"พระชายาเหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้นกันล่ะเพคะ"
"จะเป็นไรไปเล่าท่านอ๋องมีใจรักใคร่ต่อแม่นางหยางผู้นั้นส่วนตัวข้าเองก็ไม่ได้มีจิตพิศวาสกับท่านอ๋องอีกแล้ว ในเมื่อทั้งข้าและท่านอ๋องต่างก็ไม่ได้รักใคร่กันการหย่าขาดจากกันก็เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว"
"พระชายาอย่าได้พูดเช่นนั้นออกไปนะเพคะ หากท่านอ๋องโกรธขึ้นมาเป็นพระชายาเองที่จะเดือดร้อน"
"จะโกรธข้าด้วยเรื่องอะไรกันมีแต่จะดีใจน่ะสิที่หลุดพ้นจากข้าไปได้"
"พระชายา..."
"หรือว่าที่เจ้าคัดค้านเพราะไม่อยากไปลำบากข้างนอกกับข้า วางใจเถอะหากข้าได้หนังสือหย่าแล้วข้าจะทูลขอให้ท่านอ๋องรับเจ้าไว้เป็นหญิงรับใช้ในจวนต่อไป"
"ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกเพคะ พระชายาอยู่ที่ไหนหม่อมฉันก็จะอยู่ที่นั่นเพียงแต่หม่อมฉันไม่อยากให้พระชายาลำบากอยู่ข้างนอกคนเดียวเพคะ"
"เมื่อครู่เจ้าก็เพิ่งพูดไปว่าจะไม่มีทางทิ้งข้า ก็นั่นอย่างไรเล่าข้าต้องอยู่ตัวคนเดียวที่ไหนมีเจ้าอยู่ด้วยนี่นา" นางพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ลี่ถิงเห็นแววตาของนางดูมีความสุขต่างจากเมื่อก่อนมากก็ไม่กล้าพูดขัดนางอีกต่อไป
"ลี่ถิง การเป็นคนธรรมดาคงจะรู้สึกดีกว่าการอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันนะ วันข้างหน้าไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะรับอนุเข้ามาอีกสักกี่คนความฝันของข้าก็เพียงแค่อยากให้สามีของข้ามีข้าเพียงคนเดียวซึ่งแน่นอนว่าท่านอ๋องไม่มีทางทำได้"
นางพูดจบก็เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างทันที การจากบ้านมาในที่ไกลแสนไกลต้องมาพบเจอกับโชคชะตาที่เล่นตลกแบบนี้ให้นางเป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาก็คงจะดีกว่าต้องมาเป็นพระชายาที่สามีรังเกียจเช่นนี้
การเดินทางดำเนินไปจากเมืองหลวงออกสู่เส้นทางชนบทห่างไกลออกไปเรื่อยๆ สองข้างทางปรากฏบ้านเรือนชาวบ้านอยู่ประปรายก่อนจะเริ่มพบเห็นได้น้อยลง บรรยากาศทิวทัศน์โดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ป่าเขาลำเนาไพรที่เริ่มจะไร้บ้านเรือนผู้คนอาศัยอยู่
ขบวนรถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อยๆ ช้าบ้างเร็วบ้างการเดินทางไปยังเมืองจี้โจวต้องใช้เวลานานถึงแปดวันหรือสิบวันพวกเขาจึงเร่งเดินทางกันอย่างต่อเนื่อง หยุดพักเพียงเพื่อทานอาหารกับพักม้าเท่านั้น
ในวันที่สามของการเดินทางพวกเขารอนแรมอยู่ในป่ามาค่อนวันก็ยังไม่พบเจอทางออกไปสู่หมู่บ้านข้างหน้าแต่อย่างใดจนเวลาใกล้โพล้เพล้แล้วก็ยังคงอยู่กลางป่าแห่งใดแห่งหนึ่งอยู่ ทางข้างหน้ามีแต่ต้นไม้ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ครั้งกี่หนหน้าตาของผืนป่าแห่งนี้ก็เหมือนกันไม่มีผิดเหมือนอยู่ในเขาวงกตอย่างไรอย่างนั้น
"คืนนี้พวกเราจะพักกันที่นี่ส่งคนออกไปล่าตะเวนตรวจสอบบริเวณนี้ให้ละเอียดอีกรอบ"
"พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"
"เดี๋ยวก่อน!"
"มีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"พวกเจ้าไม่ต้องไปแล้วป่าแห่งนี้แลดูแปลกประหลาดพวกเราวนกลับมาที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าหากออกลาดตระเวนเวลานี้ข้าเกรงว่าอาจจะคลาดกันได้"
"ข้าจะตั้งม่านพลังอำพรางไม่ให้สัตว์ป่าหรือผู้ใดมาพบเห็น พวกเจ้าเพียงแค่ทำเครื่องหมายเอาไว้ก็พออย่าได้หลงออกจากม่านพลังของข้า"
"พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"
ทางด้านลู่เหยียนซินเมื่อชะโงกหน้าออกมามองดูก็เห็นว่ามีทหารบางส่วนหยิบเอาอุปกรณ์สำหรับตั้งค่ายออกมาแล้ว
นางค่อยๆ ก้าวลงจากรถม้าโดยมีลี่ถิงยืนรอรับอยู่ด้านข้าง สายลมยามเย็นโบกสะบัดพัดโชยมาทำให้นางรู้สึกขนลุกซู่…..
‘คงไม่ใช่ว่าแถวนี้จะมีผีหรอกนะ! น่าขนลุกชะมัด’
"พระชายาพวกทหารตั้งค่ายกันเสร็จแล้ว เชิญท่านไปอาบน้ำที่ลำธารกันเถอะเพคะ"
"อืม ข้ารู้สึกเหนียวตัวอยู่พอดี" ลู่เหยียนซินเดินนำลี่ถิงไปยังลำธารเพื่อชำระล้างตัวบวกกับความเหนื่อยล้าที่นั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันหากได้อาบน้ำสักหน่อยคงจะสดชื่นขึ้นมาได้บ้าง
เมื่อมาถึงลำธารก็ปรากฏให้เห็นแม่น้ำใสแจ๋วรอบๆ ถูกกั้นด้วยผ้าเป็นแถบยาว นางหันมองดูรอบๆ ป่าแห่งนี้ดูแปลกตาให้ความรู้สึกวังเวงน่าขนลุกเป็นอย่างมาก
"พ่อแก้วแม่แก้วอย่าได้มาหลอกหลอนกันเลยนะ ไว้ข้าถึงจี้โจวเมื่อไหร่ข้าจะทำบุญไปให้" พูดจบพลันสายลมก็พัดโชยมาทันทีทำให้นางรู้สึกหนาวเหน็บเย็นยะเยือกขึ้นมาดื้อๆ
"พระชายาเมื่อครู่ท่านว่าอะไรนะเพคะ”
ลู่เหยียนซินหันมองไปรอบๆ ป่าสายลมพริ้วไหวพัดใบไม้ปลิวสะบัด ต้นไม้ใบหญ้าโอนเอนลู่ไปตามแรงลมความเงียบสงบไม่มีแม้แต่เสียงนกร้องให้ความรู้สึกวังเวงชอบกล แสงตะวันเริ่มจางหายไปทีละนิดความมืดก็คืบคลานเข้ามาแทนที่ ลู่เหยียนซินรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างจับจ้องมายังพวกนางอยู่
‘รู้สึกไปเองใช่ไหมนะ…’
-อารามชิงเหยียน-“ท่านอาจารย์อยากพบท่านแม่เจ้าค่ะ”“อยากพบข้างั้นหรือ”เยว่เหวินหลิงพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากตัวอารามเพื่อไปเล่นฟันดาบกับผู้เป็นพี่ชายฝาแฝดและฮั่วเฟิงอวี้ลู่เหยียนซินเดินเข้าไปในอารามชิงเหยียนอารามเก่าแก่ที่ผู้อาวุโสมาพำนักในที่แห่งนี้เป็นเวลากว่าหกปีมาแล้ว“หลิงเอ๋อบอกว่าท่านเรียกหาข้าหรือเจ้าคะ”“ไม่ผิด ที่ข้าเรียกท่านมานั้นไม่เกี่ยวข้องอันใดกับท่านหญิงเลยแม้เพียงนิดอย่ากังวลใจไปเลย”“แล้วท่านมีอะไรจะสนทนากับข้าอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”“ข้าคิดว่าน่าจะได้เวลาที่ควรจะต้องบอกท่านแล้ว”“หืม”“พระชายาหลายปีมานี้เพราะใจของท่านนั้นปล่อยวางไปจนหมดสิ้นจึงไม่ทันได้สังเกตสิ่งใดที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวของท่านเลยสินะ”“ท่านหมายถึงอะไรหรือเจ้าคะ”“ยังจำแหวนหยกสองวงที่ข้ามอบให้ท่านได้อยู่หรือไม่”“เจ้าค่ะ”“ยังเก็บเอาไว้อยู่สินะ”“อยู่ที่สามีของข้าเอง”“ครั้งที่ท่านเดินทางมาที่จี้โจวครั้งแรกสิ่งที่ท่านเคยถามข้าว่าจะได้กลับบ้านหรือไม่ ท่านคงได้คำตอบนั้นแล้วสินะ”ลู่เหยียนซินไม่ได้ตอบเขาไปนางกำลังครุ่นคิดว่าผู้อาวุโสผู้นี้ต้องการจะสื่อสารสิ่งใดกับนางอยู่กันแน่“ไม่เสียดายเลยหรือ”
-เจ็ดวันผ่านไป-“ท่านหญิง”“หือ”เยว่เหวินหลิงที่กำลังหยอกล้อกับเสี่ยวจ้านเสือขาวหิมะที่ได้รับมาจากผู้เป็นมารดาอยู่นั้นก็ได้หันไปมองคนที่เพิ่งเรียกขานนาง เมื่อเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันที‘นั่นไม่ใช่คุณชายหลี่หรอกหรือมาที่นี่ได้อย่างไรกันนะ’และดูเหมือนเขาจะรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่จึงได้เอ่ยออกมาว่า“ข้ามาหาพี่ชายของท่านน่ะ”“อ้อ งั้นหรอกหรือเจ้าคะพี่ชายของข้าน่าจะอยู่ด้านหลังจวน ท่านเดินไปแล้วเลี้ยวขวาอีกนิดก็ถึงลานประลองแล้วล่ะเจ้าค่ะ”“ลานประลองงั้นหรือ? ท่านจะบอกว่าเขากำลังประลองยุทธ์อยู่อย่างนั้นหรือขอรับ”“ก็น่าจะใช่ ท่านพี่ของข้าคงกำลังฝึกกระบี่กับท่านพี่เฟิงอวี้อยู่ อืมม...หากว่าท่านไปไม่ถูกต้องการให้ข้านำทางไปหรือไม่”“ไม่เป็นไรขอรับข้าไปเองได้”เขาพูดจบก็หันไปยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนทั้งยังสบตานางอย่างลึกซึ้ง เยว่เหวินหลิงก็ยิ้มรับอย่างเป็นมิตรโดยไม่ได้สนใจเลยว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใดท่ามกลางการเฝ้ามองของผู้ใหญ่ทั้งสี่คนที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของเรือนใหญ่“ท่านอ๋องจะไปไหนหรือเพคะ”“เจ้าก็ดูสิ เจ้าเด็กคนนั้นกล้าดีอย่างไรมาเกี้ยวลูกสาวของข้า”“ท่านคิดมากไปห
“พระชายา”“ฮูหยินฮั่วไม่พบกันนานเลยนะเจ้าคะ”“ข้าคิดถึงท่านเหลือเกินเมื่อรู้ว่าท่านเดินทางมาถึงที่นี่แล้วก็รีบออกมาพบท่านทันทีเลยเพคะ”ฮูหยินฮั่วพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างของนาง ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นบ่งบอกว่านางดีใจเพียงใดที่ได้พบลู่เหยียนซินอีกครั้ง“แล้วลูกชายของท่านล่ะไม่ได้มาด้วยหรอกหรือ”“ไม่ทันได้พูดอะไรด้วยเลยสักคำแค่เท้าแตะถึงพื้นก็วิ่งไปหาคุณชายเยว่เหวินหลงเสียแล้วเพคะ”“ฮ่าๆๆ ช่างเถอะข้าไม่ถือสาหรอกปล่อยเด็กๆ เล่นกันไปเถอะ”“เพคะพระชายา”ทั้งสองยิ้มให้แก่กัน มิตรภาพระหว่างสตรีทั้งสองคนนี้นั้นแน่นแฟ้นยิ่งไปกว่าผู้เป็นสามีของทั้งคู่ที่คบหากันมาตั้งแต่เยาว์วัยเสียอีก“ฮูหยินของเจ้าดูจะตัวติดกับชายาของข้ามากเลยนะซื่อเหลียน”“ข้าก็คิดเช่นนั้นก่อนหน้านี้นางเอาแต่ถามว่าเมื่อไหร่พระชายาจะมาที่จี้โจวเสียที เมื่อรู้ว่าพวกท่านมาถึงแล้วก็รบเร้าให้ข้าพามาทันทีเลยน่าน้อยใจเป็นบ้า”“เอาน่าพวกนางรักใคร่กันก็ดีแล้วจะว่าไปเจ้าจัดการอนุผู้นั้นอย่างไร ส่งนางกลับบ้านไปแล้วงั้นหรือ?”ฮั่วซื่อเหลียนส่ายหน้าเบาๆ ใบหน้าของเขาไม่มีความกังวลหรือโกรธเกลียดใดๆ หลงเหลืออยู่เลย“นางพบรักกับชาวบ้านคนหนึ่
-6 ปีต่อมา-เมืองจี้โจวเด็กๆ ทั้งสองเดินทางมาที่เมืองจี้โจวล่วงหน้าก่อนผู้เป็นบิดามารดาเนื่องจากพวกเขายังจัดการงานที่เมืองหลวงไม่เรียบร้อยนั่นเอง แม้อ๋องฉินจะห่วงเด็กๆ ไม่น้อยแต่เพราะพวกเขามีสัตว์เลี้ยงคู่ใจคอยดูแลอยู่ข้างกายจึงเบาใจไปได้แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น“ท่านพี่จะให้ข้าไปด้วยหรือไม่” เยว่เหวินหลิงเอ่ยถามพี่ชายฝาแฝดของนางด้วยเสียงอันเบา“ไม่ต้องหรอก”เยว่เหวินหลิงแม้จะดูแก่นๆ ไปบ้างแต่นางเชื่อฟังผู้เป็นพี่ชายมาโดยตลอดได้ยินแบบนั้นก็เกาหัวแกรกๆ“อ้อ เช่นนั้นข้าจะกลับไปรอที่จวนก่อนท่านพี่ก็กลับไวๆนะเจ้าคะ”เยว่เหวินหลงพยักหน้าให้นาง หลังจากส่งน้องสาวขึ้นรถม้าแล้วเขาก็ยืนดูอยู่สักพักก่อนจะหันหลังแล้วเดินตรงไปในตรอกถัดไปไม่ไกล เดินต่อไปอีกยี่สิบกว่าเก้าก็ถึงรถม้าของฮั่วเฟิงอวี้ เขากระโดดขึ้นไปบนรถม้าแล้วเข้าไปนั่งลงด้านในข้างๆ เด็กหนุ่มผู้นั้น“ท่านพี่เฟิงอวี้รอข้านานหรือไม่”“ไม่เลย ทีแรกข้าคิดว่าท่านจะพาหลิงเอ๋อร์มาด้วยเสียอีก”“นางพูดมากเกินไปเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง”“ฮ่าๆๆ เหตุใดถึงได้กล่าวหาน้องสาวของตนเองเช่นนั้นกันเล่า นางน่ารักถึงเพียงนั้นท่านก็ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจนางอยู่เรื
-สี่ปีผ่านไป-วันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่าตลอดระยะเวลาสี่ปีมานี้เด็กทั้งสองคนเติบโตขึ้นมาภายใต้การเลี้ยงดูของทุกคน ฟังไม่ผิดแล้ว! ทุกคนช่วยกันเลี้ยงดูเด็กๆ แทนนางจริงๆพักนี้ท่านหญิงน้อยดูจะตัวอวบอ้วนขึ้นมามากเพราะไม่ว่าผู้ใดที่แวะมาเยี่ยมนางที่จวนล้วนหยิบเอาขนมหวานและของกินต่างๆ ติดมือมาให้นางด้วยทั้งนั้นคนในวังยิ่งแล้วใหญ่ขนมหวานมากมายตระการตาถูกประเคนใส่ปากนางไม่ยั้ง ฮองเฮาเองดูจะมีความสุขมากที่เห็นปากน้อยๆ ของนางเคี้ยวขนมอย่างเอร็ดอร่อยรัชทายาทก็ไม่น้อยหน้าเช่นกันทรงเสด็จไปต่างเมืองเมื่อกลับมาก็มักจะนำของเล่นขนมแปลกๆ มาฝากเด็กๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือขนมหวานของโปรดของนาง‘ทุกคนล้วนต้องการให้ลูกของนางอ้วนเป็นหมูใช่หรือไม่นะ’ลู่เหยียนซินใช้วิชาความรู้ของนางเปิดสถานศึกษาวิชาการแพทย์ นางนำความรู้ของนางที่มีอยู่ออกมาถ่ายทอดให้แก่เหล่าบัณฑิตและผู้ที่ต้องการเรียนรู้วิชาแพทย์แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหมอหลวงในวังหลวงแห่กันมาร่ำเรียนวิชาจากนางกันมากมายเช่นกันในสถานศึกษาแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสอนวิชาแพทย์แต่เป็นสถานศึกษาสำหรับเด็กๆ ทั้งในเมืองหลวงและเมืองต่างๆ ใกล้เคียงกัน สถานศึกษาแห่งนี้มีอาจารย
“เสด็จพ่อ!”เป็นฮ่องเต้ที่เดินเข้ามาทันได้ยินที่หมอหลวงรายงานการตรวจครรภ์ของลู่เหยียนซินพอดี“พวกเจ้าต้องวางแผนการทำคลอดครั้งนี้ให้ดีอย่าให้ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ข้าจะส่งหมอหลวงไปประจำที่จวนอ๋องฉินจงจำเอาไว้ว่าต้องระมัดระวังทำให้ดีที่สุด”“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“เอาล่ะเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะชายาฉิน ท้องของเจ้าใหญ่เกินไปน่าจะเดินเหินไม่สะดวกนักจากนี้ไปก็จงอยู่แต่ในจวนจนกว่าจะคลอดไม่ต้องเข้าวังมาถวายพระพรแล้ว”“เพคะเสด็จพ่อ หม่อมฉันทูลลาเพคะเสด็จปู่”“อืม ไปเถอะ”- - - - - - - - - - -เพราะลู่เหยียนซินที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกจากจวนก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก วันเวลาผ่านไปจนครรภ์ของนางก็เข้าสู่เดือนที่เก้านางกำลังเดินออกมาจากห้องอาบน้ำขณะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก็รู้สึกได้ว่ามีของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากต้นขาของนางเมื่อก้มมองดูถึงกับต้องรีบสูดหายใจเข้าปอดช้าๆ เพื่อลดอาการตื่นเต้น‘ถุงน้ำคล่ำของนางแตกแล้ว!’“ลี่ถิงมาช่วยข้าที”ลี่ถิงที่กำลังนั่งจัดของขวัญต้อนรับคุณหนูคุณชายน้อยอยู่นั้นก็ตกใจเสียงตะโกนเรียกของพระชายา นางรีบวิ่งเข้าไปในห้องอาบน้ำด้วยความรวดเร็วเกือบสะดุดขอบพักประตูไปแล้ว“พระชายาเกิดอะไรขึ