LOGIN
ซานหลิน เมืองเล็กทางตอนใต้ของแคว้นเฟิงหยางตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาล้อมรอบ ชาวเมืองเริ่มเฉลิมฉลองผลผลิตหลังการเก็บเกี่ยวสิ้นสุด ท้องฟ้าบัดนี้ประดับด้วยดวงดารากระจ่างฟ้า ตัดกับความมืดมิดยามราตรี บทกวีจากความเมามายของบัณฑิตชราถูกเอื้อนเอ่ย
“บัลลังก์สูงเหนือเมฆา
ฮ่องเต้กลับอ่อนแอใจหม่นหมอง
ราชสำนักวุ่นขุนนางแบ่งอำนาจ
ประชาราษฎร์ทุกระทมไร้ความหวัง”
สิ้นเสียงบทกวีของอาจารย์ไร้ชื่อเสียงยามร่ำสุรากับสหายร่วมเมือง ความเงียบงันในเหล่าบัณฑิตผู้รู้อักษรพลันเกิดขึ้น หากแต่กระนั้นยังมีหลายคนชื่นชมบทกวีเย้ยหยันบัลลังก์มังกร จนเสียงร่ายกวีล่องลอยจากเมืองซานหลินเมืองเล็กท่ามกลางป่าเขาที่น้อยคนจะรู้จัก กลับโด่งดังในกลุ่มบัณฑิตรุ่นใหม่จนถูกกล่าวล้อเลียนฮ่องเต้ในงานเลี้ยงน้ำชาหลายครา ทำขุนนางน้อยใหญ่ทั่วราชสำนักไม่พอใจนำเรื่องทูลถวายฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่พึ่งครองราชย์เพียงครึ่งเดือน
ภายในท้องพระโรงทองคำเหล่าขุนนางร่วมว่าราชกิจมิตกหล่น ฮ่องเต้เผิงเจิ้งหมิงยังคงอ่อนเยาว์ ประทับบัลลังก์ในชุดคลุมมังกรทอง
“ทูลฝ่าบาท นอกเมืองมีบทกวีสั่นคลอนราชสำนักบทหนึ่งถูกราษฎรเชื่อว่าเป็นจริง จนมิเคารพราชสำนักพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงไม่พอใจของฉู่หม่าเฉิงเจ้ากรมคลังดังขึ้น
“ใต้เท้าฉู่เป็นดั่งบทกวีที่กล่าวขานหรือ เหตุใดต้องถือสา” ฮ่องเต้เจิ้งหมิงยังคงเห็นเป็นเรื่องขบขัน
“ทูลฝ่าบาท หากยังปล่อยเช่นนี้ต่อไปจะไม่มีผู้ใดเกรงกลัวพระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ากรมคลังกังวลเกินไปหรือไม่ เพียงกวีบทเดียวราชวงศ์แคว้นเฟิงหยางคงมิล่มสลายไปได้หรอก”
“ถึงแม้จะเป็นเพียงกวีบทเดียวฮ่องเต้ก็มิควรปล่อยไป มิเช่นนั้นบัณฑิตทั่วแผ่นดินจะหาว่าราชสำนักอ่อนแอได้พ่ะย่ะค่ะ” โจวหยวน มหาราชครูทูลด้วยใบหน้านิ่งขรึม
“เช่นนั้นก็เอาแบบนี้เถิด นำตัวผู้แต่งบทกวีนี้มาคุมขังในคุกหลวง จำไว้อย่างพึ่งทำการสิ่งใดนำชายผู้นั้นมาอย่างปลอดภัย” ดำรัสฮ่องเต้ถือเป็นอาญาสิทธิ์
เพียงสามวันม้าเร็วมุ่งตรงสู่เมืองเล็กชายแดนทางใต้ ขุนนางท้องถิ่นต้องรับราชโองการด่วน แม้ความรื่นเริงในฤดูเก็บเกี่ยวที่ถูกจัดขึ้นหนึ่งเดือนเต็มยังไม่สิ้นสุด ความโกลาหลกลับเกิดขึ้นกับคนในตระกูลเจียงด้วยกวีของผู้นำตระกูลเพียงบทเดียว ทหารจวนนายอำเภอล้อมรอบเรือนตระกูลเจียง ชาวบ้านต่างรุมล้อมมุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก อาจารย์เจียงเป็นบัณฑิตผู้มีคุณธรรม เปิดสำนักศึกษาให้เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวในหมู่บ้านได้เรียนอักษรโดยไม่ต้องจ่ายแม้แต่ตำลึงเดียว
“ใต้เท้าจง นี่มันเกิดสิ่งใดกันเหตุใดต้องล้อมเรือนอาจารย์เจียงด้วยเล่า” ผู้เฒ่าในหมู่บ้านเป็นกังวลแทนเจ้าของเรือน ยืนขวางหน้าประตูพร้อมชาวเมืองหลายสิบคน
“ท่านผู้เฒ่าอย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจเลย ราชโองการมาถึงแล้ว ยากที่จะช่วยอาจารย์เจียงไว้ได้” นายอำเภอจงกล่าวอย่างจนใจ
“ช่วยเหลือไม่ได้เลยหรือ อาจารย์เจียงเป็นสุภาพชนช่วยเหลืองเมืองซานหลินไว้มากมาย เด็กหนุ่มในเมืองต่างรู้อักษรกันหมด กลายเป็นขุนนางได้ดิบได้ดีหลายคน ความดีนี้ช่วยลบล้างความผิดไม่ได้เลยหรือ”
ชาวเมืองยังคงยืนกรานขัดขวางการจับกุมของทางการ แม้แต่นายอำเภอเองก็ลำบากใจ คุณธรรมของเจียงเหลียนไห่เลื่องลือทั่วเมืองซานหลิน ทว่าราชโองการยากจะขัดอย่างไรจำต้องนำตัวผู้กระทำผิดเข้าเมืองหลวงในวันนี้
“ขอบคุณทุกท่านที่มีน้ำใจช่วยเหลือในยามยาก ข้าเจียงเหลียนไห่ซาบซึ้งยิ่ง” ประตูเรือนเปิดอ้าพร้อมเจ้าบ้านที่ค่อมกายขอบคุณชาวเมืองที่คิดปกป้อง
“อาจารย์เจียง” ใต้เท้าจงค่อมกายเคารพอย่างนับถือ
“ลำบากท่านนายอำเภอแล้ว ข้าน้อยจัดการธุระจึงออกมาต้อนรับช้า ต้องขออภัยด้วย”
“อาจารย์เจียงจัดการธุระเสร็จแล้วหรือไม่” ใต้เท้าจงถามด้วยห่วงใย
“เรียบร้อยแล้ว ใต้เท้าจงอยากเข้าไปดื่มชาก่อนหรือไม่”
“ระยะทางไปเมืองหลวงยังอีกไกล เกรงต้องลำบากอาจารย์ตามข้าไปตอนนี้แล้ว” นายอำเภอสีหน้าเป็นกังวลไม่น้อย เขาเองก็ไม่อยากจับกุมอาจารย์เจียงเช่นเดียวกับชาวเมือง
“อาจารย์เจียงท่านอย่าไปเลย”
“เราจะปกป้องท่านเอง”
“นายอำเภอจับข้าไปแทนเถอะ”
ชาวเมืองหลายคนยังคิดขัดขวาง จนขบวนทหารมิอาจฝ่าฝูงชนออกไปได้ ใต้เท้าจงได้แต่ส่งสายตาของร้องเจียงเหลียนไห่ที่ยืนอยู่ข้างกาย
“ทุกท่านโปรดใจเย็น ใต้เท้าจงกับเหล่าทหารต่างทำตามราชโองการ อย่าทำให้พวกเขาลำบากใจเลย ครั้งนี้ฮ่องเต้สั่งให้นำข้าเข้าเมืองหลวงโดยมิได้สั่งล่ามโซ่แต่อย่างใด ทุกท่านวางใจเถิดข้าต้องได้รับความเป็นธรรมแน่”
“ใช่ ๆ ข้าให้สัญญาว่าจะดูแลอาจารย์เจียงอย่างดี” นายอำเภอจงยืนกรานอีกเสียง ชาวเมืองจึงยอมหลีกทางให้
ขบวนเหล่าทหารนำเหลียนไห่ขึ้นรถลากแม้จะไม่ถูกล่ามด้วยโซ่เช่นคนมีความผิดร้ายแรง ทว่าการนั่งในรถที่มีกรงขังก็ไม่ต่างกันเท่าใด
“ท่านพ่อ!” เสียงใสดังถามขบวนทหารมาไม่ไกล
“ใต้เท้าจงหยุดรถก่อนได้หรือไม่ เกรงว่าบุตรสาวข้าคงรู้เรื่องแล้ว หากไม่บอกกล่าวให้เข้าใจนางคงตามตอแยท่านถึงเมืองหลวงแน่” เหลียนไห่ที่รู้จักบุตรีตนเองเป็นอย่างดี กล่าวเตือนนายอำเภอ
“หยุดรถ” นายอำเภอจงรู้จักเจียงซูเม่ย สตรีอันดับหนึ่งของซานหลินแม้งดงามหากแต่นิสัยดื้อรั้นไม่น้อยกว่าผู้ใด
อาชาสีขาววิ่งบนถนนมุ่งสู่ขบวนทหาร สตรีในอาภรณ์ขาวแม้บัดนี้คิ้วขมวดแน่น หากแต่ใบหน้างดงามนั้นมิอาจปกปิด ดวงตากลมโตราวไข่มุกใต้ทะเลลึก ผิวขาวผ่องกว่าแสงจันทร์ยามค่ำคืน ริมฝีปากอวบอิ่มชมพูระเรื่อ ยากจะทำให้บุรุษใดไม่หลงใหล
“ท่านพ่อ ท่านจะเข้าเมืองหลวงจริงหรือ” ซูเม่ยลงจากม้าทันทีที่ตามขบวนนักโทษทัน
“อาเม่ย อย่างได้กังวลอยู่ดูแลแม่เจ้ารอพี่ชายเจ้ากลับมาจากต่างเมือง อย่าทำให้แม่เจ้าต้องเป็นห่วง พ่อไม่เป็นไรไปครั้งนี้เชื่อว่าฮ่องเต้เพียงอยากตักเตือน”
“แต่ว่าเมืองหลวงเต็มไปด้วยพวกเสือซ่อน มังกรหลับ อันตรายยิ่งนัก”
“ไว้ใจเถิดพ่อจะกลับมาแน่ อย่าทำให้นายอำเภอกับเหล่าทหารลำบากใจอีกเลย” เจียงเหลียนไห่ย้ำสัญญากับซูเม่ยก่อนจะให้นายอำเภอออกเดินทางต่อ
ซูเม่ยมองตามขบวนนักโทษจนลับสายตาไม่กล้าตามติดไปอีก ด้วยบิดากำชับไว้เด็ดขาด นางจำต้องทำตามคำสั่งของบิดาอยู่ดูแลมารดารอจนกว่าพี่ชายจะกลับมา พอถึงตอนนั้นคำสั่งของท่านพ่อก็ถือว่านางทำสำเร็จ ต่อจากนั้นอยู่นอกเหนือคำกำชับของบิดาแล้ว
รถม้าหยุดลงหน้าจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพาบุตรชายบุตรสาวเข้าร่วมงาน “ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร” ซูเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พลางถามสิ่งที่นางสงสัยว่าเขาพานางมาด้วยทำไม “กันเหล่าสตรีออกจากข้า” หยางอี้จัดอาภรณ์ตนให้เรียบร้อย ก่อนกำชับคำสั่งแสนเรียบง่ายทว่ากลับทำได้ยากยิ่ง “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ จะขวางทางเหล่าคุณหนูบุตรีขุนนางใหญ่โตของราชสำนักได้อย่างไร” “นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เขากล่าวจบก็ลงจากรถม้าโดยไม่สนสายตาขอความเห็นใจของสตรีเบื้องหน้า ภายจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกตกแต่งอย่างโออ่า เหล่าขุนนางใหญ่ต่างนั่งร่วมโต๊ะดื่มชา คุณหนูตระกูลใหญ่จับกลุ่มชมบุปผาอีกฝั่งของสระบัว โดยเหล่าคุณชายนั่งชมความงามของสตรีอยู่อีกฝั่ง งานในวันนี้แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่ครอง ทว่าสตรีที่โดดเด่นของงานนี้กลับเป็นคุณหนูจูลี่เฉี่ยวบุตรีเพียงคนเดียวของใต้เท้าจู ซูเม่ยยืนมองหยางอี้ที่บัดนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางให้เหล่าคุณชายรุมล้อมแย่งกันตีสนิท ทว่าเขากลับนิ่งเฉยไม่สนจะร่วมวงสนทนาด้วย
“ซูเม่ยเจ้าอย่าพึ่งร้อนใจ.......” ยังไม่ทันที่อี้เฉิงจะกล่าวจบ ซูเม่ยหันหลังกลับออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา “ท่านแม่เหตุใดถึงทำเช่นนี้” อี้เฉิงมองมารดาด้วยความผิดหวัง “แม่ขอโทษ แม่เพียงเห็นว่าช่วงนี้เจ้ามีสมาธิในการท่องตำรา หากบอกเรื่องนี้ออกไปนางจะไม่มีกะจิตกะใจช่วยเจ้าทบทวนตำรา จึงได้คิดเห็นแก่ตัว” หลี่หว่ารู้สึกผิดต่อซูเม่ยอยู่มาก “นี่!” อี้เฉิงกล่าวสิ่งใดไม่ออก ในใจคิดเป็นห่วงสตรีที่พึ่งออกจากเรือนเขารีบหันกายตามนางไป ซูเม่ยไม่รู้จะทำเช่นไรในตอนนี้ ไม่รู้จะไปที่ใดได้แต่เดินตามท้องถนนยามตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเพียงลำพัง แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าสองข้างทางในเมืองหลวงที่มีคนพลุกพล่านตลอดทั้งวันบัดนี้เริ่มบางตา ลมพัดผ่านต้นไม้ยามเย็นทำให้อากาศที่ร้อนระอุตลอดทั้งวันกลับมาเย็นสบายอีกครั้ง ทว่าในใจของนางกลับเหน็บหนาวความพยายามตลอดสองเดือนของนางดูไร้ความหมาย แม้ว่าจะอดทนรอเพียงใดกลับเหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้ต้องผิดหวังจนได้ โรงเตี๊ยมซูเจียงตั้งอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่านางเดินมานานเพียงใดแล้วจนบัด
อี้เฉิงไม่ได้ดีใจเหมือนแต่ก่อนเมื่อคิดว่าจะได้เจอมู่หยุนเสี่ยว เขาเพียงทำตามที่ซูเม่ยบอก แจ้งสาวใช้ว่าตนนำแจกันราคาเพียงหนึ่งตำลึงมามอบให้คุณหนูมู่ เพียงไม่นานหยุนเสี่ยวก็เปิดประตูออกมาพบเขาที่หน้าจวน แม้นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมออกมาพบทว่าเขากลับไม่ได้ดีใจลิงโลดดั่งที่คิดไว้ กลับกันเขาเพียงรู้สึกโล่งอกเท่านั้น “คุณชายรองเพ่ย” หยุนเสี่ยวยอบกายทักทาย “ขออภัยคุณหนูมู่ที่มารบกวนเวลานี้ ข้าได้ยินจากซูเม่ยว่าท่านตามหาแจกันเนื้อดี บังเอิญข้าพบกับช่างทำแจกันเห็นว่าเนื้อดินละเอียดสวยงามไม่แพ้แจกันราคาแพง จึงนำมาฝากคุณหนูมู่ด้วย” อี้เฉิงกล่าวพลางยื่นแจกันให้สตรีเบื้องหน้า “ขอบคุณคุณชายรองที่มีน้ำใจ ข้ากำลังหาแจกันราคาถูกอยู่จริงเพราะอยากได้ใส่ดอกไม้ถวายพระโพธิสัตว์พอดีเจ้าค่ะ” ใบหน้างามยิ้มบางให้เขาเป็นครั้งแรกพลางรับแจกันลายโบตั๋นสีขาวบริสุทธิ์จากผู้มอบ อี้เฉิงเพียงยิ้มตอบตามมารยาท “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน” หยุนเสี่ยวแปลกใจไม่น้อยนางนึกว่าเขาอยากจะรั้งอยู่ต่อนานกว่านี้เสียอีก ทว่านางกลับไม่ถาม
อาจารย์อู๋ชายชราอายุแปดสิบปีอ่านบทความของลูกศิษย์ที่ตนหวังรับเป็นคนสุดท้ายด้วยแววตาปลาบปลื้ม “คุณชายรองเพ่ยก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย” แววตาชื่นชมมองมายังอี้เฉิงที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ “เพราะมีอาจารย์คอยชี้แนะขอรับ” บุรุษหนุ่มยิ้มกว้าง “หากจะสอบให้ได้ขุนนางปีนี้เจ้าทำได้แน่ แต่ถ้าหากอยากหวังตำแหน่งจอหงวนยังห่างไกลนัก” อาจารย์อู๋กล่าวตามตรง “ศิษย์ไม่หวังตำแหน่งสูงเพียงนั้น เพียงไม่ทำให้มารดากับคนในครอบครัวต้องผิดหวังก็พอ” อี้เฉิงกล่าวพลางมองไปยังซูเม่ยที่นั่งยิ้มยินดีกับเขาอยู่มุมห้อง วันนี้ทุกอย่างดูสดใสไปหมด การตรากตรำเรียนตำรามากว่าสองเดือนของอี้เฉิงไม่สูญเปล่า บุรุษตัวสูงยิ้มหน้าบานเดินออกจากสำนักศึกษาอย่างภาคภูมิ ทำซูเม่ยที่เดินตามหลังอดขำกับความภาคภูมิใจนี้ของคุณชายตนไม่ได้ “วันนี้เจ้าอยากกินอะไร ข้าเลี้ยงเอง” อี้เฉิงหันกลับมาถามสาวใช้ที่เดินตามหลัง “อืม....” ซูเม่ยคิดหนัก นางต้องกินของอร่อย ๆ สมกับที่เหน็ดเหนื่อยช่วยทบทวนตำราให้เขามาสองเดือนเต็ม “เช่นนั้นกิ
ตลอดเส้นทางกลับจวนอี้เฉิงเอาแต่เหม่อลอย เขานั่งพิงกรอบหน้าต่างรถม้าทอดสายตาออกไปภายนอก โดยไม่สนทนาใด ๆ กับซูเม่ยอีก ไม่ต่างจากนางที่ลอบสังเกตอาการของคนผิดหวังจากความรัก โดยที่ไม่กล่าวคำใดออกมาเช่นกัน รถม้าหยุดนิ่งหน้าจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าคุณชายรองของตระกูลยังไม่รู้สึกตัว ทำให้ซูเม่ยต้องกล่าวเตือน “คุณชายเพ่ย ถึงจวนแล้วหากท่านยังไม่อยากลง เช่นนั้นข้าเข้าจวนก่อนแล้วกัน” นางกล่าวก่อนลงจากรถม้าไป แต่พึ่งก้าวพ้นประตูจวนกลับถูกมื้อของอี้เฉิงรั้งแขนนางไว้ “เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า” เสียงที่กล่าวขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซูเม่ยต้องหันกลับไปมอง บุรุษเจ้าของเสียงมองมายังนางด้วยแววตาจริงจัง บ่งบอกว่าคำพูดเมื่อครู่เขาหมายความตามที่พูดจริง “ช่วยท่าน ช่วยท่านเรื่องอะไร” นางไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังแขนเรียวที่ถูกมือของอี้เฉิงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย คิ้วโก่งขมวดแน่นพลางมองสบตาอีกฝ่ายเป็นสัญญาณให้เขาปล่อยมือจากนาง หากทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ “เป็นแม่สื่อให้ข้า ช่วยให้ข้าเข้าหามู่หยุนเสี่ยว”
รุ่งเช้ายังไม่ทันที่ซูเม่ยจะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้เรียบร้อย แม่นมกุ้ยคนสนิทของฉิงอันกลับมาลากตัวนางไปยังเรือนฮูหยินรองเสียแล้ว “คารวะฮูหยินรอง” นางมองสตรีสูงศักดิ์แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดี ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้ “ได้ยินว่าเจ้าไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนคุณชายรองเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์อู๋” เพ่ยฉิงอันกล่าวไม่ไยดี พลางเป่าชาในถ้วย “เจ้าค่ะ” “เด็กคนนั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” “แม้คุณชายรองจะมีความรู้ไม่โดดเด่น แต่เขาก็ตั้งใจศึกษาไม่น้อยเจ้าค่ะ” ซูเม่ยรู้ว่าฮูหยินรองไม่พอใจต่ออี้เฉิง ที่ถูกท่านแม่ทัพเอ็นดูกว่าบุตรชายของนาง “หลี่หว่าคิดให้บุรุษที่เพิ่งเริ่มอ่านตำราได้ไม่นาน สอบแข่งขันขุนนางกับหยางอีหรือ” ฉิงอันวางถ้วยชาลงก่อนจ้องสาวใช้ผู้มาใหม่อย่างไม่เป็นมิตร “ข้าน้อยไม่ทราบ” “หึ! ครั้งนี้หลี่หว่าเลือกสาวใช้ได้ดีนี่ กล้ามีปากเสียงมิเกรงกลัวข้าจนตัวสั่นเหมือนสาวใช้คนอื่น แลยังมีหน้าตางดงามโดดเด่นไม่น้อย” สายตาที่เพ่งมองซูเม่ยตั้งแต่







