ช่วงเวลาการสอบปลายภาคของปีหนึ่งผ่านไปอย่างแสนเหนื่อย เขาอดนอนมาหลายคืนเพื่ออ่านหนังสือทบทวนเนื้อหา ร่างกายอ่อนล้า แต่จิตใจกลับว้าวุ่นยิ่งกว่าเดิม
หลังจากที่รู้ว่าคนแปลกหน้าที่เข้ามาในชีวิตไม่ใช่ผี และยังเป็นคนรู้จักกับแม่ ความหนักอึ้งในใจกลับเบาลงและรู้สึกปลอดภัยขึ้นโดยไม่รู้ตัวแต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ พี่ภพยังมาหาเขาเป็นประจำ
บางวันมาตอนบ่าย พร้อมกับขนมของว่างวางไว้บนโต๊ะเรียนของเขา
บางวันมาตอนเย็น ยืนรออยู่หน้าหอพักด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่แววตากลับดูอ่อนโยน กนกพยายามปฏิเสธแต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับ เพราะกลิ่นหอมๆ นั้นทำให้ท้องร้องทุกที
และบางคืน...ชายคนนั้นมาเพียงเพื่อบอก "ฝันดีนะ"
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมมืออุ่นที่ลูบเบาๆ บนศีรษะ กนกมักจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมถึงดูแลเขาขนาดนี้ แต่พอรู้ตัวอีกที หัวใจของเขาก็ไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
แต่ที่ทำให้สับสนยิ่งกว่าคือ บางคืน...เขากลับเข้ามากอด อ้อมแขนนั้นแน่นหนา แข็งแรงและเต็มไปด้วยความอบอุ่น ครั้งแรกเขาตกใจและพยายามดิ้นให้หลุด แต่เสียงกระซิบข้างหูของอีกฝ่ายกลับทำให้เขาหยุดนิ่ง
"ขอกำลังใจหน่อยนะ"
แววตาที่ทอดมองมานั้นไม่ได้เจ้าเล่ห์ ไม่ได้ล้อเล่นแต่มันเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ความอ่อนแอที่อีกฝ่ายไม่เคยให้ใครเห็น กนกไม่รู้ว่าทำไมถึงยอมให้กอด...หรืออาจเป็นเพราะเขาเองก็ต้องการอ้อมแขนนี้เหมือนกัน
แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่อ้อมกอดนี้กลายเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยและเผลอรอคอยทุกคืน
"วันนี้พี่ซื้อโจ๊กหมูมาฝากครับ"
"เรากินข้าวเย็นกับเพื่อนมาแล้ว แล้วนี่ก็ดึกแล้ว กินดึกมันอ้วน"
"อ้วนพี่ก็รักนะ" กนกเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย คิ้วขมวด
"รักอะไร? พี่นี่ชอบพูดอะไรไม่รู้เรื่อง"พี่ภพยกยิ้มบางๆไม่ตอบอะไรแต่กลับถือถุงโจ๊กหมูเข้ามานั่งลงข้างๆกนกแทน
"กินหน่อยเถอะ ดึกขนาดนี้แล้ว เดี๋ยวหิวตอนกลางคืนจะนอนไม่หลับ" เขาวางถุงลงบนโต๊ะข้างเตียงแล้วเลื่อนชามโจ๊กมาให้
กนกมองของตรงหน้าแล้วถอนหายใจเบาๆ "เรากินข้าวมาแล้วจริงๆ ..." ถึงจะพูดแบบนั้นแต่กลิ่นข้าวต้มร้อนๆหอมกรุ่นก็ลอยแตะจมูกจนท้องแอบร้องเบาๆ พี่ภพหัวเราะนิดๆก่อนหยิบช้อนขึ้นมาตักโจ๊กเป่าเบาๆแล้วยื่นมาจ่อที่ปาก "ลองสักคำก็ยังดีนะ"
กนกเม้มปากแน่น ทำไมคนคนนี้ถึงดูแลเขาขนาดนี้...เขาไม่ได้ร้องขอ ไม่ได้ต้องการให้ใครมาทำแบบนี้แต่พี่ภพกลับทำเสมอ...ทั้งข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ที่หอบมาให้ ทั้งการอยู่ข้างๆ กันในวันที่เหนื่อยล้า แล้วทำไมทุกครั้งที่พี่ภพพูด เสียงทุ้มนุ่มนั้นถึงทำให้เขาใจอ่อนตลอดเลยสุดท้ายเขาก็ต้องยอมอ้าปากรับช้อนนั้นเข้าไป โจ๊กหมูร้อนๆ ไหลผ่านลำคอ ความอบอุ่นกระจายไปทั่วร่าง กนกเผลอถอนหายใจใจเบาๆก่อนจะหันไปทำตาดุใส่อีกฝ่าย
"พอใจหรือยัง?"
"ยังนะ กินอีกคำสิ"
"พี่นี่มัน—!"
กนกกำลังจะเถียงกลับ แต่พี่ภพก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ยื่นมือมาจับปลายคางของเขาเบาๆก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่ม "เด็กดีต้องกินข้าวนะครับ"
หัวใจของกนกกระตุกวูบ เขารีบเบือนหน้าหนีเพื่อซ่อนใบหน้าที่เริ่มร้อนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ทำไมถึงพูดแบบนี้อีกแล้ว...
แต่สุดท้ายเขาก็ยอมกินโจ๊กต่อเงียบๆ โดยมีพี่ภพนั่งมองด้วยรอยยิ้มอบอุ่นอยู่ข้างๆ
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่พี่ภพมานั่งเล่นที่ห้องเหมือนเคย พี่ภพนั่งอ่านหนังสือบนพื้นข้างๆ เตียง ส่วนกนกนั่งอยู่บนเตียงและกอดหนังสือไว้ในมือ พยายามไล่สายตาอ่านเนื้อหาที่พร่าเลือนเพราะความง่วงทำให้เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นและหัวค่อยๆ โคลงอย่างห้ามไม่อยู่ กำลังจะเคลิ้มหลับ
"ง่วงเหรอ" เสียงทุ้มดังขึ้น ก่อนที่นิ้วมืออุ่นๆ จะเข้ามาจั๊กจี้ที่เอวจากด้านหลัง
"อ๊ะ! พี่ภพ!" กนกสะดุ้ง รอยยิ้มผุดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ขำกลิ้งไปมาพยายามดันมืออีกฝ่ายออก
"จะหลับเหรอ เด็กน้อย"
"ฮ่าๆ! พี่—พี่ภพ! พอแล้ว!"
กนกหัวเราะลั่น พยายามดิ้นหนีแต่พี่ภพกลับได้ใจรุกหนักขึ้นเรื่อยๆ
"อย่าหนีนะ"
"ใครจะไปทนไหวล่ะ!"
และด้วยความที่อยากจะแกล้งพี่ภพบ้าง กนกเลยคว้าหมอนใกล้มือขึ้นมาหวังจะตีอีกฝ่ายเป็นการเอาคืน หมอนฟาดลงไปเต็มแรง
และทันทีที่หมอนสัมผัสกับตัวพี่ภพ...
ฟึบ!
ภาพบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว
ฉาด!
ไม่ใช่เสียงหมอน แต่มันคือเสียงของไม้หน้าสามที่กระแทกเข้าใส่หน้าเด็กชายคนหนึ่งอย่างรุนแรง ศีรษะเล็กๆ สะบัดไปตามแรงกระแทกภาพตรงหน้าสะท้อนเลือดสีแดงฉาน ไหลซึมออกมาจากหน้าผาก ลามลงมาถึงคิ้วและแก้มขาวนวลเป็นทางยาว ริมฝีปากซีดเซียวสั่นระริกและร่างบอบบางล้มกระแทกพื้นลงไป
กนกผงะหมอนหล่นจากมือ
ดวงตาเบิกกว้าง ริมฝีปากสั่นเครือ "ละ...เลือด"
ภาพนั้นยังคงชัดเจนในหัว เลือดที่นองเต็มพื้น สีแดงที่หยดลงราวกับไม่มีวันหยุด เสียงไม้ที่เหวี่ยงลงอย่างไร้ความปรานีดังก้องในความคิด
"กนก... กนก!"เสียงของพี่ภพดึงเขากลับมาสู่โลกจริง
"ระ...เราเห็น..." น้ำตาเริ่มคลอ "เห็นเลือด เลือดเต็มหน้าเด็กคนนั้น"
ร่างของกนกสั่นไหว ความกลัวแล่นริ้วผ่านร่างกายจนเขาทรุดลงนั่งและพยายามกอดตัวเองไว้แน่น เสียงสะอื้นดังออกมาไม่ขาดสาย
พี่ภพกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น มืออุ่นลูบไล้เบาๆ ไปตามกลุ่มผมของกนก ราวกับจะปลอบโยนให้คลายความหวาดกลัว
"ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัว พี่อยู่ตรงนี้" เสียงทุ้มอ่อนโยนดังอยู่ข้างหูแทรกผ่านเสียงสะอื้นที่ยังคงดังเป็นระยะ
คำพูดเดิมที่เคยฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า...แต่คืนนี้มันโอบกอดหัวใจที่บอบช้ำ กนกสะอื้นค่อย ซุกหน้าลงกับอกอีกฝ่ายปล่อยให้ความกลัวค่อยๆ สลายไป
"ไม่เป็นไรนะ จะไม่มีใครทำอะไรเรา รวมทั้งพี่ด้วย"
มืออุ่นลูบหลังปลอบโยน "กนกต้องอยู่กับพี่ ให้พี่ดูแล เข้าใจไหม?"
เด็กหนุ่มพยักหน้าเบาๆ ทั้งที่ใบหน้ายังคงเปื้อนน้ำตา
"ถ้าเราอยู่กับพี่ ฝันร้ายจะหายไปแน่นอน"
กนกพยักหน้าอีกครั้ง จากนั้นริมฝีปากอุ่นก็แนบลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา แล้วเลื่อนไปจุมพิตแก้มที่ยังเปียกน้ำตา มันเป็นสัมผัสที่อบอุ่นและอ่อนโยน "พี่จะไม่ทำร้ายเรา พี่จะโอบกอดเรา ขอแค่เราเชื่อใจพี่ แล้วสักวัน...เราจะเข้าใจทุกอย่าง"
ริมฝีปากนั้นสัมผัสเบาๆลงบนริมฝีบางเขา สัมผัสแผ่วเบาราวปลอบประโลมให้รู้สึกปลอดภัยราวกับว่าทุกความเจ็บปวดและความทุกข์ที่เขารู้สึกกำลังถูกกล่อมเกลาให้ค่อยๆจางหายไป จากนั้น ร่างสูงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายเขาอย่างแผ่วเบา มือใหญ่ลูบศีรษะของกนกครั้งสุดท้ายก่อนจะผละออกเดินไปยังประตู
หน้าบ้านหลังเล็กที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นปะปนกับเสียงลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน ปล่อยให้มีเพียงสองร่างในอ้อมกอดกันแน่นอยู่กลางห้วงเวลาอันแสนเจ็บปวด ภพกอดร่างของกนกแน่น รู้สึกได้ถึงแรงสั่นจากการร้องไห้ที่ไม่มีทีท่าจะหยุดลงง่าย ๆ น้ำตาของคนน้องเปียกเสื้อเขาจนชื้น และแรงกอดของกนกก็เหมือนเป็นการยึดเหนี่ยวสุดท้ายไว้กับความจริง“ฮึก… พี่ภพ… มันเจ็บ…” เสียงสะอื้นแผ่วเบารอดออกจากริมฝีปากสั่น“ไม่เป็นไรแล้ว…” ภพกระซิบเบา ๆ มือใหญ่ลูบหลังคนน้องอย่างอ่อนโยน“พี่อยู่นี่แล้ว ไม่มีใครทำร้ายกนกได้อีกแล้วนะ…”กนกส่ายหน้าเล็กน้อย ซุกหน้าลงที่ไหล่กว้าง เสียงร้องไห้เปลี่ยนเป็นสะอื้นอย่างทรมาน“มันย้อนกลับมา… ภาพพวกนั้น… ตอนเด็ก… ทำไมถึงลืมมันไปได้ ฮึก… ทำไมถึงเพิ่งจำได้ตอนนี้…”“ไม่ต้องโทษตัวเองนะคนเก่ง…” ภพก้มลงจูบผมนิ่ม ๆ ซับน้ำตาที่เปื้อนแก้มเนียนด้วยความอดทนที
วันนี้พี่ภพชวนผมออกจากบ้านตั้งแต่เช้า อากาศสดชื่นกว่าทุกวัน หรือบางทีอาจเป็นเพราะวันนี้พี่ภพอยู่ข้าง ๆเราไปเดินชมสวนดอกไม้ด้วยกัน แสงแดดอ่อน ๆ ทาบลงบนทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยสีสันของดอกไม้ที่กำลังผลิบาน นี่เป็นครั้งแรกที่เราถ่ายรูปคู่กัน พี่ภพยิ้มให้กล้อง ผมเองก็ยิ้มตามไปโดยไม่รู้ตัวแปลกดีนะ… ทำไมตอนนี้ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของพี่ภพเป็นเหมือนบ้านช่วงบ่าย พี่ภพบอกว่าจะพาผมไปในสถานที่แห่งหนึ่ง "สถานที่แห่งความทรงจำ"ผมไม่ได้ถามว่ามันคือที่ไหน เพราะสิ่งเดียวที่พี่ภพบอกผมก็คือ—"จับมือพี่ไว้แน่น ๆ นะ"และช่วงนี้ ผมกล้าจับมือพี่ภพแล้วด้วยเรานั่งรถมาด้วยกัน ข้างทางเริ่มคุ้นตาขึ้นเรื่อย ๆ ผมคิดว่าเรากำลังเดินทางกลับไปที่บ้านพี่ภพแต่พอรถเลี้ยวเข้าเส้นทางเล็ก ๆ ผมกลับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างประหลาดมันไม่ใช่บ้านของพี่ภพ แต่เป็นบ้านเก่าหลังนึงที่สภาพดี แต่ไม่มีใครอยู่แล้ว เมื่อก้าวลงจากรถ ผมรู้สึกเหมือนถูกสายลมที่มองไม่เห็นกระแทกเข้ามาเต็มแรงลมพัดเอื่อย
ในห้วงเวลาอบอุ่นช่วงปิดเทอมผ่านไปอย่างรวดเร็ว กนกอยู่บ้านมาหลายสัปดาห์แล้ว พี่ภพเองก็ติดโปรเจกต์ปีสุดท้ายและกำลังเตรียมตัวเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ทำให้เราไม่ได้เจอกันบ่อยนัก มีเพียงข้อความสั้นๆ ที่ส่งหากันเป็นระยะจนกระทั่งวันนี้พี่ภพมาหาน้าแป้น และทักมาหาเขา"วันนี้มาหาพี่หน่อย อยู่เป็นเพื่อนตอนทำงานได้ไหม?"กนกอ่านข้อความแล้วบอกแม่ว่าจะออกไปข้างนอกกับพี่ภพ เมื่อเจอกัน เราทานมื้อเที่ยงด้วยกัน ก่อนที่พี่ภพจะขับรถพาเขาไปยังห้องพักบรรยากาศภายในรถเงียบสงบ มีเพียงเสียงเพลงบรรเลงคลอแผ่วเบา อากาศเย็นกำลังดีทำให้รู้สึกสบายใจ กนกไม่ได้ถามว่าทำไมพี่ภพถึงพาเขามาที่ห้องพัก—เขาแค่ไว้ใจคอนโดของพี่ภพอยู่ไม่ไกลจากหอในของเขานัก เป็นห้องขนาดกว้าง แบ่งพื้นที่ใช้สอยอย่างเป็นระเบียบ พื้นที่ครัวเล็กๆ อยู่มุมหนึ่ง ห้องนอนเชื่อมกับพื้นที่ทำงาน เตียงกว้างและดูนุ่มมาก"เราจะนั่งอ่านหนังสือที่เตียงพี่ก็ได้นะ ถ้าง่วงก็นอนได้เลย""ครับ"กนกตอบรับโดยไม่ถามอะไร เขาหยิบหนังสือนิยายขึ้นมาเปิด แต่ในใจก็แอบสงสัยว่าพี่ภพให้มาอยู่เป็นเพื่อน หรือแค่ต้
"อ้อมกอดของแม่"คืนนี้เงียบสงบกว่าทุกคืน ลมหายใจของกนกอุ่นขึ้นเมื่อนอนอยู่ข้างแม่ อ้อมกอดที่คุ้นเคยทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ราวกับได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ อีกครั้ง"วันนี้แม่ขอนอนกับลูกชายคนโปรดได้ไหมครับ?""ได้ครับแม่"กนกขยับตัวให้แม่เข้ามาใต้ผ้าห่มอุ่นๆ พอเพชรล้มตัวลงนอน กนกก็รีบซุกตัวเข้าหาแม่ทันที โอบกอดแน่นราวกับไม่อยากให้เวลานี้ผ่านไปเพชรหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลูบผมลูกชายอย่างอ่อนโยน "เป็นยังไงบ้างลูก ปีแรกในมหาวิทยาลัย เหนื่อยไหม?""เหนื่อยครับ แต่ก็สนุกมากด้วย""เรียนยากไหม?""ก็ยากนิดหน่อยครับ แต่ยังดีที่มีมิวช่วยติวให้ มิวเก่งมากเลยครับแม่""ดีจังเลย แม่จำได้ว่าลูกเล่าเรื่องมิวให้ฟังบ่อยๆ แล้วหนูพราวล่ะ เป็นไงบ้าง?""พราวก็ยังตลกเหมือนเดิมเลยครับแม่ ถ้าผมเครียดๆ เบื่อๆ พราวนี่แหละที่ทำให้ผมยิ้มได้""ดีแล้วล่ะลูก มีเพื่อนดีก็ช่วยกันประคองไปนะ มีอะไรให้แม่ช่วยก็บอกได้ อย่าเก็บไว้คนเดียว"กนกพยักหน้ารับ แล้วเงียบไปครู่หนึ่งเพชรมองลูกชายด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะถามสิ่งที่ค้างคาใจ "แล้วพี่ภ
หลังจากนั้นพบรักก็พากนกกลับบ้าน เด็กหนุ่มเดินเข้าบ้านพร้อมความรู้สึกที่อบอุ่น แม้จะมีความหวาดกลัวและกังวลบางอย่างยังค้างอยู่ในใจ แต่การมีพี่ภพอยู่เคียงข้าง คอยโอบกอด คอยปลอบโยน ทำให้เขารู้สึกว่า… ไม่ได้เผชิญทุกอย่างเพียงลำพังและยิ่งรู้สึก… ชอบพี่ภพมากขึ้นทุกวันวันนี้ดูเหมือนว่าเขาจะใช้พลังไปเยอะ ทั้งร่างกายและหัวใจเลยเหนื่อยล้าเต็มที กนกหยิบหนังสือนิยายขึ้นมา หวังว่าจะอ่านเล่นสักหน่อยก่อนจะหลับไปแต่ก่อนที่เปลือกตาจะหนักอึ้ง มือถือก็สั่นเบา ๆ แจ้งเตือนข้อความจาก LINEพี่ภพ: “นอนหรือยังครับ”กนก: “กนกจะอ่านหนังสือนิยายสักหน่อย แล้วก็คงจะนอนแล้วครับ”พี่ภพ: “นอนไวจัง เพิ่งสามทุ่มเอง”กนกหลุดยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับกนก: “พี่ภพมีอะไรหรือเปล่าครับ”พี่ภพ: “พี่เหนื่อยนิดหน่อย พอดีส่งงานให้ลูกค้าอยู่ กำลังปั่นงานเลย”กนก: “วันนี้พี่ภพกลับไปในเมืองหรอครับ”
เพชรมองหน้าลูกชายตัวน้อยที่กำลังยิ้มกับโทรศัพท์ รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่เจ้าตัวอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแสดงออกมา“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรกันครับ คุณกนกของแม่?”กนกสะดุ้งเงยหน้าขึ้น ก่อนจะรีบปฏิเสธเสียงอ้อมแอ้ม “ยิ้มอะไรกันล่ะครับ แม่คิดไปเอง กนกไม่ได้ยิ้มสักหน่อย”เพชรหัวเราะเบา ๆ “ก็เห็นยิ้มกับโทรศัพท์ไง”เด็กหนุ่มเม้มปาก หันไปมองหน้าจออีกครั้ง ก่อนจะยอมรับเสียงเบา “ก็...พี่ภพ LINE มาบอกนะครับว่าอยู่บ้านตัวเองแล้ว”“อ้อ”“แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน กนกก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน” เจ้าตัวพูดต่อ “แต่ว่าพี่เขาบอกว่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ บ้านเราตรงนี้นี่เอง”เพชรพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่แววตายังคงมองสำรวจลูกชายของตัวเอง“วันนี้เขาจะมาหาหรือเปล่า?”“พี่ภพเหรอครับ?”“จ้ะ”“เห็นบอกว่าวันนี้จะพาไปเที่ยวสวนมะพร้าวเล็ก ๆ”เพชรเลิกคิ้วเล็กน้อย “สวนมะพร้าว?”กนกพยักหน