เยว์ซินได้จัดการปีศาจแมงป่องจนสิ้นซากเป็นที่เรียบร้อย ค่ำคืนนี้ทั้งสองยังคงพักอยู่ที่นี่ ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงรายงานจากซือเหยาดังขึ้นหลังจากไปสำรวจรอบๆ กระท่อม
“ธิดาเทพเพคะ ข้างหลังกระท่อมมีโครงกระดูกมนุษย์มากมายเต็มไปหมด คาดว่าผู้คนคงถูกหลอกล่อให้มายังหุบเขานี้เพื่อดูดกลืนพลังวิญญาณบริสุทธิ์ กะโหลกส่วนใหญ่เป็นกะโหลกของเด็กๆ ทั้งนั้น”
เยว์ซินโกรธแค้นยิ่งนักเมื่อได้ยินรายงานนี้ ปีศาจชั่วร้ายเช่นนี้ไม่ควรปล่อยไว้
“เรื่องนี้ข้าไม่อาจนิ่งเฉยได้! รุ่งสางข้าจะต้องเข้าไปในถ้ำของหุบเขานี้ให้ได้ คืนนี้เจ้าพักผ่อนเสียเถอะ เหนื่อยมามากแล้ว โลกมนุษย์ไม่เหมือนสวรรค์ ทุกการกระทำต้องใช้พลังจากร่างกาย ทำให้เราเหนื่อยล้าได้”
รุ่งสางทั้งสองเดินทางเข้าไปในหุบเขาผีเสื้อดำ เส้นทางแคบ ๆ เต็มไปด้วยกลิ่นดอกลมหายใจปีศาจที่ลอยคลุ้งไปทั่วอากาศ ทั้งสองใช้ผ้าปิดจมูกแน่นหนา เพราะหากสูดดมกลิ่นเข้าไปเพียงแค่ครู่เดียว ร่างกายจะค่อยๆ แข็งทื่อ หัวใจเต้นช้าลง จนกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ
“ดอกไม้ที่นี่ล้วนมีพิษทั้งนั้น ระวังตัวด้วยนะ ซือเหยา”
เยว์ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่กังวล
ซือเหยาพยักหน้า ก่อนที่ทั้งสองจะเดินลึกเข้าไปในหุบเขา เสียงดาบกระทบกันระหว่างหมู่มารกับบุรุษชุดดำผู้หนึ่งดังมาแต่ไกล ชายผู้นั้นรูปร่างสง่า สายตาเฉียบคม ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับเงา เขากำลังต่อสู้กับมารในพื้นที่แห่งนี้
เยว์ซินเห็นเช่นนั้นจึงเข้าไปช่วยปราบมารเหล่านั้นทันที แต่ทว่าเหล่ามารมีมากสู้ต่อไปเกรงว่าจะพากันตาย นางจึงสบตากับบุรุษผู้นั้น
“พวกมันมีมากเกินไป”
เยว์ซินพูดขึ้นขณะกระชับดาบในมือแน่น
“เรา 3 คนสู้พวกมันไม่ได้หรอก ท่านจอมยุทธข้าว่าเราถอยกันก่อนเถอะ!”
เยว์ซินพยักหน้าให้ซือเหยา
ซือเหยารีบจับแขนของบุรุษชุดดำและออกเวทพาพวกเขาหายตัวไปยังกระท่อม เมื่อมาถึงกระท่อมที่พัก เยว์ซินทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เสียง 'ฟุ่บ' ดังก้องในความเงียบ
“เจ้าถูกพิษผีเสื้อที่อก จำเป็นต้องดูดเอาพิษออกทันที”
จิ่นหลิงกล่าวอย่างรุนแรง พร้อมกับมองเยว์ซินที่เริ่มหมดสติ
“ข้าชื่อจิ่นหลิง มาที่นี่เพื่อปราบมารเจ้าไว้ใจข้าได้ ข้าไม่ทำร้ายพวกเจ้าแน่”
เขาพูดพร้อมกับเตรียมตัวจะดูดพิษจากร่างของนาง
“ท่านบังอาจ! ท่านจะทำอะไร...”
ซือเหยาตะโกนห้าม แต่เยว์ซินกลับหยุดเขาไว้ทันที
“ไม่เป็นไร หากเป็นการรักษาชีวิต ให้เขาทำเถอะ”
เยว์ซินพูดเสียงแผ่ว
“แต่ว่า...”
ซือเหยาพยายามคัดค้าน
“คำสั่งข้า”
เยว์ซินพูดเสียงเข้ม พยายามบังคับตัวเองให้ไม่ให้หมดสติ
จิ่นหลิงไม่รอช้า เขาค่อยๆ เปิดเสื้อที่อกด้านขวาลงอย่างช้าๆ เพื่อให้เห็นจุดที่พิษแทรกซึมเข้าไป เขารู้สึกถึงความร้อนและการต่อสู้ของพลังที่ดุดันจากในตัวเยว์ซิน
ขณะที่เขาดูดพิษออกจากร่างของนาง ร่างกายของนางค่อยๆ มีแสงเปล่งประกายจากร่างของนาง
เขารู้สึกว่านางไม่ใช่คนธรรมดา เพราะถ้าหากเป็นคนธรรมดาแล้ว คงจะสลบไปตั้งแต่ตอนแรกที่ถูกพิษ คงไม่อาจทนพิษที่แผ่ซ่านไปในร่างกายเช่นนี้ได้
เขายังคงใช้ลมปราณขับพิษอย่างไม่ลดละ
เยว์ซินนั่งขัดสมาธิ รวบรวมลมหายใจอย่างมั่นคง
กำลังภายในหลั่งไหลทั่วร่าง ราวกับสายน้ำใสซัดผ่านเส้นชีพจร
ลมปราณเคลื่อนไปตามเส้นเอ็น ชะล้างพิษร้ายออกตามรูขุมขน
ไอสีดำบางเบาค่อย ๆ ลอยออกจากปลายนิ้ว ก่อนจะสลายหายไปในอากาศ
เมื่อเห็นว่าสำเร็จ เขาค่อย ๆ ถอนฝ่ามือออกจากนางอย่างระมัดระวัง
ร่างบางของเยว์ซินค่อย ๆ ผ่อนคลายลง
เขาปล่อยให้นางได้พักฟื้นภายใต้แสงจันทร์อ่อนจางในยามค่ำคืน
ซือเหยารู้สึกกังวลลึกๆ เพราะกลัวว่าจิ่นหลิงจะรู้ความจริงเกี่ยวกับนาง จึงรีบไล่เขาไปนอนในห้องอื่นทันที โดยนางจะเป็นผู้ดูแลนางเองในคืนนี้
ในห้องที่เงียบสงบ จิ่นหลิงยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ รู้สึกได้ว่าเขามีบางอย่างที่ยากจะเข้าใจเกี่ยวกับสตรีผู้กล้าหาญที่เขาพึ่งช่วยเหลือ
ความรู้สึกนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีสิ่งบางอย่างที่เชื่อมโยงระหว่างพวกเขา แม้ว่าทั้งสองจะเพิ่งพบกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเริ่มรู้สึกคล้ายความคุ้นเคยที่มาจากอดีตที่ลึกซึ้ง
รุ่งสาง นางตื่นขึ้นมาสูดอากาศบริสุทธิ์ของเช้าวันใหม่ ลมหายใจสดชื่นพัดผ่านใบหน้าในขณะที่นางมองไปยังจิ่นหลิงที่นั่งอยู่บนต้นไม้สูง พลางมองไปยังท้องฟ้าใส
“ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่คนเดียว ท่านไม่กลัวหรือ?”
นางถามด้วยความสงสัย
จิ่นหลิงหันมามองนางด้วยสายตาที่จริงจัง แต่ก็ยังคงรักษาระยะห่าง
“ภารกิจของข้าตอนนี้คือการปลดปล่อยเด็กที่ถูกมารผีเสื้อดำจับไป พวกมันจะดูดวิญญาณบริสุทธิ์ไปทำพิธี หากพวกมันทำสำเร็จ ยากที่จะหยุดมันได้”
นางฟังแล้วรู้สึกกังวลทันที แต่ก็ยังสงบ
“แล้วแม่นางเล่ามาที่นี่ด้วยเหตุใด? ดูจากพลังของแม่นาง น่าจะเป็นเซียนที่เกือบจะบรรลุแล้วกระมัง”
'หึหึ' ซือเหยาหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะตักเตือนเขา แต่เยว์ซินห้ามไว้ นางหันไปมองซือเหยาแล้วพูดเสียงต่ำ
“ซือเหยา...”
“ข้าพูดสิ่งใดผิด?”
จิ่นหลิงถามด้วยความสงสัย
“ท่านเข้าใจถูกแล้ว ขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้า หากไม่เช่นนั้นข้าคงตายไปแล้ว”
นางยกมือประสาน โค้งคำนับ กล่าวอย่างจริงใจ น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความขอบคุณที่ลึกซึ้ง
จิ่นหลิงยิ้มบางๆ ก่อนพูดขึ้น
“ต่อให้ข้าไม่ช่วยแม่นาง แม่นางก็คงไม่ตาย เพราะพลังของแม่นางไม่เหมือนกับเซียนที่ข้าเคยพบ”
เยว์ซินยิ้มหวานละไมให้เขา ก่อนจะล้วงหยิบปิ่นมุขจันทราออกจากแขนเสื้อ ส่งมอบให้เขา ปิ่นปักผมที่มีมุขสีขาวประดับด้วยสะเก็ดดาวรายล้อมขึ้นจากผมของนางและยื่นให้เขา
“นี่คือปิ่นปักผมของข้าที่ข้ารักมาก ข้าให้เจ้าเก็บเป็นที่ระลึก แทนคำขอบคุณ”
ซือเหยามองดูธิดาเทพประทานของล้ำค่าที่รักที่สุดให้กับจิ่นหลิงด้วยความรู้สึกแปลก ที่ธิดาเทพเหมือนมีใจให้กับหนุ่มคนนี้ไม่น้อย
“ขอบใจแม่นางมาก ข้าจะเก็บมันไว้เป็นอย่างดี” จิ่นหลิงกล่าวขอบคุณ
"ต่อจากนี้ ท่านเรียกข้าว่า 'เยว์ซิน' ก็ได้ ข้าไม่ถือสา ดูไม่ห่างเหิน"
นางยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มที่แสนหวาน ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ทั้งสองต่างรู้ดีว่าหัวใจของพวกเขาตอนนี้มีกันและกัน แม้จะยังไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของกันและกันก็ตาม
“เรื่องชิงตัวเหล่าเด็กๆ ที่อยู่ในหุบเขา ข้าจะช่วยท่าน เราจะพาพวกเด็กๆ ออกมาอย่างปลอดภัย ขอเวลาข้ารักษาตัวสักสองสามวัน แล้วเราจะไปลุยกัน”
เยว์ซินพูดเสียงมั่นใจ
ระหว่างที่นางรักษาตัว จิ่นหลิงจะเป็นคนดูแลเรื่องอาหาร พานางไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ เขาปกป้องและดูแลนางเป็นอย่างดี
ซือเหยารู้ดีว่าทั้งสองมีใจให้แก่กันแล้ว และรู้สึกว่าอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอาจจะยากยิ่งกว่าทุกสิ่งที่ทั้งคู่กำลังเผชิญ
ดวงจันทร์เต็มดวงเปล่งแสงเย็นเยียบ กระทบพื้นหินหยาบกร้านหน้าปากถ้ำแห่งความมืด จิ่นหลิง และเยว์ซิน ยืนตระหง่านอยู่หน้าทางเข้า ด้านในคือรังของพญามารผีเสื้อดำ ศัตรูที่โหดเหี้ยม และเหล่ามารสมุนมากมาย
"ถึงเวลาแล้ว…"
เยว์ซินเอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น นางเลือกค่ำคืนนี้เพื่อแสงแห่งจันทราจะส่งให้พลังลมปราณของนางแข็งแกร่งที่สุด
พวกเขาก้าวเข้าสู่ถ้ำ กลิ่นอับชื้นคละคลุ้ง สายลมหนาวยะเยือกพัดผ่านประหนึ่งเสียงกรีดร้องของวิญญาณต้องสาป ไม่ทันไร เสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ดังก้องทั่วทั้งถ้ำ
"หึหึหึ... มนุษย์โง่เง่า กล้าดีอย่างไรถึงบุกเข้ามาถึงที่นี่!"
ร่างอันมหึมาของพญามารผีเสื้อดำปรากฏขึ้นกลางโถงถ้ำ ปีกดำสนิทกระพือส่งพายุหมุนหอบฝุ่นคลุ้ง เงาร่างสมุนอสูรนับร้อยค่อยๆ ปรากฏขึ้น รายล้อมพวกเขาทั้งสาม
"ปล่อยเด็กๆ ออกมาเดี๋ยวนี้!"
จิ่นหลิงตวาดลั่น ดวงตาเต็มไปด้วยโทสะ
"หึ! อยากได้ก็เข้ามา!"
พญามารผีเสื้อดำแสยะยิ้มเย้ยหยัน
"แต่ข้าจะดูดพลังของพวกเจ้าให้หมดก่อน!"
ไม่ทันที่มันจะพูดจบ เยว์ซินก็กำมือแน่น ความโกรธแผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางออกเวทด้วยพลังแห่งจันทราในทันที วงเวทย์จันทราส่องแสงเรืองรองขึ้นกลางอากาศ แสงสีเงินไหลเวียนดั่งแม่น้ำรัตติกาล ก่อนจะแตกกระจายเป็นพันสายโจมตีเหล่ามารที่เข้าประชิด
"อ๊ากกก!" เสียงกรีดร้องของเหล่ามารดังก้องไปทั่ว สมุนอสูรที่สัมผัสแสงแห่งจันทราร่วงลงกับพื้น ร่างแหลกสลายเป็นเถ้าธุลี
จิ่นหลิงสบโอกาส เขากระโจนเข้าไปกลางวงล้อมของศัตรู หอกเทพในมือเปล่งประกายเรืองรอง ก่อนฟาดลงอย่างรุนแรง พลังสายฟ้าฟาดกระแทกพื้นดิน แตกกระจายเป็นพญามังกรเพลิงที่คำรามลั่นก่อนพุ่งเข้าเผาผลาญเหล่ามาร
"ไม่นะ!" พญามารผีเสื้อดำคำรามก้อง เห็นเหล่าบริวารของมันถูกกำจัดจนแทบไม่เหลือ แต่ทุกอย่างสายไปแล้ว
เยว์ซินเรียกพลังจากแสงจันทราที่สาดส่องลงมาผ่านปล่องถ้ำ วงเวทย์ขยายตัวใหญ่ขึ้นเป็นทวีคูณ
"จันทรามหาภิภพ!"
วงเวทย์ระเบิดพลังมหาศาล พุ่งเข้าโจมตีพญามารผีเสื้อดำโดยตรง
"อ๊ากกกกก!"
ร่างมหึมาของมันถูกพลังจันทราผลักกระเด็น กระแทกกับผนังถ้ำอย่างแรง ก่อนจะอ่อนกำลังลง
"ข้าจะแก้แค้น! จำไว้!"
เสียงสุดท้ายจากพญาผีเสื้อดำดังขึ้น มันกรีดร้องก่อนที่ร่างของมันจะสลายหายไป
"เด็กๆ ปลอดภัยแล้ว!" ซือเหยาร้องบอก
เด็กนับร้อยที่ถูกจับตัวมา ค่อยๆ เดินออกจากมุมมืด ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยน้ำตา แต่ก็เต็มไปด้วยความหวังเมื่อเห็นทางออก
ไม่นานนัก พวกเขาก็พาเด็กๆ กลับลงจากภูเขา สู่หมู่บ้านที่รอคอยพวกเขาด้วยหัวใจเปี่ยมสุข
รุ่งสางมาเยือน แสงอาทิตย์แรกของวันทอดผ่านเส้นขอบฟ้า ถึงเวลาที่พวกเขาต้องจากกัน
"สุดท้าย... เราก็ต้องแยกทาง"
เยว์ซินเอ่ยเสียงแผ่ว แต่เต็มไปด้วยความอาลัย
จิ่นหลิงมองนาง ดวงตาสะท้อนความรู้สึกบางอย่างที่เอ่ยออกมาไม่ได้
"หากโชคชะตานำพา ข้าหวังว่าเราจะได้พบกันอีก" เยว์ซินกล่าว ยิ้มเศร้าๆ
"ข้าดีใจที่ได้พบเจ้า...เยว์ซิน"
จิ่นหลิงตอบกลับ น้ำเสียงมั่นคง
"ข้าจะรอวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง"
เยว์ซินตอบมองดูเขาอย่างอาลัย
ทั้งสองกอดลากันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เส้นทางของทั้งคู่จะต้องแยกจากกัน
ณ ตอนนี้ ต่างคนต่างมีภารกิจที่ต้องทำ แต่ในหัวใจของพวกเขา หวังว่าโชคชะตาจะพาให้พบกันอีกครั้งในสักวันหนึ่ง…
แสงแดดอ่อนของยามเช้าส่องลอดผ่านม่านหน้าต่าง อุณหภูมิในห้องผู้ป่วยอุ่นสบาย ทว่าหัวใจของหญิงสาวกลับเต้นแรงอย่างไม่เป็นจังหวะ เมื่อดวงตาคู่งามเริ่มขยับเปลือกตาขึ้นช้า ๆจางเจียว ลืมตาขึ้นอย่างเลื่อนลอยในวินาทีแรก เธอไม่รู้ว่าตัวเองฝันอยู่หรือไม่ แต่เมื่อเธอหันไปทางเตียงข้าง ๆ ...เธอเห็นเขา - กู้เหยี่ยนนอนอยู่ที่ ใบหน้าซีดจางแต่มีรอยยิ้มอ่อนโยน และที่สำคัญ... ดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมองเธออย่างอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งที่เขารักเธอเขายิ้ม...เธอไม่อาจกลั้นเสียงสะอื้นได้อีกต่อไป“ขอบคุณ...”เสียงของเธอสั่นเครือเมื่อพูดออกมา“ขอบคุณที่คุณยังรักษาสัญญา…”“ขอบคุณที่ไม่ทิ้งฉันกับลูกไป… กู้เหยี่ยน คนบ้า…”น้ำตาของเธอไหลลงช้า ๆ ขณะที่รอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้าเธอไม่สนว่าตัวเองยังเพิ่งฟื้น ไม่สนแม้ร่างกายยังอ่อนแรง เธอรีบลุกจากเตียง เดินตรงเข้าไปหาชายคนที่เธอเกือบเสียไปตลอดกาลกู้เหยี่ยนยื่นมือออกมา...และเธอก็ทิ้งตัวลงกอดเขาแน่นทั้งน้ำตา“คุณรู้ไหม... ใจฉันแทบสลายตอนรู้ว่าคุณไม่หายใจ... ฉันกลัว... กลัวจนแทบจะตายตามคุณไป…”มือของเขาลูบผมเธอเบา ๆ จ้องมองเธอไม่ละสายตา“ผมต้องพยายามกลับมาให้ได้... เพราะผมสั
ท่ามกลางบรรยากาศฝนตกหนัก พายุคำรามราวกับฟ้ากำลังร่ำไห้ ประธานกู้ขับรถออกจากบ้านด้วยหัวใจอัดแน่นด้วยความกังวลเร่งรีบรถแน่นออกไปได้ไม่เกินสอบนาที เสียงล้อบดถนนดังกึกก้อง กระจกรถข้างหน้าพร่าเลือนด้วยม่านน้ำที่โปรยปรายลงมาไม่หยุด รถเสียหลักชนเข้ากับต้นไม้ข้างทางอย่างรุนแรง เสียงเหล็กบิดเบี้ยวดังลั่นไปทั่วบริเวณ ก่อนรถทั้งคันตีลังกาคว่ำสองตลบใครที่ผ่านไปพบเห็น ต่างพากันคิดว่าคนในรถคงไม่มีทางรอด...ในเวลาเดียวกันนั้นจางเจียว ยังนั่งรอฟังข่าวของลูกชายของ ดร.จอห์น ด้วยใจสั่นระรัว แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นฝันร้ายที่เธอไม่เคยคาดคิด“คุณนายค่ะ... ประธานกู้รถคว่ำค่ะ! ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล อาการเป็นตายเท่ากัน!”มือของจางเจียวสั่นระริก ใบหน้าเธอซีดเผือดก่อนเสียงสะอื้นแรกจะหลุดลอดริมฝีปากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่“ไม่นะ... ไม่นะ... ฮือ ฮือ ฮือ... คุณอย่าทิ้งฉันกับลูกไปนะ... ได้โปรดกลับมาหาพวกเรานะคะ... ที่รัก...”โรงพยาบาลบรรยากาศในโรงพยาบาลเงียบงันแต่เต็มไปด้วยแรงสั่นสะเทือนแห่งความวิตก ทุกคนต่างมารวมตัวกันเฝ้ารอฟังผลจากห้องฉุกเฉิน ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความหวังผสมความสิ้นหวังจางเจียว นั่งนิ่งอยู่
หลังจบทริปบริษัท บรรดาพนักงานต่างเดินทางกลับด้วยรถบัส ขณะที่ประธานกู้และประธานสื่อต่างให้คนขับรถส่วนตัวมารับกลับอย่างเงียบๆกู้เหยี่ยนเลือกพาจางเจียว ไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศริมทะเล ซึ่งถูกโอบล้อมด้วยสวนดอกกุหลาบสีขาวที่เบ่งบานงดงามทั่วบริเวณทันทีที่จางเจียวก้าวลงจากรถหรู สายตาเธอก็ทอดมองไปทั่วสวนอย่างประทับใจ“ที่นี่สวยมากเลยค่ะ...”เสียงเธอเบาแต่นุ่มนวลเขายิ้มบาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น“ผมสั่งให้เขาจัดสวนนี้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว...ผมทำเพื่อคุณนะ”เธอหันกลับมามองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน“ขอบคุณที่ใส่ใจฉันนะคะ...มันสวยจริงๆ”“ผมยินดีทำทุกอย่างเพื่อคุณ เดือนหน้าเราก็จะแต่งงานกันแล้ว...ผมเฝ้ารอวันนั้นทุกลมหายใจเลย”“แต่ถ้าเราแต่งเร็ว คุณอาจไม่มีอิสระอีกนะ...”เธอพูดด้วยความลังเล“ผมไม่ต้องการอิสระอะไรทั้งนั้น ขอแค่มีคุณอยู่ข้างๆ แค่นั้นก็พอแล้ว”เธอยิ้มละมุน หัวใจพลันอ่อนลงกับคำพูดอ่อนโยนนั้น“ปากหวานจริงนะคะ...”“เข้าบ้านกันเถอะครับ” เขาเอ่ยพลางยื่นมือให้จางเจียวส่งยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น ก่อนจะก้าวเดิน แต่ยังไม่ทันถึงขั้นบันได เธอกลับเซไปเหมือนจะวูบกู้เหยี่ยนเห็นท่าไม่ดี รีบเข้าประคองแล
เพื่อเป็นการตอบแทนความเหน็ดเหนื่อยของพนักงานที่ทำผลงานยอดเยี่ยมตลอดไตรมาส บริษัทกู้กรุ๊ปจึงจัดทริป “สานสัมพันธ์” ที่รีสอร์ตริมทะเล 3 วัน 2 คืน โดยมีพนักงานจากทุกแผนกเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียงและสิ่งที่สร้างความตื่นเต้นมากที่สุดคือ…ประธานใหญ่ กู้เหยี่ยน ตอบตกลงเข้าร่วมงานด้วยตัวเอง!พร้อมกับพา จางเจียว เลขาสาวคนสนิท ที่ตอนนี้ทุกคนก็รู้ว่าไม่ใช่แค่เลขา แต่เป็นว่าที่คุณนายกู้นอกจากนี้ยังมีแขกรับเชิญพิเศษจากบริษัทพันธมิตร ประธานสือและแฟนสาว หลินหลินที่เพิ่งเปิดตัวกันหมาด ๆ ก็ขอตามมาร่วมแจมด้วยเช่นกันเช้าวันเดินทาง รถบัสสองคันจอดรออยู่หน้าตึกสำนักงานใหญ่ พนักงานต่างถ่ายรูป เช็กอิน และโพสต์ภาพกันอย่างคึกคักประธานกู้เดินลงจากรถหรู พร้อมลากกระเป๋าเดินทางตรงมายังรถบัสในชุดลำลองสีขาวสะอาดตา แตกต่างจากภาพลักษณ์ประธานเย็นชาที่เห็นในห้องประชุมโดยสิ้นเชิงข้างกายคือจางเจียว ในเดรสยาวสีขาว สายเดี่ยวมัดโบว์ เผยให้เห็นความสดใสน่ารักอย่างล้นเหลือ“ทุกคนพร้อมรึยังครับ?”เขาถามพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นเสียงเฮดังลั่นทันที พร้อมเสียงแซวเบา ๆ“พร้อมตั้งแต่รู้ว่าประธานจะไปแล้วค่า~”ไม่นาน รถยนต์หรูอีกคันก็จอด
“ไหนใครบ่นคิดถึงผม?”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาหลินหลินสะดุ้งเธอหันขวับไปตามเสียง ก่อนจะพบกับร่างสูงของ ประธานสือ ยืนไขว้ขาพิงกรอบประตู ใบหน้าเรียบเฉยภายใต้กรอบแว่นไร้ขอบที่มองมาไม่วางตาสูทสีดำหรู เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมบนเพียงเม็ดเดียว เผยช่วงอกแน่นล่ำพอให้ใจเต้น เส้นผมเซตอย่างลวก ๆ แต่กลับดูดี“ประธานสือ! คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่!”เธอรีบวางแก้วกาแฟ ตาโตด้วยความตกใจ เขิน และ...หงุดหงิดเขาเดินเข้ามาใกล้ หยุดตรงหน้าเธอโดยไม่ตอบคำถาม ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ“เปิดดูแชทหลายรอบแล้วใช่ไหม? ผมเห็นตั้งแต่คุณถอนหายใจรอบแรก”“คุณ...แอบดูฉันเหรอ?!”“ก็คุณชอบทำตัวให้น่าจับตามอง”หลินหลินอ้าปาก แต่พูดไม่ออก ความเขินตีขึ้นหน้าแดงจัด ขณะมือหนาลูบศีรษะเธอเบา ๆ“ก็คุณไม่โทร ไม่ตอบแชท ฉันก็นึกว่าคุณไม่สนใจ...”“แบตหมดตอนประชุมครับ”เขาตอบ พร้อมยื่นมือถือให้ดูเธอชะงักไปชั่วครู่... แต่ก็ไม่ยอมให้เขาชนะง่าย ๆ“ก็ได้ งั้นฉันไม่โกรธก็ได้”เขายิ้มมุมปากบาง ๆ ก่อนโน้มตัวกระซิบข้างหู“ต่อให้คุณโกรธ ผมก็ตามง้ออยู่ดี”น้ำเสียงของเขานุ่มลึก แฝงแรงปรารถนาบางอย่างก่อนกระซิบข้าง ๆ ใบหูของเธอ“คืนนี้...ไปกินข้าวที
บริษัทตระกูลกู้ภายในห้องทำงานใหญ่ชั้นบนสุดของอาคารจางเจียวนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ พลางไล่ดูเอกสารอย่างตั้งใจ แสงแดดยามสายลอดผ่านม่านโปร่งบางสร้างบรรยากาศสงบแต่ไม่เงียบเหงาเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆก๊อก... ก๊อก..“ขออนุญาตค่ะคุณจาง ประธานกู้สั่งให้เอานี่มาให้ค่ะ”เลขาซูเดินเข้ามาพร้อมถาดขนม ในถาดมีเค้กช็อกโกแลตเนื้อเนียนนุ่มกับชาผลไม้กลิ่นหอมสดชื่นเมนูโปรดของจางเจียวทั้งคู่ เธอวางถาดลงตรงหน้าจางเจียวอย่างสุภาพ“ขอบคุณมากนะคะ เลขาซู”“ยินดีค่ะ ตั้งแต่คุณจางเข้ามาทำงานที่นี่…ประธานของเราก็อารมณ์ดีขึ้นมากเลยค่ะ ไม่เย็นชาเหมือนเมื่อก่อนเลย”เลขาซูพูดยิ้ม ๆ แต่ยังไม่ทันจะพูดต่อ เสียงประตูเปิดออกเบา ๆ“แน่นอนอยู่แล้วครับเลขาซู...”เสียงทุ้มอบอุ่นของกู้เหยี่ยนดังขึ้นข้างหลัง“…ก็ผมได้อยู่ใกล้ว่าที่ภรรยา จะไม่ให้มีความสุขได้ยังไงล่ะ”“อุ๊ย! ท่านประธาน...”เลขาซูยกมือปิดปาก ยิ้มเขินแต่ไม่ลืมโค้งให้เบา ๆ ก่อนจะถอยออกจากห้องอย่างรู้จังหวะ“เลขาซู เดี๋ยวผมขอพักสักครู่ห้ามมีใครรบกวนผมนะครับ”“รับทราบค่ะท่านประธาน”จางเจียวยิ้มเขิน แก้มแดงระเรื่อเมื่อได้ยินคำพูดนั้นต่อหน้าคนอื่น เธอแสร้งก้มหน้