‘รู้สึกไปเองใช่ไหมนะ…’
“พระชายา”
“ไม่มีอะไรหรอกพวกเรารีบอาบน้ำกันเถอะ ข้ารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างไรพิกล”
“เพคะพระชายา”
ลู่เหยียนซินอาบน้ำไปเพียงไม่นานก็รู้สึกหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ไรขนที่ลุกชันไม่ได้เกิดจากน้ำที่เย็นเยือกแต่เกิดจากบรรยากาศโดยรอบ นางหันซ้ายหันขวาก่อนจะรีบขึ้นจากแม่น้ำโดยมีลี่ถิงที่รีบนำชุดมาให้นางเปลี่ยนเพราะเกรงว่าพระชายาของตนจะจับไข้ไปเสียก่อน
“ลี่ถิงกระโจมของข้าอยู่ตรงไหน”
“กระโจมใหญ่ตรงนั้นเพคะพระชายา”
“งั้นหรือ นอนกับเจ้าแค่สองคนไม่เห็นต้องทำกระโจมใหญ่ถึงเพียงนั้นเลยนี่นา”
“หาไม่เพคะพระชายา กระโจมนี้เป็นของท่านอ๋องกับพระชายาเพคะ”
“ห๊า! เจ้าว่าอะไรนะ” เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงหยุดฝีเท้าลงหันหลังกลับไปมองลี่ถิงด้วยใบหน้าที่งุนงงระคนตกใจ
“ก็ท่านเป็นชายาของท่านอ๋องไม่ให้อยู่กระโจมเดียวกันกับท่านอ๋อง แล้วท่านจะไปนอนที่ไหนกันเล่าเพคะ”
“ก็ให้ข้านอนกับเจ้าก็ได้นี่นา ท่านอ๋องเกลียดข้าจะตายไปจะมานอนร่วมเตียงเดียวกันได้อย่างไร”
“นั่นเป็นคำสั่งของท่านอ๋องเพคะ” ลู่เหยียนซินเบ้ปากทันทีตาอ๋องบ้านี่ก็อย่างไรกันนะเกลียดนางก็ควรอยู่ให้ห่างจากนางเสียสิ ให้นอนเตียงเดียวกันเช่นนี้แล้วข้าจะหลับตาลงได้อย่างไร
ลู่เหยียนซินพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นักแล้วจำใจต้องเดินเข้าไปยังกระโจมใหญ่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกหดหู่อย่างที่สุด เมื่อเข้าไปด้านในก็พบเข้ากับอ๋องฉินที่กำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่หางตาของเขาชายตามองมาที่นางเพียงครู่เดียวแล้วก็ไม่สนใจอีกเลย
ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยภาพที่เห็นตรงหน้านั้นไม่เคยปรากฏแก่สายตาของนางมาก่อน กล้ามแขนแน่นๆ แผ่นหลังกว้างล่ำกำยำที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อทุกสัดส่วนผิวกายขาวเนียนน่าสัมผัสดูแล้วช่างเปล่งประกายในสายตาของนางยิ่งนัก
ลู่เหยียนซินลอบกลืนน้ำลายเล็กน้อยก่อนจะรีบหักห้ามใจไม่ให้โผเข้าไปลูบไล้เนื้อกายของคนผู้นั้น นางรีบเดินเลี่ยงไปยังเตียงนอนก่อนที่จะหันหลังแล้วขดตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้าที่ต้องนั่งอยู่บนรถม้ามาติดๆ กันนานถึงสามวัน ส่งผลให้นางหลับลงไปในทันทีอ๋องฉินหันมองนางด้วยสายตานิ่งเฉยก่อนจะเดินออกไปจากกระโจมเงียบๆ
กลางดึกคืนนั้นลู่เหยียนซินนอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาในบางเวลาก็คล้ายกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน บางเวลาก็เหมือนว่านางกำลังเผชิญหน้าอยู่กับความเป็นจริงในหูของนางแว่วได้ยินเหมือนเสียงกระซิบเรียกหาของใครบางคน
ลู่เหยียนซินผุดลุกขึ้นนั่งนางเหงื่อออกเต็มไปหมดเมื่อหันไปมองด้านข้างก็พบว่าอ๋องฉินกำลังนอนหลับลมหายใจที่สม่ำเสมอบ่งบอกว่าเขาหลับลึกไปนานแล้ว
“ท่านอ๋อง…ท่านอ๋องหลับไปแล้วหรือไม่”
นางลองเขย่าตัวเขาแต่กลับไม่ยอมตื่นขึ้นมาเลยสักนิด เมื่อแน่ใจว่าคงหลับไปแล้วจริงๆ นางจึงเดินออกไปข้างนอกตั้งใจเพียงแค่จะออกไปรับลมคลายความร้อนเสียหน่อยแต่เมื่อออกมานอกกระโจมกลับพบว่าทหารองครักษ์ทั้งสองคนนอนหลับอยู่ข้างกองไฟ ส่วนเหล่าทหารคนอื่นๆ ต่างก็แยกย้ายกันไปนอนตามจุดต่างๆ ไม่มีผู้ใดเฝ้ายามเลยสักคน เป็นไปได้อย่างไรกัน?
นางเดินออกมาได้ไม่ไกลจากค่ายพักแรมนักก็เหลือบไปเห็นเงาของใครคนหนึ่ง ครั้นอยากตะโกนออกมาก็ดันเปล่งเสียงไม่ได้ขาเจ้ากรรมก็เหมือนจะเป็นตะคริวไปแล้วก้าวไม่ออกเสียอย่างนั้น
‘ไม่ต้องกลัวไปหรอกสาวน้อย ข้ามิใช่ผีสางอันใด’
‘ทะ..ท่านเป็นใคร’
‘ข้าคือผู้เฒ่าผู้ปกปักษ์รักษาผืนป่าแห่งนี้ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อเตือนเจ้า ทางข้างหน้ายังมีภัยอันตรายเจ้าจงนำของสิ่งนี้ติดตัวไปด้วยมันจะช่วยเจ้าในยามที่เจ้ามีภัย’
‘แล้วเหตุใดท่านถึงได้มอบมันให้กับข้าเล่าเจ้าคะ’
‘ข้าให้ของสิ่งใดแสดงถึงผู้นั้นมีวาสนาต่อกันวันข้างหน้าหากบุตรธิดาของเจ้าเกิดมาเจ้าจงมอบของสิ่งนี้ให้แก่พวกเขาคนละชิ้น แล้วข้าจะเป็นอาจารย์เพียงคนเดียวที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพวกเขา’
‘อาจารย์หรือเจ้าคะ แต่ว่าข้าอาจจะอยู่ที่นี่ไม่นานถึงเพียงนั้นเช่นนี้แล้วของสิ่งนี้อาจจะไม่จำเป็นสำหรับข้า ท่านเอากลับคืนไปเถิดเจ้าค่ะ’
‘จิตวิญญาณของเจ้าอยู่ที่นี่แล้วกายหยาบที่เจ้ามาอาศัยอยู่ก็คือตัวตนหนึ่งของเจ้า เจ้าหลีกเลี่ยงชะตากรรมนี้ไปไม่ได้หรอกลิขิตสวรรค์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้’
‘ท่านรู้หรือเจ้าคะว่าข้าไม่ใช่คนที่นี่ แล้วที่ท่านผู้เฒ่าพูดหมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะข้าจะไม่สามารถกลับบ้านของข้าได้อีกเช่นนั้นหรือ’
‘นั่นขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเจ้าจะเป็นคนให้คำตอบนั้นด้วยตัวของเจ้าเอง รุ่งเช้าจงนำแหวนหยกสองชิ้นนี้มอบให้สามีของเจ้ามันจะช่วยเปิดทางออกจากป่าแห่งนี้ คนผู้นั้นมีวรยุทย์ที่ล้ำเลิศแต่ใช้กับป่าแห่งนี้ไม่ได้’
‘ขอบคุณท่านผู้เฒ่าที่ให้คำชี้แนะเจ้าค่ะ’
นางพยายามเพ่งมองใบหน้าของท่านผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าแต่กลับเห็นเพียงหมอกที่ลางเลือนเท่านั้น เหมือนเป็นความฝันแต่ก็เหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง
‘เอาล่ะเจ้ากลับไปเถอะคนพวกนั้นออกตามหาเจ้าแล้ว’
‘หืม?’
นางหันหลังกลับไปมองด้านหลังก่อนจะเห็นว่าอ๋องฉินกำลังเดินมุ่งหน้ามายังทิศทางที่นางยืนอยู่ด้านหลังของเขาเป็นชิงอีและเฟยหยาที่เดินตามมาติดๆ
นางไม่สนใจพวกเขาที่ตะโกนเรียกนางก่อนจะรีบหันกลับไปเพื่อจะถามชื่อแซ่ของท่านผู้เฒ่าแต่กลับพบกับเพียงความว่างเปล่า
‘ท่านผู้เฒ่าหายไปไหนแล้ว?’
-อารามชิงเหยียน-“ท่านอาจารย์อยากพบท่านแม่เจ้าค่ะ”“อยากพบข้างั้นหรือ”เยว่เหวินหลิงพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากตัวอารามเพื่อไปเล่นฟันดาบกับผู้เป็นพี่ชายฝาแฝดและฮั่วเฟิงอวี้ลู่เหยียนซินเดินเข้าไปในอารามชิงเหยียนอารามเก่าแก่ที่ผู้อาวุโสมาพำนักในที่แห่งนี้เป็นเวลากว่าหกปีมาแล้ว“หลิงเอ๋อบอกว่าท่านเรียกหาข้าหรือเจ้าคะ”“ไม่ผิด ที่ข้าเรียกท่านมานั้นไม่เกี่ยวข้องอันใดกับท่านหญิงเลยแม้เพียงนิดอย่ากังวลใจไปเลย”“แล้วท่านมีอะไรจะสนทนากับข้าอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”“ข้าคิดว่าน่าจะได้เวลาที่ควรจะต้องบอกท่านแล้ว”“หืม”“พระชายาหลายปีมานี้เพราะใจของท่านนั้นปล่อยวางไปจนหมดสิ้นจึงไม่ทันได้สังเกตสิ่งใดที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวของท่านเลยสินะ”“ท่านหมายถึงอะไรหรือเจ้าคะ”“ยังจำแหวนหยกสองวงที่ข้ามอบให้ท่านได้อยู่หรือไม่”“เจ้าค่ะ”“ยังเก็บเอาไว้อยู่สินะ”“อยู่ที่สามีของข้าเอง”“ครั้งที่ท่านเดินทางมาที่จี้โจวครั้งแรกสิ่งที่ท่านเคยถามข้าว่าจะได้กลับบ้านหรือไม่ ท่านคงได้คำตอบนั้นแล้วสินะ”ลู่เหยียนซินไม่ได้ตอบเขาไปนางกำลังครุ่นคิดว่าผู้อาวุโสผู้นี้ต้องการจะสื่อสารสิ่งใดกับนางอยู่กันแน่“ไม่เสียดายเลยหรือ”
-เจ็ดวันผ่านไป-“ท่านหญิง”“หือ”เยว่เหวินหลิงที่กำลังหยอกล้อกับเสี่ยวจ้านเสือขาวหิมะที่ได้รับมาจากผู้เป็นมารดาอยู่นั้นก็ได้หันไปมองคนที่เพิ่งเรียกขานนาง เมื่อเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันที‘นั่นไม่ใช่คุณชายหลี่หรอกหรือมาที่นี่ได้อย่างไรกันนะ’และดูเหมือนเขาจะรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่จึงได้เอ่ยออกมาว่า“ข้ามาหาพี่ชายของท่านน่ะ”“อ้อ งั้นหรอกหรือเจ้าคะพี่ชายของข้าน่าจะอยู่ด้านหลังจวน ท่านเดินไปแล้วเลี้ยวขวาอีกนิดก็ถึงลานประลองแล้วล่ะเจ้าค่ะ”“ลานประลองงั้นหรือ? ท่านจะบอกว่าเขากำลังประลองยุทธ์อยู่อย่างนั้นหรือขอรับ”“ก็น่าจะใช่ ท่านพี่ของข้าคงกำลังฝึกกระบี่กับท่านพี่เฟิงอวี้อยู่ อืมม...หากว่าท่านไปไม่ถูกต้องการให้ข้านำทางไปหรือไม่”“ไม่เป็นไรขอรับข้าไปเองได้”เขาพูดจบก็หันไปยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนทั้งยังสบตานางอย่างลึกซึ้ง เยว่เหวินหลิงก็ยิ้มรับอย่างเป็นมิตรโดยไม่ได้สนใจเลยว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใดท่ามกลางการเฝ้ามองของผู้ใหญ่ทั้งสี่คนที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของเรือนใหญ่“ท่านอ๋องจะไปไหนหรือเพคะ”“เจ้าก็ดูสิ เจ้าเด็กคนนั้นกล้าดีอย่างไรมาเกี้ยวลูกสาวของข้า”“ท่านคิดมากไปห
“พระชายา”“ฮูหยินฮั่วไม่พบกันนานเลยนะเจ้าคะ”“ข้าคิดถึงท่านเหลือเกินเมื่อรู้ว่าท่านเดินทางมาถึงที่นี่แล้วก็รีบออกมาพบท่านทันทีเลยเพคะ”ฮูหยินฮั่วพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างของนาง ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นบ่งบอกว่านางดีใจเพียงใดที่ได้พบลู่เหยียนซินอีกครั้ง“แล้วลูกชายของท่านล่ะไม่ได้มาด้วยหรอกหรือ”“ไม่ทันได้พูดอะไรด้วยเลยสักคำแค่เท้าแตะถึงพื้นก็วิ่งไปหาคุณชายเยว่เหวินหลงเสียแล้วเพคะ”“ฮ่าๆๆ ช่างเถอะข้าไม่ถือสาหรอกปล่อยเด็กๆ เล่นกันไปเถอะ”“เพคะพระชายา”ทั้งสองยิ้มให้แก่กัน มิตรภาพระหว่างสตรีทั้งสองคนนี้นั้นแน่นแฟ้นยิ่งไปกว่าผู้เป็นสามีของทั้งคู่ที่คบหากันมาตั้งแต่เยาว์วัยเสียอีก“ฮูหยินของเจ้าดูจะตัวติดกับชายาของข้ามากเลยนะซื่อเหลียน”“ข้าก็คิดเช่นนั้นก่อนหน้านี้นางเอาแต่ถามว่าเมื่อไหร่พระชายาจะมาที่จี้โจวเสียที เมื่อรู้ว่าพวกท่านมาถึงแล้วก็รบเร้าให้ข้าพามาทันทีเลยน่าน้อยใจเป็นบ้า”“เอาน่าพวกนางรักใคร่กันก็ดีแล้วจะว่าไปเจ้าจัดการอนุผู้นั้นอย่างไร ส่งนางกลับบ้านไปแล้วงั้นหรือ?”ฮั่วซื่อเหลียนส่ายหน้าเบาๆ ใบหน้าของเขาไม่มีความกังวลหรือโกรธเกลียดใดๆ หลงเหลืออยู่เลย“นางพบรักกับชาวบ้านคนหนึ่
-6 ปีต่อมา-เมืองจี้โจวเด็กๆ ทั้งสองเดินทางมาที่เมืองจี้โจวล่วงหน้าก่อนผู้เป็นบิดามารดาเนื่องจากพวกเขายังจัดการงานที่เมืองหลวงไม่เรียบร้อยนั่นเอง แม้อ๋องฉินจะห่วงเด็กๆ ไม่น้อยแต่เพราะพวกเขามีสัตว์เลี้ยงคู่ใจคอยดูแลอยู่ข้างกายจึงเบาใจไปได้แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น“ท่านพี่จะให้ข้าไปด้วยหรือไม่” เยว่เหวินหลิงเอ่ยถามพี่ชายฝาแฝดของนางด้วยเสียงอันเบา“ไม่ต้องหรอก”เยว่เหวินหลิงแม้จะดูแก่นๆ ไปบ้างแต่นางเชื่อฟังผู้เป็นพี่ชายมาโดยตลอดได้ยินแบบนั้นก็เกาหัวแกรกๆ“อ้อ เช่นนั้นข้าจะกลับไปรอที่จวนก่อนท่านพี่ก็กลับไวๆนะเจ้าคะ”เยว่เหวินหลงพยักหน้าให้นาง หลังจากส่งน้องสาวขึ้นรถม้าแล้วเขาก็ยืนดูอยู่สักพักก่อนจะหันหลังแล้วเดินตรงไปในตรอกถัดไปไม่ไกล เดินต่อไปอีกยี่สิบกว่าเก้าก็ถึงรถม้าของฮั่วเฟิงอวี้ เขากระโดดขึ้นไปบนรถม้าแล้วเข้าไปนั่งลงด้านในข้างๆ เด็กหนุ่มผู้นั้น“ท่านพี่เฟิงอวี้รอข้านานหรือไม่”“ไม่เลย ทีแรกข้าคิดว่าท่านจะพาหลิงเอ๋อร์มาด้วยเสียอีก”“นางพูดมากเกินไปเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง”“ฮ่าๆๆ เหตุใดถึงได้กล่าวหาน้องสาวของตนเองเช่นนั้นกันเล่า นางน่ารักถึงเพียงนั้นท่านก็ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจนางอยู่เรื
-สี่ปีผ่านไป-วันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่าตลอดระยะเวลาสี่ปีมานี้เด็กทั้งสองคนเติบโตขึ้นมาภายใต้การเลี้ยงดูของทุกคน ฟังไม่ผิดแล้ว! ทุกคนช่วยกันเลี้ยงดูเด็กๆ แทนนางจริงๆพักนี้ท่านหญิงน้อยดูจะตัวอวบอ้วนขึ้นมามากเพราะไม่ว่าผู้ใดที่แวะมาเยี่ยมนางที่จวนล้วนหยิบเอาขนมหวานและของกินต่างๆ ติดมือมาให้นางด้วยทั้งนั้นคนในวังยิ่งแล้วใหญ่ขนมหวานมากมายตระการตาถูกประเคนใส่ปากนางไม่ยั้ง ฮองเฮาเองดูจะมีความสุขมากที่เห็นปากน้อยๆ ของนางเคี้ยวขนมอย่างเอร็ดอร่อยรัชทายาทก็ไม่น้อยหน้าเช่นกันทรงเสด็จไปต่างเมืองเมื่อกลับมาก็มักจะนำของเล่นขนมแปลกๆ มาฝากเด็กๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือขนมหวานของโปรดของนาง‘ทุกคนล้วนต้องการให้ลูกของนางอ้วนเป็นหมูใช่หรือไม่นะ’ลู่เหยียนซินใช้วิชาความรู้ของนางเปิดสถานศึกษาวิชาการแพทย์ นางนำความรู้ของนางที่มีอยู่ออกมาถ่ายทอดให้แก่เหล่าบัณฑิตและผู้ที่ต้องการเรียนรู้วิชาแพทย์แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหมอหลวงในวังหลวงแห่กันมาร่ำเรียนวิชาจากนางกันมากมายเช่นกันในสถานศึกษาแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสอนวิชาแพทย์แต่เป็นสถานศึกษาสำหรับเด็กๆ ทั้งในเมืองหลวงและเมืองต่างๆ ใกล้เคียงกัน สถานศึกษาแห่งนี้มีอาจารย
“เสด็จพ่อ!”เป็นฮ่องเต้ที่เดินเข้ามาทันได้ยินที่หมอหลวงรายงานการตรวจครรภ์ของลู่เหยียนซินพอดี“พวกเจ้าต้องวางแผนการทำคลอดครั้งนี้ให้ดีอย่าให้ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ข้าจะส่งหมอหลวงไปประจำที่จวนอ๋องฉินจงจำเอาไว้ว่าต้องระมัดระวังทำให้ดีที่สุด”“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“เอาล่ะเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะชายาฉิน ท้องของเจ้าใหญ่เกินไปน่าจะเดินเหินไม่สะดวกนักจากนี้ไปก็จงอยู่แต่ในจวนจนกว่าจะคลอดไม่ต้องเข้าวังมาถวายพระพรแล้ว”“เพคะเสด็จพ่อ หม่อมฉันทูลลาเพคะเสด็จปู่”“อืม ไปเถอะ”- - - - - - - - - - -เพราะลู่เหยียนซินที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกจากจวนก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก วันเวลาผ่านไปจนครรภ์ของนางก็เข้าสู่เดือนที่เก้านางกำลังเดินออกมาจากห้องอาบน้ำขณะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก็รู้สึกได้ว่ามีของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากต้นขาของนางเมื่อก้มมองดูถึงกับต้องรีบสูดหายใจเข้าปอดช้าๆ เพื่อลดอาการตื่นเต้น‘ถุงน้ำคล่ำของนางแตกแล้ว!’“ลี่ถิงมาช่วยข้าที”ลี่ถิงที่กำลังนั่งจัดของขวัญต้อนรับคุณหนูคุณชายน้อยอยู่นั้นก็ตกใจเสียงตะโกนเรียกของพระชายา นางรีบวิ่งเข้าไปในห้องอาบน้ำด้วยความรวดเร็วเกือบสะดุดขอบพักประตูไปแล้ว“พระชายาเกิดอะไรขึ