“อวัยวะภายในของนางและกระดูกหลายส่วนถูกทำลายจนสิ้น ต่อให้ช่วยได้ในตอนนี้นางก็คงอยู่ไม่พ้นเดือน ทำได้เพียงใช้สมุนไพรยื้อชีวิตไปเรื่อยๆ เท่านั้น อีกอย่างเราอยู่ในภารกิจที่เร่งด่วน จำเป็นต้องปล่อยนางไป เฮ่อ!! ช่างน่าเวทนานัก นางยังเด็กอยู่เลยกลับต้องมาพบกับชะตากรรมอันเลวร้ายเช่นนี้”
ชายหนุ่มรูปงามที่แต่งกายด้วยชุดสีดำทั้งตัว เส้นผมสีดำสนิทถูกรวบสูงและสวมกวานหยก เขาประคองร่างบางขึ้นอย่างทะนุถนอม แม้ร่างกายของนางจะเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน แต่ถึงกระนั้นเขากลับกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างไม่นึกรังเกียจ
ชายหนุ่มยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเลือดที่ใบหน้าของหลี่อันหนิงอย่างแผ่วเบา นางไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนตั้งแต่ที่มารดาจากไป หญิงสาวส่งยิ้มให้กับบุรุษตรงหน้าเพื่อเป็นการขอบคุณ จากนั้นเขาจึงก้มลงกระซิบที่ข้างหูของนาง
“ข้าคือขุนนางที่ฮ่องเต้ส่งมา เด็กน้อยเจ้ามีคำขออื่นใดหรือไม่”
หลี่อันหนิงได้ยินคำถามนั้นก็รู้แล้วว่าอีกไม่ช้าชีวิตของตนก็คงจะถูกพรากไป แต่ก็ยังดี อย่างน้อยนางสามารถเลือกที่จะตายด้วยน้ำมือของใครได้
เด็กสาวใช้แรงเฮือกสุดท้ายกระซิบเอ่ยตอบกลับไป
“รบกวนช่วย!!...ฆ่า!!ข้า อย่าให้ข้าต้องเจ็บปวด”
ชายหนุ่มลูบเส้นผมแห้งสากของหญิงสาวก่อนพยักหน้ารับ เพียงพริบตากริชคมกริบก็ถูกจ้วงแทงเข้าที่หัวใจของนางอย่างแม่นยำ ความเหน็บหนาวได้เข้ามาเยือนร่างของนาง ทว่าหัวใจของหลี่อันหนิงกลับรู้สึกอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิกำลังมาเยือน
“ขะ...ขอบคุณ”
น้ำตาเม็ดโตรินไหลออกมาจากดวงตาของนาง ชายหนุ่มมองนัยน์ตาที่ไร้แววของเด็กสาวอย่างเหม่อลอย ทว่าในใจยังอดนึกไม่ได้ว่าดวงตาคู่นี้ช่างงดงามยิ่งนัก
ร่างของเด็กสาวซบอยู่กับอ้อมอกแสนอบอุ่นของชายหนุ่ม เวลานี้นางไม่มีความรู้สึกติดค้างใดใดกับโลกใบนี้อีกแล้ว และพร้อมจากไปอย่างสงบ
.
.
“เพล้ง!! ตุบ! นางเด็กบ้า!! แกกล้าดีอย่างไรถึงได้ทำชุดใหม่ของข้าขาดวิ่นเช่นนี้”
เฮือก!! เด็กสาวที่คิดว่าตนเองได้สิ้นใจไปแล้ว เวลานี้กลับได้ยินเสียงแหลมเสียดแก้วหูของอาเล็กที่ชอบรังแกตน
น้ำเสียงอันเกรี้ยวกราดดังออกมาจากห้องส่วนตัวของหลี่เจียนเจียน ถ้วยชาเคลือบอย่างดีราคาหลายสิบตำลึงที่หนี่ม่านม่านพี่สะใภ้คนรองมอบให้เป็นของขวัญในวันครบรอบวันเกิดอายุสิบห้าของนาง ถูกปาไปยังหัวของหลี่อันหนิงอย่างแม่นยำ
ร่างเล็กแกร็นนอนคุดคู้อยู่ที่ข้างผนังห้อง มือผมบางยกขึ้นแตะไปที่หัวของตน เมื่อรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เปียกแฉะและความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นคือ เจ็บ
ดวงตาของเด็กสาวเบิกโพลงสีหน้าตกตะลึง นางยังไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดสิ่งใดขึ้นกับตน
ทว่าความทรงจำสุดท้ายคือร่างของนางอยู่ภายใต้อ้อมแขนของท่านขุนนาง เมื่อนึกขึ้นได้หลี่อันหนิงก็รีบลูบคลำไปที่ร่างกายของตน ไม่มี! ไม่มีเลย! ไม่มีกริชเล่มนั้น
หลี่เจียนเจียนเห็นหลานสาวที่ไม่ต่างจากทาสในเรือนแสดงท่าทางประหลาดและไม่สนใจในคำพูดของตน ความโกรธเกรี้ยวที่มีก่อนหน้านี้ยิ่งกระพือขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า
“นางเด็กสารเลว! แกกล้าไม่สนใจคำพูดของข้าหรือ เช่นนั้นก็อย่าอยู่เลย”
ร่างสูงกว่ายกเท้าถีบไปยังเด็กสาวที่นั่งทำสีหน้างงงันอยู่ที่พื้น หลี่อันหนิงราวกับได้ยินสัญญาณบางอย่าง นางรีบกระโดดหลบทำให้หลี่เจียนเจียนเสียหลังล้มหน้าทิ่มผนังเสียงดังสนั่น
“ปั้ง!! กรี๊ด!! เจ้า! เจ้า! นางเด็กบ้า กล้าดีอย่างไรถึงหลบข้า ดีวันนี้ข้าหลี่เจียนเจียนจะตีเจ้าให้ตาย”
เด็กสาวผู้ที่ยังไม่รู้ว่าควรจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ก่อนจะถูกผู้เป็นอาตีด้วยไม้เกาหลัง ร่างเล็กราวกับลูกสัตว์ก็พุ่งมาจากหน้าประตูห้องที่เปิดอยู่ ชนเข้าด้านหลังหลี่เจียนเจียนจนหัวคะมำ
หลี่อันหนิงมองเห็นเด็กน้อยในชุดเก่าขาดที่แสนคุ้นเคย ดวงตาของนางเบิกกว้างอย่างตกตะลึง นัยน์ตากลมโตกะพริบถี่ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อ
เด็กสาวยกมือขึ้นขยี้ดวงตาของตนหลายครั้ง ทว่าภาพตรงหน้าก็ยังคงแจ่มชัดเช่นเดิม
“จะ...เจ้า!!ซะ...ซางเป่า เจ้าคือซางเป่า น้องสาวของข้า”
แววตาของเด็กสาวสั่นไหวสะท้อนความเจ็บปวดลึกล้ำ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ตนไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลยเมื่อน้องสาวถูกพรากไปโดยคนแปลกหน้า
หลี่อันหนิงยังคงจดจำสายตาหวาดกลัวของเด็กน้อยในวันนั้น ที่มองมายังตนเพื่อขอความช่วยเหลือได้อย่างชัดเจน
นางพุ่งเข้าไปกอดร่างเล็กเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนปล่อยโฮออกมาเสียงดัง
แม้แต่หลี่เจียนเจียนที่ล้มอยู่ยังแสดงสีหน้างงงัน หญิงสาวสัมผัสร่างเล็กของน้องสาวแผ่วเบา เมื่อพบว่ามันอบอุ่นราวกับมีชีวิตจริงๆ ทำให้นางรู้แล้วว่าตนเองมิได้กำลังฝันไป
นางย้อนเวลากลับมามีชีวิตอีกครั้ง
“ฮื่ออออ!!! ซางเป่าน้องน้อยของข้า ซางเป่า!! ซางเป่า!! พี่ขอโทษ ขอโทษที่อ่อนแอ ขอโทษที่ช่วยเหลืออะไรเจ้าไม่ได้เลย”
ดวงตาร้าวรานแฝงไว้ด้วยความเศร้าโศกอย่างลึกซึ้งมองไปยังร่างเล็กของน้องสาว เมื่อเห็นหลี่ซางเป่าแสดงสีหน้างุนงงนางจึงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและพยายามกลั้นน้ำตาไว้อย่างสุดความสามารถ
“ซางเป่าของพี่เจ้ากลับมาแล้ว”
“ใช่แล้วข้าคือซางเป่า ท่านคิดว่าข้าเป็นใครเล่าพี่สาวคนโง่ ข้าอยู่ที่นี่ตลอดมิได้ไปที่ใดเสียหน่อย”
หลี่อันหนิงมองไปยังน้องสาวของตนที่ตัวเล็กยิ่งกว่าเด็กสี่ขวบ ทำให้นางนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
วันนี้เป็นวันที่นางถูกหลี่เจียนเจียนตีจนต้องนอนซมเพราะเผลอทำชุดใหม่ที่ต้องใส่ไปดูตัวของนางขาด ทว่าหลี่ซางเป่าที่เข้ามาช่วยนางผู้เป็นพี่สาวอย่างกล้าหาญ ทำให้สองพี่น้องถูกตีจนช้ำไปทั้งตัวและถูกสั่งให้อดอาหารอยู่หลายวัน
เอ๊ะ!! เมื่อสักครู่ซางเป่าพูดหรือ นางพูดได้แล้วหรือ
หลี่อันหนิงจ้องเด็กน้อยตรงหน้าเพื่อรอฟังว่านางจะพูดสิ่งใดขึ้นมาอีก ทว่ากลับเป็นเสียงของหลี่เจียนเจียนที่ดังขึ้นภายในหัวของนาง
“พวกตัวไร้ค่าเจ้ากล้าเมินข้าหรือ คอยดูซิว่าข้าจะจัดการกับพวกเจ้าอย่างไร”
หลี่เจียนเจียนคว้าไม้เกาหลังที่วางอยู่ไม่ไกล หวังตีสองพี่น้องทีเผลอ
แต่หลี่อันหนิงกลับว่องไวกว่า นางรีบคว้าร่างของหลี่ซางเป่าอุ้มวิ่งหายออกจากห้องไป เด็กสาวเร่งฝีเท้าออกจากเรือนตระกูลหลี่ตรงไปยังเรือนของแม่เฒ่าจวงทันที
ร่างผอมบางหอบหายใจถี่ก่อนจะวางหลี่ซางเป่าลง
“เราอยู่ที่นี่ก่อนสักพัก รอให้หลี่เจียนเจียนหายโกรธแล้วค่อยกลับไป”
“นางคงจะหายโกรธหรอก ข้าว่านางจะโมโหมากยิ่งกว่าเดิมที่ท่านพาข้าวิ่งหนีมาเช่นนี้”
เอ๊ะ!! อีกแล้ว ข้าได้ยินเป่าเอ๋อพูดอีกแล้ว เด็กสาวนั่งยองๆ จับหัวไหล่ที่มีแต่กระดูกของน้องสาวหันเข้าหาตน แล้วใช้สายตาสำรวจนางด้วยท่าทางรู้สึกฉงน
“ซางเป๋าน้อย น้องพูดได้ตั้งแต่เมื่อใด”
“ข้าพูดเมื่อใดกันท่านยังสติดีอยู่หรือไม่”
ดวงตาเด็กสาวเบิกโพลง เมื่อไม่เห็นน้องสาวขยับปาก ทว่าตนเองกลับได้ยินเสียงของนาง
นอกจากเสียงของหลี่ซางเป่าแล้วภายในหัวของหลี่อันหนิงยังมีเสียงของคนในหมู่บ้านที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
เด็กสาวยกมือขึ้นกุมหัวตนเอาไว้ ใบหน้าผอมที่มีแต่กระดูกของนางเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
แม่เฒ่าจวงผู้ที่เดินออกมาดูสองพี่น้องหลังจากได้ยินเสียงสนทนาที่หน้าเรือน เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กสาวอาบย้อมไปด้วยเลือดหญิงชราก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา
“เกิดอะไรขึ้น!! อันหนิงเจ้าเป็นอะไร อาซิงรีบไปตามท่านหมอเร็วเข้า”
“มะ..ไม่!! ข้าไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะท่านย่าจวง”
เด็กสาวยกมือขึ้นห้ามแม่เฒ่าจวงเอาไว้ เลือดที่ไหลออกจากบาดแผลบัดนี้เริ่มแห้งติดใบหน้าบ้างแล้ว นางยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดลวกๆ ก่อนส่งยิ้มให้หญิงชราเพื่อบอกว่าตนไม่เป็นอะไร
ไม่จำเป็นต้องไต่ถามแล้วว่าก่อนหน้านี้เกิดสิ่งใดขึ้นกับพวกนางพี่น้อง แค่ดูก็รู้ว่าต้องถูกคนบ้านหลี่ทำร้ายมาแน่นอน
“อันหนิงแต่หัวของเจ้า...”
“ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ เจ้าค่ะ”
หลี่อันหนิงส่ายหน้า นางค่อยๆ ควบคุมการได้ยินที่เกิดขึ้นภายในหัวของตนอย่างช้าๆ จนกระทั่งมีเพียงเสียงความคิดของแม่เฒ่าจวง จวงอี้ซิงผู้เป็นหลานชายและหลี่ซางเป่าเท่านั้นที่นางได้ยิน
เด็กสาวรู้สึกทึ่งกับความสามารถที่แปลกใหม่นี้ยิ่งนัก
“ขอบคุณที่เป็นห่วงพี่นะ”
หลี่อันหนิงส่งยิ้มอบอุ่นไปให้น้องสาว ใบหน้าซีดเซียวของนางมองไปยังแม่เฒ่าจวงก่อนที่สติทั้งหมดจะดับวูบไป
พานเยียนหลิงและเย่เสวียนจื่อมีบุตรชายหญิงด้วยกันถึงสี่คน พานจื่อหยวนแต่งงานกับหลานสาวแม่ทัพเจิ้งมีบุตรชายหญิงฝาแฝดด้วยกันสองคน ส่วนพานซืออวิ๋นได้แต่งงานกับเย่อิ่งเจินมีบุตรีสองคนและชายหนึ่งคน ชีวิตที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดของสามพี่น้องบัดนี้ดีพร้อมเกินกว่าจิตนาการในทุกฤดูใบไม้ผลิหญิงสาวจะพาครอบครัวและเจ้าเสือดำพี่น้องนั่งเรือกลับไปยังหมู่บ้านมู่โถวเพื่อเยี่ยมเยียนท่านย่าจวงปีต่อมาหลวงจีนอันคงในวัยสี่สิบห้าได้เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคประหลาด กล่าวคือเขานอนหลับแล้วสิ้นลมไปอย่างเงียบๆ ภายในห้องพัก ไม่สามารถตรวจหาสาเหตุการเสียชีวิตได้สิบห้าปีต่อมาท่านย่าจวงในวัยชราได้จากไปเช่นกัน ถึงกระนั้นพานเยียนหลิงก็ยังกลับไปที่หมู่บ้านมู่โถวเพื่อรำลึกถึงสิ่งที่ย่าจวงเคยมอบให้แก่ตนและน้องทั้งสองนางไม่มีสิ่งใดตอบแทนหญิงชรามีเพียงการดูแลหลานชายของนางให้มีชีวิตที่ดี เพื่อเป็นการกตัญญูต่อนางพานเยียนหลิงได้มอบจวนที่อยู่ในอำเภอตงผิงให้แก่จวงอี้ซิงและครอบครัว ทุกปีนางจะแบ่งเสบียงที่ได้รับจากที่ดินพระราชทานบางส่วนให้แก่พวกเขาณ ถนนเส้นหลักใจกลางเมืองหลวง“ตีมันให้ตาย!!เจ้าขอทานสกปรกตัวเหม็น”เสียงร้องโอดโอยด้
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ ก่อนหน้านี้เกิดอันใดขึ้นกันแน่บอกเจิ้นมาให้หมด”เซี่ยฮ่องเต้มองไปยังเจ้าเสือดำสองพี่น้องที่นอนหมอบอยู่อย่างสงบด้วยท่าทีหวาดๆ ความจริงหลังจากที่ได้รับคำร้องขอเข้าเฝ้าพร้อมเสือดำสองตัวที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วเมืองหลวง พระองค์ก็ทรงอยากเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง ไม่คิดว่าจะมีขนาดใหญ่โตเช่นนี้พานเยียนหลิงเมื่อได้ยินเสียงความคิดของเซี่ยฮ่องเต้นางก็ลอบยิ้มให้กับตนเอง นี่เป็นทางเดียวที่นางจะสามารถนำเสี่ยวเจี่ยและเสี่ยวเกอมาอยู่ที่นี่ได้ คือต้องผ่านความเห็นชอบของเจ้าของแผ่นดิน“ความจริงเสือดำทั้งสองเป็นครอบครัวของหม่อมฉันเองเพคะ เมื่อครั้งยังเยาว์พวกเราเติบโตมาด้วยกัน หม่อมฉันกำพร้าแม่ส่วนแม่ของพวกมันก็ถูกพรากชีวิตไปเช่นกัน”“เจ้า...หมายความว่าอย่างไร”“แม่ของพวกมันถูกองค์ชายใหญ่ระดมคนมากมายตามสังหารเมื่อหลายปีก่อน ในช่วงเวลานั้นหม่อมฉันเองก็อยู่ที่นั่นด้วย”“นั่น!!..”พานเยียนหลิงเข้าใจว่าเซี่ยฮ่องเต้อาจรู้สึกผิดทว่าเรื่องนั้นก็ผ่านมานานแล้ว จึงไม่ควรเอ่ยถึงอีก“พวกมันไม่ถือสาเรื่องในอดีตแล้วเพคะ ทว่าหม่อมฉันยังมีเรื่องต้องกราบทูลพระองค์”หญิงสาวหยุดไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยถึงเร
หลังจากที่ได้พบเสือดำสองพี่น้อง ชายหนุ่มก็ได้ติดตามพวกมันไปจนกระทั่งพบร่างของพานเยียนหลิงและฟู่อี้ที่นอนหมดสติอยู่ในหลุมดักสัตว์ คนทั้งสองถูกช่วยเหลือขึ้นมา ส่วนฟู่อี้ที่บาดเจ็บสาหัสถูกมัดติดกับหลังของเสี่ยวเกอวิ่งไปยังโรงหมอที่ใกล้ที่สุดเพื่อช่วยชีวิตเขาผู้ติดตามสองคนใช้วิชาตัวเบาทะยานตามไปมองภาพนั้นด้วยสีหน้าอึ้งงัน ไม่คิดว่าพวกตนที่มีวิชาตัวเบาที่ดีที่สุดกลับไม่สามารถตามเสือดำตัวนั้นได้ทันย้อนกลับมายังปัจจุบันคนของเย่เสวียนจื่อจัดการนักฆ่าที่เหลือที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือต่อให้ปล่อยเอาไว้คนเหล่านั้นก็คงไม่สามารถมีทางรอดชีวิต แต่ละคนไม่แขนขาดก็ขาขาดเพราะถูกเสี่ยวเกอและเสี่ยวเจี่ยจัดการ“เสี่ยวเจี่ยเด็กดี”หญิงสาวดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มหลังจากที่รู้ว่าตนมิได้กำลังฝันไป แม้จะแต่งงานกับเขาแล้วพานเยียนหลิงก็ยังรู้สึกเขินอายทุกครั้งเมื่อต้องอยู่ในอ้อมแขนของเขาเสี่ยวเจี่ยที่นอนอยู่ด้านข้างใช้หัวดุนดันร่างของนางจนพานเยียนหลิงล้มลง ร่างบางกอดมันเอาไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับหลับตาซึมซับความคิดถึง“มันพาข้ามาพบเจ้าที่นี่”ร่างบางผินไปมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ“จริงหรือ ได้อย่างไรก
ท่ามกลางหุบเขาลึกพานเยียนหลิงแบกร่างที่แทบหมดสติของชายหนุ่มเอาไว้บนหลัง เสียงหอบหายใจของคนทั้งสองถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกย่างก้าวของนางมีเลือดของฟู่อี้ไหลหยดเป็นทางท้องฟ้ายามนี้กำลังอัสดง เสียงนกกาที่กำลังบินกลับรังกู่ร้องก้องสะท้านไปทั่วหุบเขา หญิงสาวที่กำลังหมดแรงแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า นางอยากจะภาวนาต่อสวรรค์ของให้ปล่อยพวกตนไปแต่ดูเหมือนคำร้องขอของนางจะถูกปฏิเสธ เมื่อร่างบางก้าวไปด้านหน้า พลันนางสัมผัสได้ถึงความเวิ้งว้างที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า สองร่างร่วงหล่นลงในหลุมขนาดใหญ่ พานเยียนหลิงหวีดร้องจนสุดเสียงฟู่อี้ทับอยู่บนร่างเล็กทว่ามิอาจขยับกายได้ หญิงสาวดิ้นรนอยู่นานกว่าจะนำร่างตนเองออกมาได้เป็นอิสระร่างบางมองขึ้นไปด้านบนด้วยสีหน้าซับซ้อน บัดนี้คนทั้งสองกำลังติดอยู่ในหลุมดักสัตว์ของนายพราน นางไม่คิดว่าในหุบเขาลึกเช่นนี้จะมีคนมาขุดหลุมใหญ่เอาไว้เสียได้ ทั้งนางและฟู่อี้ตอนนี้ถูกขังโดยสมบูรณ์ หากนักฆ่าเหล่านั้นตามมาทันพวกนางไม่มีทางรอดไปได้แน่กว่าสองชั่วยามที่หญิงสาวพยายามปีนป่ายออกจากหลุมลึก ไม่มีน้ำไม่มีอาหารหากต้องติดอยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างจากการเฝ้ารอความตาย หญิงสาวมองชายหนุ่มที่บัดนี้นอนหายใจรว
ทหารในเมืองหลวงถูกระดมกำลังพลออกตามหาหญิงสาวอย่างลับๆ รถม้าทุกคันเรือทุกลำต่างถูกตรวจค้นอย่างเข้มงวด ทว่าเรือลำที่พวกเขาโดยสารมีตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์จึงได้ถูกปล่อยผ่านพานเยียนหลิงและฟู่อี้ถูกขังเอาไว้ภายในห้องโดยสารหลายวันแล้ว อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นมากจากการดูแลของหญิงสาว นางฟังความคิดของคนที่เป็นหัวหน้าทำให้รู้ว่าพวกตนกำลังมุ่งหน้าไปที่ใดที่แท้จริงคนมากมายเหล่านี้ที่แต่งกายเลียนแบบทหารต้าเหลียงคือคนของตระกูลโจวที่เลี้ยงดูเอาไว้ และพวกเขายังเป็นพวกเดียวกับโจรป่าที่ถูกกำจัดไปเมื่อปีก่อนพานเยียนหลิงไม่คิดว่าจะยังหลงเหลือมากมายเพียงนี้ เป็นนางที่พลาดเองที่ไม่ตรวจสอบให้แน่ชัด หรือไม่บางทีคนเหล่านี้ก็ถูกแยกออกจากคนกลุ่มนั้นเพื่อคอยทำงานสกปรกให้กับตระกูลโจว“ฟู่อี้ อีกเพียงไม่นานก็จะถึงจุดหมายแล้ว แม้เจ้าจะยังบาดเจ็บภายในแต่เราคงรอนานกว่านี้ไม่ได้ เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่”ชายหนุ่มมองดวงตาดำขลับเปล่งประกายราวกับดวงดาวยามค่ำคืนของหญิงสาว เขาไม่รู้ว่านางรู้เรื่องทุกอย่างนี้ได้อย่างไร แต่เขาเชื่อใจหญิงสาวตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยมภาพเด็กน้อยเมื่อหลายปีก่อนผุดขึ้นมาในหัว เด็กสาวที่ต่อสู้ดิ้นรนเ
“เร็วเข้า!!รีบไปช่วยพี่สาวของข้า!!”“นี่!...อวิ๋นเอ๋อ!!เจ้าพูดได้แล้วหรือ”ชายหนุ่มตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงของเด็กสาวเป็นครั้งแรก“พี่เสวียนจื่อรีบไปช่วยพี่ใหญ่เร็วเข้า นางกำลังถูกพาตัวมุ่งหน้าไปทางอำเภอตงผิง”“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”เด็กน้อยได้รับสารมาเพียงเท่านี้ ยังไม่รู้ว่าพี่สาวถูกพาตัวไปทางบกหรือทางน้ำ ตอนนี้ก็ผ่านไปหลายชั่วยามแล้วพวกเขาจะต้องนำหน้าไปห่างไกล“ไม่ต้องถามแล้ว! แม้แต่พี่ฟู่อี้ตอนนี้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสท่านต้องรีบไปช่วยพวกเขาโดยด่วน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะสายเกินไป”เย่เสวียนจื่อสงสัยว่าเด็กน้อยรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรในเมื่อนางนอนป่วยไม่ได้สติมาตั้งแต่เมื่อคืน ทว่าเรื่องช่วยพานเยียนหลิงและฟู่อี้นั้นสำคัญยิ่งกว่าจึงมิได้ซักถามให้มากความ ชายหนุ่มรีบพาคนออกจากจวนเพื่อไปช่วยพวกเขาย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วยามก่อนพานเยียนหลิงนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักองค์หญิงใหญ่ที่อยู่นอกเมือง เมื่อถึงช่วงเส้นทางเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน มือสังหารมากมายได้พุ่งเข้าปิดล้อมรถม้าของนางภายในเวลาเพียงไม่นานความโกลาหลก็เกิดขึ้น องครักษ์เงาทั้งหกรวมถึงฟู่อี้ได้ช่วยสกัดมือสังหารเหล่านั้น ทว่าคนน้อ