ค่ำคืนกลับมาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง แต่ค่ำคืนนี้ต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะเบื้องฟ้า จันทร์เต็มดวง เพราะใต้จันทร์ ดอกเหมยบานทั่วกิ่ง เพราะกลางใจของชายหนึ่งคนตัดสินแล้วว่าจะยอมแลกทุกสิ่ง แม้แต่ความทรงจำที่มีต่อหญิงผู้เป็นดังลมหายใจ
ณ ลานกลางตำหนักเหมันต์ ตำหนักซึ่งเคยร้างมานานสามสิบปี ค่ำคืนนี้กลับมีแสงตะเกียงจุดเรียงรายราวแท่นพิธีเก่า กลีบดอกเหมยร่วงโรยเหมือนหิมะ และตรงกลางลานหิน พิณสายโบราณถูกวางอยู่บนผืนผ้าไหมสีขาว เคียงข้างกับหยกแกะลายพระจันทร์ที่รองรับเงาเลือนของเซี่ยอวี่
พิธีบูชาเงาจันทร์ เป็นพิธีที่ไม่มีในตำราปกติ มีเพียงผู้พิทักษ์จารึกเก่าอย่างหย่งซานเท่านั้น ที่ยังจดจำขั้นตอน
เขาคือผู้ยืนอยู่ด้านข้างอี้เหวิน กล่าวด้วยเสียงเบาอย่างนอบน้อม
“เสียง พิณ เลือด เจ้าของ เงา ผู้เป็นวิญญาณ”
“เมื่อทั้งสามอยู่พร้อมหน้า เมื่อจันทร์เต็มดวง เมื่อเจ้ากล่าวคำบรรณาการด้วยเลือดของตน ข้าจะวิงวอนต่อสวรรค์ ให้เจ้ามีสิทธิ์ทอเส้นด้ายชะตาขึ้นใหม่อีกครั้ง”
อี้เหวินพยักหน้า สายตาเขาแน่วแน่แต่ภายในอกแน่นหนาหนักอึ้ง เพราะเขารู้ว่าผลของพิธีคือการที่เขาจะต้องลืม
เซี่ยอวี่ยืนอยู่เบื้องหน้า ร่างของนางมั่นคงกว่าทุกครา มีเงาชัดเจน มีเสียง มีตัวตน แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับมีหยาดน้ำตา
“เจ้าจำได้แล้วทุกอย่าง”
“เจ้าพาข้ากลับมามีตัวตน แล้วเจ้าจะยอมปล่อยให้ข้าหายไปจากความทรงจำของเจ้าอีกครั้งหรือ?”
อี้เหวินยิ้มบาง มือเขายกขึ้นเช็ดน้ำตาบนแก้มนางแผ่วเบาแม้ปลายนิ้วยังคงผ่านไปอย่างไร้น้ำหนัก แต่นางไม่หายไป
“ความรัก ไม่ต้องอยู่ในความจำเสมอไป” เขากระซิบ
“ข้ารู้ว่า หากวันหนึ่งข้าได้พบเจ้าอีก แม้ไม่มีความทรงจำ ข้าก็จะตกหลุมรักเจ้าใหม่อีกครั้ง”
นางหลุบตาลง “แต่ข้าจะยังจำเจ้าอยู่...”
“เจ้าต้องจำ เพื่อข้า เพื่อเราที่เคยรักกันอย่างไม่สมบูรณ์”
อี้เหวินก้าวไปยังพิณโบราณ หยิบปลายสายด้วยมือเปลือยแล้วบรรเลงเพียงทำนองเดียว เพลงที่นางเคยดีดในคืนแรกที่เขาได้ยินใต้ต้นเหมย
เสียงนั้นลอยขึ้นฟ้า เงาของเซี่ยอวี่สั่นระริก ลมพัดวูบกลีบเหมยหมุนวนรอบร่างของนาง และจันทร์เต็มดวงบนฟ้าสาดแสงลงตรงกลางลานพอดิบพอดี
หย่งซานเริ่มกล่าวถ้อยคำเก่าแก่
“โอ้สวรรค์เบื้องบน ข้ากล่าวคำในนามมนุษย์ผู้ไม่ยอมยอมจำนนต่อชะตา เสียงพิณนี้คือบทเพลงแห่งความจริง เลือดหยดนี้คือหัวใจที่ยอมแลกทุกสิ่ง เงานี้คือการขอชีวิตใหม่แก่ผู้ถูกพรากไปโดยมิชอบ”
อี้เหวินค่อย ๆ ยื่นมีดสั้นเล่มหนึ่ง บาดปลายนิ้วตนเองอย่างสงบ แล้วหยดเลือดลงบนหยกพระจันทร์ที่รองรับเงาของเซี่ยอวี่
ทันใดนั้น เงาของนางก็เรืองแสง เสียงพิณดังขึ้นเองแม้ไม่มีมือใดดีดมัน เซี่ยอวี่เบิกตากว้าง ร่างของนางค่อย ๆ แน่นขึ้น เท้าเริ่มแตะพื้นจริง ผมปลิวไหวตามลมแท้ ไม่ใช่เงา เงาทอดใต้แสงจันทร์ชัดยิ่ง และเสียงลมหายใจแรกดังขึ้นจากอกนาง
นางหายใจได้...
อี้เหวินทรุดลง มือที่เปื้อนเลือดเริ่มเย็น สายตาของเขาพร่าเลือน เสียงในหัวเริ่มเงียบ เซี่ยอวี่พุ่งเข้าประคองเขาทันที
“อี้เหวิน! เจ้าอย่าหลับนะ!”
เขาฝืนยิ้ม เสียงแผ่วเหมือนสายลมปลายเหมันต์
“หากวันหน้าข้าลืมเจ้า เจ้าจงมาหาข้าใต้ต้นเหมย ในคืนพระจันทร์เต็มดวง แล้วข้าจะจำเจ้าได้ แม้ไม่รู้ว่าเคยรู้จัก”
แสงจันทร์ส่องวาบ กลีบเหมยโปรยทั่วฟ้า เสียงพิณสายสุดท้ายดีดขึ้นโดยไม่มีผู้ใดแตะต้อง และเขาก็หมดสติลงในอ้อมแขนนาง...
กลางหุบเขาหลิงเซวียน อันห่างไกลจากเมืองหลวงและค่ายกลอำนาจ มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อว่าหมู่บ้านชิงหลัน ฤดูเหมันต์ที่นี่ยาวนานกว่าที่อื่น หิมะโปรยปรายตลอดสามเดือนเต็ม แต่ก็ใช่ว่าหนาวเหน็บเสมอไปในบางคืนคืนที่แสงจันทร์สาดลงกลางหิมะโลกกลับอบอุ่นอย่างน่าอัศจรรย์ บ้านไม้หลังหนึ่งปลูกอยู่ริมหุบ เสียงไม้กระทบกันเบา ๆ ดังขึ้นจากหน้าบ้าน ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังผ่าฟืน ร่างสูง ใบหน้าคมคายมีเคราบางแต้มเหนือคาง เสื้อคลุมธรรมดาสีเทาอ่อนคลี่ไหวเบา ๆ ไปตามลมเขาชื่อว่า “เหวินอวี๋” ชาวบ้านเรียกเขาว่า “อาหยี่” ไม่มีผู้ใดรู้ชาติกำเนิดที่แน่ชัดของเขา เพียงรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ย้ายมาอยู่เมื่อห้าปีก่อน มักฝันถึงเสียงพิณโบราณที่ไม่เคยมีใครเล่น มักละเมอเรียกชื่อใครคนหนึ่งทุกครั้งที่ดวงจันทร์เต็มดวง และมักนั่งมองต้นเหมยกลางหิมะ ราวกับรอใครสักคนกลับมา“อาหยี่ ข้าวต้มหอมฟุ้งแล้วนะ!”เสียงหญิงชราเจ้าของบ้านพักดังขึ้นจากในครัว เหวินอวี๋ยิ้มบาง ๆ วางขวานลงแล้วเดินเข้าไปในเรือน แววตาของเขาอ่อนโยน ไม่แกร่งกล้าอย่างนักรบ ไม่เด็ดขาดดังแม่ทัพ แต่ลึก ๆ แฝงแววบางอย่างคล้ายเคยผ่านสงครามใหญ่ใจมาหลังรับประทานอาหารเรียบง่า
“เพลงนั้นห้ามเล่น ห้ามร้อง ห้ามแม้แต่คิดถึง”เสียงสั่งห้ามอันเยือกเย็นของเสนาบดีหวังเมื่อสามสิบปีก่อน ยังสะท้อนอยู่ในหอจารึกวังหลวงเพลงที่ไม่มีชื่อ เพลงที่คราวหนึ่ง เคยทำให้ครูดนตรีหลวงคลุ้มคลั่ง เพลงที่ในทุกคืนจันทร์เต็มดวง จะลอยมาเบา ๆ จากตำหนักร้างซึ่งไม่มีใครอาศัยข้ามีนามว่า “ซูหนิงอวี่” เป็นบุตรสาวของเสนาบดีกลาโหมเติบโตในราชสำนัก เห็นเรื่องลึกลับมาก็มาก แต่ไม่เคยมีเรื่องใดสะท้านใจข้าเท่า “เรื่องของสตรีไร้เงา” ผู้นั้นนางไม่มีชื่อในบันทึก ไม่มีภาพวาดในหอประวัติ ไม่มีการกล่าวถึงในการเรียนการสอน แต่ในทุกคืนเหมันต์ เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ในวังมักจะก้มหน้า แล้วพร่ำว่า...“อย่าทำให้จันทร์เห็นเจ้า มิเช่นนั้น เขาอาจร้องไห้อีกครั้ง...”ข้าเคยไม่เชื่อ จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าเข้าไปในตำหนักเหมันต์ ที่เขาว่าถูกปิดตายตั้งแต่ยุคราชวงศ์ก่อนประตูไม้...เปิดเองลานหิน...มีรอยเท้าซ้อนทับต้นเหมย...ปลิวกลีบในวันที่ไม่มีลมแต่สิ่งที่ทำให้ข้าเยือกเย็นถึงกระดูก ก็คือพิณหยกที่วางอยู่หน้าต้นเหมย และจารึกหนึ่ง...“ในหิมะยังมีเสียงนาง ในเงาจันทร์ยังมีนางเคียงข้าง หากข้าจดจำนางไม่ได้ โลกนี้ก็ไม่ควรมีข้าอยู่”ข้า
ในโลกที่แสงจันทร์ยังคงทาบฟ้า แต่ไม่มีต้นเหมย ไม่มีตำหนัก ไม่มีแม้แต่คำว่าอดีต หญิงสาวผู้หนึ่งลืมตาขึ้นกลางแสงสีเงิน ด้วยความรู้สึกที่เหมือนถูกโอบล้อมด้วยสายลมฤดูหนาว“ที่นี่คือที่ใด...”นางพึมพำกับตนเอง เสื้อผ้าที่สวมอยู่ไม่ใช่ชุดในวังหลวง แต่งดงาม เรียบง่าย และเบาสบาย แต่นางกลับจำไม่ได้ว่าตนเองเป็นใคร หญิงสาวเดินผ่านลานหินโล่ง มีเสียงน้ำตกเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกลและต้นเหมยต้นเดียวในที่ราบนี้ยืนเด่นอยู่ใต้แสงจันทร์ นางมองมันด้วยความรู้สึกประหลาด ดอกเหมยผลิบานเต็มต้น หยาดน้ำแข็งเกาะบางเบาบนกลีบ แล้วทันใดนั้นสายลมก็พัดกลิ่นหอมจางมา“เซี่ยอวี่...”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องหลัง นางหันขวับ ชายหนุ่มในชุดเรียบง่ายยืนอยู่ เขาดูอ่อนวัย แต่แววตานั้นลึกนักลึกยิ่งกว่าห้วงกาลเวลา“ข้ารู้จักเจ้าหรือไม่? ข้าควรจะจำเจ้าได้หรือเปล่า...”ชายหนุ่มยิ้มบาง ดวงตาเขาไม่ได้สะท้อนเพียงแสงจันทร์ หากยังมีแววสะเทือนใจที่เหมือนเคยรู้จัก“เจ้าจำข้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพียงเจ้าจำเสียงนี้ได้ข้าก็พอใจแล้ว”เสียงของเขา แม้ไม่กังวาน แต่เมื่อสัมผัสโสตประสาทของนางกลับสะท้านถึงหัวใจ เหมือนเคยฟังมันในยามหิมะตก เหมือนเคยได้ยินมันตอ
“ใต้ต้นเหมยที่มิผลิบาน ข้าเฝ้าเรียกชื่อผู้หนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่เสียงตอบกลับมา กลับมีเพียงสายลม”เสียงพิณแผ่วเบาดังอยู่ท่ามกลางหิมะ เซี่ยอวี่นั่งอยู่ลำพังใต้ต้นเหมยหลังตำหนักเหมันต์ ในราตรีที่แสงจันทร์ไร้ซึ่งไออุ่นฤดูหนาวนี้เป็นฤดูที่เท่าใดแล้ว? นางมิอาจนับได้อีก ฤดูหนาวที่แสงจันทร์ทาบผ่านผิวหิมะซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เงาของนาง กลับไม่เคยปรากฏตำหนักเหมันต์เงียบงันมาเนิ่นนาน หลังการล่มสลายของรัชทายาทหลงซื่อ และหญิงสาวที่ถูกตราหน้าว่ากบฏ ตำหนักที่เคยเป็นสถานที่แห่งความรักและเสียงหัวเราะ จึงถูกปิดตายด้วยคำว่า “ต้องห้าม”นางผู้มีนามว่า เซี่ยอวี่ หรือในอดีตก็คือหญิงคนนั้นวิญญาณที่ติดอยู่ ณ ที่แห่งนี้ มิใช่ด้วยความอาฆาต แต่ด้วยความรักที่ไม่เคยถูกเอ่ยออกเต็มถ้อย“อี้เหวิน เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่...”เสียงกระซิบที่แผ่วเบายิ่งกว่าหิมะปลิว เซี่ยอวี่หลับตา แล้ววางมือบนสายพิณหยก เพลงที่นางดีดไม่มีอยู่ในตำรา ไม่มีผู้ใดสอนมันคือเสียงที่ผุดขึ้นจากใจ เวียนกลับซ้ำทุกครายามนางคิดถึงเขาในช่วงแรกที่วิญญาณของนางยังไม่สงบ นางเคยหวังว่าเขาจะมองเห็น นางเคยเฝ้ามองเขา จากตำหนักโน้นสู่อีกตำหนักหนึ่งแต่ปีแล้วปีเล่า
ณ กาลก่อนประวัติศาสตร์ราชวงศ์หลิวซาน คืนจันทร์ดับ ไร้แสงดาว ลมเหนือกรีดเกล็ดหิมะให้กระจายเป็นเส้นเงา ดินแดนที่ขานขานกันว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในใต้หล้า “เขาเทียนหลง” คือจุดเริ่มต้นของคำสาปที่กินกาลเวลาหลายภพชาติที่ลานพิธีบูชากลางเขา หญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่ในชุดขาวล้วน ผ้าคลุมศีรษะปลิวล้อลม มือของนางแตะสายพิณหยกโบราณที่ตั้งอยู่บนแท่นหิน ช้าและนิ่ง แต่เพียงท่วงทำนองแรกดังขึ้น แสงจันทร์ที่ควรดับพลันจุดสว่างขึ้นทั่วขอบฟ้า“เสียงนี้ไม่ควรปรากฏในโลกมนุษย์”เสียงหนึ่งดังมาจากเบื้องหลัง หญิงสาวไม่หันกลับ นางยังคงดีดแม้น้ำตาไหลอาบแก้ม“แต่เสียงนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าเหลือไว้ได้ให้เขา”บุรุษผู้มาเยือนแต่งกายด้วยชุดแม่ทัพดำสลับทอง ผ้าคาดเอวมีตราสลักรูปมังกรฟาดเมฆ แววตาเด็ดเดี่ยวสงบนิ่งเขาคือเซวียนเหยียน แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นอวิ๋น ชายผู้ได้รับพระบัญชาให้มาขัดขวางพิธีต้องห้ามในค่ำคืนนี้ เขารู้ดีว่า หญิงเบื้องหน้า คือ “หลานอวี่” เทพธิดาแห่งเสียงพิณ ผู้ถูกเนรเทศจากสวรรค์เพราะหลงรักมนุษย์“เจ้ากำลังละเมิดสวรรค์อีกครั้ง...”เขาเอ่ย แต่เสียงนั้นสั่นไหวจาง ๆ“ข้ารู้...”หลานอวี่วางมือจากสายพิณ เงยหน้าข
หิมะตกต่อเนื่องไม่หยุดเป็นวันที่เจ็ด ตำหนักเหมันต์กลับมาเงียบงันดั่งเดิม ทว่าทั่วทั้งวังหลวงยังคงสะเทือนด้วยเสียงกระซิบแห่งตำนาน“เงาคู่นั้น เจ้าก็เห็นหรือไม่?”“เขาไม่ได้อยู่คนเดียวจริง ๆ”“แม้นางจะไม่มีเงาในอดีต แต่ในวันนั้น ใต้แสงจันทร์ นางก็มีเงาเหมือนเราทุกคน”ข่าวลือแผ่กระจายรวดเร็วราวไฟในทุ่งหญ้าแห้ง เรื่องเงาลึกลับที่ปรากฏ ณ ประตูหงส์ และเสียงพิณที่ไร้ต้นเสียงในคืนวันประหาร กลายเป็นตำนานบทใหม่ของเมืองหลวงแต่สำหรับเขา เรื่องเหล่านั้นไม่ใช่เพียงข่าวลือ เพราะทุกถ้อยทุกคำ ล้วนเป็นความจริงที่เขาได้สัมผัสเซิ่งอี้เหวินยังมีชีวิต หลังเหตุการณ์วันนั้น คำสั่งประหารถูกยกเลิกอย่างไร้คำอธิบาย แต่เขากลับไม่กลับไปยังตำหนัก หากแต่ขอปลีกวิเวก ณ เรือนเล็กริมเนินหิมะ ที่ตั้งอยู่ใกล้สระน้ำแช่แข็งเบื้องหลังวังหลัง ที่นั่นคือสถานที่ที่เซี่ยอวี่เคยร้องเพลง คือสถานที่ที่เขาเคยฟังนางในคืนแรกวันคืนผ่านไป เขาไม่รับราชการอีก ไม่แตะกระบี่ ไม่สวมชุดองครักษ์ มีเพียงพิณที่เขาสร้างด้วยมือ ตั้งอยู่เบื้องหน้าต่างบานเล็กซึ่งหันเข้าสู่แสงจันทร์ และทุกคืนเดือนเพ็ญ เขาจะบรรเลงเพลงเดิมบทเพลงที่ไร้ชื่อ เพื่อใครคนห