หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับห้องของตัวเอง ปล่อยให้เธอนอนโดดเดี่ยวอยู่บนฟูก
สายเรียกเข้านับร้อยสาย แจ้งเตือนจากข้อความอีกมากมายทำเขาหงุดหงิด หลังเปลี่ยนโหมดห้ามรบกวนหลายชั่วโมง ซึ่งหากเขาติดต่อกลับหรือตอบข้อความทุกแจ้งเตือนมีหวังได้นอนเช้าเป็นแน่ จึงจำต้องเลือกเพียงบุคคลที่สำคัญเท่านั้น
(กว่าจะโทรกลับมานะมึง)
ความตึงเครียดเกิดขึ้นทันทีนับจากได้ยินเสียงปลายสาย ราล์ฟทิ้งตัวบนโซฟา แผ่นหลังพิงพนักกลับไม่ได้ช่วยให้ผ่อนคลายขึ้น
“เพิ่งจะห่างกันมา”
เสียงทุ้มแหบพร่าแสดงให้รู้ถึงความเหนื่อยจากการต้องแบกรับน้ำหนักของคนเมาคนหนึ่งพาดบ่า ทว่าปลายสายไม่ได้คิดเช่นนั้น
(อย่าบอกนะ..จัดมาแล้ว?)
เขามีความถ่อยเป็นของตัวเอง ที่คนอย่างราล์ฟมักจะหลีกเลี่ยงด้วยการเงียบทุกครั้งไป แล้วเรื่องนั้นจะถูกเปลี่ยนอัตโนมัติ ไม่สนใจผลลัพธ์หรือคำตอบ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
(ไม่ได้สำคัญมากหรอก แค่จะเตือนว่าอย่าพาผู้หญิงเข้าห้อง ถ้าจะเที่ยวจะกินไปหาที่อื่น ห่างจากอีนี่สักหน่อย ไม่อย่างนั้นมันจะไม่ไว้ใจมึง)
“ผมรู้ละน่า”
(นี่มึงหงุดหงิดกูเรอะ)
น้ำเสียงราล์ฟเปลี่ยนไป ห้วนกระด้างจากเดิม อย่างที่ปลายสายว่า อยู่ๆข้างในจิตใจเขานึกฉุนเฉียว เกรี้ยวกราดขึ้นมา
“พี่คิดงั้นหรือ อาจจะเป็นเพราะว่า..ผมยังไม่ได้นอนก็ได้มั้ง สองคืนแล้ว”
(เออ งั้นมึงก็นอน ตื่นแล้วเข้ามาหากูด้วย จะร่างแผนใหม่ให้)
“ครับ”
ชายหนุ่มถอนหายใจพรืด ทิ้งศีรษะกับท้ายทอยพาดลงบนพนักแล้วหลับตาลง กว่าสมองของเขาจะว่างได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย
เช้าของอีกวัน..
อินถาเริ่มขยับตัวก็ตอนได้ยินเสียงโทรศัพท์ มือบางควานหาและคว้ามาแนบหูก่อนดวงตาจะขึงขึ้น ผุดลงจากที่นอนแทบบิน
(วันนี้เรามีนัดคุยงานกับลูกค้านะอิน)
“เฮ้ย”
(อย่าบอกนะ เธอเพิ่งตื่น)
“เปล่าๆ ตื่นนานแล้ว เนี่ยกำลังแต่งตัวอยู่”
หล่อนปด วิ่งหาผ้าเช็ดตัวให้วุ่น ถลาเข้าห้องน้ำหลังตัดสายนักรบทิ้ง
“เหวอ~”
เกือบลื่นตายในห้องน้ำตั้งหลายรอบ โชคดีที่มีความสามารถถนัดเรื่องลักไก่ ถึงได้วาร์ปมาทันเวลาพอดิบพอดี
“แสดงว่าพี่มลไว้ใจเรามากเลยนะ ถึงให้ทำโครงการนี้”
กีรติหรือติ๋ว หัวหน้าแผนกจอมปากเปราะเอ่ยขึ้น หลังเจราจากับลูกค้าแล้วสำเร็จ ลูกค้าตกลงปลงใจเซ็นสัญญา หล่อนพูดถึงเรื่องงานที่ได้รับมอบหมาย ให้ทีมหล่อนทำโดยมีอินถาและนักรบเป็นแนวหน้า แน่นอนโครงการร้อยล้านนี้ไม่หัวกะทิ หรือฝีมือดีจริง คงไม่ถูกไว้ใจให้ทำได้ง่ายๆ จึงไม่ผิดที่กีรติจะภาคภูมิใจ
“อย่าทำให้เสียเรื่องนะถา พี่คาดหวังในตัวพวกเธอมากนะ”
“ไม่คาดหวังไม่ผิดหวังนะพี่”
“เอ๊ นังนี่” กีรติมองค้อน คนพูดลอยหน้าลอยตา “ไม่ขัดกันสักครั้งจะตายไหม คนอารมณ์ดีๆอยู่ อย่ามาทำให้เสีย”
หันไปหัวเราะกับนักรบที่ก้มหน้าก้มตาอ่านงานแต่ยังยิ้มอยู่ และออกความคิดเห็นภายหลัง
“ทีมเราทีมเดียวซะที่ไหน มีเมย์มาช่วยงานด้วยนะ”
“เออใช่ ไม่รู้พี่มลแกคิดอะไรอยู่ ถึงได้ส่งแม่นั่นมาทำงานร่วมกันกับเรา นี่ถ้าขืนพลาดท่าให้มันเหนือกว่า มีหวังมันดูถูกดูแคลนเราตายแน่”
“โหพี่ คิดเป็นตุเป็นตะไปไกลเลย รายนั้นเขาเก่งเรื่องการเจรจา จัดซื้อ จัดหา พี่มลคงมองตรงนั้นเป็นหลัก ถึงได้ให้เราทำงานกับเขา ก็ดีนะพี่ เรื่องสถานที่ ผสานงาน เราจะได้ไม่ต้องลงแรงมาก”
“หึ จะหลอกใช้เขาว่างั้น”
“เฮ้ย บ้าเหรอพี่~”
“อย่าไอ้รบ ฉันรู้แกฉลาดแกมโกง”
“ไม่ใช่ละ พี่มองผมพลาดไป ผมออกจะจริงใจ”
“เหรอ~”
กีรติเบ้ปาก นักรบที่เพิ่งจะพูดจบถึงกับหลุดขำ ละสายตาจากแฟ้มงานขึ้นมามองใครบางคน หวังหาแนวร่วม แต่กลับต้องชะงักก็ตอนเห็นเธอเหม่อลอย
โดยปากกาด้ามเก่งถูกหนีบไว้กับปากนิดจมูกหน่อย
“อิน..”
“....”
“อิน!”
เรียกถึงสองรอบกว่าเธอจะหัน
“ฮะๆ ว่าไง...ว่าไง”
นักรบเลิกคิ้วสูง ก่อนส่ายหน้า
“ไม่มีอะไร...”
“อ้าว ไอ้นี่ แล้วไปเรียกมัน” กลายเป็นกีรติ ที่แทรกเข้ามาเอ็ดตะโรแทน เปลี่ยนบรรยากาศนั้นพลางลุกขึ้นบิดขี้เกียจ “เอาล่ะ ตั้งใจทำงานนะน้องๆของพี่ พี่ไปล่ะ”
“ไปไหนครับ/ไปไหนคะ”
มาชะงักกึกในท่านั้นก็ตอนทั้งคู่ถามพร้อมกัน
“อ่าว ไอ้เด็กพวกนี้ ก็ไปทำงานของฉันสิยะ มีพบลูกค้าอีกตั้งหลายที่”
มายักไหล่แล้วตบแปะมือหัวเราะกันภายหลังก็ตอนกีรติเดินออกไปจากห้องทำงานแล้ว เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาจะมีอิสระหลังจากนี้จนกระทั่งเลิกงาน
“เย็นนี้เราไปหาอะไรกินกันไหม”
นักรบเริ่มถามหลังว่างจากการเคลียร์เอกสารให้หายยุ่งเหยิง คนถูกถามไม่ตอบในทันที ละสายตาออกจากงานตรงหน้าราวกับกำลังคิด อุตส่าห์ทำสมองให้ว่าง แต่แทนที่จะคิดเรื่องถูกถามกลับเผลอไปคิดเรื่องอื่น
ความทรงจำของเมื่อคืน ประหนึ่งเข้ากับสมองอันเลอะเทอะของเธอได้อย่างพอดิบพอดี มันกำลังเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ ก่อนจะมาหยุดอยู่ปัจจุบัน และตั้งคำถามกับตัวเอง เขาออกจากห้องเธอไปตอนไหน
“อิน!”
“ฮะๆ”
“เหม่ออีกแล้ว เป็นอะไรมากไหมเนี่ย ไม่สบายรึเปล่า”
เธอเบือนหน้าหลบมือที่ยื่นเข้ามาหากะจะอังหน้าผากมน เผลอชักสีหน้าใส่เพราะตกใจเสียงร้องเรียก แน่นอนคนเห็นแววตาขึงขึ้นเอาเรื่องนั้นชะงักไปเล็กน้อย
ณ ตอนนั้นนักรบเข้าไม่ถึงมัน แต่เจ้าของรู้แจ้งเห็นจริง เธอรู้สึกผิดที่เผลอไปหงุดหงิดเพื่อน เพราะบังอาจมาปลุกให้ตื่นจากฝันหวาน ทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เปล่า..”
อินถาปรับเปลี่ยนสีหน้า หลังตั้งคิดได้ว่าได้ทำนิสัยเสียใส่ แสร้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาอ่านใบงานต่อ ทว่านักรบกลับมองไม่เห็นสิ่งนั้น เขายังคงยิ้มกว้างและถามเธอซ้ำในคำถามเดิม
“ร้านเดิมไหมเดี๋ยวรบเลี้ยงเอง”
อินถาที่ยังรู้สึกแย่อยู่ถึงกับกลั้นหายใจ เธอค่อยๆยิ้มมุมปาก ก่อนพยักหน้าตอบตกลง
แต่แล้ว...
นาทีที่ประตูเปิดพร้อมพนักงานขนส่งคนหนึ่ง นาทีนั้นเป็นนาทีที่ตราตรึงภาพจำในหัวของทั้งคู่ ทว่ากลับเป็นความจำที่ขนานกัน
หัวใจคนหนึ่งพองโต ในขณะอีกคนร่วงตกลงตาตุ่ม
“ของคุณอินถาครับ”
สิ่งนั้นทำเธอลืมแม้แต่ความรู้สึกอึดอัดที่เพิ่งกระทำผิดที่มี รอยยิ้มค่อยคลี่คลายอย่างเผลอไผล รับช่อดอกเยอบีร่าขนาดใหญ่จากมือนั้นมาไว้ในอ้อมกอด ยิ้มกว้างเผยฟันสะอาดทุกซี่และเหงือกสุขภาพดีสีชมพู ก็ตอนเห็นข้อความจากคนส่ง
ขอโทษค่ะที่ออกมาไม่บอก และขอบคุณที่เปิดโอกาสให้พี่ได้เป็นแฟน..
อินถาไม่รู้เลย สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอในตอนนี้ ทั้งรอยยิ้ม แววตา และท่าทาง ที่มีมากเกินกว่าจะควบคุมได้ อยู่ภายใต้การมองเห็นของคนข้างๆทั้งหมด
ในขณะเขาไม่ได้รู้สึกชินกับอาการที่เป็นอยู่ ไม่รู้เลยระดับความรู้สึกตอนนี้แย่เพียงใด รู้แค่ว่าไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน นี่คือครั้งแรกของเขา และคือครั้งแรกของเธอ ซึ่งเขาจะต้องเรียนรู้มัน...
ใช่ คนที่เขาแอบชอบกำลังจะมีความรัก
ในห้องคอนโดขนาดใหญ่ปกคลุมไปด้วยอุณหภูมิเย็น ถูกเปิดราวกับต้องการดับร้อนของคนทั้งคู่ ซึ่งกำลังกอดรัดฟันเหวี่ยงกันอย่างเมามันอยู่บนเตียง แน่นอนพวกเขาไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้น ชุดชั้นในของฝ่ายหญิงก็ไม่มีเหลือ ตกหล่นกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น ผสานเสียงหอบกระเส่าเป็นอีกหนึ่งของพร็อพประกอบ ให้ฉากโดยรอบดูขลังอีกเท่าตัว ทว่าความร้อนระอุจากการสร้างขึ้นของคนทั้งคู่ ที่มีความหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศนั้น ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ไม่พอเหมือนจะหมดประสิทธิภาพไปเลยด้วย“อือ..เบาๆสิคะ”ซ้ำอารมณ์กระสันรัญจวน เมื่อเปรียบเทียบกับเม็ดเหงื่อที่พรั่งพรูเกาะอยู่บนเนื้อตัวทั้งสองฝ่าย ยังเยอะกว่าเลย“ขอโทษครับ..”หน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเจ็บปวดปานใกล้ใจจะขาด แต่มันคือความเร้าใจที่เก็บเอาไว้ไม่ไหวของเขา ผู้ควบคุมชายหนุ่มผงกหัวขึ้นมาเอ่ยเสียงแหบ หลังใช้ปากถูไถเนินเต้าอูมอวบแล้วเผลอลงฟันอย่างมันเขี้ยวอินถาแหงนหน้าขึ้นสุด จนลำคอเห็นเส้นจังหวะคู่กิจกรรมบรรเลงเพลงรักแบบถึงพริกถึงขิง อย่างไร้ความปราณี เธอเสียวซ่าน และสิ่งนั้นทำให้เผลอใช้เล็บจิกลงไปบนแผ่นหลังขาวแข็งแกร่งน่าแปลกหญิงสาวยืนอยู่ตรงนี้ มุมห้องฝ
หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับห้องของตัวเอง ปล่อยให้เธอนอนโดดเดี่ยวอยู่บนฟูกสายเรียกเข้านับร้อยสาย แจ้งเตือนจากข้อความอีกมากมายทำเขาหงุดหงิด หลังเปลี่ยนโหมดห้ามรบกวนหลายชั่วโมง ซึ่งหากเขาติดต่อกลับหรือตอบข้อความทุกแจ้งเตือนมีหวังได้นอนเช้าเป็นแน่ จึงจำต้องเลือกเพียงบุคคลที่สำคัญเท่านั้น(กว่าจะโทรกลับมานะมึง)ความตึงเครียดเกิดขึ้นทันทีนับจากได้ยินเสียงปลายสาย ราล์ฟทิ้งตัวบนโซฟา แผ่นหลังพิงพนักกลับไม่ได้ช่วยให้ผ่อนคลายขึ้น“เพิ่งจะห่างกันมา”เสียงทุ้มแหบพร่าแสดงให้รู้ถึงความเหนื่อยจากการต้องแบกรับน้ำหนักของคนเมาคนหนึ่งพาดบ่า ทว่าปลายสายไม่ได้คิดเช่นนั้น(อย่าบอกนะ..จัดมาแล้ว?)เขามีความถ่อยเป็นของตัวเอง ที่คนอย่างราล์ฟมักจะหลีกเลี่ยงด้วยการเงียบทุกครั้งไป แล้วเรื่องนั้นจะถูกเปลี่ยนอัตโนมัติ ไม่สนใจผลลัพธ์หรือคำตอบ“มีอะไรหรือเปล่าครับ”(ไม่ได้สำคัญมากหรอก แค่จะเตือนว่าอย่าพาผู้หญิงเข้าห้อง ถ้าจะเที่ยวจะกินไปหาที่อื่น ห่างจากอีนี่สักหน่อย ไม่อย่างนั้นมันจะไม่ไว้ใจมึง)“ผมรู้ละน่า”(นี่มึงหงุดหงิดกูเรอะ)น้ำเสียงราล์ฟเปลี่ยนไป ห้วนกระด้างจากเดิม อย่างที่ปลายสายว่า อยู่ๆข้างในจิตใจเขานึกฉุนเฉี
แสงไฟอยู่บนทั้งเชิงเทียน และลอยน้ำยิ่งยกระดับความหรูหรามากขึ้น อินถาไม่รู้แสงสว่างตรงจุดนี้เป็นตัวช่วยขับเสน่ห์ให้กับเธอ ทั้งความสวยและสดใสเขย่าใจคนมอง เลี่ยงเปรียบเทียบกับผู้หญิงหลายคนที่เคยผ่านมาและพามาไม่ได้ หากแต่ข้อเปรียบเทียบนี้จะต้องเก็บไว้ในใจ ให้มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน ภายใต้ใบหน้านิ่งเรียบนั้นสีหน้าอินถาแลดูเปลี่ยนทันที หลังได้ยินคำตอบของคำถามที่ตนใคร่รู้ โชคดีบรรยากาศตอนกลางคืนซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวท่ามกลางท้องฟ้ามืดมิด ลับกับเสียงไฟจากดวงกลมรอบๆร้านจงใจจัดแต่งให้ดูดีมีสไตล์มากขึ้น และลมเบาหวิวพัดโชย ทำให้การเกี่ยวเส้นผมมาทัดหู ยามปลิวว่อนปกปิดหน้า ไม่ได้ถูกมองว่าเคอะเขินจนดูแย่ แต่ดูน่าค้นหาไปอีกแบบผู้หญิงตรงหน้า เป็นคนเดียวที่ทำให้เขาเสียอาการ ในความสดใสถึงขนาดพกติดสมองไปด้วยทุกที่ ช่วงไหนที่ว่างช่วงนั้นเรื่องราวของเธอจะมาแทรกแซง“ว่ายังไงคะ ได้ไหม? หนูยังไม่ให้คำตอบพี่เลย”ดวงตาคู่สวยเหลือบขึ้นมาจากจานอาหาร หลังถูกยกเสิร์ฟได้สักพัก พร้อมเม้มริมฝีปากแนบสนิท ในหัวปั่นป่วนพอๆกับท้องน้อย ถ้าสมมุติปฏิเสธเขาจะเป็นอย่างไร?ร่างบางคิดหนัก พยายามทบทวนความเป็นจริงระหว่างระยะเ
ชายหนุ่มในคราบเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงขายาวสีดำ กับกระดุมเสื้อถูกปลดออกไปแล้วสองเม็ด ไม่ได้ทำให้ดูแย่ลง กลับกันทำให้เข้าใจง่ายว่าเขาเหนื่อยมาจากงานที่ทำด้วยซ้ำ และการเผยช่องโหว่ของแผงอกเป็นการคลายความร้อนกับความอึดลงอย่างหนึ่งอินถายิ้มน้อยๆเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า โดยระดับความสูงของเธอเทียมหน้าอกของพอดิบพอดี เพราะระดับต่างกันจึงทำให้ต้องแหงนหน้าขึ้นไปคุย“เอ่อ..” สายตามองผ่านไปยังรถของตัวเองก่อน จึงจะลากกลับมายังใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง “คุณมารออหนูเหรอคะ”“ใช่ค่ะ”ตอบทันควันแบบไม่ได้คิด คนชะงักไปไม่ถูกกลายเป็นคนที่ถาม เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้เธอไม่เป็นตัวของตัวเองรอบที่ล้าน!“รอทำไมคะ แล้วรู้ได้ยังไงว่าหนูยังอยู่ที่นี่”“เอาคำถามไหนดี ก่อนหรือหลัง”ต่างจากเขาที่ดูสบายๆ ราวกับช่ำชองเรื่องนี้มานาน ดูไม่ประหม่า ควบคุมสถานการณ์ได้ดีและอยู่หมัดนาทีนี้อินถารู้สึกถึงความเล็กภายในตัวเองที่เล็กยิ่งกว่าอะตอมภายใต้เซลล์ประหนึ่งควาร์ก (Quark)ดูเป็นผู้ใหญ่ใจดี ที่ไม่ได้ดีมากขนาดนั้น เข้าถึงง่ายแต่ไม่เปิดโอกาสให้สนิทเอาเป็นว่า เขาคือผู้ใหญ่ที่มีเสน่ห์และน่าค้นหาคนหนึ่ง หากเปรียบด้วยผู้คนตลอดชีวิตยี่
เช้าตรู่ของการตื่นนอนที่ไม่ปกติ เนื่องจากตื่นก่อนเวลาเป็นชั่วโมง แต่พอเดินออกมายังห้องรับแขกที่มีโซฟา กลับพบว่าอีกคนตื่นเร็วกว่า แถมไม่อยู่ตรงนั้นแล้วอินถาถอนหายใจพรืด หมุนตัวเดินกลับไปที่เดิม เพื่ออาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะกลับออกมาใหม่อีกครั้งก็ตอนฟ้าสว่าง จังหวะนั้นกำลังจะเดินผ่าน เหลือบตามองเห็นกระดาษโน้ตสีเหลืองวางอยู่บนโต๊ะโดยมีรีโมตแอร์ทับไว้'ขอบคุณมากค่ะ ไว้คราวหน้าพี่จะพาไปทานข้าวนะ'สาวเจ้าเลิกคิ้วเอียงคอ ทำไมต้องพาทานข้าว เธอไม่ได้อดอยากสักหน่อย พลางสูดลมหายใจยิ้มกว้าง เตรียมตัวไปทำงานต่อ ก่อนจะเดินมุ่งหน้าสู่กล่องลิฟต์ไม่วายยืนจ้องมองประตูห้องของเขา คิดไปเองว่าชายหนุ่มอาจจะอยู่ในนั้น แต่ต้องขมวดคิ้วภายหลังเมื่อนึกขึ้นได้ว่า..“คีย์การ์ดเขาหายนี่นา..”จึงจะส่ายศีรษะหนีจากความคิด มุ่งสู่ที่ทำงานตามเดิมที่ทำงาน...แปะ!“ฮึ่ย”คนตัวเล็กบนเก้าอี้สำนักงานสะดุ้ง ให้กับฝ่ามือใหญ่ที่จงใจปะทะเข้าหากันเพื่อปลุกให้ตื่นจากการเหม่อลอย"เป็นอะไรเนี่ย"เจ้าของมือคือนักรบ เขาถามก่อนคำตอบของเธอจะเป็นต้นเหตุของรอยยิ้มที่หายไป“รบ เมื่อคืนเขามานอนห้องฉัน”“ฮะ” ไม่พอ แถมหัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วย “
เสียงร้องมาพร้อมกับเท้าสะดุด ผลของการเดินเร็วจนเกินไป แล้วหยุดชะงักกลางคัน เพราะภาพตรงหน้าคือผู้ชายคนหนึ่งยืนเปลือยล่อนจ้อนอยู่หน้าไม่อาย!สามารถใช้คำนี้ได้เลยอินถาอ้าปากค้างมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนขึงตาโตก็ตอนเห็นตรงนั้นประเจิดประเจ้อ“เหวอ!”เธอเบือนหน้าหนีไปทางอื่น หลังตั้งสติได้ว่าไม่ควรจ้องนาน กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ สาบานเลยว่าสิ่งที่เห็นเต็มสองตาเมื่อครู่ จะไม่มีวันลืม“ขอโทษค่ะ พี่ไม่คิดว่าหนูจะกลับมาเร็ว”แล้วถ้าเดินกลับมาช้าจะเป็นยังไงเล่า จะล่องหนหรือหายตัวไปนะหรือ“คุณมีคาถาหายตัวได้รึไงกัน”ร่างบางกัดฟันกรอดเอ่ยเสียงแผ่ว ยังคงยืนหันหลังให้เขาอยู่ คนถูกถามกระตุกยิ้ม กลั้นขำ“ก็จะหันหลังให้ จะไม่ยืนโจ่งแจ้งแบบนี้”“ห๊า..” ถึงกับลืมตาโพลง คิดตามที่เขาพูด เมื่อคิดยังไงก็ไม่ใช่เหตุผลถึงกับคอตก “คุณก็รอหนูกลับมาก่อนก็ได้นี่ ของสงวนแบบนั้นไม่ควรเอาออกมาให้เห็นกันง่ายๆรู้ไหมคะ”“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ไม่ถือ”What??!อินถากะพริบตาถี่ เขาโดนซ้อมจนสมองตีลังกากลับหลังไปแล้วกระมัง“แต่ถาเป็นผู้หญิงนะคะ”“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอโทษก็แล้วกัน ขอผ้าเช็ดตัวให้พี่ได้หรือยัง”“ยะ อย่าเข้ามานะคะ”สาวเจ้
“เฮ้ยคุณ!”เธอปล่อยถุงอาหารหลุดมือ พร้อมขึงตาขึ้นกว้าง มากกว่าปกติ ความตกใจลืมหมดแม้ความเย็นชื้นจากสายฝนที่กระหน่ำเทลงไม่ขาดสาย ไม่เหลือพื้นที่แห้งบนเสื้อผ้า แล้วนิ่งทำอะไรไม่ถูก จนเห็นร่างนั้นเริ่มขยับเขยื้อนอีกครั้ง ถึงจะถลาเข้าไปช่วยประคองดึงให้ลุกขึ้นมาส่วนเขาพยายามแหงนหน้า ใช้ม่านตาพร่ามัวที่สายฝนเม็ดใหญ่พรั่งพรูใส่ไม่หยุดมอง ก่อนนิ่วหน้าตอนเธอทำเขาเจ็บ บางทีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลก็สำคัญ เสียดายที่ไม่จดจำสมัยได้เรียน“ตัวคุณหนักมาก ฉันคนเดียวไม่ไหวหรอก ไปตามคนมาช่วยดีกว่า”หมับ!แขนเรียวถูกฉุดรั้งทันทีที่พูดจบ ด้วยแรงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเขา“คะ?”ก่อนอ้าปากค้าง หลังเขาส่ายหน้าท้ายที่สุดเป็นเธอที่ต้องพยายาม ดิ้นรนพยุงพาไปยังรถจอดอย่างทุลักทุเล ความหนักของเซลล์ทุกส่วนเป็นอุปสรรคให้ต้องกัดฟันกรอด หลังใช้เท้ายึดพื้นให้มั่นคง เพื่อทรงตัวจังหวะหิ้วปีกเขาลุก“ค่อยๆนะ”“เกิดอะไรขึ้นคะ คนพวกนั้นเป็นใคร มาทำร้ายคุณทำไม”อินถาหันไปถาม ดึงเข็มขัดมาคาดลำตัว เตรียมทำหน้าที่เป็นพลขับ บวกกับความสับสนพยายามไขข้อข้องใจ ให้เหมาะสมไม่คุ้มเสียแก่การตัดสินใจช่วยเหลือเขาด้วยตัวเองแ
ยิ่งใกล้ไตรมาสสุดท้ายงานยิ่งล้นมือ หลายวันมานี้อินถาไม่มีเวลาแม้แต่จะเข้ายิม หรือโผล่หน้าสดไปให้พนักงานร้านกาแฟได้เห็น ชีวิตมีอยู่แค่สองทาง คือทางกลับบ้านกับทางไปทำงาน และสายทุกวัน“ฮ๊าววว~”เสียงหาววอดผสานกับเสียงเสียดสีของก้นแก้วกาแฟเลื่อนผ่านโต๊ะเนื้อไม้มาจอดอยู่ตรงหน้า สาวเจ้าเหลือบมอง พยักหน้ายิ้มบางๆแทนคำขอบคุณ“ขอบใจนะ”“เมื่อคืนดึกหรือ”นักรบทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม ในมือก็ถืออยู่อีกแก้วหนึ่ง“ใช่~ พี่ติ๋วอะดิ แกบ้าจี้อะไรไม่รู้โทรมาสั่งให้แก้งานกะทันหัน กะจะไม่รับสายแล้วนะ แต่ก็กลัวจะเป็นเรื่องด่วนหรือเป็นแกเองที่ขอความช่วยเหลือ”ได้ทีอินถาบ่นใหญ่ ทว่าสายตาไม่ได้จับจ้องคู่สนทนา แต่หรี่ต่ำมองแก้วในมือตัวเอง มองควันที่พวยพุ่งจากความร้อนนั้นอยู่ดีๆในหัวเกิดมีภาพแห่งความทรงจำเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านทำไมกันนะ กับอีแค่ยาไม่กี่แผง ถึงได้มีอิทธิพลทำให้เธอรู้สึกดีได้มากขนาดนี้ ทั้งๆที่เขานั้นก็มีเจ้าของอยู่แล้วอินถาเผลอยิ้ม แอบเข้าข้างตัวเอง แต่ปัจจุบันเขานั้นหายไปเลย ไร้วี่แววแม้แต่เงา เสียงเงียบราวกับไม่มีใครอยู่ในห้องข้างๆในขณะเดียวกันก็ตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อไปด้วย เ
อินถายืนสงบนิ่งให้กับความสับสนของตัวเองที่ได้มาอย่างไม่ทันตั้งตัว ในมือชูถุงยาขึ้น มองมันราวกับเป็นของวิเศษแวบมาจากทิศทางใดไม่รู้สักแห่ง ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาเขา เจ้าของผู้กระทำนำพา ทว่าทั้งทางเดินพบแต่ความว่างเปล่าความรู้สึกกระดี่ได้น้ำถูกเก็บไว้ในที่ตื้น ชนิดหากไม่รีบทำอะไรสักอย่างอาจโผล่พ้นออกมาให้เห็นได้เนื่องจากยากต่อการควบคุม เธอถึงได้เร่งเปิดประตูแล้วพาตัวเองเข้าไปในห้องนั้น เพื่อกระโดดโลดเต้น ดีใจประหนึ่งถูกรางวัลฉลากกินแบ่งรัฐบาล จิตใต้สำนึกบวกสัญชาตญาณกระซิบบอกให้เข้าข้างตัวเอง สิ่งนี้ที่ถืออยู่อาจเป็นของเขาผู้ชายที่แอบชอบไม่รอช้าหญิงสาวรีบคลี่ปมของมันทันที ก่อนจะหยิบออกมาดูทีละชิ้น เมื่อพบว่าเป็นยารักษาแผลทั้งภายในและภายนอก ก็ขึงตาโต“พระเจ้าคะ..” มือผสานเข้าหากัน แหงนหน้าขึ้น พร้อมยิ้มปลื้มดุจน้ำตาจะไหล ซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าจูปิเตอร์ “ทรงได้ยินคำขอของอินถาแล้วสินะคะ อินถาสามารถตัดชุดแต่งงานรอได้เลยใช่ไหม งื้อ..”ความตื่นเต้นถึงขนาดหัวเราะดังลั่นห้องอย่างลืมอาย จากนั้นจึงจะเดินไปทิ้งตัวลงกลางเตียง“เฮ้อ สบายใจจัง...”แล้วเผลอหลับไปเพราะความเพลียในที่สุดด้