รุ่งสางแห่งวันใหม่ เมืองตงหลิงยังจมอยู่ใต้ผืนหิมะหนาแน่น บรรยากาศอึมครึมปกคลุมทั่วพระราชวังเฉินหยวน เงาจันทร์ลับฟ้าไปแล้ว หากแต่ในใจของเซิ่งอี้เหวินยังมิอาจลืมภาพของหญิงสาวใต้ต้นเหมย นางผู้ไร้เงา
เขายืนอยู่หน้ากระจกทองเหลืองในห้องพักองครักษ์ กำลังสวมชุดเกราะพิธีการประจำวัน ขณะมือจัดชายเสื้อคลุมอย่างเงียบเชียบ ภาพสะท้อนกลับเผยให้เห็นแววตาของชายหนุ่มผู้กำลังไหวหวั่น
“นางคือคนในตำนาน หรือเป็นเพียงคำสาป?” เขาพึมพำ พลันเสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้ง
“ท่านอี้เหวิน รัชทายาทมีพระบัญชาให้เข้าเฝ้าด่วน ที่ศาลาวิถีหยก” เสียงองครักษ์ผู้น้อยเอ่ยจากภายนอก
อี้เหวินขานรับ ก่อนเร่งก้าวออกจากเรือนพัก เขาใช้เวลาไม่นานก็เดินเข้าสู่ศาลาวิถีหยก ที่ตั้งอยู่ระหว่างเขตกลางวังกับพระตำหนักรัชทายาท
ศาลาหยกนั้นสร้างขึ้นจากหยกเขียวธรรมชาติทั้งหลัง พื้นหินถูกปัดหิมะออกจนสะอาดเงาวับ เบื้องหน้าศาลา รัชทายาทหลงเยี่ยน ประทับบนบัลลังก์หยกตัวรอง ทรงอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม ท่วงท่าองอาจ สายตาดุดัน
“เซิ่งอี้เหวิน” เสียงดังขึ้น พร้อมสายตาที่จับจ้องมาทางเขา
“เมื่อคืนมีเรื่องใดหรือไม่?”
อี้เหวินทรุดตัวคำนับอย่างงดงาม
“ทูลองค์รัชทายาท มีเหตุบางประการที่กระหม่อมกำลังสืบสวน แต่ยังไม่กล้าเอื้อนเอ่ยก่อนพบความจริง”
หลงเยี่ยนหรี่ตา “มีคนเห็นเจ้ามุ่งหน้าสู่เขตตำหนักเหมันต์ในยามวิกาล”
สิ้นคำ ด้านข้างก็มีขุนนางฝ่ายในผู้หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับม้วนกระดาษ
“กระหม่อมได้ตรวจสอบแล้วพ่ะย่ะค่ะ มีร่องรอยหิมะถูกรบกวนหน้าเขตต้องห้ามจริง”
รัชทายาททอดพระเนตรแนวนิ้วทั้งสิบนิ่งสงบ แล้วเอ่ยเบา ๆ ว่า “ตำหนักนั้นผู้ใดย่างกรายเข้าไป ถือว่าขัดราชโองการ”
“เจ้ากำลังเล่นกับเงาของอดีตหรือไม่?”
อี้เหวินเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาแน่วแน่
“กระหม่อมเห็นหญิงหนึ่งในสวนเหมยอวิ๋น ใต้จันทร์เต็มดวง นางไร้เงาใต้แสง และกล่าวชื่อตนเองว่า เซี่ยอวี่”
เสียงรอบศาลาพลันเงียบกริบ แม้กระทั่งลมหิมะที่เคยพัดผ่านก็คล้ายหยุดฟัง รัชทายาทหลงเยี่ยนหลุบตาลง ดวงหน้าเครียดขึง
“เจ้าเอ่ยนามนั้นออกมาด้วยปากตนเองแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ ว่าผู้ที่เคยเอ่ยชื่อนาง ไม่มีผู้ใดมีชะตาที่ดี”
อี้เหวินไม่ตอบ พระหัตถ์ขององค์รัชทายาทกำแน่นจนเส้นเลือดปูดเขียว เสียงที่เปล่งออกต่อมานั้นเยียบเย็นประดุจน้ำแข็ง
“ข้าเคยมีพระเชษฐาองค์หนึ่ง เขารักหญิงผู้หนึ่งมาก จนสละสิทธิ์ในราชบัลลังก์ และจบชีวิตลงด้วยคำว่ากบฏ นามของหญิงผู้นั้นคือ เซี่ยอวี่ เงาจันทร์ที่ไม่มีวันมีเงา”
อี้เหวินเบิกตากว้าง เขาไม่เคยได้ยินรัชทายาทเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยสักครั้ง
“นางคืออดีตที่วังนี้พยายามลืม และเจ้าคือผู้ที่ทำให้เงานั้นกลับมา...”
เซิ่งอี้เหวินยังคงคุกเข่าอยู่กลางศาลาหยก เยียบเย็นดุจถูกฝังอยู่ในหิมะทั้งร่าง ไม่ใช่เพราะลมหิมะจากภายนอก แต่เป็นเพราะวาจาขององค์รัชทายาทที่ดั่งคมดาบแทงลึกสู่หัวใจ
“นางคืออดีตที่วังนี้พยายามลืม และเจ้าคือผู้ที่ทำให้เงานั้นกลับมา...”
เสียงนั้นหาได้เปล่งดังไม่ ทว่าแฝงแรงกดดันรุนแรงประหนึ่งจักบดขยี้ผู้ใดให้จมแผ่นดิน
“กระหม่อมไม่คาดว่า...” อี้เหวินเอ่ยแผ่ว “กระหม่อมไม่ได้หมายจะขัดราชโองการ หากแต่เพียง...”
“เพียงใคร่รู้ความจริงใช่หรือไม่?”
หลงเยี่ยนขัดขึ้น ก่อนพระพักตร์จะเผยรอยยิ้มบาง ราวผู้ล่วงรู้ลึกในใจอีกฝ่าย
“เจ้ามิเคยเชื่อสิ่งที่คนอื่นล่ำลืออยู่แล้ว เซิ่งอี้เหวิน...เจ้ามักดั้นด้นหาความจริงด้วยดาบในมือเจ้าเองเสมอ”
อี้เหวินก้มหน้า ไม่โต้แย้งใด
“เช่นนั้นจงจำไว้ เซี่ยอวี่ไม่ใช่เพียงเรื่องเล่า ไม่ใช่เพียงเงา ไม่ใช่เพียงสตรีไร้เงาคนหนึ่ง แต่คือนามต้องห้าม ที่หากกล่าวออกไป จะทำให้ต้องหลั่งเลือด”
เมื่อสิ้นเสียงนั้น รัชทายาทก็ทรงโบกพระหัตถ์
“จงกลับไป และลืมสิ่งที่เจ้าเห็นเสีย อย่าให้ข้าต้องตัดแขนขวาของราชองครักษ์ เพราะเจ้าดื้อดึงจะเดินตามเงาที่ไม่มีทางเป็นจริง”
เซิ่งอี้เหวินเงยหน้าขึ้นสบตา ในนัยน์ตาคู่นั้นปรากฏร่องรอยบางอย่าง ที่มิใช่เพียงความหงุดหงิด ไม่ใช่เพียงความกราดเกรี้ยว แต่เป็นความเศร้า
รัชทายาทหลงเยี่ยน แม้จะทรงตำหนิเขา หากกลับทรงเจ็บปวดกับนาม ‘เซี่ยอวี่’ ราวกับนางยังคงเป็นบาดแผลในพระทัย
เมื่อพ้นศาลาวิถีหยกมา อี้เหวินไม่กลับจวนองครักษ์ทันที เขาเดินลัดเลาะผ่านทางด้านตะวันตกของวัง ลึกเข้าไปในแนวรั้วไม้เก่า ที่ไม่มีผู้ใดย่างกราย
ที่นั่น...คือตำหนักเหมันต์
ครั้งนี้ เขามาเพียงลำพัง ไร้ผู้ติดตาม ไร้ดาบข้างกาย ประตูไม้ยังคงปิดสนิท คราบสนิมจับบานพับแน่นราวกับไม่มีผู้ใดแตะต้องมาหลายสิบปี
“เซี่ยอวี่...” เขาเอ่ยนามนั้นแผ่วเบา ราวจะลองใจสวรรค์
ไร้เสียงตอบกลับ...
แต่แล้ว สายลมหนึ่งก็พัดวูบขึ้น
บานประตูไม้ที่ควรนิ่งสนิทกลับส่งเสียง “ครืด...” และเปิดออกช้า ๆ โดยไม่มีมือใดแตะต้อง
อี้เหวินชะงักฝีเท้า แต่ภายในอกกลับเต้นแรงด้วยความสงสัย เขาก้าวเข้าไปสู่ตำหนักต้องห้ามที่ไม่มีใครเข้าใกล้มาเกือบสามสิบปี
กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกเหมยแห้งยังคงลอยปะปนอยู่ในอากาศ ข้างในมืดสลัว แต่ไม่ถึงกับมืดสนิท พื้นไม้เก่าที่ควรส่งเสียงเมื่อถูกเหยียบ กลับไร้เสียงตอบ เมื่อสายตาเริ่มปรับเข้ากับความมืด เขาเห็นบางอย่าง
หีบไม้ใบหนึ่งตั้งอยู่มุมห้อง มีผ้าคลุมบาง ๆ ปกไว้ บนผ้านั้นมีรอยนิ้วมือเพียงหนึ่งรอยเป็นรอยสดใหม่
อี้เหวินย่อตัวลง ยื่นมือเปิดผ้าคลุมออก ภายในหีบไม้ มีเพียงสิ่งเดียว คือพิณเจ็ดสายโบราณ ด้ายสายพิณแต่ละเส้นร้อยด้วยด้ายเงินแท้ มีตราลายมังกรสลักไว้ตรงหัวพิณ
เขาแตะปลายนิ้วลงบนสายพิณเบา ๆ เสียงหนึ่งสะท้อนกลับมา เป็นเสียงคล้ายเสียงพิณที่เขาเคยได้ยินใต้ต้นเหมยเมื่อคืนก่อน แต่แผ่วกว่า เศร้ากว่า และโบราณกว่า
อี้เหวินถอนหายใจหนึ่งครั้ง กำลังจะลุกขึ้น หากทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังกระซิบแผ่วเบาที่หลังหู
“เจ้าจำเสียงของข้าได้แล้วหรือยัง?”
เสียงกระซิบนั้นเบาดุจเสียงหิมะร่วงกระทบใบไม้ หากแต่ว่าเย็นเยียบดั่งน้ำแข็งที่ไหลผ่านกระดูก อี้เหวินสะบัดกายหันขวับ มือคว้าด้ามกระบี่ตามสัญชาตญาณ แต่ทว่า เขาลืมไปแล้ว ว่าวันนี้เขาไม่ได้นำกระบี่ติดตัวมา
เบื้องหลังไม่มีผู้ใด ไม่มีเงาร่าง ไม่มีเสียงฝีเท้า มีเพียงเงาของตนกับเสียงที่ยังคงก้องในใจ
“เสียงของข้า เจ้าจำได้หรือยัง”
อี้เหวินสูดลมหายใจเข้าลึก จ้องมองรอบห้องอย่างช้า ๆ หัวใจเต้นแรงราวจะทะลุออกจากอก หากแต่ใบหน้าไม่แสดงอาการพรั่นพรึงใด
เขาค่อย ๆ หันกลับไปยังหีบไม้ พิณยังอยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อนไหว แต่สิ่งที่เปลี่ยนไป คือกลีบดอกเหมยที่เมื่อครู่ยังไม่ปรากฏ ตอนนี้กลับโปรยอยู่ทั่วพื้นห้องทั้งที่ภายในตำหนักนี้ ไม่มีต้นไม้ ไม่มีลม และไม่มีหน้าต่างเปิดอยู่เลยสักบาน
“เจ้ามองไม่เห็นข้า แต่นั่นมิได้แปลว่า ข้าไม่อยู่”
เสียงกระซิบกลับมาอีกครั้ง ครานี้ดังชัดเจนขึ้น ราวกับอยู่ข้างใบหูจริง ๆ อี้เหวินหลับตาแน่น
“เซี่ยอวี่ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นอะไร เป็นคน เป็นเงา วิญญาณ หรือเป็นเพียงความฝัน แต่ข้ามาที่นี่เพราะต้องการรู้ความจริง”
เขากล่าวเสียงหนักแน่น ดวงตาเมื่อเปิดขึ้นอีกครั้ง เต็มไปด้วยประกายดื้อดึงและแน่วแน่
“ข้ารู้ว่านามของเจ้าคือคำต้องห้ามในวังนี้ แต่ข้าจะไม่หลบเลี่ยงมันแน่”
ทันใดนั้น เสียงสายพิณที่ไม่ถูกรัวบรรเลงก็พลันสั่นสะท้านขึ้นเอง
“ติ๋ง... ติ๋ง... ติ๋ง...”
เสียงกระทบกันของเส้นสายดั่งเสียงน้ำตาหยดลงบนหยกเย็น และแล้ว...เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นทีละน้อย ท่ามกลางละอองหิมะที่ล่องลอยในตำหนัก
เรือนผมดำสนิทปลิวสยาย ชุดขาวบางลู่ลมอย่างไร้น้ำหนัก ดวงหน้าอ่อนหวานแต่เศร้าลึก และดวงตาที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า นางยืนอยู่เบื้องหน้าเขา โดยไม่มีเสียงก้าวเดินใดๆ ไร้เงาใต้ฝ่าเท้า ดั่งเงาจันทร์ที่ไม่อาจจับต้อง
“เจ้าเห็นข้าแล้ว” เซี่ยอวี่เอ่ยเบาๆ พร้อมรอยยิ้มจางๆ ที่มิรู้ว่าอบอุ่นหรือเจ็บปวดกันแน่
“เหตุใดจึงปรากฏต่อข้า?” อี้เหวินถาม
นางไม่ตอบในทันที หากแต่ก้มลงมองพิณในหีบ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงที่ฟังคล้ายกับบทกลอนที่มิได้บันทึกไว้ที่ใด
“ผู้ใดที่จำเสียงของข้าได้ ผู้นั้นก็จะเห็นข้า แต่หากจำเงาของข้าได้เมื่อใด ย่อมเห็นชะตาเดิมทั้งมวล”
อี้เหวินขมวดคิ้ว “เสียง? เงา? ชะตาเดิม?”
เซี่ยอวี่เงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นลึกล้ำเย็นเยียบ
“เจ้ากำลังเดินเข้าสู่รอยแผลที่ยังเปิดอยู่ ชะตาของเจ้ากำลังถักทอเข้ากับอดีตอีกครั้ง”
อี้เหวินเม้มริมฝีปากแน่น “ข้าเคยรู้จักเจ้ามาก่อน?”
นางพยักหน้าเบา ๆ “มากกว่ารู้จัก...”
คำตอบนั้นทิ้งตัวลงดั่งหิมะโรยอ่อน แต่ในหัวใจของอี้เหวิน กลับสะเทือนดังสายฟ้าฟาด
“มากกว่ารู้จักงั้นหรือ...”
เสียงของเซิ่งอี้เหวินเบาหวิว ขณะที่คำพูดของหญิงตรงหน้า กรีดลึกลงในความทรงจำที่เขาไม่รู้ว่าตนมีอยู่ เซี่ยอวี่ยังคงยืนนิ่ง สายตาเหม่อมองไปยังเบื้องหลังเขา เหมือนกำลังมองบางสิ่งที่อี้เหวินไม่เห็น
“เคยมีชายผู้หนึ่ง เขาเคยให้คำสัตย์กับข้าว่า จะเลือกข้า แม้ต้องเผชิญกับทั้งโลก แต่แล้ววันหนึ่ง เขากลับเดินเข้ามาหาข้าพร้อมกระบี่ในมือ”
เสียงของนางแผ่วลง ชั่วขณะที่สายตาของนางสบตาเขา แววเศร้าในนั้นบีบรัดหัวใจชายหนุ่มราวกับจะตายทั้งเป็น
“เขาฆ่าเจ้ารึ?” อี้เหวินถามเบา ๆ
นางพยักหน้า “มิใช่เพราะเขาเกลียดข้า หากเพราะเขารักแผ่นดินมากกว่า หรืออาจจะเพราะเขารักข้า แต่ไม่อาจทนเห็นข้าถูกประณามว่าเป็นกบฏไปตลอดกาลได้”
อี้เหวินยืนนิ่ง ไม่มีคำใดหลุดออกจากปากในยามนี้ นางผู้นี้เคยมีชีวิต เคยมีความรัก และเคยถูกทรยศด้วยน้ำมือของผู้ที่รักยิ่ง
“เจ้าเริ่มจำได้หรือยัง...เสียงของข้า ตอนที่เจ้าฝันถึงเงาที่ถือกระบี่และหญิงผู้ดีดพิณ นั่นมิใช่เพียงความฝัน นั่นคือเศษเสี้ยวของความจริงที่สวรรค์มิอาจลบเลือนจากวิญญาณเจ้าได้หมด”
อี้เหวินเบิกตาโพลง ความรู้สึกบางอย่างเริ่มแทรกซึม ภาพที่เคยฝันเห็นตนในชุดเกราะโบราณ มือถือกระบี่เปื้อนเลือด ดวงหน้าแสนเจ็บปวดที่เฝ้ามองหญิงนางหนึ่งล้มลงใต้ต้นเหมย มันเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
“ข้าคือ...?”
เซี่ยอวี่ไม่ตอบ เพียงแต่เดินไปที่พิณภายในหีบ ปลายนิ้วของนางสัมผัสลงบนสายหนึ่ง ราวกับปลุกบางสิ่งให้ตื่น เสียงพิณสายเดียวสะท้อนสะเทือนห้องทั้งห้อง เงาของอดีตเริ่มคลี่ออก
ภาพของตำหนักเหมันต์ในอดีต พลันปรากฏผ่านม่านสายหิมะ ชายหนุ่มในชุดแม่ทัพ มือเปื้อนเลือด หญิงสาวในชุดขาว ยิ้มทั้งน้ำตาใต้ต้นเหมย เสียงพิณบรรเลงกลางสงคราม เปลวไฟลามจากตำหนักร้าง เสียงตะโกนร้องของผู้คน และเงาที่ไม่เคยจาง
อี้เหวินล้มตัวลงกับพื้น ลมหายใจสะท้านทั้งกาย มือเขาเอื้อมคว้าอย่างไร้ทิศทาง ราวกับหวังจะยื้อบางสิ่งจากภาพเงาที่หายวับไป
“ข้า...ฆ่าเจ้า...”
เสียงของเขาแผ่วเบา ราวกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่เอ่ยออกไปนั้นเป็นความจริง เซี่ยอวี่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ร่างบางไร้เงาทอดตามองมา แววตาของนางมิได้มีเพียงความเศร้า หากยังมีเมตตา
“ข้าไม่อาฆาตเจ้า หากเพียงแต่ ข้ายังอยากให้เจ้าจำข้าได้อีกครั้ง เสียงของข้า ชื่อของข้า และหัวใจของข้า หากเจ้าจำได้ครบทั้งสามสิ่ง คำสาปของข้าก็จะสิ้นลง”
ขณะที่นางเอ่ยคำสุดท้าย ร่างของเซี่ยอวี่ก็ค่อย ๆ เลือนหายไปราวกับหมอกในยามรุ่งอรุณ เหลือเพียงเสียงของพิณที่ยังสะท้อนอยู่ในห้องช้า ๆ
เซิ่งอี้เหวินนั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางหิมะที่ปลิวเข้ามาทางช่องประตู กลีบเหมยปลิวโรยเป็นสาย เขามองมือนิ้วของตนเองที่ยังสั่น แต่ที่สั่นไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็นเพราะหัวใจของเขาเริ่มจำได้แล้วจริง ๆ
กลางหุบเขาหลิงเซวียน อันห่างไกลจากเมืองหลวงและค่ายกลอำนาจ มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อว่าหมู่บ้านชิงหลัน ฤดูเหมันต์ที่นี่ยาวนานกว่าที่อื่น หิมะโปรยปรายตลอดสามเดือนเต็ม แต่ก็ใช่ว่าหนาวเหน็บเสมอไปในบางคืนคืนที่แสงจันทร์สาดลงกลางหิมะโลกกลับอบอุ่นอย่างน่าอัศจรรย์ บ้านไม้หลังหนึ่งปลูกอยู่ริมหุบ เสียงไม้กระทบกันเบา ๆ ดังขึ้นจากหน้าบ้าน ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังผ่าฟืน ร่างสูง ใบหน้าคมคายมีเคราบางแต้มเหนือคาง เสื้อคลุมธรรมดาสีเทาอ่อนคลี่ไหวเบา ๆ ไปตามลมเขาชื่อว่า “เหวินอวี๋” ชาวบ้านเรียกเขาว่า “อาหยี่” ไม่มีผู้ใดรู้ชาติกำเนิดที่แน่ชัดของเขา เพียงรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ย้ายมาอยู่เมื่อห้าปีก่อน มักฝันถึงเสียงพิณโบราณที่ไม่เคยมีใครเล่น มักละเมอเรียกชื่อใครคนหนึ่งทุกครั้งที่ดวงจันทร์เต็มดวง และมักนั่งมองต้นเหมยกลางหิมะ ราวกับรอใครสักคนกลับมา“อาหยี่ ข้าวต้มหอมฟุ้งแล้วนะ!”เสียงหญิงชราเจ้าของบ้านพักดังขึ้นจากในครัว เหวินอวี๋ยิ้มบาง ๆ วางขวานลงแล้วเดินเข้าไปในเรือน แววตาของเขาอ่อนโยน ไม่แกร่งกล้าอย่างนักรบ ไม่เด็ดขาดดังแม่ทัพ แต่ลึก ๆ แฝงแววบางอย่างคล้ายเคยผ่านสงครามใหญ่ใจมาหลังรับประทานอาหารเรียบง่า
“เพลงนั้นห้ามเล่น ห้ามร้อง ห้ามแม้แต่คิดถึง”เสียงสั่งห้ามอันเยือกเย็นของเสนาบดีหวังเมื่อสามสิบปีก่อน ยังสะท้อนอยู่ในหอจารึกวังหลวงเพลงที่ไม่มีชื่อ เพลงที่คราวหนึ่ง เคยทำให้ครูดนตรีหลวงคลุ้มคลั่ง เพลงที่ในทุกคืนจันทร์เต็มดวง จะลอยมาเบา ๆ จากตำหนักร้างซึ่งไม่มีใครอาศัยข้ามีนามว่า “ซูหนิงอวี่” เป็นบุตรสาวของเสนาบดีกลาโหมเติบโตในราชสำนัก เห็นเรื่องลึกลับมาก็มาก แต่ไม่เคยมีเรื่องใดสะท้านใจข้าเท่า “เรื่องของสตรีไร้เงา” ผู้นั้นนางไม่มีชื่อในบันทึก ไม่มีภาพวาดในหอประวัติ ไม่มีการกล่าวถึงในการเรียนการสอน แต่ในทุกคืนเหมันต์ เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ในวังมักจะก้มหน้า แล้วพร่ำว่า...“อย่าทำให้จันทร์เห็นเจ้า มิเช่นนั้น เขาอาจร้องไห้อีกครั้ง...”ข้าเคยไม่เชื่อ จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าเข้าไปในตำหนักเหมันต์ ที่เขาว่าถูกปิดตายตั้งแต่ยุคราชวงศ์ก่อนประตูไม้...เปิดเองลานหิน...มีรอยเท้าซ้อนทับต้นเหมย...ปลิวกลีบในวันที่ไม่มีลมแต่สิ่งที่ทำให้ข้าเยือกเย็นถึงกระดูก ก็คือพิณหยกที่วางอยู่หน้าต้นเหมย และจารึกหนึ่ง...“ในหิมะยังมีเสียงนาง ในเงาจันทร์ยังมีนางเคียงข้าง หากข้าจดจำนางไม่ได้ โลกนี้ก็ไม่ควรมีข้าอยู่”ข้า
ในโลกที่แสงจันทร์ยังคงทาบฟ้า แต่ไม่มีต้นเหมย ไม่มีตำหนัก ไม่มีแม้แต่คำว่าอดีต หญิงสาวผู้หนึ่งลืมตาขึ้นกลางแสงสีเงิน ด้วยความรู้สึกที่เหมือนถูกโอบล้อมด้วยสายลมฤดูหนาว“ที่นี่คือที่ใด...”นางพึมพำกับตนเอง เสื้อผ้าที่สวมอยู่ไม่ใช่ชุดในวังหลวง แต่งดงาม เรียบง่าย และเบาสบาย แต่นางกลับจำไม่ได้ว่าตนเองเป็นใคร หญิงสาวเดินผ่านลานหินโล่ง มีเสียงน้ำตกเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกลและต้นเหมยต้นเดียวในที่ราบนี้ยืนเด่นอยู่ใต้แสงจันทร์ นางมองมันด้วยความรู้สึกประหลาด ดอกเหมยผลิบานเต็มต้น หยาดน้ำแข็งเกาะบางเบาบนกลีบ แล้วทันใดนั้นสายลมก็พัดกลิ่นหอมจางมา“เซี่ยอวี่...”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องหลัง นางหันขวับ ชายหนุ่มในชุดเรียบง่ายยืนอยู่ เขาดูอ่อนวัย แต่แววตานั้นลึกนักลึกยิ่งกว่าห้วงกาลเวลา“ข้ารู้จักเจ้าหรือไม่? ข้าควรจะจำเจ้าได้หรือเปล่า...”ชายหนุ่มยิ้มบาง ดวงตาเขาไม่ได้สะท้อนเพียงแสงจันทร์ หากยังมีแววสะเทือนใจที่เหมือนเคยรู้จัก“เจ้าจำข้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพียงเจ้าจำเสียงนี้ได้ข้าก็พอใจแล้ว”เสียงของเขา แม้ไม่กังวาน แต่เมื่อสัมผัสโสตประสาทของนางกลับสะท้านถึงหัวใจ เหมือนเคยฟังมันในยามหิมะตก เหมือนเคยได้ยินมันตอ
“ใต้ต้นเหมยที่มิผลิบาน ข้าเฝ้าเรียกชื่อผู้หนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่เสียงตอบกลับมา กลับมีเพียงสายลม”เสียงพิณแผ่วเบาดังอยู่ท่ามกลางหิมะ เซี่ยอวี่นั่งอยู่ลำพังใต้ต้นเหมยหลังตำหนักเหมันต์ ในราตรีที่แสงจันทร์ไร้ซึ่งไออุ่นฤดูหนาวนี้เป็นฤดูที่เท่าใดแล้ว? นางมิอาจนับได้อีก ฤดูหนาวที่แสงจันทร์ทาบผ่านผิวหิมะซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เงาของนาง กลับไม่เคยปรากฏตำหนักเหมันต์เงียบงันมาเนิ่นนาน หลังการล่มสลายของรัชทายาทหลงซื่อ และหญิงสาวที่ถูกตราหน้าว่ากบฏ ตำหนักที่เคยเป็นสถานที่แห่งความรักและเสียงหัวเราะ จึงถูกปิดตายด้วยคำว่า “ต้องห้าม”นางผู้มีนามว่า เซี่ยอวี่ หรือในอดีตก็คือหญิงคนนั้นวิญญาณที่ติดอยู่ ณ ที่แห่งนี้ มิใช่ด้วยความอาฆาต แต่ด้วยความรักที่ไม่เคยถูกเอ่ยออกเต็มถ้อย“อี้เหวิน เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่...”เสียงกระซิบที่แผ่วเบายิ่งกว่าหิมะปลิว เซี่ยอวี่หลับตา แล้ววางมือบนสายพิณหยก เพลงที่นางดีดไม่มีอยู่ในตำรา ไม่มีผู้ใดสอนมันคือเสียงที่ผุดขึ้นจากใจ เวียนกลับซ้ำทุกครายามนางคิดถึงเขาในช่วงแรกที่วิญญาณของนางยังไม่สงบ นางเคยหวังว่าเขาจะมองเห็น นางเคยเฝ้ามองเขา จากตำหนักโน้นสู่อีกตำหนักหนึ่งแต่ปีแล้วปีเล่า
ณ กาลก่อนประวัติศาสตร์ราชวงศ์หลิวซาน คืนจันทร์ดับ ไร้แสงดาว ลมเหนือกรีดเกล็ดหิมะให้กระจายเป็นเส้นเงา ดินแดนที่ขานขานกันว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในใต้หล้า “เขาเทียนหลง” คือจุดเริ่มต้นของคำสาปที่กินกาลเวลาหลายภพชาติที่ลานพิธีบูชากลางเขา หญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่ในชุดขาวล้วน ผ้าคลุมศีรษะปลิวล้อลม มือของนางแตะสายพิณหยกโบราณที่ตั้งอยู่บนแท่นหิน ช้าและนิ่ง แต่เพียงท่วงทำนองแรกดังขึ้น แสงจันทร์ที่ควรดับพลันจุดสว่างขึ้นทั่วขอบฟ้า“เสียงนี้ไม่ควรปรากฏในโลกมนุษย์”เสียงหนึ่งดังมาจากเบื้องหลัง หญิงสาวไม่หันกลับ นางยังคงดีดแม้น้ำตาไหลอาบแก้ม“แต่เสียงนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าเหลือไว้ได้ให้เขา”บุรุษผู้มาเยือนแต่งกายด้วยชุดแม่ทัพดำสลับทอง ผ้าคาดเอวมีตราสลักรูปมังกรฟาดเมฆ แววตาเด็ดเดี่ยวสงบนิ่งเขาคือเซวียนเหยียน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นอวิ๋น ชายผู้ได้รับพระบัญชาให้มาขัดขวางพิธีต้องห้ามในค่ำคืนนี้ เขารู้ดีว่า หญิงเบื้องหน้า คือ “หลานอวี่” เทพธิดาแห่งเสียงพิณ ผู้ถูกเนรเทศจากสวรรค์เพราะหลงรักมนุษย์“เจ้ากำลังละเมิดสวรรค์อีกครั้ง...”เขาเอ่ย แต่เสียงนั้นสั่นไหวจาง ๆ“ข้ารู้...”หลานอวี่วางมือจากสายพิณ เงยหน้าข
หิมะตกต่อเนื่องไม่หยุดเป็นวันที่เจ็ด ตำหนักเหมันต์กลับมาเงียบงันดั่งเดิม ทว่าทั่วทั้งวังหลวงยังคงสะเทือนด้วยเสียงกระซิบแห่งตำนาน“เงาคู่นั้น เจ้าก็เห็นหรือไม่?”“เขาไม่ได้อยู่คนเดียวจริง ๆ”“แม้นางจะไม่มีเงาในอดีต แต่ในวันนั้น ใต้แสงจันทร์ นางก็มีเงาเหมือนเราทุกคน”ข่าวลือแผ่กระจายรวดเร็วราวไฟในทุ่งหญ้าแห้ง เรื่องเงาลึกลับที่ปรากฏ ณ ประตูหงส์ และเสียงพิณที่ไร้ต้นเสียงในคืนวันประหาร กลายเป็นตำนานบทใหม่ของเมืองหลวงแต่สำหรับเขา เรื่องเหล่านั้นไม่ใช่เพียงข่าวลือ เพราะทุกถ้อยทุกคำ ล้วนเป็นความจริงที่เขาได้สัมผัสเซิ่งอี้เหวินยังมีชีวิต หลังเหตุการณ์วันนั้น คำสั่งประหารถูกยกเลิกอย่างไร้คำอธิบาย แต่เขากลับไม่กลับไปยังตำหนัก หากแต่ขอปลีกวิเวก ณ เรือนเล็กริมเนินหิมะ ที่ตั้งอยู่ใกล้สระน้ำแช่แข็งเบื้องหลังวังหลัง ที่นั่นคือสถานที่ที่เซี่ยอวี่เคยร้องเพลง คือสถานที่ที่เขาเคยฟังนางในคืนแรกวันคืนผ่านไป เขาไม่รับราชการอีก ไม่แตะกระบี่ ไม่สวมชุดองครักษ์ มีเพียงพิณที่เขาสร้างด้วยมือ ตั้งอยู่เบื้องหน้าต่างบานเล็กซึ่งหันเข้าสู่แสงจันทร์ และทุกคืนเดือนเพ็ญ เขาจะบรรเลงเพลงเดิมบทเพลงที่ไร้ชื่อ เพื่อใครคนห