ห้องบรรทมเยว์ซิน เทพแห่งจันทรา
“เร็วซือเหยามาช่วยข้า ท่านพ่อ ท่านแม่เรียกหาข้าแล้ว”
“เพคะธิดาเทพ”
ซือเหยาช่วยเยว์ซินแต่งองค์ให้สง่างามสมกับที่เป็นเทพธิดาแห่งจันทราของสวรรค์ แม้นางจะเป็นหญิงตัวเล็ก ๆ แสนซน แต่หน้าที่ของนางนั้นยิ่งใหญ่นัก คำสั่งของสวรรค์นั้นไม่อาจละเลยได้
“ธิดาเทพแห่งจันทราเจ้าไปที่ใดมา ทำไมหมู่นี้ข้าไม่เจอเจ้ามาที่ท้องพระโรงเลย”
เสียงท่านเฮ่าเทียนตี้จุนผู้เป็นบิดาดังขึ้นในห้อง ท่าทางตื่นตระหนกเล็กน้อย
“ท่านพ่อเพคะ ข้าเป็นเทพธิดาตัวเล็ก ๆ จะไปไหนได้เพคะ อยู่ได้แค่สวนในสรวงสวรรค์เท่านั้นเพคะ”
เยว์ซินพูดพลางยิ้ม ตอบคำถามของบิดา
“ท่านพี่ก็อย่าว่าลูกเลย นางก็มีกิจของนาง”
ตี้หย่งเหอกล่าวปกป้องธิดาของตนทันที เยว์ซิน
มองตามารดาแล้วยิ้มอบอุ่นที่เห็นมารดาปกป้องนางจนถึงขนาดนี้
“ท่านแม่เข้าใจลูกที่สุด”
เยว์ซินเข้าไปกอดมารดาของนางอย่างออดอ้อน
“ถ้าท่านพ่อไม่มีอะไรจะตรัสกับข้าแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะเพคะ”
เยว์ซินยกมือประสานคารวะผู้เป็นบิดาและมารดาอย่างนอบน้อม จากนั้นนางหมุนตัวเพื่อเดินจากไปจนถึงประตู
แต่ทันใดนั้นก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อคนที่เดินตรงเข้ามาผู้นั้นคือ จิ่นหลิง
“ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”
เยว์ซินถามด้วยความตกใจ ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความงุนงง
จิ่นหลิงเองก็มีสีหน้าตกใจไม่ต่างกันเมื่อพบว่าเยว์ซินอยู่ที่นี่
“แล้วเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
เขาถามกลับด้วยเสียงที่เริ่มไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน
ยังไม่ทันที่เยว์ซินจะได้ตอบคำถาม เสียงทักทายจากเฮ่าเทียนตี้จุน จักรพรรดิสวรรค์ก็ดังขึ้นมา
“เทพแห่งสงคราม มาเร็วๆ ข้ารอเจ้าอยู่พอดี”
จิ่นหลิงยกมือประสานคาระวะองค์เทพทั้งสอง รู้ดีว่ามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ
เยว์ซินยืนอยู่ตรงนั้น รอเวลาที่จะได้พบกับจิ่นหลิง ทันทีที่จิ่นหลิงเข้าเฝ้าเฮ่าเทียนตี้จุนผู้ปกครองสวรรค์ เสร็จเขารีบออกมาหานางทันที
“เมื่อครู่ข้าต้องรีบเข้าเฝ้าจักรพรรดิต้องขอโทษเจ้าด้วย ข้าดีใจที่เจอเจ้า”
เขาพูดพลางยิ้มเล็กน้อยเหมือนจะขอโทษจากใจ
“แต่ข้าไม่ดีใจที่เจอเจ้าที่นี่! ที่นี่คือสวรรค์! เจ้าคิดถึงกฎแห่งสวรรค์บ้างหรือไม่?”
เสียงเยว์ซินดังขึ้นพร้อมกับความกังวลที่ซ่อนอยู่ภายใน แววตาของนางแฝงไปด้วยความวิตกกังวลจากกฎแห่งสวรรค์ที่นางเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
จิ่นหลิงยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาคิดอย่างจริงจังและก็ต้องชะงัก เพราะทั้งสองต่างมีความรักให้กัน แต่กฎแห่งสวรรค์ห้ามไว้
“ข้าคือเทพแห่งจันทรา เป็นธิดาของเฮ่าเทียนตี้จุน ข้ามีหน้าที่ดูแลความสงบและรักษาความสมดุลของจักรวาล รวมถึงการคุ้มครองโลกมนุษย์
"ส่วนท่าน... เทพแห่งสงคราม มีหน้าที่รักษาความแข็งแกร่งและการปกป้องในสนามรบ พลังของเรานั้นขัดแย้งกัน หากเราผูกพันเป็นความรัก... จะผิดกฎแห่งสวรรค์เพราะมีข้อห้ามไม่ให้เทพที่มีพลังที่ขัดแย้งกันมาอยู่ร่วมกัน เพื่อรักษาสมดุลของจักรวาล แล้วเราจะครองรักกันได้อย่างไร?”
เยว์ซินพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ความรู้สึกที่ท่วมท้นในใจทำให้นางไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้
จิ่นหลิงมองนางตาไม่กะพริบ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่นและมุ่งมั่น
“เจ้าใจเย็นๆ ก่อนนะ ทุกสิ่งย่อมมีทางออก...”
เขาเอื้อมมือไปจับมือของนางเบาๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวัง
น้ำตาของเยว์ซินเริ่มเอ่อล้นขึ้นมา ความหวังที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขาทำให้หัวใจของนางเต้นแรง แต่กฎแห่งสวรรค์จะยอมให้พวกเขามีความรักได้จริงหรือ?
ท่ามกลางสวนแห่งสวรรค์ที่โปรยปรายด้วยละอองเมฆสีทอง ดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์เบ่งบานส่งกลิ่นหอมอบอวล ต้นไม้แห่งชีวิตสั่นไหวราวกับรับรู้ถึงโชคชะตาของผู้ที่ยืนอยู่ใต้ร่มเงาของมัน
ร่างของทั้งสองกอดกันแนบแน่น หัวใจเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน ก่อนที่เสียงอึกทึกจะดังขึ้น เทพสูงศักดิ์หลายองค์เสด็จลงมา พร้อมแววตาเข้มงวด
"เทพแห่งจันทรา! เทพแห่งสงคราม! พวกเจ้ากล้าละเมิดกฎสวรรค์เช่นนั้นหรือ?"
เสียงของเทพอาวุโสดังก้องไปทั่วสวน
ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วชั้นฟ้า ราวกับสายลมพัดกระจายประกาศถึงความผิดบาปอันใหญ่หลวง ทั้งสองถูกเรียกเข้าสู่ท้องพระโรงสวรรค์ วิหารทองคำเจิดจรัส
แต่บรรยากาศกลับเย็นยะเยือกจนน่าอึดอัด เทพเจ้ามากมายรายล้อมเป็นพยาน สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่พวกเขาราวกับรอคอยบทลงโทษ
"เสด็จพ่อ เสด็จแม่เพคะ ข้ากับเทพแห่งสงครามรักกันด้วยใจบริสุทธิ์ "
เสียงของเทพแห่งจันทราสั่นเครือขณะคุกเข่าลงเบื้องหน้าบัลลังก์สวรรค์ ทว่าในดวงตากลับเปล่งประกายแน่วแน่ มิได้หวาดหวั่นต่อโชคชะตาใด ๆ
จักรพรรดิสวรรค์ทอดพระเนตรนางนิ่ง ก่อนมีรับสั่งด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
"พวกเจ้ารักกันด้วยใจบริสุทธิ์ก็จริง แต่สรวงสวรรค์และสงครามมิอาจดำรงอยู่ร่วมกันได้ หากพวกเจ้าปรารถนาจะรักกันจริง จงลงไปยังโลกมนุษย์! ใช้ชีวิตในสามภพสามชาติ เรียนรู้ถึงรักแท้และความเสียสละ หากสามารถผ่านบททดสอบด่านเคราะห์แห่งโชคชะตาได้ พวกเจ้าจึงจะมีสิทธิ์ครองคู่กัน พวกเจ้ายอมรับเคราะห์กรรมนี้หรือไม่?"
เทพแห่งสงครามและเทพธิดาแห่งจันทราสบตากันอย่างเข้าใจ รักที่พวกเขามีต่อกันบริสุทธิ์เกินกว่าจะปล่อยมือจากกันไปง่าย ๆ
"ท่านว่าอย่างไร... ท่านพร้อมจะด่านเคราะห์โชคชะตาร่วมกับข้าหรือไม่?"
เยว์ซินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงอ่อนโยนแฝงด้วยความมุ่งมั่น
"แน่นอน เยว์ซิน"
จิ่นหลินตอบกลับโดยไม่ลังเล
"ข้ารักเจ้า ต่อให้ต้องเผชิญด่านเคราะห์ยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด ข้าก็จะหาทางกลับมารักเจ้าอีกครั้ง"
"หากพวกเจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว... ต่อจากนี้ ไม่ว่าพวกเจ้าจะเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเซียน หรือแม้แต่เป็นมาร พวกเจ้าต้องยอมรับมันให้ได้ เพราะนี่คือเส้นทางที่พวกเจ้าเลือกเอง ด่านเคราะห์ของพวกเจ้าหนักหนานักหวังว่าพวกเจ้าจะฝ่าฟันได้"
เทพอาวุโสเอ่ยเสียงเคร่งขรึม
มเหสีแห่งจักรพรรดิทอดถอนพระทัย ก่อนเอื้อมมือโอบกอดธิดาของตนเป็นครั้งสุดท้าย
"เยว์ซิน ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว แม่จะไม่ขัดเจ้า ขอให้เจ้ามีสติ ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง เพราะต่อจากนี้ ไม่มีใครคอยปกป้องเจ้าอีกแล้ว"
มืออ่อนโยนของมารดาลูบศีรษะเยว์ซินเบา ๆ แฝงด้วยความรักอันเปี่ยมล้น นางกอดมารดาแน่น ดื่มด่ำกับไออุ่นที่อาจเป็นครั้งสุดท้าย
"ข้ารักท่านพ่อและท่านแม่มาก ลูกคนนี้ต้องขออภัยที่ไม่สามารถอยู่รับใช้ท่านพ่อกับท่านแม่ได้"
น้ำเสียงของนางสั่นเครือ
"หากชาติภพหน้ายังมี ขอให้ลูกได้เกิดเป็นธิดาของท่านอีกครั้ง"
เยว์ซินปาดน้ำตาด้วยใจแน่วแน่ ขณะที่เทพแห่งสงครามก็ร่ำลาบิดามารดาของตนเช่นกัน
ณ วินาทีนั้น ทั้งสองกอดกันแน่น ดั่งจะจารึกสัมผัสสุดท้ายนี้ไว้ในหัวใจ เพราะไม่มีใครรู้ว่าเมื่อเกิดใหม่ พวกเขาจะเป็นคู่รัก หรือเป็นศัตรูที่ต้องทำลายกันเอง
"จิ่นหลิน... สักวันข้าจะกลับมารักท่าน"
เยว์ซินกล่าวก่อนที่ทั้งสองจะจากกัน
"ไม่ว่าภพชาติใด ข้าจะปกป้องเจ้าเสมอ หากวันใดข้าทำร้ายเจ้าขอให้ข้าเจ็บไม่น้อยกว่าเจ้า ดูแลตัวเองแล้วสักวันเราจะกลับมารักกัน"
จิ่นหลิน กล่าวด้วยดวงตาที่อาลัยรักยิ่ง
ทันใดนั้น พลังแห่งสวรรค์ก็แปรเปลี่ยนเป็นสายลมกรรโชก พัดร่างของทั้งคู่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า พวกเขาสบตากันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทุกอย่างจะจมหายไปสู่ห้วงมืดมิดแห่งโลกเบื้องล่าง...
ภพชาติแรก: เงามารแห่งดอกโบตั๋น
มู่หลิน หญิงสาวผู้ถือกำเนิดจากดอกโบตั๋นอันศักดิ์สิทธิ์ ด้วยพลังแห่ง มุขจันทรา อันล้ำค่าจากการภาวนาของ นักพรตอี้เซียน นางมีพลังพิเศษที่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตและทำให้ผู้ครอบครองเป็นอมตะ
ไป๋เทียนหลง บุตรชายแม่ทัพผู้ต้องสูญเสียมารดาจากความอยุติธรรม เขาหนีออกจากบ้านและใช้ชีวิตเร่ร่อนจนกระทั่งถูกชักนำให้เข้าสู่เส้นทางแห่งอธรรม กลายเป็นบุตรบุญธรรมของ จอมมาร และได้รับการฝึกฝนให้เป็นผู้สืบทอดพลังมาร
เมื่อไป๋เทียนหลงได้พบกับมู่หลิน เขารู้ว่านางเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เขากลายเป็นจอมมารผู้ไร้เทียมทาน เขาจึงแสร้งทำดีกับนาง หลอกล่อให้นางมอบพลังให้แก่เขา แต่กลับกลายเป็นว่าความใกล้ชิดทำให้ทั้งสองตกหลุมรักกันจริง ๆ
ทว่าเส้นทางแห่งความรักของพวกเขากลับเต็มไปด้วยขวากหนาม เพราะหากไป๋เทียนหลงรับตำแหน่งจอมมารเต็มตัว โลกมนุษย์จะต้องล่มสลาย ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงร่วมมือกันวางแผนสังหารจอมมารเพื่อทำลายพลังอำนาจ แต่แผนกลับผิดพลาด ไป๋เทียนหลงถูกครอบงำด้วยพลังมารจนไม่อาจหวนคืนได้
จวนไป๋เซียง...เสียงในจวนแตกตื่นเมื่อไป๋เทียนหลงลงมาจากฟ้า แสงสีดำอำมหิตจากร่างของเขาปกคลุมไปทั่ว เขามองดูทุกคนที่ยืนนิ่งด้วยความหวาดกลัว คนรับใช้ในจวนตกใจและตะโกนออกไป“ไปตามท่านแม่ทัพมาเร็ว จอมมารบุกจวนแล้ว!”ชายคนหนึ่งวิ่งไปตามหาท่านแม่ทัพไป๋เฉิงหลงผู้เป็นบิดาของไป๋เทียนหลงทันทีไป๋เฉิงหลงยืนนิ่งเมื่อได้ยินคำรายงานจากลูกน้อง กำปั้นของเขากำแน่น“เจ้าหายออกไปจากจวนข้า คิดว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร? ที่แท้เจ้าก็ไปเป็นมารอย่างนั้นหรือ? หึ...ช่างน่าเวทนาเสียจริง”“หุบปาก! คนใจร้ายอย่างท่านก็ไม่ได้ดีกว่าข้านักหรอก! เป็นสามีที่แย่ ปล่อยให้ภรรยาตัวเองถูกรังแกจนต้องตาย! วันนี้ข้าจะล้างแค้นให้กับท่านแม่ของข้า!”ไป๋เทียนหลงพูดด้วยเสียงกร้าวไป๋เฉิงหลงยิ้มเยาะ“หากเจ้าคิดว่าข้าเป็นเช่นนั้น...ก็มาฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งเลย! ลูกชู้อย่างเจ้าก็ไม่ควรอยู่!”คำว่าลูกชู้นั้นทำให้ไป๋เทียนหลงเจ็บปวดในใจ ดวงตาของเขาร้อนระอุแดงก่ำ มองไปยังบิดาทันที พร้อมใช้วิชามารพลังสีดำพุ่งเข้าใส่ไป๋เฉิงหลงโดยตรง“อ๊าก...เจ้า...”ไป๋เฉิงหลงร้องลั่น ลงไปกองกับพื้นกระอักเลือดทันที“คุณชายใหญ่อย่าทำอย่างนี้เลยนะเจ้าค่ะ...เห็
“เซียวหาน ท่านเห็นศิษย์น้องหรือไม่? นี่ก็นานแล้วที่นางขอไปเดินตลาดคนเดียว ข้าเป็นห่วงนางจริงๆ”ซิวเหยาถามด้วยความกังวล ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความห่วงใย“เจ้าอย่าห่วงนางเลย นางมีวรยุทธและของวิเศษมากมาย ไม่มีใครสามารถทำอะไรนางได้หรอก”เซียวหานกล่าวเสียงเบา แล้วหันมามองนางอย่างอ่อนโยน“ว่าแต่...เจ้าอยากไปที่ใด ข้าจะพาเจ้าไปเอง”ซิวเหยายิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ ที่เขาทำให้รู้สึกอบอุ่นในใจ ทั้งคำพูดและการกระทำของเขากลับทำให้นางรู้สึกเหมือนมีคนที่พร้อมจะดูแลเสมอ“ท่านนี่ก็น่ารักดีนะ ดูใส่ใจข้าดี”ซิวเหยาพึมพำเบาๆ อย่างรู้สึกดี“เจ้าว่าอะไรนะ?”เซียวหานถามกลับด้วยท่าทีแปลกใจ แม้จะพยายามเก็บความรู้สึกไว้ แต่ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความสงสัย“ข้าไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”นางรีบยิ้มแล้วหันไปมองร้านผลไม้ที่ตั้งอยู่ข้างหน้า "เอาไม้หนึ่ง"นางสั่งพ่อค้าเสียงดังอย่างร่าเริงเซียวหานไม่ลังเล เขาหยิบเงินจากถุงของตัวเองแล้วยื่นให้พ่อค้าทันที ทั้งสองยิ้มให้กัน ก่อนที่ซิวเหยาจะหันกลับไปหามองเขาอย่างดีใจ"ขอบคุณ!"นางยิ้มหวาน ตาเป็นประกาย พร้อมถือไม้ผลไม้ชุบน้ำตาลในมือไปด้วยอย่างอารมณ์ดีเซียวหานมองนางด้วยความพึงพอใจ
เมืองหย่งกง...ชาวเมืองได้จัดเทศกาลหมื่นโคมวิญญาณซึ่งตรงกับคืนจันทร์เต็มดวงของเดือนสิบ ในค่ำคืนนี้ โคมไฟนับพันลอยล่องเหนือแม่น้ำ เปล่งประกายแสงระยิบระยับ ส่องทางให้วิญญาณที่จากไปได้สู่ภพภูมิที่ดีขึ้น ผู้คนต่างมารวมตัวกันเพื่อร่วมพิธีอุทิศดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้วแต่ไม่ใช่แค่เพียงมนุษย์ที่มาร่วมเทศกาลนี้ มารบางตนก็แฝงตัวมาเพื่อแสวงหาพลังจากดวงวิญญาณที่ถูกอัญเชิญ พวกมันดูดกลืนวิญญาณเพื่อเสริมพลังให้ตนเองข่าวลือกระจายไปทั่วเมืองว่าคืนนี้จะมีหญิงสาวที่มีมุกพลังจันทราเดินทางมาถึงเมืองแห่งนี้ และแน่นอน ไป๋เทียนหลง บุตรจ้าวแห่งจอมมาร ก็จะมาที่นี่เช่นกัน เขามาที่นี่เพื่อแสวงหามุกพลังจันทราไปให้ท่านจ้าวแห่งจอมมาร ผู้เป็นบิดาของเขาไป๋เทียนหลงปลอมตัวมาในชุดสีน้ำเงินลายครามสง่างาม เขายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ถือโคมไฟที่ส่องแสงระยิบระยับในมือเพื่อลอยไปตามแม่น้ำแต่แล้วเขาก็พบกับหญิงสตรีผู้หนึ่ง นางเดินตรงเข้ามาหาเขา ความงามของนางสะกดทุกๆ สายตา นางงดงามราวกับดวงจันทรา ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนนางคือ มู่หลิน ผู้ที่เขาเคยพบในป่าครั้งนั้น“นี่ท่านคือคนที่ข้าช่วยชีวิตท่านไว้ในป่าใช่หรือไม่?”มู่หลินเอ่ยถามด้ว
เขาไท่ซวน …"มู่หลิน เหตุใดเจ้าถึงไปนอนหมดสติอยู่กลางป่าลึกขนาดนั้น มันเกิดอะไรขึ้น?"ซิวเหยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย ขณะที่สายตาของนางจ้องไปยังมู่หลินด้วยความสงสัย"ข้าจำได้ว่าข้าช่วยชายคนหนึ่ง แล้วอยู่ ๆ ก็เหมือนมีอะไรสักอย่างทำให้ข้าสลบไป"มู่หลินตอบเสียงเบา สายตาหลบเล็กน้อย ขณะที่ระลึกถึงเหตุการณ์ในป่านั้น"แล้วตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?"เซียวหานถามอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวลที่ไม่สามารถปกปิดได้"ข้าดีขึ้นแล้ว ศิษย์พี่ทั้งสองไม่ต้องกังวล"มู่หลินยิ้มบาง ๆ ตอบรับคำถามนั้น เธอรู้ดีว่าทั้งสองคนห่วงใยเธอมากแค่ไหนเซียวหานและซิวเหยาเป็นศิษย์ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนจากนักพรตอี้เซียน ผู้มีวิชา และวรยุทธเก่งกล้า ทั้งสองต่างเป็นผู้ที่มีทักษะในการปราบมารอย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะเซียวหานที่มีอาวุธคู่กายเป็นกระบี่ปราบมาร "ทยาลกันต์" ซึ่งกระบี่เล่มนี้มีพลังอันแข็งแกร่ง เพราะถูกหลอมด้วยเหล็กกล้าสวรรค์และไฟอเวจี ใช้โลหิตของเซียนทั้งแปดขณะที่ซิวเหยาก็มีอาวุธเป็นพัดเพลงแห่งลม พัดที่มีพลังจากเสียงเพลงของลม เมื่อกางออกเสียงเพลงจากพัดนี้จะสะท้อนคลื่นเสียงที่มีพลังคมดังมีดกรีด
ณ เขาไท่ซวน ภายใต้เงาจันทร์ที่ส่องแสงเย็นตา ลมภูเขาพัดเอื่อยไล้ใบไม้ให้เอนไหวเป็นจังหวะเงียบสงบท่ามกลางสวนดอกโบตั๋นที่ผลิบานในยามราตรีนักพรต"อี้เซียน"ยืนสงบนิ่งอยู่กลางสวนเบื้องหน้าดอกโบตั๋นศักดิ์สิทธิ์ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าผ่าลงกลางดอกโบตั๋นดอกโตเป็นพิเศษ เรือนแสงสว่างจ้ากลีบดอกโบตั๋นสีเงินเรืองรองก็พลิ้วไหว สายลมพัดวนรอบดอกไม้ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติปรากฏขึ้น ร่างของสตรีผู้หนึ่งปรากฏขึ้นทันใดนั้น นางปรากฏกายขึ้นด้วยใบหน้างดงาม ร่างระหง ผมยาวสลวยไหลลงอาบแผ่นหลัง ดวงตากลมดำใสดั่งดวงดาวบนฟากฟ้าในคืนมืด ผิวพรรณขาวผ่องละมุนราวหิมะ ร่างระหงดูประหนึ่งนางฟ้าจากสรวงสวรรค์นางสวมใส่อาภรณ์สีขาวเงินอ่อน นุ่มพลิ้วไหวไปตามลม ราวกับปุยเมฆที่ล่องลอยในท้องฟ้า"เจ้าคือ...มู่หลิน" นักพรตอี้เซียนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเมตตาหญิงสาวกะพริบตา มองเขาด้วยความสงสัยก่อนจะเผยรอยยิ้มสดใสออกมา"ท่านอาจารย์? ข้า...มู่หลินหรือ?""ใช่แล้ว เจ้าถือกำเนิดจากโบตั๋นศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ที่ถูกลิขิตให้เกิดมา"นักพรตเฒ่ายิ้มบาง ๆ สายตาอ่านผ่านโชคชะตาของนางได้เพียงเล็กน้อย รู้แต่ว่านางมิใช่ผู้ธรรมดานางถือกำเนิดมาพ
จวนไป๋เซียง...แม่ทัพไป๋เฉิงหลง แม่ทัพผู้เกรียงไกรแห่งเมืองหย่งกง มีฮูหยินสองคน ซูเหม่ยหลานเป็นฮูหยินใหญ่ นางได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อไป๋เทียนหลง ทั้งสองแม่ลูกใช้ชีวิตในจวนอย่างโดดเดี่ยว เพราะคำใส่ร้ายของจ้าวหงหลิง ฮูหยินรองแห่งจวนไป๋เซียงเมื่อครั้งที่แม่ทัพไป๋เฉิงหลงมีความรักในตัวซูเหม่ยหลาน แต่ทว่า นางกลับมีใจให้แก่ชายอื่นอยู่แล้ว ทว่า ด้วยคุณงามความดีจากการชนะศึกมาได้ จึงขอพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ เพื่อให้ซูเหม่ยหลานเข้ามาเป็นฮูหยินแห่งจวนไป๋เซียงการแต่งงานจึงเป็นไปตามพระราชโองการโดยมิอาจขัดขืนได้ นางจึงต้องแต่งงานอยู่กินกับแม่ทัพไป๋เฉิงหลงแต่ด้วยการที่แม่ทัพต้องออกไปทำสงครามบ่อยครั้ง จึงมีคนสร้างเรื่องขึ้นมาโดยอ้างว่า บุตรชายของซูเหม่ยหลานไม่ใช่บุตรแท้ของแม่ทัพแต่เป็นบุตรของคนรักเก่าของนาง ซึ่งทำให้แม่ทัพไป๋เฉิงหลงเกิดความไม่พอใจ ทุกครั้งที่มองเห็นบุตรของตน ก็รู้สึกเคียดแค้นในใจ ทำให้ไป๋เทียนหลงต้องกลายเป็นเด็กที่ไม่ได้รับความรักจากพ่อแท้ ๆ สองแม่ลูกใช้ชีวิตอยู่ในจวนอย่างขมขื่นบรรยากาศยามเช้าในจวนไป๋เซียงเต็มไปด้วยความเงียบสงบและความเยือกเย็นที่แผ่กระจายไปทั่ว เสียงนกร้องดังแว่ว
ห้องบรรทมเยว์ซิน เทพแห่งจันทรา“เร็วซือเหยามาช่วยข้า ท่านพ่อ ท่านแม่เรียกหาข้าแล้ว”“เพคะธิดาเทพ”ซือเหยาช่วยเยว์ซินแต่งองค์ให้สง่างามสมกับที่เป็นเทพธิดาแห่งจันทราของสวรรค์ แม้นางจะเป็นหญิงตัวเล็ก ๆ แสนซน แต่หน้าที่ของนางนั้นยิ่งใหญ่นัก คำสั่งของสวรรค์นั้นไม่อาจละเลยได้“ธิดาเทพแห่งจันทราเจ้าไปที่ใดมา ทำไมหมู่นี้ข้าไม่เจอเจ้ามาที่ท้องพระโรงเลย”เสียงท่านเฮ่าเทียนตี้จุนผู้เป็นบิดาดังขึ้นในห้อง ท่าทางตื่นตระหนกเล็กน้อย“ท่านพ่อเพคะ ข้าเป็นเทพธิดาตัวเล็ก ๆ จะไปไหนได้เพคะ อยู่ได้แค่สวนในสรวงสวรรค์เท่านั้นเพคะ”เยว์ซินพูดพลางยิ้ม ตอบคำถามของบิดา“ท่านพี่ก็อย่าว่าลูกเลย นางก็มีกิจของนาง”ตี้หย่งเหอกล่าวปกป้องธิดาของตนทันที เยว์ซินมองตามารดาแล้วยิ้มอบอุ่นที่เห็นมารดาปกป้องนางจนถึงขนาดนี้“ท่านแม่เข้าใจลูกที่สุด”เยว์ซินเข้าไปกอดมารดาของนางอย่างออดอ้อน“ถ้าท่านพ่อไม่มีอะไรจะตรัสกับข้าแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะเพคะ”เยว์ซินยกมือประสานคารวะผู้เป็นบิดาและมารดาอย่างนอบน้อม จากนั้นนางหมุนตัวเพื่อเดินจากไปจนถึงประตูแต่ทันใดนั้นก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อคนที่เดินตรงเข้ามาผู้นั้นคือ จิ่นหลิง“ท่านมาที่นี่ได้อย
เยว์ซินได้จัดการปีศาจแมงป่องจนสิ้นซากเป็นที่เรียบร้อย ค่ำคืนนี้ทั้งสองยังคงพักอยู่ที่นี่ ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงรายงานจากซือเหยาดังขึ้นหลังจากไปสำรวจรอบๆ กระท่อม“ธิดาเทพเพคะ ข้างหลังกระท่อมมีโครงกระดูกมนุษย์มากมายเต็มไปหมด คาดว่าผู้คนคงถูกหลอกล่อให้มายังหุบเขานี้เพื่อดูดกลืนพลังวิญญาณบริสุทธิ์ กะโหลกส่วนใหญ่เป็นกะโหลกของเด็กๆ ทั้งนั้น”เยว์ซินโกรธแค้นยิ่งนักเมื่อได้ยินรายงานนี้ ปีศาจชั่วร้ายเช่นนี้ไม่ควรปล่อยไว้“เรื่องนี้ข้าไม่อาจนิ่งเฉยได้! รุ่งสางข้าจะต้องเข้าไปในถ้ำของหุบเขานี้ให้ได้ คืนนี้เจ้าพักผ่อนเสียเถอะ เหนื่อยมามากแล้ว โลกมนุษย์ไม่เหมือนสวรรค์ ทุกการกระทำต้องใช้พลังจากร่างกาย ทำให้เราเหนื่อยล้าได้”รุ่งสางทั้งสองเดินทางเข้าไปในหุบเขาผีเสื้อดำ เส้นทางแคบ ๆ เต็มไปด้วยกลิ่นดอกลมหายใจปีศาจที่ลอยคลุ้งไปทั่วอากาศ ทั้งสองใช้ผ้าปิดจมูกแน่นหนา เพราะหากสูดดมกลิ่นเข้าไปเพียงแค่ครู่เดียว ร่างกายจะค่อยๆ แข็งทื่อ หัวใจเต้นช้าลง จนกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ“ดอกไม้ที่นี่ล้วนมีพิษทั้งนั้น ระวังตัวด้วยนะ ซือเหยา” เยว์ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่กังวลซือเหยาพยักหน้า ก่อนที่ทั้งสองจะเดินลึกเข้าไป
บรรยากาศบนสรวงสวรรค์เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เหล่าเทพเซียนจากทั่วทุกชั้นฟ้าได้รวมตัวกัน ณ ท้องพระโรงแห่งสวรรค์ เพื่อหารือถึงวิกฤตที่กำลังคุกคามทั้งโลกมนุษย์และแดนสวรรค์เหนือบัลลังก์ทองคำ เฮ่าเทียนตี้จุน จักรพรรดิผู้ครองสวรรค์ ทรงเปล่งสุรเสียงหนักแน่น สะท้อนก้องไปทั่วท้องพระโรง“บัดนี้ หมู่มารได้บังอาจบุกรุก ทำลายและครอบครองโลกมนุษย์ มิหนำซ้ำ ยังลามปามขึ้นมาก่อกวนยังสรวงสวรรค์! พวกเราจะนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้! จะต้องหาทางกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก!”เฮ่าเทียนตี้จุนผู้ปกครองสวรรค์กล่าวเสียงสนทนาอื้ออึงของเหล่าเทพเซียนดังกระหึ่มด้วยความกังวล เทพแห่งสงครามผู้ทรงพลังที่สุดในบรรดาเทพนักรบลุกขึ้น ประสานมือคารวะจักรพรรดิอย่างเคร่งขรึม“องค์จักรพรรดิ ข้าได้ส่งบุตรชายของข้าลงไปสำรวจโลกมนุษย์แล้ว” เสียนเทียนกล่าว“เขาเป็นเทพแห่งสงครามที่เก่งกาจยิ่งนัก ข้ายินดีจะให้เขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพสวรรค์ในการศึกครั้งนี้”เฮ่าเทียนตี้จุนพยักหน้าช้า ๆ ดวงเนตรเปล่งประกายทรงอำนาจ“ดีมาก อย่างไรก็ดี พวกเจ้าจะต้องช่วยกันเฝ้าระวังปกป้องทั้งโลกมนุษย์และสวรรค์ ข้าจะไม่ยอมให้หมู่มารเหิมเกริมไปมากกว่านี้”ขณะที่เหล่าเทพสนทนา