เส้นทางที่หลี่มู่ไป๋เลือกที่จะหลบหนีจากกลุ่มคนชุดดำนั้นคดเคี้ยวและเต็มไปด้วยอันตราย มันนำพาเขาไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของซากปรักหักพังของสำนักโบราณ ซึ่งยังคงหลงเหลือห้องโถงและทางเดินลับซับซ้อนราวเขาวงกต แม้จะไร้แสงสว่าง แต่ด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบคมและประสบการณ์ที่สั่งสมมา หลี่มู่ไป๋ก็สามารถหาทางออกจากซากปรักหักพังนั้นได้ในที่สุด เขาโผล่ออกมายังอีกด้านหนึ่งของหุบเขาหมอกทมิฬ ซึ่งเป็นป่าทึบที่เงียบสงบกว่า แต่ก็ยังคงปกคลุมไปด้วยหมอกจางๆ
เขาไม่ได้หยุดพักแม้แต่น้อย รีบออกจากหุบเขาโดยเร็วที่สุด โดยมั่นใจว่ากลุ่มคนชุดดำจากสำนักมังกรทมิฬจะต้องออกติดตามเขาไปทั่วแน่ หลี่มู่ไป๋รู้ดีว่าบันทึกที่เขาค้นพบนั้นมีค่ามหาศาล และเป็นสิ่งที่องค์ชายสามปรารถนาอย่างยิ่ง การที่เขาค้นพบความลับของ "คัมภีร์เทพมาร" ที่แท้จริง และรู้ถึงเบาะแสของ "ตราผนึกมังกร" นั้น ทำให้เขากลายเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของอำนาจมืดอย่างไม่ต้องสงสัย
ตลอดการเดินทางออกจากหุบเขา หลี่มู่ไป๋ยังคงสัมผัสได้ถึงเงาที่ติดตามเขาอยู่เสมอ มันเป็นกลุ่มคนชุดดำกลุ่มใหม่ที่ดูมีฝีมือเหนือกว่ากลุ่มก่อนๆ พวกมันเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบและรวดเร็ว ราวกับภูตผีในยามราตรีหลี่มู่ไป๋ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงสุด หลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงเท่าที่จะทำได้ และพยายามอำพรางร่องรอยการเดินทางของตนเอง
เมื่อหลี่มู่ไป๋เดินทางกลับเข้าสู่เมืองต่างๆ ที่พลุกพล่านอีกครั้ง เขาก็พบว่าข่าวลือเกี่ยวกับคัมภีร์เทพมาร ได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก มันไม่ได้เป็นเพียงเสียงกระซิบอีกต่อไป แต่กลายเป็นเรื่องราวที่ถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งยุทธภพ
“ได้ยินว่าคัมภีร์เทพมารถูกค้นพบแล้ว” เสียงตะโกนของพ่อค้าในตลาดดังขึ้น
“ไม่จริง! นั่นมันแค่ข่าวลือ! แต่ละสำนักกำลังตีกันแย่งชิงมันจนวุ่นวายไปหมดแล้ว!” เสียงของนักเลงในโรงเตี๊ยมสนทนากันอย่างร้อนแรง
สำนักต่างๆ ในยุทธภพที่เคยอยู่กันอย่างสงบสุข บัดนี้กลับเปิดศึกแย่งชิงคัมภีร์กันอย่างเปิดเผย การฆ่าฟันเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นในป่าลึกหรือแม้แต่ในเมืองใหญ่ บางสำนักถึงกับยกพวกเข้าโจมตีกันกลางถนน สร้างความหวาดกลัวและเดือดร้อนให้กับชาวบ้านทั่วไป เลือดและน้ำตาหลั่งรินไปทั่วแผ่นดิน
หลี่มู่ไป๋ต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกจับตามองจากทั้งผู้ที่ต้องการคัมภีร์ และกลุ่มคนที่ติดตามเขาจากองค์ชายสาม ชื่อของเงากระบี่เดียวดายเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่นักยุทธ์ผู้ผดุงคุณธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามจากเหล่าผู้ที่ต้องการครอบครองคัมภีร์ด้วยเช่นกัน
มีหลายครั้งที่เขาถูกท้าทายจากนักยุทธ์ที่เข้าใจผิด คิดว่าเขาครอบครองคัมภีร์ บางครั้งก็ถูกลอบโจมตีจากกลุ่มนักฆ่าที่เชื่อว่าเขาเป็นคู่แข่ง หลี่มู่ไป๋ต้องต่อสู้และเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์เหล่านี้ด้วยฝีมือที่เหนือกว่าเสมอ แต่เขาก็ไม่เคยเผยความลับเรื่องบันทึกโบราณที่แท้จริงออกมา
ในคืนหนึ่งหลี่มู่ไป๋นั่งอยู่เงียบๆ ในห้องพักของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองใหญ่ เขาหยิบบันทึกโบราณที่ได้มาจากหุบเขาหมอกทมิฬออกมาอ่านอีกครั้ง ดวงตาของเขากวาดสายตาไปตามตัวอักษรโบราณ และแผนที่ลึกลับที่ซ่อนอยู่ในนั้น
“คัมภีร์เทพมาร...ตราผนึกมังกร...อำนาจสูงสุดของแผ่นดิน...” เขาทบทวนสิ่งที่ค้นพบ
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าคัมภีร์เทพมารไม่ใช่คัมภีร์วิชา แต่เป็นแผนที่หรือรหัสลับ ที่นำไปสู่ตราผนึกมังกร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุดของราชบัลลังก์ และที่สำคัญ เขาคาดเดาได้ว่า องค์ชายสาม กำลังตามหาตราผนึกนี้อยู่เช่นกัน เพื่อยึดครองอำนาจสูงสุด และการล่มสลายของตระกูลหลี่เมื่อสิบปีก่อน ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนการอันชั่วร้ายนี้ เพื่อกำจัดผู้ที่อาจขัดขวางเส้นทางขององค์ชายสาม
หลี่มู่ไป๋กำบันทึกในมือแน่น ความแค้นในใจเขาทวีคูณขึ้น แต่คราวนี้มันไม่ได้เป็นเพียงความแค้นส่วนตัวเท่านั้น แต่เป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงในการปกป้องแคว้นเหลียงจากเงื้อมมือของความมืดมิด
“การตามหาคัมภีร์เทพมาร...ไม่สิ...การตามหาตราผนึกมังกร...เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้” เขากล่าวกับตัวเองอย่างหนักแน่น "มันคือกุญแจที่จะเปิดเผยความจริงเรื่องตระกูลหลี่ และหยุดยั้งแผนการขององค์ชายสาม"
เขาตัดสินใจว่าเขาจะต้องทิ้งเรื่องการตามหาเสนาบดีจ้าวไว้ชั่วคราว เพราะตอนนี้มีเรื่องที่เร่งด่วนและสำคัญกว่ามาก หากองค์ชายสามได้ครอบครองตราผนึกมังกร ทุกสิ่งก็จะสายเกินไป และเสนาบดีจ้าวเองก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายยิ่งกว่าเดิม
จากข้อมูลในบันทึกโบราณและข่าวลือที่เขาได้ยินมา หลี่มู่ไป๋คาดเดาว่าเบาะแสต่อไปของตราผนึกมังกรจะต้องอยู่ใน เมืองหลวง อย่างแน่นอน ที่นั่นคือศูนย์กลางอำนาจของราชสำนัก และเป็นที่ที่องค์ชายสามมีอำนาจและอิทธิพลมากที่สุด
การเดินทางสู่เมืองหลวงนั้นเต็มไปด้วยความเสี่ยง เพราะที่นั่นคือรังของศัตรู และเต็มไปด้วยสายตาที่จับจ้อง แต่หลี่มู่ไป๋ก็ไม่หวั่นเกรง เขาเตรียมตัวอย่างรัดกุมที่สุด วางแผนเส้นทางอย่างละเอียด และเตรียมพร้อมรับมือกับอันตรายทุกรูปแบบที่อาจจะเกิดขึ้น
ก่อนออกเดินทาง หลี่มู่ไป๋เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงมู่หรงชิง เขาไม่ได้เปิดเผยความลับทั้งหมด แต่เล่าเพียงว่าเขากำลังสืบหาเบาะแสสำคัญบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับภัยใหญ่หลวงต่อแคว้น และอาจจะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายใหญ่หลวง เขาขอให้นางระมัดระวังตัว และหากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเขา ขอให้นางช่วยสืบหาความจริงต่อไป เขาฝากจดหมายฉบับนี้ไว้กับผู้ดูแลโรงเตี๊ยมที่ไว้ใจได้ โดยกำชับให้ส่งมอบให้มู่หรงชิงก็ต่อเมื่อเขาไม่กลับมาภายในเวลาที่กำหนด
จากนั้น หลี่มู่ไป๋ก็เริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง เขาสวมชุดเรียบง่าย กลืนหายไปกับฝูงชนในยามรุ่งอรุณที่ผู้คนกำลังตื่นขึ้นมาใช้ชีวิต ทุกย่างก้าวของเขามั่นคงและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาเดินผ่านถนนที่คึกคัก ผู้คนมากมายที่ดูมีความสุขและทุกข์ระคนกันไป เขาคิดในใจว่าเขาจะต้องปกป้องแคว้นแห่งนี้ ปกป้องผู้บริสุทธิ์ และปกป้องคนที่เขารัก รวมถึงมู่หรงชิงด้วย
ระหว่างทาง หลี่มู่ไป๋ยังคงสัมผัสได้ถึงเงาที่ติดตามเขา พวกมันตามมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับรู้ว่าเขาตัดสินใจมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง หลี่มู่ไป๋รู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่ดุเดือดกว่าที่เคยเจอมาอย่างแน่นอน
เมื่อเข้าใกล้เมืองหลวงมากขึ้น บรรยากาศก็ยิ่งแตกต่างออกไป ผู้คนในเมืองหลวงดูเคร่งขรึมและระแวดระวังกว่าเมืองอื่นๆ ถนนหนทางเต็มไปด้วยทหารยามที่ลาดตระเวนอย่างเข้มงวด และมีการสอดส่องดูแลผู้คนแปลกหน้าอย่างใกล้ชิด หลี่มู่ไป๋ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเดินทางและพฤติกรรม เพื่อให้กลมกลืนไปกับผู้คนในเมืองหลวงมากที่สุด
เขาเลือกที่จะไม่เข้าพักในโรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียง แต่เลือกห้องพักเล็กๆ ในตรอกซอกซอยที่เงียบสงบ เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเดินสำรวจเมืองหลวง สังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของขุนนางและผู้มีอำนาจ และสอดส่องเบาะแสขององค์ชายสาม
หลี่มู่ไป๋รู้ดีว่าเมืองหลวงแห่งนี้คือใจกลางของอำนาจ และเป็นที่ที่ความจริงอันดำมืดถูกซ่อนเร้นไว้มากที่สุด เขาพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่างที่รออยู่เบื้องหน้า เพื่อไขปริศนาทั้งหมด และนำความยุติธรรมกลับคืนมาให้แก่ตระกูลหลี่ และแคว้นเหลียงทั้งปวง
ตอนที่ 65บทสรุปแห่งรักและการเริ่มต้นใหม่หลังจากที่หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินได้คลี่คลายปริศนาในอดีตของหลี่มู่ไป๋และมู่หรงชิง และได้รับรู้ถึงความจริงเกี่ยวกับพรรคเงาอสูรแล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะใช้เวลาช่วงหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบ เพื่อฟื้นฟูจิตใจและวางแผนสำหรับอนาคตแม้ว่าตระกูลไป๋จะยิ่งใหญ่และร่ำรวย แต่ไป๋ซูเจินก็ไม่ได้ปรารถนางานแต่งงานที่หรูหราอลังการ สิ่งที่นางต้องการคือความเรียบง่ายและอบอุ่น และหลี่เทียนอี้ก็เห็นด้วยกับนางอย่างเต็มที่ด้วยความเห็นชอบจากประมุขไป๋ที่เดินทางมาถึงหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบในภายหลัง และการจัดเตรียมงานของมู่หรงชิง งานแต่งงานเล็กๆ ของหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินจึงถูกจัดขึ้นอย่างอบอุ่นและเป็นกันเองในหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบแขกในงานมีเพียงคนสนิทและชาวบ้านที่รักใคร่ หลี่ฟงและเฒ่าจันทร์เองก็เดินทางมาร่วมงานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสุข เสียงหัวเราะ และการอวยพรจากใจจริงของทุกคนไป๋ซูเจินในชุดเจ้าสาวสีขาวสะอาดตา งดงามราวกับเทพธิดา นางเดินเข้ามาในลานบ้านที่ถูกประดับประดาอย่างเรียบง่ายแต่สวยงาม เคียงข้างหลี่เทียนอี้ในชุดเสื้อผ้าธรรมดาแต่ดูสง
ตอนที่ 64การกลับบ้านในเมืองเหมันต์ หลี่เทียนอี้รู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องกลับไปที่หมู่บ้านเมฆาเงียบสงบอีกครั้ง เพื่อแบ่งปันเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อแม่ฟัง และที่สำคัญที่สุด คือการพาไป๋ซูเจินผู้เป็นที่รักกลับไปแนะนำให้พวกท่านได้รู้จัก การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความคาดหวังและความอบอุ่นในหัวใจของทั้งสองคนหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินออกเดินทางจากเมืองเหมันต์ มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเมฆาเงียบสงบ การเดินทางครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและอันตราย บัดนี้มันคือการเดินทางกลับบ้าน สู่ความสงบสุขและอ้อมกอดของครอบครัว แม้จะมีเรื่องราวหนักอึ้งในอดีตที่รอการคลี่คลาย แต่การได้อยู่เคียงข้างไป๋ซูเจินทำให้หลี่เทียนอี้รู้สึกเข้มแข็งและพร้อมเผชิญหน้ากับทุกสิ่งระหว่างทาง หลี่เทียนอี้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบให้ไป๋ซูเจินฟังอย่างละเอียด เล่าถึงชีวิตที่เรียบง่าย การฝึกฝนวรยุทธ์ภายใต้การดูแลของบิดา และความรักความอบอุ่นที่มารดามอบให้ ไป๋ซูเจินตั้งใจฟังทุกถ้อยคำ นางรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบกับหลี่มู่ไป๋และมู่หรงชิง ผู้เป็นต้นแบบของคุณธรรมและความสามารถที่หล่อหลอมให้หลี่เทียนอี้เป็นบ
ตอนที่ 63ร่องรอยของอดีตหลังจากใช้เวลาหลายเดือนในการช่วยเหลือผู้คนและสร้างชื่อเสียงที่ดีงามในยุทธภพในฐานะ "คู่รักจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรม" หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินก็ได้เดินทางมาถึงเมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า เมืองเหมันต์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และเป็นศูนย์กลางการค้าที่คึกคัก แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความสุขจากการได้ทำสิ่งดีๆ และความรักที่มั่นคงต่อกัน แต่โชคชะตาก็มักจะนำพาสิ่งที่ไม่คาดฝันมาให้เสมอ และในครั้งนี้ หลี่เทียนอี้กำลังจะได้เผชิญหน้ากับ ร่องรอยบางอย่างจากอดีตของพ่อแม่ ที่เขาไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเมื่อก้าวเข้าสู่เมืองเหมันต์ หลี่เทียนอี้รู้สึกถึงความคุ้นเคยแปลกๆ ราวกับว่าเขาเคยมาที่นี่มาก่อน ทั้งที่ในความทรงจำของเขาไม่เคยมีภาพเมืองนี้อยู่เลย กลิ่นอายของปราณที่แข็งแกร่งและแฝงด้วยความเยือกเย็นบางอย่างที่อบอวลอยู่ในอากาศ ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย“ท่านหลี่เทียนอี้ ดูเหมือนเมืองนี้จะมีความพิเศษบางอย่างนะเจ้าคะ” ไป๋ซูเจินสังเกตเห็นท่าทีของเขา นางมีความละเอียดอ่อนและรับรู้ถึงพลังปราณบางอย่างได้ดีเช่นกัน“ข้าก็รู้สึกเช่นนั้นขอรับไป๋ซูเจิน” หลี่เทียนอี้ตอ
ตอนที่ 62บทบาทใหม่ในยุทธภพหลังจากความรักได้รับการยอมรับจากประมุขไป๋และคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ใต้แสงจันทร์ ณ เมืองจินหลิง ชีวิตบทใหม่ของหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินก็ได้เริ่มต้นขึ้น พวกเขาไม่ได้จมปลักอยู่กับความสุขส่วนตัวเพียงอย่างเดียว หากแต่เลือกที่จะก้าวเดินบนเส้นทางแห่งคุณธรรมร่วมกัน นำวิชาความรู้และจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาออกไปช่วยเหลือผู้คนในยุทธภพที่กว้างใหญ่ไพศาล สร้างบทบาทใหม่ในฐานะ คู่รักจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรมหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินไม่ได้รีบร้อนที่จะสร้างชื่อเสียงอันโด่งดัง หรือก่อตั้งสำนักใหญ่โตดุจสำนักอื่น ๆ ในยุทธภพ พวกเขาเริ่มต้นจากการช่วยเหลือผู้คนในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พบเจอระหว่างการเดินทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาถนัดและเชื่อมั่นในคุณค่าของมันพวกเขาออกเดินทางจากเมืองจินหลิง มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านและเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลความเจริญและมักถูกละเลยจากสำนักใหญ่ ๆ เหล่านั้นครั้งหนึ่ง พวกเขาได้เดินทางไปถึงหมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังประสบปัญหาจากภัยแล้งอย่างหนัก ผู้คนอดอยากและเจ็บป่วยล้มตายจำนวนมาก“ท่านหลี่เทียนอี้ ชาวบ้านเหล่านี้เดือดร้อนหนักมากเจ้าค่ะ” ไป๋ซูเจินกล่าวด
ตอนที่ 61การยอมรับและเส้นทางที่เลือกหลังเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองจินหลิง ที่หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินร่วมมือกันปกป้องเมืองจากเงื้อมมือของสำนักเงาดำ ความกล้าหาญและคุณธรรมของทั้งคู่เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อประมุขไป๋ผู้เป็นบิดาของไป๋ซูเจิน การกระทำของพวกเขาในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมาก แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่การยอมรับความรักของทั้งคู่ ที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคมาอย่างยาวนานหลังจากความสงบกลับคืนสู่เมืองจินหลิง ประมุขไป๋ได้เรียกหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินมาพบเป็นการส่วนตัวในห้องโถงใหญ่ของจวน ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงความโกรธเคืองหรือความไม่พอใจเหมือนเช่นเคย หากแต่เต็มไปด้วยความนับถือและความสำนึกผิด“ท่านหลี่เทียนอี้” ประมุขไป๋เริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าครั้งก่อนมาก “ในวันนี้ ข้าได้เห็นกับตาแล้วว่าท่านเป็นบุรุษเช่นไร”เขาถอนหายใจช้าๆ “ข้าเคยผิดพลาดที่มองคนแต่เพียงเปลือกนอก และดูถูกท่านด้วยฐานะอันต่ำต้อย” ประมุขไป๋เดินเข้าไปหาหลี่เทียนอี้ แล้ว โค้งคำนับเล็กน้อย “ข้าขออภัยท่านด้วยใจจริง ที่เคยดูหมิ่นท่านและทำให้ท่านกับบุตรสาวของข้าต้องเจ็บปวด”หลี่เที
ตอนที่ 60 บทพิสูจน์แห่งรักการกลับมาพบกันอีกครั้งที่เมืองจินหลิง ท่ามกลางสถานการณ์การบุกโจมตีของโจรป่า ทำให้หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินได้ยืนยันความรู้สึกในใจของกันและกัน แม้จะไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน แต่สายตาที่สื่อถึงกันก็เพียงพอแล้วที่จะบอกว่าความรักของพวกเขายังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่โลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไม่ได้มีเพียงความรักที่สวยงาม การเผชิญหน้าครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบททดสอบครั้งใหญ่ ที่พวกเขาจะต้องพิสูจน์ความรักของตนเองและสิ่งที่ยึดมั่นร่วมกันหลังจากเหตุการณ์โจรป่าบุกโจมตี ประมุขไป๋ก็จำต้องยอมรับฝีมือและคุณธรรมของหลี่เทียนอี้ที่ปรากฏให้เห็นในวันนี้ แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมรับหลี่เทียนอี้ในฐานะบุตรเขยของตระกูลไป๋ และยังคงยืนกรานที่จะให้ไป๋ซูเจินแต่งงานกับคุณชายหลินอยู่ดีหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินจึงตัดสินใจที่จะพูดคุยกันอย่างเปิดอก ณ สถานที่ลับแห่งหนึ่งในเมืองจินหลิง“ท่านหลี่เทียนอี้” ไป๋ซูเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านพ่อไม่ยอมรับท่าน…และท่านก็ยังคงต้องแต่งงานกับคุณชายหลิน”“ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาดขอรับ” หลี่เทียนอี้กล่าวด้วยความมุ่งมั่น “ข้าจะพิ