ระหว่างที่มู่หรงอี้หวายกำลังจุมพิตหลี่จื่อเหยาอย่างดูดดื่มอยู่นั้น หลี่เค่อที่ตามหาน้องสาวอยู่ก็ผ่านมาพบคนทั้งคู่เข้าพอดี
ไฟโทสะของผู้นำสกุลหลี่พวยพุ่ง นัยน์ตาแดงก่ำ มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น แทบอยากจะถลาเข้าไป ฆ่าบุรุษที่กำลังลิ้มชิมผลไม้สุกที่เขาลงทุนลงแรงอย่างยากเย็นเสียให้ตายคามือ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าเป็นผู้ใด ปล่อยน้องสาวของข้าเดี๋ยวนี้”
พอถูกขัดจังหวะ มู่หรงอี้หวายถอนริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง พลางสบนัยน์ตาดุจกวางน้อยที่กำลังสั่นระริก เขาไม่ลืมที่จะส่งยิ้มอันแสนอบอุ่นให้หลี่จื่อเหยา ก่อนจะคลายอ้อมกอดอย่างเชื่องช้า โดยไม่สนใจบุรุษที่กำลังเดือดดาลอยู่ด้านหลังสักนิด
การกระทำอันแสนท้าทายทำให้หลี่เค่อโมโหยิ่งขึ้น เขาขบกรามแน่นจนเส้นเลือดตรงขมับปูดโปน
“เจ้ากล้าลวนลามน้องสาวของข้าในเขตบ้านสกุลหลี่ นี่มันหยามกันชัดๆ”
มู่หรงอี้หวายปรับสีหน้าเป็นคุณชายผู้สุขุมนุ่มลึกอีกครั้ง เขาหันไปเผชิญหน้ากับประมุขสกุลหลี่อย่างใจเย็น
“นายท่านหลี่ได้โปรดลดโทสะลงก่อน ข้าต้องขออภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น”
“หึ! แค่ขอโทษคำเดียวจะให้แล้วกันไปหรือ คิดง่ายไปหน่อยกระมัง”
“เป็นความผิดของข้าที่ไม่รู้จักควบคุมตนเองให้ดี และเพื่อไม่ให้คุณหนูหลี่ถูกครหา ข้ายินดีรับผิดชอบทุกอย่าง”
“บัดซบ! น้องสาวของข้าบริสุทธิ์ผุดผ่อง เจ้าเพียงฉวยโอกาส คิดเด็ดดอกฟ้า จึงกระทำการเยี่ยงนี้ แล้วจะให้ข้าวางใจยกนางให้เจ้าได้หรือ ช่างน่าขันเสียจริง” หลี่เค่อยิ้มเย้ยหยัน จ้องมองอีกฝ่ายอย่างดูแคลน ถึงแม้เสื้อผ้าจะเป็นของชั้นดี แต่ประเมินจากรูปร่างหน้าตาคาดว่าคงยังอายุน้อยท่าทางคงจะเป็นพวกเศรษฐีใหม่ หรือไม่ก็พ่อค้าไร้ชื่อเสียง ซึ่งเขาไม่ต้องการจะเกี่ยวดองด้วย
ถึงมู่หรงอี้หวายจะถูกผู้นำตระกูลหลี่ประเมินด้วยสายตาอันไม่เป็นมิตร ทว่าใบหน้าคมยังคงเรียบสนิทดุจพื้นน้ำอันนิ่งสงบในสระใหญ่ ไม่มีอาการตกประหม่าแม้แต่น้อย
“เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ทำนายท่านหลี่ขุ่นเคือง นอกจากเงินสินสอดแล้ว หากท่านประสงค์สิ่งใดขอเพียงเอ่ยออกมา รับรองว่าข้าจะจัดหาให้ทั้งหมด โดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่สิ่งเดียว” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มเป็นจังหวะ ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรปรากฏรอยยิ้มอันน่าดึงดูดใจ เขาเสนอผลประโยชน์ เพื่อให้อีกฝ่ายพอใจ หากนี่เป็นการต่อรองซื้อขาย ชายผู้นี้ก็นับเป็นมืออาชีพ
ความใจเย็นและท่าทีสุภาพดูเป็นมิตรทำให้ให้หลี่เค่อลดโทสะลงเล็กน้อย เมื่อเขาลองพิจารณารูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายอย่างละเอียดอีกครั้งก็รู้สึกคุ้นอยู่บ้าง แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยพบอีกฝ่ายที่ใด
“เราเคยพบกันมาก่อนหรือไม่” หลี่เค่อถามออกไปเพราะยังกังขา
“เคย เพียงแต่ข้าในยามนั้นไม่ได้มีความสำคัญอันใดในสายตาท่าน หากจะลืมเลือนย่อมไม่แปลก”
“หึ! งั้นข้าก็คงเดาไม่ผิด เจ้าก็เป็นเพียงเศรษฐีใหม่ที่หมายจะตกถังข้าวสาร เพื่อยกฐานะตระกูลตัวเองสินะ”
มู่หรงอี้หวายส่งยิ้มประหลาดไปยังหลี่เค่อ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียง ที่เข้มขึ้น “ข้าไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น นายท่านหลี่ระวังคำพูดด้วย”
เมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนท่าทีเลิกแสดงความนอบน้อม หลี่เค่อก็พร้อมจะสร้าง กำแพงขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เพราะสำหรับเขาอีกฝ่ายก็แค่เด็กเมื่อวานซืนเท่านั้น
“ช่างอวดดี เจ้าใหญ่โตมาจากที่ใดกัน”
“นามของข้าคือมู่หรงอี้หวาย คงใหญ่พอกระมัง” ชายหนุ่มจดจ้องผู้นำตระกูลหลี่เขม็ง
“อะไรนะ มะ...มู่หรง คุณชายมู่หรงหรือ”
มู่หรงอี้หวายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นัยน์ตาสีนิลเปล่งประกายคมกริบ ประหนึ่งจะตำหนิหลี่เค่อว่ามีตาหามีแววไม่ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายทำท่าทางตกอกตกใจ บุตรชายคหบดีใหญ่ก็อยากจะหัวเราะให้ดังสนั่น แต่ก็เก็บความต้องการนั้นเอาไว้ภายใต้ใบหน้าของคุณชายผู้เพียบพร้อม เขาเปลี่ยนท่าทีนอบน้อมกลับไปเป็นบุรุษที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ สง่าราศีของทายาทตระกูลใหญ่ฉายชัดในทันที
“สามเดือนก่อนข้าช่วยชีวิตคุณหนูหลี่เอาไว้ แต่มีเหตุต้องจากไปโดยไม่บอกกล่าว เมื่อได้รับเทียบเชิญให้มาร่วมงานวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าจึงถือโอกาสมาพบนางอีกครั้งหนึ่ง
บอกตามตรงว่าข้าพึงใจน้องสาวของท่าน เมื่อครู่จึงเผลอไผล ไม่ควบคุมตนเองจนล่วงเกินนางเข้า แต่ในเมื่อข้าต้องการแสดงความรับผิดชอบ เหตุใดท่านต้องทำให้ยุ่งยากด้วยเล่า หรือตระกูลมู่หรงนั้นต่ำต้อยเกินไป ตระกูลหลี่จึงดูถูกดูแคลน”
“มิได้ๆ หากคุณชายมู่หรงถูกใจเหยาเหยาก็นับเป็นวาสนาของนางแล้ว” หลี่เค่อเปลี่ยนท่าที รีบเอ่ยประจบประแจง
“หรือหูข้าจะมีปัญหา เมื่อครู่ท่านบอกว่าข้ามู่หรงอี้หวายไม่คู่ควรกับนาง ซ้ำยังกล่าวหาว่าทายาทคหบดีเช่นข้าหมายจะกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารอีกด้วย”
“คุณชายมู่หรงได้โปรดอย่าถือสา โทสะบังตาทำให้ข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ”
มู่หรงอี้หวายกระตุกมุมปาก “ท่านคงมีโทสะ เพราะรักน้องสาวมากสินะ ความจริงข้าเองก็เป็นคนใจกว้าง เช่นนั้นจะไม่บอกกับท่านพ่อก็แล้วกันว่า นายท่านหลี่รังเกียจทายาทตระกูลมู่หรง”
เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นเต็มหน้าผากของหลี่เค่อ เขารู้สึกเสียใจที่แสดงโทสะก่อนจะล่วงรู้ฐานะของอีกฝ่าย
ตระกูลมู่หรงเป็นคหบดีมาหลายชั่วอายุคน ประมุขคนปัจจุบันมีทายาทเพียงแค่คนเดียวนามมู่หรงอี้หวาย ไม่ต้องพูดถึงความร่ำรวย อำนาจทางการค้ารวมไปถึงสัมปทานต่างๆ ล้วนอยู่ในกำมือพวกเขาทั้งสิ้น
แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวหลี่เค่อแทนที่ความตระหนก เพราะหากฟังไม่ผิด คุณชายมู่หรงเพิ่งบอกจะว่าพึงใจหลี่จื่อเหยามิใช่หรือ
ถ้าทั้งสองได้เกี่ยวดองกัน ย่อมเป็นผลดีกับตระกลูหลี่
สรุปว่าชายผู้นี้คือปลาตัวอ้วนที่เขารอคอยอยู่ไม่ใช่หรือ แต่เมื่อครู่ตนใจร้อนจึงทำให้อีกฝ่ายโกรธเคือง หากเหยื่อหลุดรอดไปก็คงน่าเสียดายยิ่งนัก
‘แย่แล้ว หากคุณชายมู่หรงโกรธจนไม่ยอมรับผิดชอบเหยาเหยาเล่า ข้าจะทำอย่างไรดี’
หลี่จื่อเหยาที่ยืนดูเหตุการณ์มาสักครู่แล้ว พลันคิดตามถึงเรื่องที่คนทั้งสองพูดคุยกัน
หากถามหาความเหมาะสม ก็เห็นว่าตนเป็นเพียงบุตรสาวร้านค้าที่กิจการไม่ได้รุ่งเรืองดั่งเก่าก่อน ย่อมไม่คู่ควรกับบุรุษผู้เกิดมาบนกองเงินกองทองเช่นมู่หรงอี้หวาย สุดท้ายแล้วเทพบุตรก็ควรจะอยู่แค่ในความฝัน เช่นนั้นนางควรจะตื่นได้แล้ว ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป
หลี่จื่อเหยาพลันออกปาก ก่อนที่จะมีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก
“คุณชายมู่หรงในเมื่อท่านพี่กล่าวลบหลู่ตระกูลท่าน เรื่องเมื่อครู่ก็ให้แล้วกันไปเถิด ข้าจะถือเสียว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น”
“เหยาเหยา เจ้าพูดบ้าอะไรกัน!” หลี่เค่อตวาดด้วยอารามตกใจ ปลาตัวใหญ่อยู่ตรงหน้า แต่น้องสาวผู้แสนโง่เขลากลับเลือกที่จะปล่อยให้หลุดมือ
“บุตรสาวร้านค้าเล็กๆ ต่างหากที่ต่ำต้อย ไม่คู่ควรกับท่าน ความจริงผู้ที่ควรถูกปฏิเสธน่าจะเป็นข้ามากกว่า” หลี่จื่อเหยายังคงก้มหน้าก้มตาพูดต่อไป โดยไม่ยอมแม้แต่จะสบตากับมู่หรงอี้หวาย เพราะเกรงว่าตนเองจะเผลอร้องไห้
มู่หรงอี้หวายหันกลับไปหาสตรีในชุดสีแดงเพลิงแทบจะทันที ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววตระหนกสุดขีด “มิได้ เจ้าให้คำมั่นกับข้าแล้ว ห้ามบิดพลิ้วเป็นอันขาด”
“แต่ว่า เมื่อครู่ข้ายังมิได้ตกลงอันใดกับคุณชายมู่หรงสักนิดเลยนะเจ้าคะ”
“เจ้าสามารถทำเหมือนกับว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราได้จริงหรือ”
หญิงสาวกัดฟันข่มกลั้นความเสียใจ “จื่อเหยาจะพยายามลืมทุกอย่างเจ้าค่ะ คุณชายมู่หรงสบายใจได้”
“ไม่คิดว่าคุณหนูหลี่จะเป็นสตรีที่โหดร้ายยิ่งนัก ทั้งที่เมื่อครู่เจ้า... เจ้า...กับข้า ให้ตายเถอะ มันไม่มีความหมายสักนิดเลยใช่หรือไม่” น้ำเสียงที่เคยทุ้มนุ่ม แปรเปลี่ยนเป็นแหบพร่า แม้แต่ใบหน้าหล่อเหลาก็ซีดเผือด นัยน์สีดำสนิทดุจราตรีนั้นก็ปรากฏแววหวั่นไหว
ข้าคือมู่หรงซือเฉิง บิดาข้าคือมู่หรงอี้หวาย คหบดีใหญ่และวาณิชหลวงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน มารดาข้าเป็นกุลสตรีที่ดีพร้อมนามหลี่จื่อเหยา ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าข้านั้นคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด มีบุญวาสนาที่จะได้เสพสุขจากทรัพย์สินมหาศาล ที่ใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมดของตระกูลมู่หรงข้าช่างโชคดีเหลือเกินความจริงข้ามีพี่สาวผู้หนึ่ง นางมีชื่อว่ามู่หรงรั่วเยียน ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต่อไปนางจะต้องเติบโตเป็นสตรีที่งดงามปานเทพธิดาแน่นอน ก็ใช่ล่ะสิ นางถอดแบบบิดาผู้มีรูปโฉมล้ำเลิศมาทุกสิ่ง ไม่เว้นแม้แต่นิสัยใจคอเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คน พี่สาวของข้ามักสวมหน้ากากคุณหนูในห้องหอทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ว่าจะเอ่ยวาจา หรือเยื้องกรายไปที่ใด ทุกคนล้วนยกยิ้มพลางพยักหน้าหงึก ๆ คิดว่านางช่างดีแสนดี แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าภายใต้หน้ากากเทพธิดา มีแม่หมาป่าตัวน้อย ๆ ที่พร้อมจะขย้ำคอทุกคนซ่อนอยู่นางร้ายไม่ต่างจากท่านพ่อเลยสักนิด! ข้าจำได้ว่าครั้งหนึ่ง ท่านพ่อเปรยกับท่านแม่ว่าไม่ต้องการบุตรเขยที่ร่ำรวยและเก่งเกินไป ยิ่งเป็นพวกเศรษฐีใหม่ หรือขุนนางซื่อสัตย์สุจริต แต่เบื้องหลังไม่ได้มีอำนาจมากนักก็พอ เพื่อที่แต
ตั้งแต่ศิษย์พี่หญิงจากไป ข้าไม่เคยเฉียดกลายเข้าไปใกล้บ้านตระกูลหลี่อีกเลย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาข้าทำเพียงอ่านรายงานความเคลื่อนไหวภายในบ้านตระกูลหลี่ จากคนที่ข้าส่งเข้าไปแทรกซึมเท่านั้นคนของข้าผู้นั้นทำหน้าที่แม่นม นางดูแลหลี่หลางได้อย่างดี อีกทั้งยังเพิ่มรายงานเล็ก ๆ น้อยเกี่ยวกับคนที่อยู่รอบตัวของเขามาด้วย จากรายงานเหล่านั้น ข้ามักจะได้รับรู้เรื่องของหลี่จื่อเหยาเสมอ ๆ แม้ตอนที่หลี่หลางเกิดคุณหนูหลี่จะยังอายุน้อยก็ตาม แต่นางกลับดูแลจัดการเรื่องทุกอย่างของเด็กชายประหนึ่งมารดาเลยทีเดียวอาจเป็นเพราะหลี่จื่อเหยาเป็นผู้ที่ใกล้ชิดหลี่หลางที่สุด ทำให้ชื่อของนางผ่านสายตาข้าบ่อยครั้ง พอรู้ตัวอีกที เรื่องของคุณหนูผู้นี้ก็กลายเป็นส่วนที่ข้าชอบอ่านในรายงานไปเสียแล้ว “คุณหนูหลี่ปักเสื้อให้คุณชายน้อย” “คุณชายน้อยชอบกินอาหารฝีมือคุณหนูหลี่” “คุณหนูหลี่ดีดพิณได้ไพเราะ” “คุณหนูหลี่ชอบดอกบัวที่สุด” “ตอนนี้คุณหนูหลี่เข้าวัยปักปิ่นแล้ว นางงดงามดั่งดอกสาลี่สีขาวบริสุทธิ์” ข้ารู้จักนิสัยใจคอของนางผ่านทางรายงานที่ถูกส่งมา จนรู้สึกว่าหากได้เห็นหน้าคาดตาสักครั้งก็คงดี ทว่าความคิดนี้มีอันต้องตกไป เพราะข้าไม
หลี่จื่อเหยายิ้มถึงดวงตา ในขณะที่เอ่ยล้อเลียนเขาด้วยประโยคที่ตนเองได้ยินบ่อยครั้งที่สุด ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนซอกคอของเขา โดยไม่รู้ว่าเท่านี้ก็เพียงพอให้บุรุษผู้เร่าร้อนทรมานมากมายมู่หรงอี้หวายหวานล้ำไปทั้งใจ อีกทั้งยังรู้สึกวูบวาบไปทั้งกาย แต่ก็อดกลั้นความปรารถนาอันไม่สิ้นสุดที่ตนเองมีต่อนางเอาไว้ในห้องกว้างขวางมีเพียงเงาร่างของสองสามีภรรยาโอบกอดกันอยู่เนิ่นนาน กลิ่นอายแห่งความรัก และความเข้าอกเข้าใจแผ่ซ่านไปถ้วนทั่วทุกอณูคฤหาสน์ตระกูลมู่หรง หลายเดือนต่อมาหลังจากมีข่าวดีว่าฮูหยินน้อยของคุณชายตั้งครรภ์แล้ว เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาฮ่องเต้ทรงประกาศแต่งตั้งวาณิชหลวงของราชสำนักคนใหม่ ซึ่งมู่หรงอี้หวายได้รับสืบทอดตำแหน่งจากบิดา ด้วยการสนับสนุนของฉินอ๋องและขุนนางที่เห็นว่าเขามีความสามารถมู่หรงเหออารมณ์ดี จึงจัดงานเลี้ยงฉลองอย่างยิ่งใหญ่ และประกาศมอบหมายกิจการทั้งหมดให้บุตรชายที่ยามนี้พร้อมรับผิดชอบทุกสิ่งที่ตระกูลสร้างเอาไว้แล้วส่วนตนเองก็ตั้งใจจะออกท่องเที่ยว ใช้ชีวิตยามเกษียณเพื่อไปในที่ที่ภรรยาผู้ล่วงลับเคยเอ่ยว่าต้องการไปสักครั้ง แต่ไม่มีโอกาสเพราะยามนั้นเขาต้องรับผิดชอบทุกอย่างจ
เมื่อความสงบกลับมา มู่หรงอี้หวายจึงเล่าเรื่องวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้บิดาฟังอย่างรวบรัด พยายามตัดจุดที่อาจจะสร้างความแค้นเคืองให้คหบดีใหญ่ออกไป เหลือเพียงส่วนเสี้ยวสำคัญๆ เท่านั้น แล้วไปเน้นย้ำความต้องการของญาติผู้น้องที่หมายจะทำการยกเลิกการหมั้นหมายกับเย่เทียนหลางเสียมากกว่า มู่หรงเหอได้ฟังก็ทอดถอนหายใจ แต่ก็รับปากจะทำตามคำขอของซูเพ่ยอิงพอพูดคุยกันเสร็จสรรพ มู่หรงเหอก็เข้าไปเยี่ยมหลี่จื่อเหยาที่ยังนอนหมดสติอยู่ พอเห็นสภาพของลูกสะใภ้คนโปรด เขาก็เอ่ยปากว่าจะถมสระบัวทิ้ง เพราะเข้าใจว่านางเป็นลมตกน้ำไปเอง จึงเกรงว่าจะเป็นอันตรายอีก แต่มู่หรงอี้หวายห้ามเอาไว้ เพราะหลี่จื่อเหยาชอบดอกบัวมากที่สุด คหบดีใหญ่จึงตำหนิลูกชายว่าไม่รู้จักดูแลภรรยาให้ดี ก่อนจะกลับออกไป ก็ยังคาดโทษเอาไว้อีกด้วยมู่หรงอี้หวายมองส่งบิดาจนลับตา จากนั้นจึงกลับเข้ามาชำระร่างกายตนเอง แล้วไปนั่งเฝ้าหลี่จื่อเหยาที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่ห่างไปไหน ทั้งยื่นมือไปจับหน้าผากเพื่อตรวจไข้ ไหนจะคอยเช็ดเหงื่อที่ผุดพราย จนกระทั่งไม่รู้สึกความร้อนบนใบหน้าของนางแล้วจึงคลายใจ แล้วม่อยหลับไปในที่สุดแสงแรกแห่งรุ่งอรุณส่องกระทบใบหน้างาม
ตระกูลมู่หรงมั่งคั่งเฟื่องฟูมาทุกยุคสมัย พวกเขาไม่เคยขาดเงินทอง ทว่าทายาทสืบสกุลกลับมีน้อยยิ่งกว่าน้อย แม้ในอดีตเหล่าผู้นำตระกูลพยายามแต่งอนุภรรยาเข้าตระกูลมากมาย แต่อย่างไรก็ไม่เคยมีทายาทเกินหนึ่งคน ประหนึ่งถูกคำสาปอย่างไรอย่างนั้น จนกระทั่งเซียนท่านหนึ่งมาแถลงไขในโลกนี้ไม่มีผู้ได้จะได้ทุกอย่างสมปรารถนา ต้นตระกูลได้บวงสรวงต่อฟ้าขอความรุ่งโรจน์ทุกชั่วอายุคน ดังนั้นฟ้าดินจึงให้พรข้อนี้แลกกับการมั่งมีบุตรหลาน ทำให้คนรุ่นต่อมามีความสุขกับเงินทอง แต่ต้องกลุ้มใจกับเรื่องผู้สืบทอดตลอดไป ก่อนจากท่านเซียนได้แนะนำวิธีแก้เคล็ดไว้ให้ คือห้ามชายตระกูลมู่หรงมักมากมีหลายภรรยา หากเลือกที่จะรวบรวมพลังหยางไว้ที่สตรีเพียงผู้เดียว พวกเขาก็จะมีโอกาสมีทายาทมากกว่าหนึ่งคนหลังจากนั้นผู้นำตระกูลมู่หรงที่เชื่อคำแนะนำต่างก็แต่งภรรยาเอกเพียงคนเดียวมาโดยตลอด จนกระทั่งสวรรค์เห็นใจ จึงบันดาลให้บางรุ่นที่สามารถทำตามท่านเซียนชี้แนะ ได้ทายาทชายหญิงอย่างละคนแต่ผู้นำบางรุ่นก็มิได้เคร่งครัด เช่นเดียวกับบิดาของเขา ที่หลังจากได้ทายาทสืบสกุลแล้วก็ใช่ชีวิตเยี่ยงชายสามัญ เพียงแต่ไม่ได้รับอนุภรรยาเป็นเรื่องเป็นราวเท่านั้นเ
“เทียนหลาง เรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้ไม่ได้มีใครบังคับให้เจ้ากระทำ ทุกอย่างล้วนเกิดจากการไตร่ตรองของเจ้าทั้งสิ้น ข้าเข้าใจว่าเจ้าคับแค้น แต่ข้าเองก็สิ้นใจด้วยน้ำมือของเจ้าไปแล้วที่คูเมือง อีกทั้งยังถูกโจรกระจอกที่เจ้าจ้างวารเหล่านั้นรุมทำร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ในขณะที่เจ้าสวมบทเป็นยอดบุรุษช่วยหญิงงาม เพียงสองเรื่องนี้ข้าก็สามารถส่งเจ้าไปนอนเล่นในคุกของท่านเจ้าเมืองได้แล้ว แต่เป็นเพราะข้าเห็นแก่ท่านลุง จึงทำเป็นนิ่งเฉยตลอดมา”“ที่แท้เจ้าก็ไม่ได้ความจำเสื่อม” เย่เทียนหลางพูดเสียงเบามู่หรงอี้หวายหยักยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่มิได้กระทำเพื่อเย้ยหยันคู่สนทนา หากแต่เพื่อความใจอ่อนของตนเองที่มีแต่สหายมากกว่า“เชื่อเถิดเทียนหลาง ข้าอยากป่วยจนจำอะไรไม่ได้จริงๆ ไปเสียเลยมากกว่า”“แล้วเจ้าจะเอาอย่างไร” เย่เทียนหลางหน้าซีดเผือด แต่ยังคงรักษาอาการเอาไว้“ตอนแรกข้าก็คิดจะจัดการเจ้าขั้นเด็ดขาด ตัดความสัมพันธ์ของตระกูล แล้วส่งเจ้าไปคุกให้รู้แล้วรู้รอด แต่เมื่อครู่เจ้าบอกว่าทุกอย่างเป็นข้าที่บีบคั้นเจ้าจนเหลืออด เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเราทั้งสองอีกหน ต่อไปนี้ ข้า...มู่หรงอี้หวายจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับก