ห้องบรรทมเยว์ซิน เทพแห่งจันทรา
“เร็วซือเหยามาช่วยข้า ท่านพ่อ ท่านแม่เรียกหาข้าแล้ว”
“เพคะธิดาเทพ”
ซือเหยาช่วยเยว์ซินแต่งองค์ให้สง่างามสมกับที่เป็นเทพธิดาแห่งจันทราของสวรรค์ แม้นางจะเป็นหญิงตัวเล็ก ๆ แสนซน แต่หน้าที่ของนางนั้นยิ่งใหญ่นัก คำสั่งของสวรรค์นั้นไม่อาจละเลยได้
“ธิดาเทพแห่งจันทราเจ้าไปที่ใดมา ทำไมหมู่นี้ข้าไม่เจอเจ้ามาที่ท้องพระโรงเลย”
เสียงท่านเฮ่าเทียนตี้จุนผู้เป็นบิดาดังขึ้นในห้อง ท่าทางตื่นตระหนกเล็กน้อย
“ท่านพ่อเพคะ ข้าเป็นเทพธิดาตัวเล็ก ๆ จะไปไหนได้เพคะ อยู่ได้แค่สวนในสรวงสวรรค์เท่านั้นเพคะ”
เยว์ซินพูดพลางยิ้ม ตอบคำถามของบิดา
“ท่านพี่ก็อย่าว่าลูกเลย นางก็มีกิจของนาง”
ตี้หย่งเหอกล่าวปกป้องธิดาของตนทันที เยว์ซิน
มองตามารดาแล้วยิ้มอบอุ่นที่เห็นมารดาปกป้องนางจนถึงขนาดนี้
“ท่านแม่เข้าใจลูกที่สุด”
เยว์ซินเข้าไปกอดมารดาของนางอย่างออดอ้อน
“ถ้าท่านพ่อไม่มีอะไรจะตรัสกับข้าแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะเพคะ”
เยว์ซินยกมือประสานคารวะผู้เป็นบิดาและมารดาอย่างนอบน้อม จากนั้นนางหมุนตัวเพื่อเดินจากไปจนถึงประตู
แต่ทันใดนั้นก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อคนที่เดินตรงเข้ามาผู้นั้นคือ จิ่นหลิง
“ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”
เยว์ซินถามด้วยความตกใจ ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความงุนงง
จิ่นหลิงเองก็มีสีหน้าตกใจไม่ต่างกันเมื่อพบว่าเยว์ซินอยู่ที่นี่
“แล้วเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
เขาถามกลับด้วยเสียงที่เริ่มไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน
ยังไม่ทันที่เยว์ซินจะได้ตอบคำถาม เสียงทักทายจากเฮ่าเทียนตี้จุน จักรพรรดิสวรรค์ก็ดังขึ้นมา
“เทพแห่งสงคราม มาเร็วๆ ข้ารอเจ้าอยู่พอดี”
จิ่นหลิงยกมือประสานคาระวะองค์เทพทั้งสอง รู้ดีว่ามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ
เยว์ซินยืนอยู่ตรงนั้น รอเวลาที่จะได้พบกับจิ่นหลิง ทันทีที่จิ่นหลิงเข้าเฝ้าเฮ่าเทียนตี้จุนผู้ปกครองสวรรค์ เสร็จเขารีบออกมาหานางทันที
“เมื่อครู่ข้าต้องรีบเข้าเฝ้าจักรพรรดิต้องขอโทษเจ้าด้วย ข้าดีใจที่เจอเจ้า”
เขาพูดพลางยิ้มเล็กน้อยเหมือนจะขอโทษจากใจ
“แต่ข้าไม่ดีใจที่เจอเจ้าที่นี่! ที่นี่คือสวรรค์! เจ้าคิดถึงกฎแห่งสวรรค์บ้างหรือไม่?”
เสียงเยว์ซินดังขึ้นพร้อมกับความกังวลที่ซ่อนอยู่ภายใน แววตาของนางแฝงไปด้วยความวิตกกังวลจากกฎแห่งสวรรค์ที่นางเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
จิ่นหลิงยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาคิดอย่างจริงจังและก็ต้องชะงัก เพราะทั้งสองต่างมีความรักให้กัน แต่กฎแห่งสวรรค์ห้ามไว้
“ข้าคือเทพแห่งจันทรา เป็นธิดาของเฮ่าเทียนตี้จุน ข้ามีหน้าที่ดูแลความสงบและรักษาความสมดุลของจักรวาล รวมถึงการคุ้มครองโลกมนุษย์
"ส่วนท่าน... เทพแห่งสงคราม มีหน้าที่รักษาความแข็งแกร่งและการปกป้องในสนามรบ พลังของเรานั้นขัดแย้งกัน หากเราผูกพันเป็นความรัก... จะผิดกฎแห่งสวรรค์เพราะมีข้อห้ามไม่ให้เทพที่มีพลังที่ขัดแย้งกันมาอยู่ร่วมกัน เพื่อรักษาสมดุลของจักรวาล แล้วเราจะครองรักกันได้อย่างไร?”
เยว์ซินพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ความรู้สึกที่ท่วมท้นในใจทำให้นางไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้
จิ่นหลิงมองนางตาไม่กะพริบ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่นและมุ่งมั่น
“เจ้าใจเย็นๆ ก่อนนะ ทุกสิ่งย่อมมีทางออก...”
เขาเอื้อมมือไปจับมือของนางเบาๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวัง
น้ำตาของเยว์ซินเริ่มเอ่อล้นขึ้นมา ความหวังที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขาทำให้หัวใจของนางเต้นแรง แต่กฎแห่งสวรรค์จะยอมให้พวกเขามีความรักได้จริงหรือ?
ท่ามกลางสวนแห่งสวรรค์ที่โปรยปรายด้วยละอองเมฆสีทอง ดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์เบ่งบานส่งกลิ่นหอมอบอวล ต้นไม้แห่งชีวิตสั่นไหวราวกับรับรู้ถึงโชคชะตาของผู้ที่ยืนอยู่ใต้ร่มเงาของมัน
ร่างของทั้งสองกอดกันแนบแน่น หัวใจเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน ก่อนที่เสียงอึกทึกจะดังขึ้น เทพสูงศักดิ์หลายองค์เสด็จลงมา พร้อมแววตาเข้มงวด
"เทพแห่งจันทรา! เทพแห่งสงคราม! พวกเจ้ากล้าละเมิดกฎสวรรค์เช่นนั้นหรือ?"
เสียงของเทพอาวุโสดังก้องไปทั่วสวน
ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วชั้นฟ้า ราวกับสายลมพัดกระจายประกาศถึงความผิดบาปอันใหญ่หลวง ทั้งสองถูกเรียกเข้าสู่ท้องพระโรงสวรรค์ วิหารทองคำเจิดจรัส
แต่บรรยากาศกลับเย็นยะเยือกจนน่าอึดอัด เทพเจ้ามากมายรายล้อมเป็นพยาน สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่พวกเขาราวกับรอคอยบทลงโทษ
"เสด็จพ่อ เสด็จแม่เพคะ ข้ากับเทพแห่งสงครามรักกันด้วยใจบริสุทธิ์ "
เสียงของเทพแห่งจันทราสั่นเครือขณะคุกเข่าลงเบื้องหน้าบัลลังก์สวรรค์ ทว่าในดวงตากลับเปล่งประกายแน่วแน่ มิได้หวาดหวั่นต่อโชคชะตาใด ๆ
จักรพรรดิสวรรค์ทอดพระเนตรนางนิ่ง ก่อนมีรับสั่งด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
"พวกเจ้ารักกันด้วยใจบริสุทธิ์ก็จริง แต่สรวงสวรรค์และสงครามมิอาจดำรงอยู่ร่วมกันได้ หากพวกเจ้าปรารถนาจะรักกันจริง จงลงไปยังโลกมนุษย์! ใช้ชีวิตในสามภพสามชาติ เรียนรู้ถึงรักแท้และความเสียสละ หากสามารถผ่านบททดสอบด่านเคราะห์แห่งโชคชะตาได้ พวกเจ้าจึงจะมีสิทธิ์ครองคู่กัน พวกเจ้ายอมรับเคราะห์กรรมนี้หรือไม่?"
เทพแห่งสงครามและเทพธิดาแห่งจันทราสบตากันอย่างเข้าใจ รักที่พวกเขามีต่อกันบริสุทธิ์เกินกว่าจะปล่อยมือจากกันไปง่าย ๆ
"ท่านว่าอย่างไร... ท่านพร้อมจะด่านเคราะห์โชคชะตาร่วมกับข้าหรือไม่?"
เยว์ซินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงอ่อนโยนแฝงด้วยความมุ่งมั่น
"แน่นอน เยว์ซิน"
จิ่นหลินตอบกลับโดยไม่ลังเล
"ข้ารักเจ้า ต่อให้ต้องเผชิญด่านเคราะห์ยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด ข้าก็จะหาทางกลับมารักเจ้าอีกครั้ง"
"หากพวกเจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว... ต่อจากนี้ ไม่ว่าพวกเจ้าจะเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเซียน หรือแม้แต่เป็นมาร พวกเจ้าต้องยอมรับมันให้ได้ เพราะนี่คือเส้นทางที่พวกเจ้าเลือกเอง ด่านเคราะห์ของพวกเจ้าหนักหนานักหวังว่าพวกเจ้าจะฝ่าฟันได้"
เทพอาวุโสเอ่ยเสียงเคร่งขรึม
มเหสีแห่งจักรพรรดิทอดถอนพระทัย ก่อนเอื้อมมือโอบกอดธิดาของตนเป็นครั้งสุดท้าย
"เยว์ซิน ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว แม่จะไม่ขัดเจ้า ขอให้เจ้ามีสติ ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง เพราะต่อจากนี้ ไม่มีใครคอยปกป้องเจ้าอีกแล้ว"
มืออ่อนโยนของมารดาลูบศีรษะเยว์ซินเบา ๆ แฝงด้วยความรักอันเปี่ยมล้น นางกอดมารดาแน่น ดื่มด่ำกับไออุ่นที่อาจเป็นครั้งสุดท้าย
"ข้ารักท่านพ่อและท่านแม่มาก ลูกคนนี้ต้องขออภัยที่ไม่สามารถอยู่รับใช้ท่านพ่อกับท่านแม่ได้"
น้ำเสียงของนางสั่นเครือ
"หากชาติภพหน้ายังมี ขอให้ลูกได้เกิดเป็นธิดาของท่านอีกครั้ง"
เยว์ซินปาดน้ำตาด้วยใจแน่วแน่ ขณะที่เทพแห่งสงครามก็ร่ำลาบิดามารดาของตนเช่นกัน
ณ วินาทีนั้น ทั้งสองกอดกันแน่น ดั่งจะจารึกสัมผัสสุดท้ายนี้ไว้ในหัวใจ เพราะไม่มีใครรู้ว่าเมื่อเกิดใหม่ พวกเขาจะเป็นคู่รัก หรือเป็นศัตรูที่ต้องทำลายกันเอง
"จิ่นหลิน... สักวันข้าจะกลับมารักท่าน"
เยว์ซินกล่าวก่อนที่ทั้งสองจะจากกัน
"ไม่ว่าภพชาติใด ข้าจะปกป้องเจ้าเสมอ หากวันใดข้าทำร้ายเจ้าขอให้ข้าเจ็บไม่น้อยกว่าเจ้า ดูแลตัวเองแล้วสักวันเราจะกลับมารักกัน"
จิ่นหลิน กล่าวด้วยดวงตาที่อาลัยรักยิ่ง
ทันใดนั้น พลังแห่งสวรรค์ก็แปรเปลี่ยนเป็นสายลมกรรโชก พัดร่างของทั้งคู่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า พวกเขาสบตากันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทุกอย่างจะจมหายไปสู่ห้วงมืดมิดแห่งโลกเบื้องล่าง...
ภพชาติแรก: เงามารแห่งดอกโบตั๋น
มู่หลิน หญิงสาวผู้ถือกำเนิดจากดอกโบตั๋นอันศักดิ์สิทธิ์ ด้วยพลังแห่ง มุขจันทรา อันล้ำค่าจากการภาวนาของ นักพรตอี้เซียน นางมีพลังพิเศษที่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตและทำให้ผู้ครอบครองเป็นอมตะ
ไป๋เทียนหลง บุตรชายแม่ทัพผู้ต้องสูญเสียมารดาจากความอยุติธรรม เขาหนีออกจากบ้านและใช้ชีวิตเร่ร่อนจนกระทั่งถูกชักนำให้เข้าสู่เส้นทางแห่งอธรรม กลายเป็นบุตรบุญธรรมของ จอมมาร และได้รับการฝึกฝนให้เป็นผู้สืบทอดพลังมาร
เมื่อไป๋เทียนหลงได้พบกับมู่หลิน เขารู้ว่านางเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เขากลายเป็นจอมมารผู้ไร้เทียมทาน เขาจึงแสร้งทำดีกับนาง หลอกล่อให้นางมอบพลังให้แก่เขา แต่กลับกลายเป็นว่าความใกล้ชิดทำให้ทั้งสองตกหลุมรักกันจริง ๆ
ทว่าเส้นทางแห่งความรักของพวกเขากลับเต็มไปด้วยขวากหนาม เพราะหากไป๋เทียนหลงรับตำแหน่งจอมมารเต็มตัว โลกมนุษย์จะต้องล่มสลาย ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงร่วมมือกันวางแผนสังหารจอมมารเพื่อทำลายพลังอำนาจ แต่แผนกลับผิดพลาด ไป๋เทียนหลงถูกครอบงำด้วยพลังมารจนไม่อาจหวนคืนได้
แสงแดดอ่อนของยามเช้าส่องลอดผ่านม่านหน้าต่าง อุณหภูมิในห้องผู้ป่วยอุ่นสบาย ทว่าหัวใจของหญิงสาวกลับเต้นแรงอย่างไม่เป็นจังหวะ เมื่อดวงตาคู่งามเริ่มขยับเปลือกตาขึ้นช้า ๆจางเจียว ลืมตาขึ้นอย่างเลื่อนลอยในวินาทีแรก เธอไม่รู้ว่าตัวเองฝันอยู่หรือไม่ แต่เมื่อเธอหันไปทางเตียงข้าง ๆ ...เธอเห็นเขา - กู้เหยี่ยนนอนอยู่ที่ ใบหน้าซีดจางแต่มีรอยยิ้มอ่อนโยน และที่สำคัญ... ดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมองเธออย่างอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งที่เขารักเธอเขายิ้ม...เธอไม่อาจกลั้นเสียงสะอื้นได้อีกต่อไป“ขอบคุณ...”เสียงของเธอสั่นเครือเมื่อพูดออกมา“ขอบคุณที่คุณยังรักษาสัญญา…”“ขอบคุณที่ไม่ทิ้งฉันกับลูกไป… กู้เหยี่ยน คนบ้า…”น้ำตาของเธอไหลลงช้า ๆ ขณะที่รอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้าเธอไม่สนว่าตัวเองยังเพิ่งฟื้น ไม่สนแม้ร่างกายยังอ่อนแรง เธอรีบลุกจากเตียง เดินตรงเข้าไปหาชายคนที่เธอเกือบเสียไปตลอดกาลกู้เหยี่ยนยื่นมือออกมา...และเธอก็ทิ้งตัวลงกอดเขาแน่นทั้งน้ำตา“คุณรู้ไหม... ใจฉันแทบสลายตอนรู้ว่าคุณไม่หายใจ... ฉันกลัว... กลัวจนแทบจะตายตามคุณไป…”มือของเขาลูบผมเธอเบา ๆ จ้องมองเธอไม่ละสายตา“ผมต้องพยายามกลับมาให้ได้... เพราะผมสั
ท่ามกลางบรรยากาศฝนตกหนัก พายุคำรามราวกับฟ้ากำลังร่ำไห้ ประธานกู้ขับรถออกจากบ้านด้วยหัวใจอัดแน่นด้วยความกังวลเร่งรีบรถแน่นออกไปได้ไม่เกินสอบนาที เสียงล้อบดถนนดังกึกก้อง กระจกรถข้างหน้าพร่าเลือนด้วยม่านน้ำที่โปรยปรายลงมาไม่หยุด รถเสียหลักชนเข้ากับต้นไม้ข้างทางอย่างรุนแรง เสียงเหล็กบิดเบี้ยวดังลั่นไปทั่วบริเวณ ก่อนรถทั้งคันตีลังกาคว่ำสองตลบใครที่ผ่านไปพบเห็น ต่างพากันคิดว่าคนในรถคงไม่มีทางรอด...ในเวลาเดียวกันนั้นจางเจียว ยังนั่งรอฟังข่าวของลูกชายของ ดร.จอห์น ด้วยใจสั่นระรัว แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นฝันร้ายที่เธอไม่เคยคาดคิด“คุณนายค่ะ... ประธานกู้รถคว่ำค่ะ! ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล อาการเป็นตายเท่ากัน!”มือของจางเจียวสั่นระริก ใบหน้าเธอซีดเผือดก่อนเสียงสะอื้นแรกจะหลุดลอดริมฝีปากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่“ไม่นะ... ไม่นะ... ฮือ ฮือ ฮือ... คุณอย่าทิ้งฉันกับลูกไปนะ... ได้โปรดกลับมาหาพวกเรานะคะ... ที่รัก...”โรงพยาบาลบรรยากาศในโรงพยาบาลเงียบงันแต่เต็มไปด้วยแรงสั่นสะเทือนแห่งความวิตก ทุกคนต่างมารวมตัวกันเฝ้ารอฟังผลจากห้องฉุกเฉิน ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความหวังผสมความสิ้นหวังจางเจียว นั่งนิ่งอยู่
หลังจบทริปบริษัท บรรดาพนักงานต่างเดินทางกลับด้วยรถบัส ขณะที่ประธานกู้และประธานสื่อต่างให้คนขับรถส่วนตัวมารับกลับอย่างเงียบๆกู้เหยี่ยนเลือกพาจางเจียว ไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศริมทะเล ซึ่งถูกโอบล้อมด้วยสวนดอกกุหลาบสีขาวที่เบ่งบานงดงามทั่วบริเวณทันทีที่จางเจียวก้าวลงจากรถหรู สายตาเธอก็ทอดมองไปทั่วสวนอย่างประทับใจ“ที่นี่สวยมากเลยค่ะ...”เสียงเธอเบาแต่นุ่มนวลเขายิ้มบาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น“ผมสั่งให้เขาจัดสวนนี้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว...ผมทำเพื่อคุณนะ”เธอหันกลับมามองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน“ขอบคุณที่ใส่ใจฉันนะคะ...มันสวยจริงๆ”“ผมยินดีทำทุกอย่างเพื่อคุณ เดือนหน้าเราก็จะแต่งงานกันแล้ว...ผมเฝ้ารอวันนั้นทุกลมหายใจเลย”“แต่ถ้าเราแต่งเร็ว คุณอาจไม่มีอิสระอีกนะ...”เธอพูดด้วยความลังเล“ผมไม่ต้องการอิสระอะไรทั้งนั้น ขอแค่มีคุณอยู่ข้างๆ แค่นั้นก็พอแล้ว”เธอยิ้มละมุน หัวใจพลันอ่อนลงกับคำพูดอ่อนโยนนั้น“ปากหวานจริงนะคะ...”“เข้าบ้านกันเถอะครับ” เขาเอ่ยพลางยื่นมือให้จางเจียวส่งยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น ก่อนจะก้าวเดิน แต่ยังไม่ทันถึงขั้นบันได เธอกลับเซไปเหมือนจะวูบกู้เหยี่ยนเห็นท่าไม่ดี รีบเข้าประคองแล
เพื่อเป็นการตอบแทนความเหน็ดเหนื่อยของพนักงานที่ทำผลงานยอดเยี่ยมตลอดไตรมาส บริษัทกู้กรุ๊ปจึงจัดทริป “สานสัมพันธ์” ที่รีสอร์ตริมทะเล 3 วัน 2 คืน โดยมีพนักงานจากทุกแผนกเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียงและสิ่งที่สร้างความตื่นเต้นมากที่สุดคือ…ประธานใหญ่ กู้เหยี่ยน ตอบตกลงเข้าร่วมงานด้วยตัวเอง!พร้อมกับพา จางเจียว เลขาสาวคนสนิท ที่ตอนนี้ทุกคนก็รู้ว่าไม่ใช่แค่เลขา แต่เป็นว่าที่คุณนายกู้นอกจากนี้ยังมีแขกรับเชิญพิเศษจากบริษัทพันธมิตร ประธานสือและแฟนสาว หลินหลินที่เพิ่งเปิดตัวกันหมาด ๆ ก็ขอตามมาร่วมแจมด้วยเช่นกันเช้าวันเดินทาง รถบัสสองคันจอดรออยู่หน้าตึกสำนักงานใหญ่ พนักงานต่างถ่ายรูป เช็กอิน และโพสต์ภาพกันอย่างคึกคักประธานกู้เดินลงจากรถหรู พร้อมลากกระเป๋าเดินทางตรงมายังรถบัสในชุดลำลองสีขาวสะอาดตา แตกต่างจากภาพลักษณ์ประธานเย็นชาที่เห็นในห้องประชุมโดยสิ้นเชิงข้างกายคือจางเจียว ในเดรสยาวสีขาว สายเดี่ยวมัดโบว์ เผยให้เห็นความสดใสน่ารักอย่างล้นเหลือ“ทุกคนพร้อมรึยังครับ?”เขาถามพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นเสียงเฮดังลั่นทันที พร้อมเสียงแซวเบา ๆ“พร้อมตั้งแต่รู้ว่าประธานจะไปแล้วค่า~”ไม่นาน รถยนต์หรูอีกคันก็จอด
“ไหนใครบ่นคิดถึงผม?”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาหลินหลินสะดุ้งเธอหันขวับไปตามเสียง ก่อนจะพบกับร่างสูงของ ประธานสือ ยืนไขว้ขาพิงกรอบประตู ใบหน้าเรียบเฉยภายใต้กรอบแว่นไร้ขอบที่มองมาไม่วางตาสูทสีดำหรู เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมบนเพียงเม็ดเดียว เผยช่วงอกแน่นล่ำพอให้ใจเต้น เส้นผมเซตอย่างลวก ๆ แต่กลับดูดี“ประธานสือ! คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่!”เธอรีบวางแก้วกาแฟ ตาโตด้วยความตกใจ เขิน และ...หงุดหงิดเขาเดินเข้ามาใกล้ หยุดตรงหน้าเธอโดยไม่ตอบคำถาม ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ“เปิดดูแชทหลายรอบแล้วใช่ไหม? ผมเห็นตั้งแต่คุณถอนหายใจรอบแรก”“คุณ...แอบดูฉันเหรอ?!”“ก็คุณชอบทำตัวให้น่าจับตามอง”หลินหลินอ้าปาก แต่พูดไม่ออก ความเขินตีขึ้นหน้าแดงจัด ขณะมือหนาลูบศีรษะเธอเบา ๆ“ก็คุณไม่โทร ไม่ตอบแชท ฉันก็นึกว่าคุณไม่สนใจ...”“แบตหมดตอนประชุมครับ”เขาตอบ พร้อมยื่นมือถือให้ดูเธอชะงักไปชั่วครู่... แต่ก็ไม่ยอมให้เขาชนะง่าย ๆ“ก็ได้ งั้นฉันไม่โกรธก็ได้”เขายิ้มมุมปากบาง ๆ ก่อนโน้มตัวกระซิบข้างหู“ต่อให้คุณโกรธ ผมก็ตามง้ออยู่ดี”น้ำเสียงของเขานุ่มลึก แฝงแรงปรารถนาบางอย่างก่อนกระซิบข้าง ๆ ใบหูของเธอ“คืนนี้...ไปกินข้าวที
บริษัทตระกูลกู้ภายในห้องทำงานใหญ่ชั้นบนสุดของอาคารจางเจียวนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ พลางไล่ดูเอกสารอย่างตั้งใจ แสงแดดยามสายลอดผ่านม่านโปร่งบางสร้างบรรยากาศสงบแต่ไม่เงียบเหงาเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆก๊อก... ก๊อก..“ขออนุญาตค่ะคุณจาง ประธานกู้สั่งให้เอานี่มาให้ค่ะ”เลขาซูเดินเข้ามาพร้อมถาดขนม ในถาดมีเค้กช็อกโกแลตเนื้อเนียนนุ่มกับชาผลไม้กลิ่นหอมสดชื่นเมนูโปรดของจางเจียวทั้งคู่ เธอวางถาดลงตรงหน้าจางเจียวอย่างสุภาพ“ขอบคุณมากนะคะ เลขาซู”“ยินดีค่ะ ตั้งแต่คุณจางเข้ามาทำงานที่นี่…ประธานของเราก็อารมณ์ดีขึ้นมากเลยค่ะ ไม่เย็นชาเหมือนเมื่อก่อนเลย”เลขาซูพูดยิ้ม ๆ แต่ยังไม่ทันจะพูดต่อ เสียงประตูเปิดออกเบา ๆ“แน่นอนอยู่แล้วครับเลขาซู...”เสียงทุ้มอบอุ่นของกู้เหยี่ยนดังขึ้นข้างหลัง“…ก็ผมได้อยู่ใกล้ว่าที่ภรรยา จะไม่ให้มีความสุขได้ยังไงล่ะ”“อุ๊ย! ท่านประธาน...”เลขาซูยกมือปิดปาก ยิ้มเขินแต่ไม่ลืมโค้งให้เบา ๆ ก่อนจะถอยออกจากห้องอย่างรู้จังหวะ“เลขาซู เดี๋ยวผมขอพักสักครู่ห้ามมีใครรบกวนผมนะครับ”“รับทราบค่ะท่านประธาน”จางเจียวยิ้มเขิน แก้มแดงระเรื่อเมื่อได้ยินคำพูดนั้นต่อหน้าคนอื่น เธอแสร้งก้มหน้