อินถาอยู่ในชุดเดรสเชิ้ตสีขาวยาวคลุมเข่า เธอลุกจากที่นอนขณะผมเผ้ายุ่งเหยิง ที่มักจะมีปัญหากับหวีทุกครั้ง ด้วยความหยาบและแข็งกระด้างบวกกับเส้นใหญ่ ผ่านการหมักแค่เดือนละครั้ง เพราะความขี้เกียจ และงบที่ไม่สามารถผลาญได้ตามใจชอบ
เลือกถลาไปยังระเบียงก่อนการจัดเก็บที่นอน เพียงแค่ต้องการเห็นควันบุหรี่พวยพุ่งของใครบางคน
ทั้งที่รู้ว่านั่นเป็นการทำร้าย อาจเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายถึงแก่ชีวิตได้ เรื่องแปลกแต่จริง เธอกลับยินดีปรีดากับมัน
“ไม่ค่อยจะแรดเลยแฮะ..”
พึมพำออกมาเสียงเบาสุด ขณะเท้าเขย่งคอชะเง้อประดุจยีราฟ ถึงเห็นแค่ควัน หาเห็นคนพ่นควันนั้นไม่! ก็พึงพอใจมากโข
ไม่สิ เอาจริงๆคือไม่เคยเห็นเลยต่างหาก ไม่เคยเลยสักครั้งเดียว หรือแม้แต่เงาสาดส่องออกมา ยังดื้อจินตนาการเข้าข้างตัวเอง เผื่อแขนจะโผล่อีกสักนิด ตอนมายืนพิงราวกั้นระเบียง
แต่แล้ว..
ไม่นานกลับต้องชะงักกึก ปล่อยตัวกำลังเขย่งเหยียบพื้นเต็มเท้า
'ราล์ฟคะ'
“โวะ อยู่กับผู้หญิงอีกละ”
เมื่อมีเสียงผู้หญิงปริศนาคนหนึ่งหลุดออกมา บ่งบอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังคนเดียว
อินถาทำหน้าเศร้าเดินไหล่ตกเข้าห้อง โดยไม่ลืมปิดประตูระเบียงเสียงดัง หวังจงใจให้เขาคนนั้นได้ยิน รับรู้ถึงการมีชีวิตของห้องข้างๆ
“เซ็งเลย..”
คาเฟ่ประจำ..
“เอาเหมือนเดิมค่ะ”
“ลาเต้เย็นเพิ่มหวานเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ”
อินถาใช้เวลาน้อยกว่าทุกๆวัน ในการอาบน้ำแต่งตัวก่อนออกมาข้างนอก ปกติเธอจะแต่งหน้าอ่อนๆเป็นตัวช่วยกลบเกลื่อนความสดใสที่ไม่มีของตัวเอง ซึ่งในใจมีแต่พลังลบซะจนหัวสมองเจ็บปวด ถึงขนาดกล้าอวดหน้าสด แม้แต่กันแดดก็ไม่ได้ทา
ผลที่ได้คือลาเต้เย็นถูกเลื่อนมาให้ขณะคนสั่งเหม่อลอย พร้อมความแปลกใจของพนักงานบวกเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด
เจ้าตัวเลิกคิ้วสูง ไขข้อข้องใจนั้นพร้อมกับการเสียบหลอดดังปั้ก
“ไม่ได้แต่งหน้าค่ะ”
เตรียมเดินมาหาโต๊ะนั่ง ปล่อยให้พนักงานยิ้มเจื่อนรู้สึกผิดกับความคิดของตัวเองภายหลัง
“ฮื้อ ขอโทษค่ะ..”
เกือบชั่วโมงอินถานั่งอยู่ตรงนี้กับโทรศัพท์เป็นเพื่อนรู้ใจ และสีหน้าขมุกขมัว หล่อนกำลังหงุดหงิดเรื่องเงิน ลาเต้เพิ่มหวานที่ดูดจนถึงก้นก็ยังขจัดความเครียดนี้ไม่ได้ ไม่พอยังมีเพิ่มเติมเสริมเข้ามาทับถมอีก หลังเหลือบตาเห็นบนจอโทรศัพท์มีข้อความที่เพิ่งจะถูกส่งเข้ามา
+นักรบ+
'พรุ่งนี้เขานัดเจอกันที่xxxนะ ประมาณสองทุ่ม'
ผู้โชคร้ายเป็นเพื่อนร่วมงานภายในแผนก ที่ทำให้เธอเผลอสาปแช่ง จงใจเสียมารยาทโดยการเปิดอ่านแต่ไม่ตอบ
'โอเคไหมตอบด้วย'
'อ่าวอ่านไม่ตอบ โอเคไหมตอบด้วยดิ'
'ไอ้ถา!'
ครืน~
“อะไรของแกวะเนี่ย”
(อ่านแล้วไม่ตอบก็ต้องโทรสิครับ สรุปว่าไง จะไปพร้อมกันไหมจะได้แวะรับ)
คอนโดของอินถาเป็นทางผ่านของบ้านนักรบ จึงไม่แปลกที่เขาจะอาสา อีกอย่างจะได้ไม่รู้สึกเป็นเป้าสายตาด้วยเวลาเดินเข้าไปในงาน สาวเจ้าทำหน้ามุ่ยนั่งเงียบกริบ กว่าจะพูดออกมาทำเอาปลายสายใจคอไม่ดี
“พูดได้ด้วยเหรอ เอาจริง?”
ปลายสายขำ
(ก็ไม่นะ)
“ก็ใช่ไง แล้วจะเอาไงได้ล่ะ”
(โอเคครับคุณอินถา เดี๋ยวผมไปรับนะครับ)
“หึ อย่าพูดว่ามารับ แกไม่ได้ยูเทิร์น แกจอดอีกฝั่ง แล้วฉันต้องข้ามถนนไป”
(ฮ่าๆๆ แสนรู้จริงๆ)
“ไม่ใช่หมานะยะ แค่นี้แหละ!”
(อ่าฮะ เจอกันๆ)
สายถูกตัดไปพร้อมกับโรคซึมเศร้า หญิงสาวยังคงนั่งหน้าตึงอยู่กับที่ ความหวานของลาเต้เย็นที่มีการละลายของน้ำแข็งเจือปนครึ่งแก้วก็ไม่สามารถช่วยได้ เธอจึงยุติแผนการพักผ่อนหย่อนใจในคาเฟ่นั้นและคิดจะสั่งเค้กมากินร่วมด้วยก่อนนักรบจะส่งข้อความมา เปลี่ยนเป็นกลับไปนอนเปื่อยอยู่ที่ห้องแทน
แต่แล้ว..
ความเหม่อลอยขาดสติมักจะนำพาหายนะมาสู่ตนเองตลอด เมื่อจังหวะลุกขึ้นหมุนตัวเตรียมเดินโดยไม่ทันระวังเป็นจังหวะนรก เกิดไปชนเข้ากับใครคนหนึ่งเข้า
ซ่า~
ความตกใจถูกปลุกด้วยความเจ็บแสบบริเวณหัวไหล่ข้างขวาลามลงมาถึงแขน หญิงสาวมือสั่น ขมวดคิ้วนิ่วหน้าแทบจะร้องไห้
“ขอโทษค่ะ ขอโทษ เป็นอะไรไหมคะ”
กาแฟดำร้อนจากแก้วเซรามิคในมือคนปริศนารดราดใส่เธอเต็มๆ อินถาเงยหน้าขึ้น สัญชาตญาณของความเจ็บปวดกระตุ้นความเคืองโกรธ เกือบจะหลุดคำหยาบ โชคดีที่จิตใต้สำนึกทำงานทัน เปลี่ยนจากการขยุมหัวเป็นการกระชากสติตัวเองแทน
“ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ”
คำพูดนั้นถูกเบาเสียงตรงท้ายประโยค หลังช้อนตาขึ้นพบว่าคนตรงหน้าไม่ได้มีคนเดียว แต่มีใครอีกคนยืนมองอยู่ เขาเป็นผู้ชายจัดว่าหน้าตาดีมากคนหนึ่ง ที่มีผิวเด่นเป็นกิจจะลักษณะ ถึงขนาดทำให้ต้องย้อนกลับไปนึกถึงตัวเองตอนอาบน้ำแค่ห้านาที เขาอยู่ในท่าเท้าเอวสอบ สายตาขณะจับจ้องมานั้นแสดงออกถึงความเย็นชาสุดๆ
ไม่มีความเห็นใจ ไม่มีความสงสาร ไม่มีอะไรเลยในสายตามีเสน่ห์คู่นั้น ไร้ความรู้สึกประหนึ่งว่าสิ่งที่ผู้หญิงของเขาตรงหน้าของเธอเดินชนเมื่อกี้นี้คือถังขยะ
อินถาเม้มปากแน่น ลากสายตากลับมายังคู่กรณี
“ฉันว่าคุณไปล้างดีกว่านะคะ ไปค่ะ เดี๋ยวฉันพาไป”
ส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรีบ”
ตัดบทเพียงเท่านั้น ก็หมุนตัวแบกหน้าที่ชาวาบและอับอายออกมาทันที ด้วยสภาพแสบแขนสุดๆ
กว่าจะตั้งสติและกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้ ก็ตอนอยู่ในรถ ระบายความอัดอั้นที่อุตส่าห์ข่มเอาไว้ กับพวงมาลัยและก็แตร
“อร๊ายยย!!! หล่อมาก! หล่อไม่ไหว ผู้ชายอะไรเนี่ย!!”
เสียงร้องมาพร้อมกับเท้าสะดุด ผลของการเดินเร็วจนเกินไป แล้วหยุดชะงักกลางคัน เพราะภาพตรงหน้าคือผู้ชายคนหนึ่งยืนเปลือยล่อนจ้อนอยู่หน้าไม่อาย!สามารถใช้คำนี้ได้เลยอินถาอ้าปากค้างมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนขึงตาโตก็ตอนเห็นตรงนั้นประเจิดประเจ้อ“เหวอ!”เธอเบือนหน้าหนีไปทางอื่น หลังตั้งสติได้ว่าไม่ควรจ้องนาน กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ สาบานเลยว่าสิ่งที่เห็นเต็มสองตาเมื่อครู่ จะไม่มีวันลืม“ขอโทษค่ะ พี่ไม่คิดว่าหนูจะกลับมาเร็ว”แล้วถ้าเดินกลับมาช้าจะเป็นยังไงเล่า จะล่องหนหรือหายตัวไปนะหรือ“คุณมีคาถาหายตัวได้รึไงกัน”ร่างบางกัดฟันกรอดเอ่ยเสียงแผ่ว ยังคงยืนหันหลังให้เขาอยู่ คนถูกถามกระตุกยิ้ม กลั้นขำ“ก็จะหันหลังให้ จะไม่ยืนโจ่งแจ้งแบบนี้”“ห๊า..” ถึงกับลืมตาโพลง คิดตามที่เขาพูด เมื่อคิดยังไงก็ไม่ใช่เหตุผลถึงกับคอตก “คุณก็รอหนูกลับมาก่อนก็ได้นี่ ของสงวนแบบนั้นไม่ควรเอาออกมาให้เห็นกันง่ายๆรู้ไหมคะ”“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ไม่ถือ”What??!อินถากะพริบตาถี่ เขาโดนซ้อมจนสมองตีลังกากลับหลังไปแล้วกระมัง“แต่ถาเป็นผู้หญิงนะคะ”“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอโทษก็แล้วกัน ขอผ้าเช็ดตัวให้พี่ได้หรือยัง”“ยะ อย่าเข้ามานะคะ”สาวเจ้
“เฮ้ยคุณ!”เธอปล่อยถุงอาหารหลุดมือ พร้อมขึงตาขึ้นกว้าง มากกว่าปกติ ความตกใจลืมหมดแม้ความเย็นชื้นจากสายฝนที่กระหน่ำเทลงไม่ขาดสาย ไม่เหลือพื้นที่แห้งบนเสื้อผ้า แล้วนิ่งทำอะไรไม่ถูก จนเห็นร่างนั้นเริ่มขยับเขยื้อนอีกครั้ง ถึงจะถลาเข้าไปช่วยประคองดึงให้ลุกขึ้นมาส่วนเขาพยายามแหงนหน้า ใช้ม่านตาพร่ามัวที่สายฝนเม็ดใหญ่พรั่งพรูใส่ไม่หยุดมอง ก่อนนิ่วหน้าตอนเธอทำเขาเจ็บ บางทีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลก็สำคัญ เสียดายที่ไม่จดจำสมัยได้เรียน“ตัวคุณหนักมาก ฉันคนเดียวไม่ไหวหรอก ไปตามคนมาช่วยดีกว่า”หมับ!แขนเรียวถูกฉุดรั้งทันทีที่พูดจบ ด้วยแรงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเขา“คะ?”ก่อนอ้าปากค้าง หลังเขาส่ายหน้าท้ายที่สุดเป็นเธอที่ต้องพยายาม ดิ้นรนพยุงพาไปยังรถจอดอย่างทุลักทุเล ความหนักของเซลล์ทุกส่วนเป็นอุปสรรคให้ต้องกัดฟันกรอด หลังใช้เท้ายึดพื้นให้มั่นคง เพื่อทรงตัวจังหวะหิ้วปีกเขาลุก“ค่อยๆนะ”“เกิดอะไรขึ้นคะ คนพวกนั้นเป็นใคร มาทำร้ายคุณทำไม”อินถาหันไปถาม ดึงเข็มขัดมาคาดลำตัว เตรียมทำหน้าที่เป็นพลขับ บวกกับความสับสนพยายามไขข้อข้องใจ ให้เหมาะสมไม่คุ้มเสียแก่การตัดสินใจช่วยเหลือเขาด้วยตัวเองแ
ยิ่งใกล้ไตรมาสสุดท้ายงานยิ่งล้นมือ หลายวันมานี้อินถาไม่มีเวลาแม้แต่จะเข้ายิม หรือโผล่หน้าสดไปให้พนักงานร้านกาแฟได้เห็น ชีวิตมีอยู่แค่สองทาง คือทางกลับบ้านกับทางไปทำงาน และสายทุกวัน“ฮ๊าววว~”เสียงหาววอดผสานกับเสียงเสียดสีของก้นแก้วกาแฟเลื่อนผ่านโต๊ะเนื้อไม้มาจอดอยู่ตรงหน้า สาวเจ้าเหลือบมอง พยักหน้ายิ้มบางๆแทนคำขอบคุณ“ขอบใจนะ”“เมื่อคืนดึกหรือ”นักรบทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม ในมือก็ถืออยู่อีกแก้วหนึ่ง“ใช่~ พี่ติ๋วอะดิ แกบ้าจี้อะไรไม่รู้โทรมาสั่งให้แก้งานกะทันหัน กะจะไม่รับสายแล้วนะ แต่ก็กลัวจะเป็นเรื่องด่วนหรือเป็นแกเองที่ขอความช่วยเหลือ”ได้ทีอินถาบ่นใหญ่ ทว่าสายตาไม่ได้จับจ้องคู่สนทนา แต่หรี่ต่ำมองแก้วในมือตัวเอง มองควันที่พวยพุ่งจากความร้อนนั้นอยู่ดีๆในหัวเกิดมีภาพแห่งความทรงจำเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านทำไมกันนะ กับอีแค่ยาไม่กี่แผง ถึงได้มีอิทธิพลทำให้เธอรู้สึกดีได้มากขนาดนี้ ทั้งๆที่เขานั้นก็มีเจ้าของอยู่แล้วอินถาเผลอยิ้ม แอบเข้าข้างตัวเอง แต่ปัจจุบันเขานั้นหายไปเลย ไร้วี่แววแม้แต่เงา เสียงเงียบราวกับไม่มีใครอยู่ในห้องข้างๆในขณะเดียวกันก็ตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อไปด้วย เ
อินถายืนสงบนิ่งให้กับความสับสนของตัวเองที่ได้มาอย่างไม่ทันตั้งตัว ในมือชูถุงยาขึ้น มองมันราวกับเป็นของวิเศษแวบมาจากทิศทางใดไม่รู้สักแห่ง ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาเขา เจ้าของผู้กระทำนำพา ทว่าทั้งทางเดินพบแต่ความว่างเปล่าความรู้สึกกระดี่ได้น้ำถูกเก็บไว้ในที่ตื้น ชนิดหากไม่รีบทำอะไรสักอย่างอาจโผล่พ้นออกมาให้เห็นได้เนื่องจากยากต่อการควบคุม เธอถึงได้เร่งเปิดประตูแล้วพาตัวเองเข้าไปในห้องนั้น เพื่อกระโดดโลดเต้น ดีใจประหนึ่งถูกรางวัลฉลากกินแบ่งรัฐบาล จิตใต้สำนึกบวกสัญชาตญาณกระซิบบอกให้เข้าข้างตัวเอง สิ่งนี้ที่ถืออยู่อาจเป็นของเขาผู้ชายที่แอบชอบไม่รอช้าหญิงสาวรีบคลี่ปมของมันทันที ก่อนจะหยิบออกมาดูทีละชิ้น เมื่อพบว่าเป็นยารักษาแผลทั้งภายในและภายนอก ก็ขึงตาโต“พระเจ้าคะ..” มือผสานเข้าหากัน แหงนหน้าขึ้น พร้อมยิ้มปลื้มดุจน้ำตาจะไหล ซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าจูปิเตอร์ “ทรงได้ยินคำขอของอินถาแล้วสินะคะ อินถาสามารถตัดชุดแต่งงานรอได้เลยใช่ไหม งื้อ..”ความตื่นเต้นถึงขนาดหัวเราะดังลั่นห้องอย่างลืมอาย จากนั้นจึงจะเดินไปทิ้งตัวลงกลางเตียง“เฮ้อ สบายใจจัง...”แล้วเผลอหลับไปเพราะความเพลียในที่สุดด้
ตลอดการเดินทางระหว่างคอนโดกับสถานที่นัดลูกค้า คนหลังพวงมาลัยเอาที่เหม่อลอย เอาแต่นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ การเจอกันระหว่างเขากับเธอ ที่มันไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่ ทำให้สมองเธอปั่นป่วน โชคดีมากไม่เกิดอันตรายใดๆระหว่างเดินทาง แล้วถึงที่หมายอย่างปลอดภัยอินถายกมือลูบหน้า บุคลิกนี้จะมีก็แต่ยามเผลอตอนเรียกสติเท่านั้น เมื่อใดที่เห็นเมื่อนั้นจะรู้ได้ทันทีสาวเจ้ากำลังประหม่า ไร้ความเป็นตัวของตัวเอง และเครียดสะสมมา“บ้าจริง”เธอพึมพำหลังดับเครื่องยนต์ ล็อครถแล้วเดินลงไป แสงแดดจ้าช่วงกลางวันที่ไม่สามารถควบคุมได้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ปลุกให้เธอตื่น หายสับสนขึ้นมาบ้าง เตือนตัวเองให้เกียรติตัวเองอย่าได้เอาคนนอกเข้ามา แม้ไม่ถึงกับรกสมอง แต่ก็มีผลต่อการทำงาน เนื่องจากอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะต้องเจอลูกค้าแล้วตุบ!เสียงโยนกระเป๋าลงเบาะมาก่อนเจ้าของจะทิ้งตัวนั่ง นักรบที่กำลังนั่งอ่านรายละเอียดงานเพื่อจะทำแทน ถึงกับสะดุ้ง หันขวับมองสีหน้าฉงน“อิน?”“กลับออฟฟิศไปเลย”“ฮะ?”“นี่ไงฉันมาแล้ว”“บอกว่าให้พักไง”ชายหนุ่มยานคาง พลางสายหน้าเอือมระอา ไม่ได้สนใจประโยคทักทาย ไม่พอยังก้มลงอ่านเอกสารต่อ“เรื่องอะไร งานขอ
ห้องที่คุ้นเคย?เจ้าของขนตาแพยาวไร้การเสริมแต่ง กวาดมองไปทั่วห้องก่อนขึงตาโต ชนิดกว้างครั้งแรกในชีวิต ก็ตอนเห็นควันโขมงพร้อมกลิ่นลอยอยู่บนอากาศ บริเวณนอกโดยมีประตูเลื่อนกั้นกลางระหว่างห้องนอนกับระเบียง ด้วยกระจกที่ใสมองเห็นจากข้างในแต่ทึบข้างนอกไร้ผ้าม่านปกคลุม ทำให้เจ้าของควันถูกมองไม่ชัด เขายืนอยู่ในท่าหันหลัง ด้วยสภาพผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวอย่างหมิ่นเหม่หญิงสาวก้มมองเลือดบนเตียงสลับกับเขาอยู่หลายรอบ ก่อนกรีดร้องสุดเสียงก็ตอนเขามองข้ามไหล่กลับมา“กรี๊ด!!!!”ครืน ครืน“เฮือก!”เสียงโทรศัพท์ทำคนบนเตียงสะดุ้งตื่น ร่างบางผุดลุกขึ้นนั่งพลางกุมขมับ ไม่ใช่แค่ความตกใจจากฝันเสมือนจริงทำให้เธอปวดหัว แต่เป็นฤทธิ์จากแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปอย่างหนักหน่วงของเมื่อคืนด้วย“บ้าจริง”อินถาลูบหน้า กว่าจะรับโทรศัพท์ได้ปล่อยให้ดังตั้งนาน(เธอ เป็นไงบ้าง)“นะ นักรบ”เสียงแหบพร่าร้องเรียก ปลายสายที่มักจะโทรมาได้จังหวะ และเธอมักจะลืมดูหน้าจอก่อนกดรับทุกที(ฟังจากเสียง น่าจะดูแย่เหมือนกันนะ ไหวไหมเนี่ย ถ้าไม่ไหวลางานก็ได้ เดี๋ยวเรื่องลูกค้าที่นัดไว้วันนี้ รบจะไปแทนเอง)“เดี๋ยวนะ..”หญิงสาวหันมองนาฬิกาบนหัวเตียง
“มายืนรอใครครับ”อินถาตัดสินใจเงยหน้าขึ้น กล้าที่จะสบตากับเขา ไม่รู้จะต้องขอบคุณความเมาดีไหม ที่ทำให้เธอมั่นหน้าได้ขนาดนี้“ยืนรอ? อ่อๆ มะ ไม่ค่ะ ไม่ได้รอใคร”แต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงก็ยังสั่นเครืออยู่ดี ความประหม่าทำลิ้นพัน และไม่รู้ว่าจริงไหมที่เธอเห็นเขายิ้มมุมปาก ขณะยื่นมือมาแตะต้นแขนเรียว“โต๊ะอยู่ไหนครับ”น้ำเสียงอบอุ่น ท่าทางอ่อนโยน ก่อนหน้านี้ไม่เคยโผล่ออกมาจากตัวเขา มันเป็นไปได้อย่างไร สาวเจ้าอ้าปากค้าง มัวแต่ยืนงง จนเขาต้องถามซ้ำ“ว่าไงครับ โต๊ะอยู่ไหน""ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวอินไปเอง""คุณเมามากนะ เดินไปคนเดียวไม่ไหวหรอก ผมจะพาไป""เอ่อ..""บอกมาเถอะครับ"ทำไมตอนนี้แลดูเข้าถึงง่ายนัก หรือนี่เป็นนิสัยปกติ ของเขา อาจเป็นเพราะเธอไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุย จึงรู้จักเขาไม่ดีพอ“เอ่อ ตรงโน้นค่ะ”อินถาบุ้ยหน้าไปยังทิศทางที่เดินจากมา ชายหนุ่มมองตามพลางพยักหน้า“โอเคครับ ไปครับ”"อ๋าาา"สาวเจ้าเบ้ปาก หลังถูกเขาฉวยข้อมือข้างที่บาดเจ็บ“ขอโทษครับ ผมไม่เห็นว่าคุณมีแผล ไปโดนอะไรมาครับ”สาบานว่าเขาจำเธอไม่ได้?อินถาขมวดคิ้ว มองเข้าไปในตาสีอำพันลึกลับคู่นั้นผู้ชายคนนี้ดูยังไงก็เป็นลูกผสม ไม่ใช่เอเช
“ขอโทษค่ะ”สัญชาตญาณสั่งให้รีบพลั้งโพล่งเพราะหล่อนนั้นเป็นฝ่ายผิด แต่กลับต้องชะงักกลางคันหลังเงยหน้าขึ้น เห็นเจ้าของแผงอกแกร่งถูกชนเข้าอย่างจัง เขาคือบุคคลแสนคุ้นเคย แฝงอยู่ในพื้นที่ความทรงจำมากกว่างานที่ทำซะอีก“ผมไม่เป็นไรครับ แล้วคุณ..”หญิงสาวอ้าปากค้าง ไม่ทันได้ฟังคำพูด และไม่ทันได้ห้ามเพื่อนชายที่กำลังดึงให้ห่างไปจากจุดนั้น“ดะ เดี๋ยว”แน่นอนความไม่ดูจังหวะ ทำให้เธอหงุดหงิด คิ้วคู่ขมวดชนกัน หันค้อนขวับฝ่ายชายทันทีที่มาถึงในขณะนักรบไม่ได้ทุกข์ร้อน แค่เลิกคิ้วสูง สีหน้ามึนงง“อะไร?”“แกนะแก..” ต่างจากคนตัวเล็กที่ชี้หน้าอยากจะด่ากราด ทว่าด้วยสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย จึงทำได้แค่กัดฟันกรอด “จุ้นจ้านจริงๆ”“ฮะ?”“รีบอยู่ได้ ”มองเข้าไปในร้าน ที่คนอื่นนั่งอยู่ ซึ่งพวกเขากำลังหันหน้าคุยกันอย่างออกรส กว่าจะหันมาเห็นทั้งคู่ก็ตอนที่เดินเข้าไปแล้ว"อ่าว""ดูสิ ใช่เขาจะสนใจเรา"“เดี๋ยวนะ เธอโมโหอะไรเนี่ย”“โมโหดิ ก็แก!”“หืม? ฉัน? ฉันทำไม?”“เออ ช่างมันเถอะ”ขนาดมาถึงยังฉุนไม่หาย แต่เมื่อไม่สามารถอธิบายออกมาได้ จึงทำได้แค่โบกมือ แล้วเดินนำเข้าไปหาผู้คนตรงโต๊ะนั้น“อะไรของเธอวะ”โซน VIP บรรยาก
ถนนใหญ่ใจกลางเมืองที่มีรถวิ่งเร็วราวกับแข่งกัน ประหนึ่งใครชนะจะได้น้ำมันฟรี รวมถึงการซ่อมห้องเครื่องหลังใช้งานอย่างหนักเพื่อพ่นควันดำสาเหตุหลักของการเกิดมลพิษ ถึงต้องมีสะพานลอย และทางม้าลายเอื้อความสะดวกให้กับคนเดินเท้า ซึ่งหากว่าถ้าจำเป็นก็คงไม่มีใครกล้าเสี่ยง เพราะแม้จะเดินข้ามทางม้าลายแล้ว ยังการันตีไม่ได้ว่านั่นจะปลอดภัยเจ้าของร่างบางในชุดเสื้อยืดตัวใหญ่สีขาว กางเกงขายาวทรงกระบอกสีกากี กับผ้าใบสีขาวอีกคู่หนึ่ง ถึงได้เลือกข้ามสะพานลอยมากกว่าการข้ามทางม้าลายขาวดำนั้น และนั่นเป็นสาเหตุหลักทำให้คนในรถหงุดหงิด เพราะความล่าช้าในการเดินทาง“นาน นานมาก”บ่นอุบหลังเธอมาถึง และเปิดประตูรถขึ้นมา“แล้วไง? ความปลอดภัยต้องมาก่อน”หล่อนยักไหล่ สีหน้ากวนประสาทแสดงออกถึงความไม่ทุกข์ร้อนไม่ต่างกัน“ครับ เป็นตัวอย่างที่ดีมากครับ”นักรบพยักหน้ายกนิ้วหัวแม่มือชมเชยให้ เก็บเบรกมือเพื่อเตรียมตัวออก ทว่าจังหวะหันกลับไป คนข้างๆทำให้อ้าปากเหวอซะก่อน พลางมองตั้งแต่หัวจรดเท้า“อะไรครับเนี่ย”“อะไร? ก็แต่งตัวปกติไง ยังไม่ชินอีกเหรอ”“เปล่า..” เขาส่ายศีรษะ แพ่งเล็งไปยังจุดเดียว จิ้มแรงๆจงใจทำให้เจ็บ “หมายถึงไ