Beranda / อื่น ๆ / เงาจันทราเหนือเหมันต์ / บทที่ 3 ความลับใต้ตำหนักต้องห้าม

Share

บทที่ 3 ความลับใต้ตำหนักต้องห้าม

Penulis: Bosskerr
last update Terakhir Diperbarui: 2025-08-08 00:37:44

รุ่งเช้าวันถัดมา แสงแดดฤดูเหมันต์ทาบลงบนกระเบื้องหลังคาพระตำหนัก ทว่าไม่อาจขับไล่ไอเย็นจากหิมะที่ยังจับแน่นพื้นดิน เมืองตงหลิงยังคงเงียบงันภายใต้ท้องฟ้าสีขาวหม่น

เซิ่งอี้เหวินยืนอยู่หน้าประตูตำหนักเหมันต์อีกครั้ง เขากลับมาในยามเช้า ไม่ใช่เพราะอยากย้อนพบเงาหญิงใต้จันทร์ แต่เพราะเขาต้องการสืบหาความจริงที่ซ่อนอยู่ ณ สถานที่ต้องห้ามแห่งนี้

กล่องบันทึกเก่าในหอคัมภีร์... เสียงพิณจากอดีต... ภาพในนิมิตที่สอดคล้องกับความจริง... ทุกอย่างบอกเขาเพียงสิ่งเดียวคือ “อดีตยังไม่ตาย”

เขาดันบานประตูไม้ให้เปิดออกอีกครั้ง เสียงครืดของบานพับยังดังกังวาน ทว่าครานี้ภายในตำหนักกลับเงียบสนิทยิ่งกว่าเดิมไม่มีเงา ไม่มีเสียง ไม่มีกลีบเหมยปลิวโรย เซี่ยอวี่ไม่ได้รอเขาอยู่เช่นคืนก่อน

อี้เหวินสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วก้าวตรงไปยังผนังด้านในสุดของตำหนัก ตำแหน่งที่เขาเคยเห็นในบันทึกโบราณ บอกว่าครั้งหนึ่งเคยมี “แท่นเก็บคำสัตย์ของรัชทายาท”

ผนังนั้นถูกปิดด้วยม่านเก่า สีซีดจางจนแทบดูไม่ออกว่าเดิมเคยเป็นสีใด เขายกมือขึ้นเปิดม่านนั้นออกอย่างระมัดระวังเบื้องหลังคือกำแพงไม้เก่าที่มีรอยถากเฉียงคล้ายเคยมีผู้พยายามซ่อนบางสิ่งไว้ อี้เหวินลูบมือลงบนแผ่นไม้ พบว่ามันโปร่งกว่ากำแพงโดยรอบ

“ที่นี่...”

เขากระซิบในลำคอ ก่อนคว้ากระบี่ประจำกายที่นำติดมาด้วยในวันนี้ เขาใช้ปลายกระบี่แซะเบา ๆ ที่รอยต่อไม้

แกรก...

แผ่นไม้เปิดออก เผยให้เห็นโพรงลับภายใน เป็นช่องเก็บของเก่ารูปทรงกล่อง ภายในมีเพียงสิ่งเดียว คือกล่องไม้สีดำ ขนาดไม่ใหญ่ ไม่เล็กนัก บนฝาฝังลายลึกเป็นตัวอักษรโบราณหนึ่งคำ

“缘” [หยวน] ซึ่งเป็นคำโบราณที่หมายถึง โชคชะตา สายใย การพบกันโดยฟ้ากำหนด

มือของอี้เหวินสั่นเล็กน้อย เขาเปิดกล่องนั้นออก ภายในเต็มไปด้วยกระดาษเก่าแผ่นหนึ่ง กับวัตถุโลหะโบราณรูปทรงกลมจารึกอักขระไม่คุ้นตา

เขาหยิบกระดาษขึ้นมา ลายมือหวัดสวย หากซีดจางไปบ้างด้วยกาลเวลา แต่ยังสามารถอ่านออกได้อย่างชัดเจน

“หากข้ามีชีวิตอยู่ ข้าจะรอเจ้าที่ต้นเหมย หากข้าตายแล้ว ข้าจะกลายเป็นเสียงพิณของเจ้า แม้สวรรค์จะมิให้เราครองคู่ ข้าก็ยังเลือกเจ้า หากวันหนึ่งเจ้าหลงลืม ข้าก็ยังอยากให้เจ้าจดจำว่าข้ารักเจ้าเสมอ เซี่ยอวี่...”

อี้เหวินเบิกตากว้าง ลายมือในจดหมายนั้น...ใช่ เขาจำได้เป็นลายมือเดียวกับข้อความในบันทึกที่เคยพบในหอคัมภีร์ คือจดหมายของ “สตรีผู้ถูกตราว่าเป็นกบฏ” ที่รัชทายาทหลงจื้อเคยส่งไปถึง แต่ไม่มีวันได้ตอบกลับ และวัตถุโลหะในกล่องนั้น เขารู้จักมันดี มันคือ “ตราราชวงศ์ลับ” เป็นตราประจำพระองค์ที่ถูกถอดออกจากรัชทายาทหลงจื้อในวันที่ถูกปลดจากฐานันดร

เหตุใดมันจึงอยู่ที่นี่?

เหตุใดสิ่งสำคัญเช่นนั้น มิได้ถูกส่งคืนไปยังคลังหลวง?

หรือบางที คำว่ากบฏที่สลักไว้ในประวัติศาสตร์ อาจมิได้เป็นความจริง? หรือบางทีนางคือผู้ที่ถูกกลั่นแกล้ง?

มือของเขากำกล่องไม้นั้นแน่น ดวงตาทอแสงเด็ดเดี่ยว เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ความตายของเซี่ยอวี่เป็นเพียงตำนานที่ถูกกลบฝังในหิมะ

เซิ่งอี้เหวินปิดฝากล่องไม้อย่างเงียบงัน มือข้างหนึ่งยังกำจดหมายเก่าแน่น อีกข้างประคองตราราชวงศ์ที่ควรหายไปจากโลกนี้ตั้งแต่สามทศวรรษก่อน

หิมะภายนอกเริ่มโปรยอีกครา เขาก้าวออกจากตำหนักอย่างเงียบงัน คล้ายคนที่เพิ่งได้ฟังเสียงกระซิบจากอดีตชาติ และต้องเร่งค้นหาความจริงก่อนที่มันจะถูกกลบฝังด้วยเกล็ดหิมะรอบใหม่ แต่เขายังไม่ไปไกลนัก เมื่อเสียงฝีเท้าเบาราวแมวเงียบดังขึ้นเบื้องหลัง

“เจ้ากำลังเล่นกับไฟ”

เสียงนั้นมิใช่เสียงของหญิงสาวไร้เงา หากเป็นน้ำเสียงนุ่มลึกปนหยันที่เขาคุ้นเคยดี

เขาหันกลับไป เห็นหลินเซียน ขุนนางกรมพิธีการยืนอยู่ใต้ร่มหิมะ ผ้าคลุมสีอ่อนที่เขาสวมทำให้เขาดูคล้ายเพียงนักปราชญ์สันโดษ แต่สายตาแฝงพิษลึกยิ่งกว่านักรบ

“เจ้าตามข้ามา?” อี้เหวินถาม

“ข้ามิเคยไปไหนไกลจากเงาเจ้าอยู่แล้ว” หลินเซียนกล่าวพร้อมยิ้ม “โดยเฉพาะตอนท่านเริ่มขุดอดีตขึ้นมาหายใจ”

อี้เหวินขมวดคิ้ว “เจ้ารู้อะไร?”

“มากกว่าที่เจ้าคิด...แต่น้อยกว่าที่เจ้าควรรู้”

หลินเซียนก้าวเข้ามาใกล้ สายตาจับจ้องกล่องไม้ในมือเขา

“เจ้าคงเห็นแล้วว่าอะไรอยู่ในนั้น”

“ตราราชวงศ์ลับ กับจดหมายรักของเซี่ยอวี่” อี้เหวินตอบตามตรง

“นั่นคือสาเหตุที่ ‘เงา’ ของนางยังไม่ไปไหน ตรานั้นถูกซ่อนไว้ เพราะมันพิสูจน์ว่าในวันสุดท้ายของรัชทายาทหลงจื้อ เขาไม่ได้คิดกบฏ เขาสละบัลลังก์ด้วยความเต็มใจ เพื่อปกป้องนาง”

อี้เหวินกัดฟันแน่น “แต่วังหลวงกลับตีตราเขาว่าคนทรยศและเรียกนางว่ามารหญิงผู้ก่อศึก”

“เพราะความจริง ไม่เคยสำคัญยิ่งกว่าการรักษาอำนาจ” หลินเซียนกล่าวเยือกเย็น “และในสามสิบปีที่ผ่านมา ตราราชวงศ์ลับนี้จะต้องไม่มีใครพบ”

“แล้วเจ้ารู้ แต่ไม่เคยเปิดโปง?”

“ข้ารู้ แต่ไม่อาจพูดได้” หลินเซียนหรี่ตา

“เจ้ายังอ่อนหัดนักอี้เหวิน ในวังนี้ ความจริงไม่มีเสียง เว้นแต่ผู้มีอำนาจจะยินยอมให้มันเปล่งวาจา”

อี้เหวินเงียบงันอยู่ครู่ ก่อนเอ่ยอย่างหนักแน่น

“ข้าไม่ได้ต้องการเปล่งวาจาให้ใครฟัง ข้าเพียงอยากจำสตรีผู้นั้นให้ครบทุกส่วนของนาง เพื่อให้นางได้หลุดพ้นจากคำสาปนั้นเสียที”

หลินเซียนเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ “เจ้ากำลังจะแลกหัวของตนกับความทรงจำของสตรีที่ตายไปแล้ว”

“นางยังไม่ไปไหน” อี้เหวินกล่าว “ตราบใดที่ข้ายังจำได้ไม่ครบ”

เขาเดินจากไป โดยไม่หันกลับมามอง และในวินาทีนั้นเองที่หลินเซียนกระซิบกับลมเบา ๆ

“เช่นนั้น เจ้าก็จงเตรียมใจรับเงาอีกเงาหนึ่ง ที่ตามเจ้ามาตลอดสามชาติ”

ค่ำวันเดียวกันนั้น ที่หน้ากระจกทองเหลืองในเรือนพักของเซิ่งอี้เหวิน เขาวางตราราชวงศ์ลับไว้บนโต๊ะไม้ สายตาจับจ้องมันราวจะมองทะลุไปถึงเงาของผู้เคยครอบครอง

“ข้าเคยฆ่าเจ้า แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้ความรักของเจ้าถูกกลบด้วยคำลวงอีกต่อไป”

มือของเขาเปิดกล่องอีกครั้ง หยิบจดหมายเก่าขึ้นมาทบทวน เสียงพิณในใจเริ่มดังขึ้นเองอีกครั้ง และในกระจกเบื้องหน้า เขาเห็นแสงเงาราง ๆ ของหญิงสาวในชุดขาว ยืนอยู่ข้างหลังเขาอีกครั้ง แต่ครานี้ รอยยิ้มของนางอ่อนโยนกว่าเดิมเล็กน้อย

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • เงาจันทราเหนือเหมันต์   ตอนพิเศษ 5 (ส่งท้าย) หนึ่งเงา สองหัวใจ

    กลางหุบเขาหลิงเซวียน อันห่างไกลจากเมืองหลวงและค่ายกลอำนาจ มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อว่าหมู่บ้านชิงหลัน ฤดูเหมันต์ที่นี่ยาวนานกว่าที่อื่น หิมะโปรยปรายตลอดสามเดือนเต็ม แต่ก็ใช่ว่าหนาวเหน็บเสมอไปในบางคืนคืนที่แสงจันทร์สาดลงกลางหิมะโลกกลับอบอุ่นอย่างน่าอัศจรรย์ บ้านไม้หลังหนึ่งปลูกอยู่ริมหุบ เสียงไม้กระทบกันเบา ๆ ดังขึ้นจากหน้าบ้าน ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังผ่าฟืน ร่างสูง ใบหน้าคมคายมีเคราบางแต้มเหนือคาง เสื้อคลุมธรรมดาสีเทาอ่อนคลี่ไหวเบา ๆ ไปตามลมเขาชื่อว่า “เหวินอวี๋” ชาวบ้านเรียกเขาว่า “อาหยี่” ไม่มีผู้ใดรู้ชาติกำเนิดที่แน่ชัดของเขา เพียงรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ย้ายมาอยู่เมื่อห้าปีก่อน มักฝันถึงเสียงพิณโบราณที่ไม่เคยมีใครเล่น มักละเมอเรียกชื่อใครคนหนึ่งทุกครั้งที่ดวงจันทร์เต็มดวง และมักนั่งมองต้นเหมยกลางหิมะ ราวกับรอใครสักคนกลับมา“อาหยี่ ข้าวต้มหอมฟุ้งแล้วนะ!”เสียงหญิงชราเจ้าของบ้านพักดังขึ้นจากในครัว เหวินอวี๋ยิ้มบาง ๆ วางขวานลงแล้วเดินเข้าไปในเรือน แววตาของเขาอ่อนโยน ไม่แกร่งกล้าอย่างนักรบ ไม่เด็ดขาดดังแม่ทัพ แต่ลึก ๆ แฝงแววบางอย่างคล้ายเคยผ่านสงครามใหญ่ใจมาหลังรับประทานอาหารเรียบง่า

  • เงาจันทราเหนือเหมันต์   ตอนพิเศษ 4 เงาที่หายไปจากบันทึก

    “เพลงนั้นห้ามเล่น ห้ามร้อง ห้ามแม้แต่คิดถึง”เสียงสั่งห้ามอันเยือกเย็นของเสนาบดีหวังเมื่อสามสิบปีก่อน ยังสะท้อนอยู่ในหอจารึกวังหลวงเพลงที่ไม่มีชื่อ เพลงที่คราวหนึ่ง เคยทำให้ครูดนตรีหลวงคลุ้มคลั่ง เพลงที่ในทุกคืนจันทร์เต็มดวง จะลอยมาเบา ๆ จากตำหนักร้างซึ่งไม่มีใครอาศัยข้ามีนามว่า “ซูหนิงอวี่” เป็นบุตรสาวของเสนาบดีกลาโหมเติบโตในราชสำนัก เห็นเรื่องลึกลับมาก็มาก แต่ไม่เคยมีเรื่องใดสะท้านใจข้าเท่า “เรื่องของสตรีไร้เงา” ผู้นั้นนางไม่มีชื่อในบันทึก ไม่มีภาพวาดในหอประวัติ ไม่มีการกล่าวถึงในการเรียนการสอน แต่ในทุกคืนเหมันต์ เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ในวังมักจะก้มหน้า แล้วพร่ำว่า...“อย่าทำให้จันทร์เห็นเจ้า มิเช่นนั้น เขาอาจร้องไห้อีกครั้ง...”ข้าเคยไม่เชื่อ จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าเข้าไปในตำหนักเหมันต์ ที่เขาว่าถูกปิดตายตั้งแต่ยุคราชวงศ์ก่อนประตูไม้...เปิดเองลานหิน...มีรอยเท้าซ้อนทับต้นเหมย...ปลิวกลีบในวันที่ไม่มีลมแต่สิ่งที่ทำให้ข้าเยือกเย็นถึงกระดูก ก็คือพิณหยกที่วางอยู่หน้าต้นเหมย และจารึกหนึ่ง...“ในหิมะยังมีเสียงนาง ในเงาจันทร์ยังมีนางเคียงข้าง หากข้าจดจำนางไม่ได้ โลกนี้ก็ไม่ควรมีข้าอยู่”ข้า

  • เงาจันทราเหนือเหมันต์   ตอนพิเศษ 3 แสงจันทร์ในภพหน้า

    ในโลกที่แสงจันทร์ยังคงทาบฟ้า แต่ไม่มีต้นเหมย ไม่มีตำหนัก ไม่มีแม้แต่คำว่าอดีต หญิงสาวผู้หนึ่งลืมตาขึ้นกลางแสงสีเงิน ด้วยความรู้สึกที่เหมือนถูกโอบล้อมด้วยสายลมฤดูหนาว“ที่นี่คือที่ใด...”นางพึมพำกับตนเอง เสื้อผ้าที่สวมอยู่ไม่ใช่ชุดในวังหลวง แต่งดงาม เรียบง่าย และเบาสบาย แต่นางกลับจำไม่ได้ว่าตนเองเป็นใคร หญิงสาวเดินผ่านลานหินโล่ง มีเสียงน้ำตกเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกลและต้นเหมยต้นเดียวในที่ราบนี้ยืนเด่นอยู่ใต้แสงจันทร์ นางมองมันด้วยความรู้สึกประหลาด ดอกเหมยผลิบานเต็มต้น หยาดน้ำแข็งเกาะบางเบาบนกลีบ แล้วทันใดนั้นสายลมก็พัดกลิ่นหอมจางมา“เซี่ยอวี่...”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องหลัง นางหันขวับ ชายหนุ่มในชุดเรียบง่ายยืนอยู่ เขาดูอ่อนวัย แต่แววตานั้นลึกนักลึกยิ่งกว่าห้วงกาลเวลา“ข้ารู้จักเจ้าหรือไม่? ข้าควรจะจำเจ้าได้หรือเปล่า...”ชายหนุ่มยิ้มบาง ดวงตาเขาไม่ได้สะท้อนเพียงแสงจันทร์ หากยังมีแววสะเทือนใจที่เหมือนเคยรู้จัก“เจ้าจำข้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพียงเจ้าจำเสียงนี้ได้ข้าก็พอใจแล้ว”เสียงของเขา แม้ไม่กังวาน แต่เมื่อสัมผัสโสตประสาทของนางกลับสะท้านถึงหัวใจ เหมือนเคยฟังมันในยามหิมะตก เหมือนเคยได้ยินมันตอ

  • เงาจันทราเหนือเหมันต์   ตอนพิเศษ 2 คำสารภาพใต้ต้นเหมย

    “ใต้ต้นเหมยที่มิผลิบาน ข้าเฝ้าเรียกชื่อผู้หนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่เสียงตอบกลับมา กลับมีเพียงสายลม”เสียงพิณแผ่วเบาดังอยู่ท่ามกลางหิมะ เซี่ยอวี่นั่งอยู่ลำพังใต้ต้นเหมยหลังตำหนักเหมันต์ ในราตรีที่แสงจันทร์ไร้ซึ่งไออุ่นฤดูหนาวนี้เป็นฤดูที่เท่าใดแล้ว? นางมิอาจนับได้อีก ฤดูหนาวที่แสงจันทร์ทาบผ่านผิวหิมะซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เงาของนาง กลับไม่เคยปรากฏตำหนักเหมันต์เงียบงันมาเนิ่นนาน หลังการล่มสลายของรัชทายาทหลงซื่อ และหญิงสาวที่ถูกตราหน้าว่ากบฏ ตำหนักที่เคยเป็นสถานที่แห่งความรักและเสียงหัวเราะ จึงถูกปิดตายด้วยคำว่า “ต้องห้าม”นางผู้มีนามว่า เซี่ยอวี่ หรือในอดีตก็คือหญิงคนนั้นวิญญาณที่ติดอยู่ ณ ที่แห่งนี้ มิใช่ด้วยความอาฆาต แต่ด้วยความรักที่ไม่เคยถูกเอ่ยออกเต็มถ้อย“อี้เหวิน เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่...”เสียงกระซิบที่แผ่วเบายิ่งกว่าหิมะปลิว เซี่ยอวี่หลับตา แล้ววางมือบนสายพิณหยก เพลงที่นางดีดไม่มีอยู่ในตำรา ไม่มีผู้ใดสอนมันคือเสียงที่ผุดขึ้นจากใจ เวียนกลับซ้ำทุกครายามนางคิดถึงเขาในช่วงแรกที่วิญญาณของนางยังไม่สงบ นางเคยหวังว่าเขาจะมองเห็น นางเคยเฝ้ามองเขา จากตำหนักโน้นสู่อีกตำหนักหนึ่งแต่ปีแล้วปีเล่า

  • เงาจันทราเหนือเหมันต์   ตอนพิเศษ 1 เสียงพิณในชาติภพแรก

    ณ กาลก่อนประวัติศาสตร์ราชวงศ์หลิวซาน คืนจันทร์ดับ ไร้แสงดาว ลมเหนือกรีดเกล็ดหิมะให้กระจายเป็นเส้นเงา ดินแดนที่ขานขานกันว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในใต้หล้า “เขาเทียนหลง” คือจุดเริ่มต้นของคำสาปที่กินกาลเวลาหลายภพชาติที่ลานพิธีบูชากลางเขา หญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่ในชุดขาวล้วน ผ้าคลุมศีรษะปลิวล้อลม มือของนางแตะสายพิณหยกโบราณที่ตั้งอยู่บนแท่นหิน ช้าและนิ่ง แต่เพียงท่วงทำนองแรกดังขึ้น แสงจันทร์ที่ควรดับพลันจุดสว่างขึ้นทั่วขอบฟ้า“เสียงนี้ไม่ควรปรากฏในโลกมนุษย์”เสียงหนึ่งดังมาจากเบื้องหลัง หญิงสาวไม่หันกลับ นางยังคงดีดแม้น้ำตาไหลอาบแก้ม“แต่เสียงนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าเหลือไว้ได้ให้เขา”บุรุษผู้มาเยือนแต่งกายด้วยชุดแม่ทัพดำสลับทอง ผ้าคาดเอวมีตราสลักรูปมังกรฟาดเมฆ แววตาเด็ดเดี่ยวสงบนิ่งเขาคือเซวียนเหยียน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นอวิ๋น ชายผู้ได้รับพระบัญชาให้มาขัดขวางพิธีต้องห้ามในค่ำคืนนี้ เขารู้ดีว่า หญิงเบื้องหน้า คือ “หลานอวี่” เทพธิดาแห่งเสียงพิณ ผู้ถูกเนรเทศจากสวรรค์เพราะหลงรักมนุษย์“เจ้ากำลังละเมิดสวรรค์อีกครั้ง...”เขาเอ่ย แต่เสียงนั้นสั่นไหวจาง ๆ“ข้ารู้...”หลานอวี่วางมือจากสายพิณ เงยหน้าข

  • เงาจันทราเหนือเหมันต์   บทที่ 19 เงาสุดท้ายใต้แสงจันทร์

    หิมะตกต่อเนื่องไม่หยุดเป็นวันที่เจ็ด ตำหนักเหมันต์กลับมาเงียบงันดั่งเดิม ทว่าทั่วทั้งวังหลวงยังคงสะเทือนด้วยเสียงกระซิบแห่งตำนาน“เงาคู่นั้น เจ้าก็เห็นหรือไม่?”“เขาไม่ได้อยู่คนเดียวจริง ๆ”“แม้นางจะไม่มีเงาในอดีต แต่ในวันนั้น ใต้แสงจันทร์ นางก็มีเงาเหมือนเราทุกคน”ข่าวลือแผ่กระจายรวดเร็วราวไฟในทุ่งหญ้าแห้ง เรื่องเงาลึกลับที่ปรากฏ ณ ประตูหงส์ และเสียงพิณที่ไร้ต้นเสียงในคืนวันประหาร กลายเป็นตำนานบทใหม่ของเมืองหลวงแต่สำหรับเขา เรื่องเหล่านั้นไม่ใช่เพียงข่าวลือ เพราะทุกถ้อยทุกคำ ล้วนเป็นความจริงที่เขาได้สัมผัสเซิ่งอี้เหวินยังมีชีวิต หลังเหตุการณ์วันนั้น คำสั่งประหารถูกยกเลิกอย่างไร้คำอธิบาย แต่เขากลับไม่กลับไปยังตำหนัก หากแต่ขอปลีกวิเวก ณ เรือนเล็กริมเนินหิมะ ที่ตั้งอยู่ใกล้สระน้ำแช่แข็งเบื้องหลังวังหลัง ที่นั่นคือสถานที่ที่เซี่ยอวี่เคยร้องเพลง คือสถานที่ที่เขาเคยฟังนางในคืนแรกวันคืนผ่านไป เขาไม่รับราชการอีก ไม่แตะกระบี่ ไม่สวมชุดองครักษ์ มีเพียงพิณที่เขาสร้างด้วยมือ ตั้งอยู่เบื้องหน้าต่างบานเล็กซึ่งหันเข้าสู่แสงจันทร์ และทุกคืนเดือนเพ็ญ เขาจะบรรเลงเพลงเดิมบทเพลงที่ไร้ชื่อ เพื่อใครคนห

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status