“อันหนิง!! อันหนิงลูกแม่ ลูกต้องช่วยน้องชายของเจ้านะ อย่าปล่อยให้เขาต้องเดินทางผิดเช่นในอดีต บัดนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถนำทางให้เขากลับมาเดินในเส้นทางที่ถูกต้องได้”
ในความมืดมิดอันเวิ้งว้าง เด็กสาวได้ยินเสียงคุ้นเคยของผู้เป็นมารดาดังแว่วอยู่ไกลๆ นางมองสถานที่ที่ไม่คุ้นตานี้ด้วยสีหน้าสงสัย แม้รอบกายจะมืดทะมึนแต่กลับมิได้ให้บรรยากาศที่น่าหวาดกลัว
หลังจากเงี่ยหูฟังว่าเสียงของมารดามาจากที่ใด นางจึงตัดสินใจเดินตามเสียงนั้น กระทั่งได้เห็นภาพเหตุการณ์ของชายหนุ่มรูปงามในชุดขาว ราวกับเทพสงครามกำลังเข่นฆ่าสังหารผู้อื่นด้วยใบหน้าเฉยชา
เด็กสาวตกใจกับภาพตรงหน้าจนถอยกรูดไปด้านหลัง ทว่าภายในใจกลับคิดว่าดวงตาของคนผู้นี้ช่างดูคุ้นเคยยิ่งนัก
เมื่อหลี่อันหนิงมองเพ่งมองให้ชัดๆ นางเห็นไฝเม็ดเล็กที่อยู่ใต้ดวงตาขวาของเขา
แล้วภาพของเด็กชายตัวน้อยที่ถือตำราในมือก็ผุดขึ้นมาในหัวของนาง บ้านหลี่มีเพียงเด็กสองคนที่เกิดมาพร้อมกัน และพวกเขามีไฝน้ำตาอยู่คนละฝั่ง
หลี่ซางเป่ามีไฝเม็ดเล็กใต้ดวงตาข้างซ้าย เช่นนั้นเขาก็คือหลี่อี้เจ๋อ น้องชายคนรองของนาง ทว่าภาพตรงหน้ามันคืออันใด เหตุใดเขาถึงได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต สามารถสังหารผู้อื่นได้โดยไม่กะพริบตาเช่นนี้
ยังมีบุรุษอีกคนที่นางจดจำใบหน้าของเขาได้เป็นอย่างดี จากภาพที่เห็นตรงหน้าแม้จะดูมีอายุเพิ่มขึ้นแต่ใบหน้าของเขาก็มิได้แปรเปลี่ยนไปมากนัก ท่านขุนนางผู้นั้นกำลังต่อสู้อยู่กับหลี่อี้เจ๋อ
ทำไมเล่า
แล้วภาพทั้งหมดก็ถูกตัดไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราว
มันคือคืนวันที่หลี่อันหนิงถูกตามล่าโดยคนของหอนางโลมแห่งหนึ่ง และหลี่อี้เจ๋อที่กำลังรีบกลับมายังเรือนตระกูลหลี่เพื่อขัดขวางการขายหลี่อันหนิงออกไป ทว่าทุกอย่างได้สายไปเสียแล้ว
หญิงสาวมองดวงตาอันแข็งกร้าวและน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดของน้องชายที่กำลังอาละวาด
หลี่อันหนิงไม่เข้าใจว่าเด็กคนนี้เหตุใดถึงได้แสดงท่าทีเกลียดชังคนบ้านหลี่ถึงเพียงนี้ มิใช่เขาไม่ต้องการพี่น้องอย่างพวกนางหรอกหรือ เพราะไม่ว่าเมื่อใดเขาก็มักแสดงสีหน้าเย็นชาต่างจากเด็กทั่วไปและไม่เคยใส่ใจพวกนางเลยสักครั้ง
แล้วทุกอย่างก็ถูกไขกระจ่าง ภาพเหตุการณ์ก่อนที่หลี่อี้เจ๋อจะออกไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหมิงหลัน เด็กน้อยได้ทำข้อตกลงกับผู้เฒ่าหลี่ผู้เป็นปู่ว่าห้ามทำร้ายหรือขายนางออกไปเด็ดขาด แล้วเขาจะยอมเรียนหนังสือและสอบเอาตำแหน่งขุนนางมาให้ตระกูลหลี่
ทว่าแม่เฒ่าหม่าผู้ไม่รู้ถึงข้อตกลงระหว่างปู่หลาน นางได้ถือวิสาสะขายหลี่อันหนิงให้กับหอนางโลม และนั่นเป็นเรื่องที่ผู้เฒ่าหลี่เองก็ยังไม่รู้
หลังจากที่หลี่อี้เจ๋ออาละวาดออกไป เขาก็ได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับคนตระกูลหลี่อย่างเด็ดขาด
ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าตัดไปอีกครั้ง กลายเป็นภาพของหลี่อี้เจ๋อในวัยหนุ่ม ในมือของเขาถือกระบี่ที่เต็มไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน ภาพเบื้องหลังคือเรือนตระกูลหลี่ที่มีพระเพลิงลุกท่วมเผาผลาญจนวายวอด
ชายหนุ่มในชุดขาวผู้ที่ยืนอยู่บนกองซากศพมากมายข้างกายของเขายังมีชายชุดดำยืนล้อมรอบ
ดวงตาเย็นชาแลอำมหิตราวกับจะสังหารผู้ใดก็ตามที่กล้าทำให้เขาขุ่นข้องหมองใจ บัดนี้หลี่อันหนิงเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของตน
“ท่านแม่ ท่านต้องการให้ข้าเปลี่ยนโชคชะตาของน้องทั้งสองคนใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หลี่อันหนิงเงยหน้าขึ้นตะโกนออกไปราวกับต้องการให้เสียงของตนส่งไปถึงมารดาที่ไม่รู้อยู่ที่ใด
พลันภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าทั้งหมดได้เลือนหายไป
ทันใดนั้นร่างของคนมากมายที่ในมือถือโคมไฟคนละดวงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า หลี่อันหนิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อชายวัยกลางคนสวมชุดเกราะวาววับที่อาบย้อมไปด้วยโลหิตเดินเข้ามาหานาง
“เจ้าคือสายเลือดของตระกูลพานจงจดจำเอาไว้ให้ดี ใช้ชีวิตที่สองที่พวกเรามอบให้ให้ดีซะ และจงกล้าหาญที่จะเผชิญกับโชคชะตาของตนเอง”
นั่นคือสิ่งที่ชายในชุดเกราะกล่าวกับนางก่อนเขาจะเดินผ่านเลยไป หลี่อันหนิงมองเห็นมารดาอยู่ในคนกลุ่มนั้นด้วยเช่นกัน นางเอ่ยร้องเรียกไปหลายครั้ง ทว่ามีเพียงรอยยิ้มแสนเศร้าสร้อยเท่านั้นที่ตอบกลับมา
“ท่านแม่!!ท่านแม่!! รอก่อนเจ้าค่ะ”
หลี่อันหนิงทะลึ่งตัวลุกพรวดพลาดขึ้น ส่วนปากก็ไม่หยุดที่จะร้องเรียกหามารดา เหงื่อกาฬที่ชุ่มโชกทำให้นางรู้ว่าตนเองแค่เพียงฝันไปเท่านั้น
ภายหลังเมื่อได้สติ เด็กสาวจึงนึกย้อนกลับไปถึงภาพเหตุการณ์ที่ตนได้เห็นในนิมิตก่อนหน้า
ดวงตากลมโตเหลือบสายตามองไปรอบๆ ห้อง ที่นั่นมีเพียงตัวนางและเด็กน้อยร่างผอมบางในชุดที่ถูกปะชุนจนมองไม่เห็นรอยตะเข็บเดิมนอนหลับอยู่
หญิงสาวยกมืออันหยาบกร้านจากการทำงานหนักลูบไปที่เส้นผมสากแห้งของน้องสาว
“เรื่องของหลี่อี้เจ๋อตอนนี้ยังไม่รีบร้อน ปีหน้าจะเกิดภัยแล้งขึ้นอย่างยาวนาน ข้าต้องหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้ซางเป่าและตนเองถูกขายออกไป ชีวิตที่ตระกูลพานมอบให้ครั้งที่สอง ข้าจะไม่ให้สูญเปล่าอย่างแน่นอน”
เด็กสาวเอ่ยสัญญากับตนเองอย่างแน่วแน่ เสียงเคลื่อนไหวของนางทำให้เด็กน้อยที่กำลังหลับสนิทงัวเงียตื่น นางมองไปยังพี่สาวที่บัดนี้สีหน้ามีแววแช่มชื่นขึ้น
“บาดเจ็บอยู่ เหตุใดไม่พักผ่อน ลุกขึ้นมาทำไมพี่โง่”
เสียงในใจของเด็กน้อยดังขึ้นแผ่วเบา หลี่อันหนิงที่ได้ยินจึงใช้นิ้วเคาะไปที่หน้าผากน้อยๆ ของหลี่ซางเป่า พลางเอ่ยหยอกเย้านาง
“พี่รู้ว่าซางเป่าเป็นห่วงแต่อาการไม่ได้ร้ายแรงเพียงนั้น แล้วก็เลิกเรียกพี่ว่าคนโง่เสียที แค่นี้พี่ก็รู้สึกโง่มากพอแล้ว”
เมื่อเห็นพี่สาวเอ่ยสิ่งที่ตนคิดในใจออกมา เด็กน้อยถึงกับตกใจอ้าปากค้างไปเลยทีเดียว
“ตกใจหรือ ไม่คิดว่าพี่จะได้ยินความคิดของซางเป่าใช่หรือไม่”
หลี่ซางเป่ารีบหุบปากของตนก่อนจะพยักหน้ารัวๆ เด็กน้อยแสดงสีหน้าสนอกสนใจในความสามารถของผู้เป็นพี่สาว
“ในที่สุดเราพี่น้องก็ได้มีโอกาสพูดคุยกัน”
“ใช่แล้ว เราจะได้คุยกัน เป่าเอ๋อจะได้มีเพื่อนคุยเสียที”
หลี่อันหนิงลูบไปที่ใบหน้าที่มีแต่กระดูกของน้องสาวอย่างเอ็นดู ชีวิตก่อนนางไม่เคยเขาใจความต้องการของหลี่ซางเป่า จนกระทั่งทั้งสองต้องแยกจากกัน
ครั้งนี้นางจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของน้องสาวให้ได้ ไม่ว่าผู้ใดตนก็จะไม่ยอมให้มาพรากพวกนางออกจากกันอีกแล้ว
ในระหว่างที่หลี่อันหนิงกำลังใช้ความคิด เสียงของหลี่เจียนเจียนที่ดังขึ้นในหัว ทำให้นางรีบกระตุ้นหลี่ซางเป่าให้รีบออกจากเรือนแม่เฒ่าจวงทันที
“ซางเป่า!! หลี่เจียนเจียนกำลังมาที่นี่ เราต้องหาที่หลบก่อน จะให้ท่านย่าจวงเดือดร้อนเพราะเราสองคนไม่ได้”
เด็กสาวดึงให้หลี่ซางเป่ารีบตามตนเองไปด้านหลังเรือน เสียงโวยวายของหลี่เจียนเจียนยังคงดังอย่างต่อเนื่องที่ลานด้านหน้า นางรู้ดีว่าอาเล็กของนางมาที่นี่ทำไม
คงเพราะเรื่องที่ตนเผลอทำชุดของนางขาดก่อนหน้านี้ อีกทั้งซางเป่ายังทำร้ายนางเพื่อช่วยตนอีกด้วย หลี่อันหนิงคิดว่าครั้งนี้หลี่เจียนเจียนคงไม่ยอมปล่อยพวกตนไปง่ายๆ แน่
“หลี่อันหนิง!!หลี่ซางเป่า!! ออกมาเดี๋ยวนี้!! ข้ารู้ว่าพวกเจ้าหลบอยู่ข้างใน”
แม่เฒ่าจวงที่กำลังให้อาหารไก่อยู่หลังเรือนเดินออกมาด้านหน้าเมื่อได้ยินเสียงแหลมเสียดแก้วหูของหลี่เจียนเจียน
“เจ้ามาทำอันใดที่นี่ บ้านข้าไม่ต้อนรับสตรีจากหอคณิกา”
แม่เฒ่าจวงเหล่มองการแต่งกายของหลี่เจียนเจียนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกเพราะฉุนกลิ่นเครื่องประทินโฉมแป้งชาดที่นางประโคมใส่ตนเอง
“นี่!! เจ้า!! ยายเฒ่าหมายความว่าอย่างไร ข้ามิใช่หญิงคณิกา”
“อ้อ ข้าก็นึกว่าใช่ เห็นแต่งกายเช่นนี้มีใครบ้างเล่าไม่คิดเช่นนั้น ใช่หรือไม่”
แม่เฒ่าจวงหันไปพูดกับเพื่อนบ้านที่ออกมาดูเช่นกัน ว่าใครที่ไหนกำลังส่งเสียงโวยวายกลางวันแสกๆ
“หุบปากนะ!! ยายเฒ่าจวง ส่งตัวหลี่อันหนิงกับหลี่ซางเป่ามาซะ ข้ารู้ว่าเจ้าซ่อนพวกนางเอาไว ไม่อย่างนั้นข้าจะไปแจ้งกับทางการว่าเจ้ากักขังหน่วงเหนี่ยวคนบ้านข้าเอาไว้ในเรือน”
หลี่เจียนเจียนชี้หน้าหญิงชราที่ทำท่าทางไม่รู้สึกรู้สากับการมาของตน
แม่เฒ่าจวงผู้มากประสบการณ์มีหรือจะหวาดกลัวต่อคำขู่ของเด็กสาวอายุน้อยกว่าตนหลายรุ่นอย่างหลี่เจียนเจียน นางคว้าไม้ที่วางพิงอยู่ที่ริมรั่วขึ้นมาก่อนจะยกชี้ไปยังสตรีหน้าขาวตรงหน้า
“ช่างเก่งกาจเสียจริง ถึงกลับกล้ามาอาละวาดที่เรือนผู้อื่นโดยไม่เห็นกฎหมายของต้าเหลียงอยู่ในสายตา คิดว่าบิดาของเจ้าเป็นฮ่องเต้หรืออย่างไร อยากกล่าวหาผู้อื่นเจ้าต้องมีหลักฐาน พวกเจ้าว่าใช่หรือไม่”
พานเยียนหลิงและเย่เสวียนจื่อมีบุตรชายหญิงด้วยกันถึงสี่คน พานจื่อหยวนแต่งงานกับหลานสาวแม่ทัพเจิ้งมีบุตรชายหญิงฝาแฝดด้วยกันสองคน ส่วนพานซืออวิ๋นได้แต่งงานกับเย่อิ่งเจินมีบุตรีสองคนและชายหนึ่งคน ชีวิตที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดของสามพี่น้องบัดนี้ดีพร้อมเกินกว่าจิตนาการในทุกฤดูใบไม้ผลิหญิงสาวจะพาครอบครัวและเจ้าเสือดำพี่น้องนั่งเรือกลับไปยังหมู่บ้านมู่โถวเพื่อเยี่ยมเยียนท่านย่าจวงปีต่อมาหลวงจีนอันคงในวัยสี่สิบห้าได้เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคประหลาด กล่าวคือเขานอนหลับแล้วสิ้นลมไปอย่างเงียบๆ ภายในห้องพัก ไม่สามารถตรวจหาสาเหตุการเสียชีวิตได้สิบห้าปีต่อมาท่านย่าจวงในวัยชราได้จากไปเช่นกัน ถึงกระนั้นพานเยียนหลิงก็ยังกลับไปที่หมู่บ้านมู่โถวเพื่อรำลึกถึงสิ่งที่ย่าจวงเคยมอบให้แก่ตนและน้องทั้งสองนางไม่มีสิ่งใดตอบแทนหญิงชรามีเพียงการดูแลหลานชายของนางให้มีชีวิตที่ดี เพื่อเป็นการกตัญญูต่อนางพานเยียนหลิงได้มอบจวนที่อยู่ในอำเภอตงผิงให้แก่จวงอี้ซิงและครอบครัว ทุกปีนางจะแบ่งเสบียงที่ได้รับจากที่ดินพระราชทานบางส่วนให้แก่พวกเขาณ ถนนเส้นหลักใจกลางเมืองหลวง“ตีมันให้ตาย!!เจ้าขอทานสกปรกตัวเหม็น”เสียงร้องโอดโอยด้
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ ก่อนหน้านี้เกิดอันใดขึ้นกันแน่บอกเจิ้นมาให้หมด”เซี่ยฮ่องเต้มองไปยังเจ้าเสือดำสองพี่น้องที่นอนหมอบอยู่อย่างสงบด้วยท่าทีหวาดๆ ความจริงหลังจากที่ได้รับคำร้องขอเข้าเฝ้าพร้อมเสือดำสองตัวที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วเมืองหลวง พระองค์ก็ทรงอยากเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง ไม่คิดว่าจะมีขนาดใหญ่โตเช่นนี้พานเยียนหลิงเมื่อได้ยินเสียงความคิดของเซี่ยฮ่องเต้นางก็ลอบยิ้มให้กับตนเอง นี่เป็นทางเดียวที่นางจะสามารถนำเสี่ยวเจี่ยและเสี่ยวเกอมาอยู่ที่นี่ได้ คือต้องผ่านความเห็นชอบของเจ้าของแผ่นดิน“ความจริงเสือดำทั้งสองเป็นครอบครัวของหม่อมฉันเองเพคะ เมื่อครั้งยังเยาว์พวกเราเติบโตมาด้วยกัน หม่อมฉันกำพร้าแม่ส่วนแม่ของพวกมันก็ถูกพรากชีวิตไปเช่นกัน”“เจ้า...หมายความว่าอย่างไร”“แม่ของพวกมันถูกองค์ชายใหญ่ระดมคนมากมายตามสังหารเมื่อหลายปีก่อน ในช่วงเวลานั้นหม่อมฉันเองก็อยู่ที่นั่นด้วย”“นั่น!!..”พานเยียนหลิงเข้าใจว่าเซี่ยฮ่องเต้อาจรู้สึกผิดทว่าเรื่องนั้นก็ผ่านมานานแล้ว จึงไม่ควรเอ่ยถึงอีก“พวกมันไม่ถือสาเรื่องในอดีตแล้วเพคะ ทว่าหม่อมฉันยังมีเรื่องต้องกราบทูลพระองค์”หญิงสาวหยุดไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยถึงเร
หลังจากที่ได้พบเสือดำสองพี่น้อง ชายหนุ่มก็ได้ติดตามพวกมันไปจนกระทั่งพบร่างของพานเยียนหลิงและฟู่อี้ที่นอนหมดสติอยู่ในหลุมดักสัตว์ คนทั้งสองถูกช่วยเหลือขึ้นมา ส่วนฟู่อี้ที่บาดเจ็บสาหัสถูกมัดติดกับหลังของเสี่ยวเกอวิ่งไปยังโรงหมอที่ใกล้ที่สุดเพื่อช่วยชีวิตเขาผู้ติดตามสองคนใช้วิชาตัวเบาทะยานตามไปมองภาพนั้นด้วยสีหน้าอึ้งงัน ไม่คิดว่าพวกตนที่มีวิชาตัวเบาที่ดีที่สุดกลับไม่สามารถตามเสือดำตัวนั้นได้ทันย้อนกลับมายังปัจจุบันคนของเย่เสวียนจื่อจัดการนักฆ่าที่เหลือที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือต่อให้ปล่อยเอาไว้คนเหล่านั้นก็คงไม่สามารถมีทางรอดชีวิต แต่ละคนไม่แขนขาดก็ขาขาดเพราะถูกเสี่ยวเกอและเสี่ยวเจี่ยจัดการ“เสี่ยวเจี่ยเด็กดี”หญิงสาวดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มหลังจากที่รู้ว่าตนมิได้กำลังฝันไป แม้จะแต่งงานกับเขาแล้วพานเยียนหลิงก็ยังรู้สึกเขินอายทุกครั้งเมื่อต้องอยู่ในอ้อมแขนของเขาเสี่ยวเจี่ยที่นอนอยู่ด้านข้างใช้หัวดุนดันร่างของนางจนพานเยียนหลิงล้มลง ร่างบางกอดมันเอาไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับหลับตาซึมซับความคิดถึง“มันพาข้ามาพบเจ้าที่นี่”ร่างบางผินไปมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ“จริงหรือ ได้อย่างไรก
ท่ามกลางหุบเขาลึกพานเยียนหลิงแบกร่างที่แทบหมดสติของชายหนุ่มเอาไว้บนหลัง เสียงหอบหายใจของคนทั้งสองถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกย่างก้าวของนางมีเลือดของฟู่อี้ไหลหยดเป็นทางท้องฟ้ายามนี้กำลังอัสดง เสียงนกกาที่กำลังบินกลับรังกู่ร้องก้องสะท้านไปทั่วหุบเขา หญิงสาวที่กำลังหมดแรงแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า นางอยากจะภาวนาต่อสวรรค์ของให้ปล่อยพวกตนไปแต่ดูเหมือนคำร้องขอของนางจะถูกปฏิเสธ เมื่อร่างบางก้าวไปด้านหน้า พลันนางสัมผัสได้ถึงความเวิ้งว้างที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า สองร่างร่วงหล่นลงในหลุมขนาดใหญ่ พานเยียนหลิงหวีดร้องจนสุดเสียงฟู่อี้ทับอยู่บนร่างเล็กทว่ามิอาจขยับกายได้ หญิงสาวดิ้นรนอยู่นานกว่าจะนำร่างตนเองออกมาได้เป็นอิสระร่างบางมองขึ้นไปด้านบนด้วยสีหน้าซับซ้อน บัดนี้คนทั้งสองกำลังติดอยู่ในหลุมดักสัตว์ของนายพราน นางไม่คิดว่าในหุบเขาลึกเช่นนี้จะมีคนมาขุดหลุมใหญ่เอาไว้เสียได้ ทั้งนางและฟู่อี้ตอนนี้ถูกขังโดยสมบูรณ์ หากนักฆ่าเหล่านั้นตามมาทันพวกนางไม่มีทางรอดไปได้แน่กว่าสองชั่วยามที่หญิงสาวพยายามปีนป่ายออกจากหลุมลึก ไม่มีน้ำไม่มีอาหารหากต้องติดอยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างจากการเฝ้ารอความตาย หญิงสาวมองชายหนุ่มที่บัดนี้นอนหายใจรว
ทหารในเมืองหลวงถูกระดมกำลังพลออกตามหาหญิงสาวอย่างลับๆ รถม้าทุกคันเรือทุกลำต่างถูกตรวจค้นอย่างเข้มงวด ทว่าเรือลำที่พวกเขาโดยสารมีตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์จึงได้ถูกปล่อยผ่านพานเยียนหลิงและฟู่อี้ถูกขังเอาไว้ภายในห้องโดยสารหลายวันแล้ว อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นมากจากการดูแลของหญิงสาว นางฟังความคิดของคนที่เป็นหัวหน้าทำให้รู้ว่าพวกตนกำลังมุ่งหน้าไปที่ใดที่แท้จริงคนมากมายเหล่านี้ที่แต่งกายเลียนแบบทหารต้าเหลียงคือคนของตระกูลโจวที่เลี้ยงดูเอาไว้ และพวกเขายังเป็นพวกเดียวกับโจรป่าที่ถูกกำจัดไปเมื่อปีก่อนพานเยียนหลิงไม่คิดว่าจะยังหลงเหลือมากมายเพียงนี้ เป็นนางที่พลาดเองที่ไม่ตรวจสอบให้แน่ชัด หรือไม่บางทีคนเหล่านี้ก็ถูกแยกออกจากคนกลุ่มนั้นเพื่อคอยทำงานสกปรกให้กับตระกูลโจว“ฟู่อี้ อีกเพียงไม่นานก็จะถึงจุดหมายแล้ว แม้เจ้าจะยังบาดเจ็บภายในแต่เราคงรอนานกว่านี้ไม่ได้ เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่”ชายหนุ่มมองดวงตาดำขลับเปล่งประกายราวกับดวงดาวยามค่ำคืนของหญิงสาว เขาไม่รู้ว่านางรู้เรื่องทุกอย่างนี้ได้อย่างไร แต่เขาเชื่อใจหญิงสาวตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยมภาพเด็กน้อยเมื่อหลายปีก่อนผุดขึ้นมาในหัว เด็กสาวที่ต่อสู้ดิ้นรนเ
“เร็วเข้า!!รีบไปช่วยพี่สาวของข้า!!”“นี่!...อวิ๋นเอ๋อ!!เจ้าพูดได้แล้วหรือ”ชายหนุ่มตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงของเด็กสาวเป็นครั้งแรก“พี่เสวียนจื่อรีบไปช่วยพี่ใหญ่เร็วเข้า นางกำลังถูกพาตัวมุ่งหน้าไปทางอำเภอตงผิง”“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”เด็กน้อยได้รับสารมาเพียงเท่านี้ ยังไม่รู้ว่าพี่สาวถูกพาตัวไปทางบกหรือทางน้ำ ตอนนี้ก็ผ่านไปหลายชั่วยามแล้วพวกเขาจะต้องนำหน้าไปห่างไกล“ไม่ต้องถามแล้ว! แม้แต่พี่ฟู่อี้ตอนนี้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสท่านต้องรีบไปช่วยพวกเขาโดยด่วน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะสายเกินไป”เย่เสวียนจื่อสงสัยว่าเด็กน้อยรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรในเมื่อนางนอนป่วยไม่ได้สติมาตั้งแต่เมื่อคืน ทว่าเรื่องช่วยพานเยียนหลิงและฟู่อี้นั้นสำคัญยิ่งกว่าจึงมิได้ซักถามให้มากความ ชายหนุ่มรีบพาคนออกจากจวนเพื่อไปช่วยพวกเขาย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วยามก่อนพานเยียนหลิงนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักองค์หญิงใหญ่ที่อยู่นอกเมือง เมื่อถึงช่วงเส้นทางเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน มือสังหารมากมายได้พุ่งเข้าปิดล้อมรถม้าของนางภายในเวลาเพียงไม่นานความโกลาหลก็เกิดขึ้น องครักษ์เงาทั้งหกรวมถึงฟู่อี้ได้ช่วยสกัดมือสังหารเหล่านั้น ทว่าคนน้อ