือกลับไปยังหมู่บ้านมู่โถวเพื่อเยี่ยมเยียนท่านย่าจวงปีต่อมาหลวงจีนอันคงในวัยสี่สิบห้าได้เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคประหลาด กล่าวคือเขานอนหลับแล้วสิ้นลมไปอย่างเงียบๆ ภายในห้องพัก ไม่สามารถตรวจหาสาเหตุการเสียชีวิตได้สิบห้าปีต่อมาท่านย่าจวงในวัยชราได้จากไปเช่นกัน ถึงกระนั้นพานเยียนหลิงก็ยังกลับไปที่หมู่บ้านมู่โถวเพื่อรำลึกถึงสิ่งที่ย่าจวงเคยมอบให้แก่ตนและน้องทั้งสองนางไม่มีสิ่งใดตอบแทนหญิงชรามีเพียงการดูแลหลานชายของนางให้มีชีวิตที่ดี เพื่อเป็นการกตัญญูต่อนางพานเยียนหลิงได้มอบจวนที่อยู่ในอำเภอตงผิงให้แก่จวงอี้ซิงและครอบครัว ทุกปีนางจะแบ่งเสบียงที่ได้รับจากที่ดินพระราชทานบางส่วนให้แก่พวกเขาณ ถนนเส้นหลักใจกลางเมืองหลวง“ตีมันให้ตาย!!เจ้าขอทานสกปรกตัวเหม็น”เสียงร้องโอดโอยด้
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ ก่อนหน้านี้เกิดอันใดขึ้นกันแน่บอกเจิ้นมาให้หมด”เซี่ยฮ่องเต้มองไปยังเจ้าเสือดำสองพี่น้องที่นอนหมอบอยู่อย่างสงบด้วยท่าทีหวาดๆ ความจริงหลังจากที่ได้รับคำร้องขอเข้าเฝ้าพร้อมเสือดำสองตัวที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วเมืองหลวง พระองค์ก็ทรงอยากเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง ไม่คิดว่าจะมีขนาดใหญ่โตเช่นนี้พานเยียนหลิงเมื่อได้ยินเสียงความคิดของเซี่ยฮ่องเต้นางก็ลอบยิ้มให้กับตนเอง นี่เป็นทางเดียวที่นางจะสามารถนำเสี่ยวเจี่ยและเสี่ยวเกอมาอยู่ที่นี่ได้ คือต้องผ่านความเห็นชอบของเจ้าของแผ่นดิน“ความจริงเสือดำทั้งสองเป็นครอบครัวของหม่อมฉันเองเพคะ เมื่อครั้งยังเยาว์พวกเราเติบโตมาด้วยกัน หม่อมฉันกำพร้าแม่ส่วนแม่ของพวกมันก็ถูกพรากชีวิตไปเช่นกัน”“เจ้า...หมายความว่าอย่างไร”“แม่ของพวกมันถูกองค์ชายใหญ่ระดมคนมากมายตามสังหารเมื่อหลายปีก่อน ในช่วงเวลานั้นหม่อมฉันเองก็อยู่ที่นั่นด้วย”“นั่น!!..”พานเยียนหลิงเข้าใจว่าเซี่ยฮ่องเต้อาจรู้สึกผิดทว่าเรื่องนั้นก็ผ่านมานานแล้ว จึงไม่ควรเอ่ยถึงอีก“พวกมันไม่ถือสาเรื่องในอดีตแล้วเพคะ ทว่าหม่อมฉันยังมีเรื่องต้องกราบทูลพระองค์”หญิงสาวหยุดไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยถึงเร
หลังจากที่ได้พบเสือดำสองพี่น้อง ชายหนุ่มก็ได้ติดตามพวกมันไปจนกระทั่งพบร่างของพานเยียนหลิงและฟู่อี้ที่นอนหมดสติอยู่ในหลุมดักสัตว์ คนทั้งสองถูกช่วยเหลือขึ้นมา ส่วนฟู่อี้ที่บาดเจ็บสาหัสถูกมัดติดกับหลังของเสี่ยวเกอวิ่งไปยังโรงหมอที่ใกล้ที่สุดเพื่อช่วยชีวิตเขาผู้ติดตามสองคนใช้วิชาตัวเบาทะยานตามไปมองภาพนั้นด้วยสีหน้าอึ้งงัน ไม่คิดว่าพวกตนที่มีวิชาตัวเบาที่ดีที่สุดกลับไม่สามารถตามเสือดำตัวนั้นได้ทันย้อนกลับมายังปัจจุบันคนของเย่เสวียนจื่อจัดการนักฆ่าที่เหลือที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือต่อให้ปล่อยเอาไว้คนเหล่านั้นก็คงไม่สามารถมีทางรอดชีวิต แต่ละคนไม่แขนขาดก็ขาขาดเพราะถูกเสี่ยวเกอและเสี่ยวเจี่ยจัดการ“เสี่ยวเจี่ยเด็กดี”หญิงสาวดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มหลังจากที่รู้ว่าตนมิได้กำลังฝันไป แม้จะแต่งงานกับเขาแล้วพานเยียนหลิงก็ยังรู้สึกเขินอายทุกครั้งเมื่อต้องอยู่ในอ้อมแขนของเขาเสี่ยวเจี่ยที่นอนอยู่ด้านข้างใช้หัวดุนดันร่างของนางจนพานเยียนหลิงล้มลง ร่างบางกอดมันเอาไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับหลับตาซึมซับความคิดถึง“มันพาข้ามาพบเจ้าที่นี่”ร่างบางผินไปมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ“จริงหรือ ได้อย่างไรก
ท่ามกลางหุบเขาลึกพานเยียนหลิงแบกร่างที่แทบหมดสติของชายหนุ่มเอาไว้บนหลัง เสียงหอบหายใจของคนทั้งสองถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกย่างก้าวของนางมีเลือดของฟู่อี้ไหลหยดเป็นทางท้องฟ้ายามนี้กำลังอัสดง เสียงนกกาที่กำลังบินกลับรังกู่ร้องก้องสะท้านไปทั่วหุบเขา หญิงสาวที่กำลังหมดแรงแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า นางอยากจะภาวนาต่อสวรรค์ของให้ปล่อยพวกตนไปแต่ดูเหมือนคำร้องขอของนางจะถูกปฏิเสธ เมื่อร่างบางก้าวไปด้านหน้า พลันนางสัมผัสได้ถึงความเวิ้งว้างที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า สองร่างร่วงหล่นลงในหลุมขนาดใหญ่ พานเยียนหลิงหวีดร้องจนสุดเสียงฟู่อี้ทับอยู่บนร่างเล็กทว่ามิอาจขยับกายได้ หญิงสาวดิ้นรนอยู่นานกว่าจะนำร่างตนเองออกมาได้เป็นอิสระร่างบางมองขึ้นไปด้านบนด้วยสีหน้าซับซ้อน บัดนี้คนทั้งสองกำลังติดอยู่ในหลุมดักสัตว์ของนายพราน นางไม่คิดว่าในหุบเขาลึกเช่นนี้จะมีคนมาขุดหลุมใหญ่เอาไว้เสียได้ ทั้งนางและฟู่อี้ตอนนี้ถูกขังโดยสมบูรณ์ หากนักฆ่าเหล่านั้นตามมาทันพวกนางไม่มีทางรอดไปได้แน่กว่าสองชั่วยามที่หญิงสาวพยายามปีนป่ายออกจากหลุมลึก ไม่มีน้ำไม่มีอาหารหากต้องติดอยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างจากการเฝ้ารอความตาย หญิงสาวมองชายหนุ่มที่บัดนี้นอนหายใจรว
ทหารในเมืองหลวงถูกระดมกำลังพลออกตามหาหญิงสาวอย่างลับๆ รถม้าทุกคันเรือทุกลำต่างถูกตรวจค้นอย่างเข้มงวด ทว่าเรือลำที่พวกเขาโดยสารมีตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์จึงได้ถูกปล่อยผ่านพานเยียนหลิงและฟู่อี้ถูกขังเอาไว้ภายในห้องโดยสารหลายวันแล้ว อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นมากจากการดูแลของหญิงสาว นางฟังความคิดของคนที่เป็นหัวหน้าทำให้รู้ว่าพวกตนกำลังมุ่งหน้าไปที่ใดที่แท้จริงคนมากมายเหล่านี้ที่แต่งกายเลียนแบบทหารต้าเหลียงคือคนของตระกูลโจวที่เลี้ยงดูเอาไว้ และพวกเขายังเป็นพวกเดียวกับโจรป่าที่ถูกกำจัดไปเมื่อปีก่อนพานเยียนหลิงไม่คิดว่าจะยังหลงเหลือมากมายเพียงนี้ เป็นนางที่พลาดเองที่ไม่ตรวจสอบให้แน่ชัด หรือไม่บางทีคนเหล่านี้ก็ถูกแยกออกจากคนกลุ่มนั้นเพื่อคอยทำงานสกปรกให้กับตระกูลโจว“ฟู่อี้ อีกเพียงไม่นานก็จะถึงจุดหมายแล้ว แม้เจ้าจะยังบาดเจ็บภายในแต่เราคงรอนานกว่านี้ไม่ได้ เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่”ชายหนุ่มมองดวงตาดำขลับเปล่งประกายราวกับดวงดาวยามค่ำคืนของหญิงสาว เขาไม่รู้ว่านางรู้เรื่องทุกอย่างนี้ได้อย่างไร แต่เขาเชื่อใจหญิงสาวตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยมภาพเด็กน้อยเมื่อหลายปีก่อนผุดขึ้นมาในหัว เด็กสาวที่ต่อสู้ดิ้นรนเ
“เร็วเข้า!!รีบไปช่วยพี่สาวของข้า!!”“นี่!...อวิ๋นเอ๋อ!!เจ้าพูดได้แล้วหรือ”ชายหนุ่มตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงของเด็กสาวเป็นครั้งแรก“พี่เสวียนจื่อรีบไปช่วยพี่ใหญ่เร็วเข้า นางกำลังถูกพาตัวมุ่งหน้าไปทางอำเภอตงผิง”“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”เด็กน้อยได้รับสารมาเพียงเท่านี้ ยังไม่รู้ว่าพี่สาวถูกพาตัวไปทางบกหรือทางน้ำ ตอนนี้ก็ผ่านไปหลายชั่วยามแล้วพวกเขาจะต้องนำหน้าไปห่างไกล“ไม่ต้องถามแล้ว! แม้แต่พี่ฟู่อี้ตอนนี้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสท่านต้องรีบไปช่วยพวกเขาโดยด่วน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะสายเกินไป”เย่เสวียนจื่อสงสัยว่าเด็กน้อยรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรในเมื่อนางนอนป่วยไม่ได้สติมาตั้งแต่เมื่อคืน ทว่าเรื่องช่วยพานเยียนหลิงและฟู่อี้นั้นสำคัญยิ่งกว่าจึงมิได้ซักถามให้มากความ ชายหนุ่มรีบพาคนออกจากจวนเพื่อไปช่วยพวกเขาย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วยามก่อนพานเยียนหลิงนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักองค์หญิงใหญ่ที่อยู่นอกเมือง เมื่อถึงช่วงเส้นทางเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน มือสังหารมากมายได้พุ่งเข้าปิดล้อมรถม้าของนางภายในเวลาเพียงไม่นานความโกลาหลก็เกิดขึ้น องครักษ์เงาทั้งหกรวมถึงฟู่อี้ได้ช่วยสกัดมือสังหารเหล่านั้น ทว่าคนน้อ