หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้า หลี่จื่อเหยาแม้อ่อนล้าก็ค่อยๆ เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้มู่หรงอี้หวายฟัง นัยน์ตาที่เคยสุกสกาวกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและกังขา อยากจะรู้ว่าสำหรับสามีแล้วที่แท้นางเป็นเพียงเครื่องมือ หรือสตรีที่เขารักอย่างจริงใจกันแน่มู่หรงอี้หวายไม่ใช่ไม่รู้ว่าตอนนี้นางกำลังสับสนวุ่นวายจิตใจเพียงใด แต่สภาพร่างกายของนางย่ำแย่อยู่ จึงยังไม่ได้อธิบายอะไร เพียงกุมมือของนางเอาไว้ แล้วเอ่ยคำสัญญาว่า เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยตนจะเล่าทุกอย่างให้ฟังอย่างแน่นอนสีหน้าและแววตามั่งคงไม่สั่นคลอนของเขา ทำให้จิตใจที่บีบรัดของหลี่จื่อเหยาพลันคลายลง นางจึงพยักหน้าเป็นอันตกลงว่าจะรอสามีกลับมาคลี่ปมที่เย่เทียนหยางผูกเอาไว้ในภายหลังทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก ภายในห้องพลันเงียบสงบ หลี่จื่อเหยาที่ไม่อาจฝืนทนกับความเหนื่อยอ่อน นางค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง มู่หรงอี้หวายเฝ้ารออยู่ข้างๆ จนกระทั่งท่านหมอเจียงฟู่มาถึง จึงค่อยปล่อยมือนางแล้วเดินออกไปจากห้องนอน พอได้รับรู้เรื่องทุกอย่าง มู่หรงอี้หวายสงสารและเห็นใจภรรยาเป็นกำลัง อีกทั้งยังรู้สึกหวานล้ำในอก หลี่จื่อเหยารักมั่นจริงใจ ไม่หวั่นไหวแม้ถูกยั่วยุปลุกปั
“พี่นางฟ้าอย่าร้องไห้ ท่านอาหญิงของข้าไม่เป็นไรแล้ว” หลี่หลางพูดอย่างไรเดียงสา นึกว่าเหม่ยเหมยยังสะเทือนใจไม่หาย “ดูสิ ข้าก็หยุดร้องแล้ว”“บะ...บ่าวขอตัวเจ้าค่ะ” เหม่ยเหมยรู้สึกอับอายจึงหันหลัง แล้ววิ่งออกไปทันทีหลี่เค่อมองตามแผ่นหลังที่ค่อยๆ ไกลห่างออกไปพลางหันรีหันขวาง พอเห็นบ่าวชายผู้หนึ่งกำลังยกของผ่านทางเดินมา เขาก็รีบบุตรชายเดินตรงไปขวางไว้“พอดีข้าลืมของ ต้องออกไปเอาที่รถม้า เจ้าช่วยไปส่งบุตรชายข้าที่เรือนคุณชายมู่หรงที” น้ำเสียงเข้มทรงพลัง สมเป็นนายท่านของตระกูล บ่าวชายผู้นั้นได้ยินก็ตอบรับแล้วพาหลี่หลางเดินจากไป หัวใจเต้นราวมีทหารมารัวกลองรบ หลี่เค่อรีบวิ่งตามเหม่ยเหมยไปทันที ไม่นานก็มาถึงบริเวณหินภูเขาจำลอง ร่างสูงโปร่งเคลื่อนไปตามทางอันคดเคี้ยว สักพักเสียงร้องไห้เบาๆ ก็ดังแว่วมา เขาแน่ใจว่าเป็นนางเลยเร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิด พอมาถึงบริเวณที่มีพุ่มไม้ตกแต่งสูงเท่าเอวจึงแหวกกิ่งก้านออกไป เพยให้เห็นแผ่นหลังของสตรีที่สวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ที่กำลังสะอื้นฮักจนตัวโยนหลี่เค่อไม่สนสิ่งใดพุ่งเข้าไปหลังพุ่มไม้ เหม่ยเหมยได้ยินเสียงก็ตกใจหันมา ใบหน้าที่เคยสดใสงดงามกลับมัวหมอง ดวงแก้วสีน้ำต
ร่างเปียกปอนขาวซีดไร้การตอบสนองใดๆ มู่หรงอี้หวายไม่ยอมถอดใจ เขาเคยพานางกลับมาแล้ว ครั้งนั้นยังไม่ตั้งใจช่วยเท่าครั้งนี้ เช่นนั้นในเมื่อเขาทุ่มสุดตัว มัจจุราชก็ห้ามพรากนางไป“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย เจ้าก็ห้ามตาย ได้ยินไหมเหยาเอ๋อร์ เรายังไม่ได้ไปเที่ยวกันเลยนะ ข้าจะพาเจ้าไปเมืองเวิ่นเซียน ไปแช่น้ำร้อนให้ผิวสวยยังไงล่ะ สามีใจดีขนาดนี้ดังนั้นเจ้าห้ามจากข้าไป”สิ้นคำมู่หรงอี้หวายก็ถ่ายทอดลมหายใจให้อีกครั้ง ใบหน้าของนางยังซูบซีดไร้สีเลือด ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด หัวใจของเขาก็ยิ่งบีบรัด เจ็บปวดรวดร้าวจนแทบจะขาดใจ แต่ก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ แล้วพยายามรั้งสตรีอันเป็นที่รักมาจากหน้าประตูผีครั้งแล้วครั้งเล่ามู่หรงอี้หวายย่อมรู้ว่าการช่วยคนหมดลมหายใจไปแล้วนั้นเวลาเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งนานโอกาสก็ยิ่งริบรี่ แต่เขาไม่อาจยอมแพ้ เมื่อถึงตรงนี้คนที่ยืนดูเหตุการณ์ต่างสะเทือนใจไปตามๆ กัน แต่ก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพียงแค่เฝ้ามองบุรุษที่กำลังหัวใจสลายใช้ความพยายามเหนี่ยวรั้งวิญญาณของภรรยาด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ“อย่าดื้อกับข้านะหลี่จื่อเหยา ถ้า...ถ้าเจ้าไม่เชื่อฟังข้า แล้วจากไปคนเดียวล่ะก็ ข้า...ข้า...จะตามไปตำหน
หลี่จื่อเหยาพยายามดึงมือของตนเองกลับ “คุณชายเย่ปล่อยข้านะ”เย่เทียนหลางหันกลับมา เห็นหลี่จื่อเหยาพยายามดิ้นรนก็หงุดหงิดในหัวใจ‘น่ารำคาญทั้งพี่ทั้งน้อง’ วันนี้แม้เรื่องส่วนใหญ่จะเป็นใจ แต่ผิดคาดตรงที่หลี่เค่อยอมไปเจรจากับมู่หรงอี้หวายง่ายๆ ตอนแรกเย่เทียนหลางคิดว่าพวกเขาจะสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งเสียอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็มีแต่ต้องทำให้หลี่จื่อเหยากลายเป็นดอกชิ่งนอกกำแพงให้เร็วที่สุดเท่านั้น“ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจ แต่ไปกับข้าเถิด รับรองว่าข้าจะทำให้เจ้ามีความสุข ไม่ปล่อยให้นอนเดียวดาย หรือทำเจ้าเสียใจเหมือนอี้หวาย”เย่เทียนหลางยอมรับว่าหลี่จื่อเหยาเป็นสตรีใจแข็งมากกว่าที่ตนเองคิดเอาไว้มาก แต่ก็พยายามป้อนคำหวานล่อลวง เพราะโอกาสเหลือน้อยลงทุกทีหลี่จื่อเหยาสะบัดมืออย่างแรง แต่ก็ไร้ผล ฝ่ามือของเย่เทียนหลางรั้งตนเองไว้ราวกับคีมเหล็ก นางจึงไม่คิดรักษาน้ำใจอีกฝ่ายอีกต่อไป“คุณชายเย่ ข้าพูดถึงขนาดนั้นท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ”“เหยาเหยา ข้ารู้ว่าเจ้าพยายามทำตัวเป็นสตรีที่ดี แต่ยอมรับมาเถิด ว่าความจริงแล้วเจ้าก็ชอบข้า”หลี่จื่อเหยาจ้องหน้าเย่เทียนหลาง แล้วเอ่ยเน้นทีละคำอย่างชัดเจน “ข้า-ไม่-เคย-
“เหยาเหยา เจ้าคิดว่าคุณชายมู่หรงคือพ่อพระหรือไร รู้หรือไม่ เส้นทางของการอยู่ในแวดวงทางการค้า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก นับเป็นเรื่องสามัญ และการที่จะขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุดนั้น ตระกูลมู่หรงต้องทำร้ายคนมากมายนับไม่ถ้วน นับประสาอะไรกับสตรีตัวเล็กๆ อย่างเจ้า คนที่เขาไม่ได้รักจริงเล่า”คำพูดตอกย้ำแม้จะแผ่วเบา แต่ก็พุ่งตรงเข้าถึงกลางใจเย่เทียนหลางย่อมรู้วิธีสั่นคลอนจิตใจผู้คน เมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดระแวงย่อมแตกหน่อผลิบานเป็นดอกไม้พิษได้ไม่ยาก เขาเชื่อเหลือเกินว่า เมื่อหลี่จื่อเหยาทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดจะต้องปักใจเชื่อตนเองอย่างแน่นอนแม้ใบหน้าจะเคลือบแฝงความห่วงใย แต่ในใจของเย่เทียนหลางกำลังหัวเราะเยาะหยัน ในที่สุดเขาก็ค้นพบรอยด่างของคุณชายผู้เพียบพร้อมอย่างมู่หรงอี้หวายตลอดชีวิตที่ผ่านมาตนเองต้องยอมเป็นหมอนรองบ่อน ทำตัวเป็นสหายที่ดี บ้างครั้งก็ต้องเสียเปรียบทั้งที่ใจไม่ยินยอม หลายต่อหลายครั้ง เขาต้องทนมองสิ่งที่ตนเองเฝ้าปรารถนาไปอยู่ในมือของอีกฝ่าย แต่ยังไม่เจ็บใจเท่ากับการที่ต้องฝืนรับสิ่งที่มู่หรงอี้หวายหามาทดแทน ประหนึ่งว่านั่นเป็นความเมตตาอันล้นพ้นคราวนี้แหละ เขาจะต้องพรากหลี่จื่อเหยามาจากมู่
พอเล่ามาถึงตรงนี้ เย่เทียนหลางก็นิ่งงั้นไปครู่หนึ่ง เขาตัดสินใจเล่าเพียงเรื่องผิดพลาดในวัยเยาว์ของมู่หรงอี้หวาย แต่ข้ามวีรกรรมของตนเอง เพราะกลัวหลี่จื่อเหยาจะเกลียดที่เขาใช้แผนสกปรกแย่งชิงนางหลี่จื่อเหยาไม่ได้นำพา หากมู่หรงอี้หวายจะเคยหลงรักใครสักคน ยิ่งคนผู้นั้นได้ตายไปแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลให้นางกังวลใจ จึงกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากพี่สะใภ้คือรักแรกของพี่อี้หวายจริงๆ ข้าก็ยังไม่เห็นว่าเขาทำผิดเรื่องใด อีกอย่าง ท่านเข้าใจผิดแล้วล่ะ เพราะพี่อี้หวายไม่เคยแตะต้องเหม่ยเหมยเลยแม้แต่ปลายก้อย”เย่เทียนหลางสะอึก เขาเองก็เคยพิสูจน์แล้วว่าเหม่ยเหมยไร้เดียงสา ทว่าเขาจงใจให้หลี่จื่อเหยาเข้าใจผิด แต่เมื่อไม่เป็นผลก็ยังมีเรื่องอีกมากที่พอจะทำให้จิตใจของนางสั่นคลอน“หากเล่ามาถึงตรงนี้ ทุกอย่างดูจะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ทว่าอี้หวายนั้นเป็นบุรุษเจ้าคิดเจ้าแค้นยิ่งนัก หากได้ลองเกลียดผู้ใดแล้ว เขาจะค่อยๆ ทำให้อีกฝ่ายย่อยยับอับจน”“คุณชายเย่ ท่านต้องการจะพูดอะไรกันแน่”“เจ้าอดทนอีกสักนิด รอข้าเล่าเรื่องทั้งหมดจบก่อน แล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ”หลี่จื่อเหยาเดินไปนั่งลงบนเก้าอี