Share

บทที่ 9 ความรู้ตื้นเขิน

last update Last Updated: 2025-11-11 10:16:48

        อี้เฉิงจ้องมองหยุนเสี่ยวด้วยความเป็นห่วง เขาเป็นบุตรแม่ทัพใหญ่จึงไม่เคยนึกถึงความลำบากของเหล่าขุนนางลำดับล่างมาก่อน

                “หากมีอะไรให้ข้าช่วย คุณหนูมู่ไปหาข้าที่จวนได้” อี้เฉิงคิดอยากช่วยเหลือ

                “เอ่อคือ.........” หยุนเสี่ยวมองหน้าอีกฝ่ายสลับกับมองซูเม่ย

                “หากท่านไม่สบายใจมาหาข้าได้ ตอนนี้ข้ายังพักอยู่จวนตระกูลเพ่ย” ซูเม่ยรู้ว่าหยุนเสี่ยวคงลำบากใจหากต้องขอความช่วยเหลือจากบุรุษอื่น

                “ตอนนี้? แม่นางซูเม่ยไม่ได้จะอยู่จวนท่านแม่ทัพตลอดไปหรือ” หยุ่นเสี่ยวอดสงสัยไม่ได้

                “ข้าเพียงมาจัดการธุระที่เมืองหลวง หากเสร็จธุระแล้วก็คงต้องกลับตระกูลเจียง”

                “ขออภัย ข้านึกว่าเจ้าเป็นสาวใช้ของของคุณชายรอง”

                “ข้าไม่คิดเป็นสาวใช้ของบุรุษที่มีความรู้ตื้นเขินเช่นนี้หรอก” คำพูดของซูเม่ยทำให้อี้เฉิงหน้าชาในทันที ไม่ต่างจากหยุนเสี่ยวที่มองเขาด้วยแววตาเห็นใจ

                “หมดธุระข้าแล้ว ขอตัวก่อน” ซูเม่ยไม่ได้สนใจไอเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างบุรุษข้างกาย นางกล่าวจบก็หันหลังจากไปปล่อยให้คุณชายเพ่ยส่งสายตาคาดโทษตามหลังนางไป

                “เอ่อ... คุณชายรอง เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” หยุนเสี่ยวไม่รู้จะปลอบใจอีกฝ่ายอย่างไร ได้แต่ขอตัวจากไป

        อี้เฉิงยังคงเจ็บช้ำกับคำพูดของซูเม่ย จนไม่ได้สนใจว่าหยุนเสี่ยวจากไปตั้งแต่เมื่อใด เขารีบตามติดสาวใช้ตัวแสบไปในทันที โดยมีองครักษ์คู่กายตามอยู่ห่าง ๆ ด้วยกลัวว่าจะถูกดึงเข้าสู่เกมอารมณ์ของผู้เป็นนาย

                “นี่ เจ้าว่าใครสติปัญญาตื้นเขิน” เสียงถามไล่หลังซูเม่ยมาติด ๆ ลมหายใจเดือดดาลแทบรดต้นคอนาง

                “ว่าท่านแหละ” ซูเม่ยไม่สนใจหันไปมอง นางยังคงชมสิ่งสวยงามตามร้านค้าสองข้างทาง

                “ข้าสติปัญญาตื้นเขินอย่างไร”

                “เพียงบทกวีง่าย ๆ ท่านก็ไม่ยอมคิดจะตอบอาจารย์อู๋ ตัวอักษรยิ่งกว่าเด็กสี่ขวบหัดเขียน แลไม่คิดทบทวนตำรากลับหนีเที่ยวหอนางโลมอีก” ซูเม่ยอธิบายยาวยืด พลางยืนเลือกปิ่นปักผมในร้านแผงลอยริมทาง จนไม่ได้มองว่าบุรุษด้านหลังเข้ามาประชิดตัวนางตั้งแต่เมื่อใด

        อี้เฉิงดึงปิ่นปักผมในมือของนางยกขึ้นสูง โดยที่สตรีเบื้องหน้ายังไม่ทันระวัง

                “นี่! เอาปิ่นคืนมานะ!”

        ซูเม่ยหันกลับไปหวังคว้าปิ่นคืน แต่กลับชนเข้ากับแผงอกของบุรุษเบื้องหน้าจนต้องเซถอยหลัง

                “โอ๊ย!”

                “ระวัง!” อี้เฉิงรีบรั้งเอวบางของซูเม่ยไว้ก่อนที่นางจะชนกับแผงปิ่นด้านหลัง

        ซูเม่ยถูกรั้งจนร่างกลับไปชิดกับอี้เฉิงอีกครั้ง ใบหน้าที่ซบอยู่กับแผงอกทำให้หัวใจของนางเต้นไม่เป็นจังหวะ เสียงโครมครามกลางอกคล้ายกับมันจะทะลุออกมาด้านนอกให้ได้ นางจึงรีบผละออกจากบุรุษตรงหน้า

                “ขอบคุณที่ช่วยเจ้าค่ะ”

                “ทีหลังก็ระวังหน่อย”

        อี้เฉิงร้อนไปทั้งร่าง การสัมผัสของซูเม่ยเพียงน้อยนิดกลับทำให้เขาจิตใจไม่สงบสุขเสียดื้อ ๆ

                “หากท่านไม่แย่งปิ่นข้าไป เรื่องจะเกิดหรือ” นางลูบหน้าผากตัวเองพลางบ่นอุบ

                “ใครใช้ให้เจ้าว่าข้ามีสติปัญญาตื้นเขินเล่า”

                “แล้วเหตุใดท่านไม่ยอมต่อบทกวีของอาจารย์ เพียงบทง่ายเช่นนั้นข้าไม่คิดหรอกว่าท่านจะแต่งไม่ได้ แถมตัวอักษรแบบขอไปทีนั่นอีก”

                “ดูคนเก่งไม่เบานี่” อี้เฉิงไม่ปฏิเสธสิ่งที่นางกล่าว

                “ข้าไม่อยากให้ความหวังท่านแม่ที่จะแข่งขันกับแม่เล็ก อย่างไรข้าก็สู้พี่ใหญ่ไม่ได้ เหตุใดต้องทำให้นางมีความหวังด้วย” อี้เฉิงกล่าวพลางยื่นปิ่นคืนให้นาง ก่อนเดินนำหน้าไป

                “เช่นนั้นท่านจึงเข้าหอนางโลมด้วยหรือ” ซูเม่ยกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลัง

        อี้เฉิงหยุดเดินก่อนหันมาจ้องมองอีกฝ่าย ทว่าการหยุดเดินโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซูเม่ยหยุดฝีเท้าไม่ทันเกือบชนเข้ากับแผงอกเขาอีกครั้ง ทว่านิ้วชี้ของบุรุษตรงหน้ากลับจิ้มหน้าผากอีกฝ่ายไว้ได้ทัน ทำให้ซูเม่ยหยุดฝีเท้าไว้ได้

                “ใครบอกคุณหนูเจียงว่าข้าไปหอนางโลม” อี้เฉิงมองอย่างสงสัย

                "ข้าเห็นท่านเดินไปยังหอนางโลม"

                “แล้วเห็นข้าเข้าไปหรือไม่”

        ซูเม่ยรู้สึกว่าตนเองคงเข้าใจผิดเสียแล้ว นางก้มหน้าก่อนส่ายหัวไปมาอย่างละอาย

                “ขออภัยคุณชายเพ่ย ข้าคงเข้าใจผิดเสียแล้ว”

                “หึ! ใครกันที่ตื้นเขิน” อี้เฉิงได้ทีจึงดูแคลนนางกลับ ก่อนหันหลังกลับเดินไปตามเส้นทางกลับจวนอีกครั้ง

                “แล้วท่านไปที่ใดกัน เหตุใดกลับมาอาภรณ์จึงยุ่งเหยิงเช่นนี้เล่า” ซูเม่ยสังเกตเห็นอาภรณ์ของคุณชายตนไม่เรียบร้อยตั้งแต่ที่อีกฝ่ายเข้ามาช่วยตนที่หน้าโรงน้ำชา

                “ด้านข้างหอนางโลมมีเรือนของอาจารย์สำนักต่อสู้ เปิดสอนเพลงดาบให้กับผู้ที่สนใจ ข้าเพียงแวะไปซ้อมดาบกับพวกเขา” อี้เฉิงกล่าวใจเย็น

                “ห้ามบอกเรื่องนี้กับท่านแม่ นางไม่อยากให้ข้าเป็นทหารอยากให้ข้าเป็นขุนนางทำงานในราชวังมากกว่า” ยังไม่ทันที่ซูเม่ยจะกล่าวสิ่งใด อีกฝ่ายก็สั่งห้ามในทันที

                “อือ รู้แล้วเจ้าค่ะ” ซูเม่ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

        ยามเซิน อี้เฉิงกับซูเม่ยจึงกลับมาถึงจวนตระกูลเพ่ย หลี่หว่ายืนอยู่หน้าเรือนด้วยใบหน้าเบิกบานนางดีใจไม่น้อยที่บุตรชายเพียงคนเดียวมีความคิดที่จะอ่านตำราเช่นเดียวกับพี่ชายต่างมารดาเสียที

                “อี้เอ๋อร์เร็วเข้า แม่เตรียมขนมไว้รอเจ้ามากมาย”

                “เป็นอย่างไรบ้างไปเรียนวันแรกเหนื่อยหรือไม่” ฮูหยินเอกรีบดึงมือบุตรชายเข้าเรือนด้วยความดีใจ โดยมีอี้เฉิงยิ้มแห้งเดินตามมารดาอย่างว่าง่าย

        ซูเม่ยเมื่อทำหน้าที่ของตนเสร็จสิ้นแล้วจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ต่ออีก นางเดินผ่านเรือนผู้เป็นนายตรงกลับเรือนสาวใช้ในทันที ทว่าเสียงกู่เจิงทำนองเศร้ากลับทำให้นางต้องหยุดฟัง ศาลาหยกปรากฏร่างของบุรุษที่กำลังบรรเลงกู่เจิงอย่างเหม่อลอยแต่ท่วงทำนองกลับไม่ผิดเพี้ยน ประกอบกับแสงสุดท้ายบนท้องฟ้าของดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้าส่งให้เสียงกู่เจิงที่ลอยตามลมฟังแล้วเศร้าจับใจ

        หยางอี้ที่สังเกตว่าสาวใช้กำลังยืนจ้องมองตนอยู่จึงหยุดบรรเลงเพลงในทันที ทำให้ซูเม่ยที่ตกอยู่ในภวังค์ของบทเพลงมีสติกลับมาอีกครั้ง

                “เจ้ามักแอบมองบุรุษหรือ” หยางอี้เลิกคิ้วถามอย่างเอาเรื่อง

                “ขออภัยคุณชายใหญ่ ข้าแค่ผ่านทางมาได้ยินบทเพลงของคุณชายเข้า เกิดคิดถึงบ้านจึงหยุดฟังจนเสียมารยาทไปเจ้าค่ะ” ซูเม่ยยอบกายขอโทษอีกฝ่าย

                “เจ้ารู้ทำนองเพลงด้วยหรือ”

                “ถึงไม่เก่งเท่าคุณชาย แต่เคยร่ำเรียนมาบ้างเจ้าค่ะ”

                “น่าสนใจดีนี่ สาวใช้ของฮูหยินเอกไม่ได้มีดีแต่โต้เถียงกับผู้อื่นไปทั่วเพลงกู่เจิงยังรู้จักอีก เสียดายที่เป็นได้แค่สาวใช้ของกายน้องชายข้า”

          หยางอี้กล่าวจบก็ไม่ได้สนใจนางอีก เขายังคงบรรเลงเพลงของตนต่อไป ซูเม่ยเองจึงไม่คิดรั้งอยู่ต่อให้อีกฝ่ายต่อว่าอีก

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 16 นำมาเป็นภาระ

    รถม้าหยุดลงหน้าจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพาบุตรชายบุตรสาวเข้าร่วมงาน “ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร” ซูเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พลางถามสิ่งที่นางสงสัยว่าเขาพานางมาด้วยทำไม “กันเหล่าสตรีออกจากข้า” หยางอี้จัดอาภรณ์ตนให้เรียบร้อย ก่อนกำชับคำสั่งแสนเรียบง่ายทว่ากลับทำได้ยากยิ่ง “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ จะขวางทางเหล่าคุณหนูบุตรีขุนนางใหญ่โตของราชสำนักได้อย่างไร” “นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เขากล่าวจบก็ลงจากรถม้าโดยไม่สนสายตาขอความเห็นใจของสตรีเบื้องหน้า ภายจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกตกแต่งอย่างโออ่า เหล่าขุนนางใหญ่ต่างนั่งร่วมโต๊ะดื่มชา คุณหนูตระกูลใหญ่จับกลุ่มชมบุปผาอีกฝั่งของสระบัว โดยเหล่าคุณชายนั่งชมความงามของสตรีอยู่อีกฝั่ง งานในวันนี้แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่ครอง ทว่าสตรีที่โดดเด่นของงานนี้กลับเป็นคุณหนูจูลี่เฉี่ยวบุตรีเพียงคนเดียวของใต้เท้าจู ซูเม่ยยืนมองหยางอี้ที่บัดนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางให้เหล่าคุณชายรุมล้อมแย่งกันตีสนิท ทว่าเขากลับนิ่งเฉยไม่สนจะร่วมวงสนทนาด้วย

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 15 สิ้นหวัง

    “ซูเม่ยเจ้าอย่าพึ่งร้อนใจ.......” ยังไม่ทันที่อี้เฉิงจะกล่าวจบ ซูเม่ยหันหลังกลับออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา “ท่านแม่เหตุใดถึงทำเช่นนี้” อี้เฉิงมองมารดาด้วยความผิดหวัง “แม่ขอโทษ แม่เพียงเห็นว่าช่วงนี้เจ้ามีสมาธิในการท่องตำรา หากบอกเรื่องนี้ออกไปนางจะไม่มีกะจิตกะใจช่วยเจ้าทบทวนตำรา จึงได้คิดเห็นแก่ตัว” หลี่หว่ารู้สึกผิดต่อซูเม่ยอยู่มาก “นี่!” อี้เฉิงกล่าวสิ่งใดไม่ออก ในใจคิดเป็นห่วงสตรีที่พึ่งออกจากเรือนเขารีบหันกายตามนางไป ซูเม่ยไม่รู้จะทำเช่นไรในตอนนี้ ไม่รู้จะไปที่ใดได้แต่เดินตามท้องถนนยามตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเพียงลำพัง แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าสองข้างทางในเมืองหลวงที่มีคนพลุกพล่านตลอดทั้งวันบัดนี้เริ่มบางตา ลมพัดผ่านต้นไม้ยามเย็นทำให้อากาศที่ร้อนระอุตลอดทั้งวันกลับมาเย็นสบายอีกครั้ง ทว่าในใจของนางกลับเหน็บหนาวความพยายามตลอดสองเดือนของนางดูไร้ความหมาย แม้ว่าจะอดทนรอเพียงใดกลับเหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้ต้องผิดหวังจนได้ โรงเตี๊ยมซูเจียงตั้งอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่านางเดินมานานเพียงใดแล้วจนบัด

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 14 หลงเชื่อใจ

    อี้เฉิงไม่ได้ดีใจเหมือนแต่ก่อนเมื่อคิดว่าจะได้เจอมู่หยุนเสี่ยว เขาเพียงทำตามที่ซูเม่ยบอก แจ้งสาวใช้ว่าตนนำแจกันราคาเพียงหนึ่งตำลึงมามอบให้คุณหนูมู่ เพียงไม่นานหยุนเสี่ยวก็เปิดประตูออกมาพบเขาที่หน้าจวน แม้นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมออกมาพบทว่าเขากลับไม่ได้ดีใจลิงโลดดั่งที่คิดไว้ กลับกันเขาเพียงรู้สึกโล่งอกเท่านั้น “คุณชายรองเพ่ย” หยุนเสี่ยวยอบกายทักทาย “ขออภัยคุณหนูมู่ที่มารบกวนเวลานี้ ข้าได้ยินจากซูเม่ยว่าท่านตามหาแจกันเนื้อดี บังเอิญข้าพบกับช่างทำแจกันเห็นว่าเนื้อดินละเอียดสวยงามไม่แพ้แจกันราคาแพง จึงนำมาฝากคุณหนูมู่ด้วย” อี้เฉิงกล่าวพลางยื่นแจกันให้สตรีเบื้องหน้า “ขอบคุณคุณชายรองที่มีน้ำใจ ข้ากำลังหาแจกันราคาถูกอยู่จริงเพราะอยากได้ใส่ดอกไม้ถวายพระโพธิสัตว์พอดีเจ้าค่ะ” ใบหน้างามยิ้มบางให้เขาเป็นครั้งแรกพลางรับแจกันลายโบตั๋นสีขาวบริสุทธิ์จากผู้มอบ อี้เฉิงเพียงยิ้มตอบตามมารยาท “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน” หยุนเสี่ยวแปลกใจไม่น้อยนางนึกว่าเขาอยากจะรั้งอยู่ต่อนานกว่านี้เสียอีก ทว่านางกลับไม่ถาม

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 13 ไร้สิ้นหนทาง

    อาจารย์อู๋ชายชราอายุแปดสิบปีอ่านบทความของลูกศิษย์ที่ตนหวังรับเป็นคนสุดท้ายด้วยแววตาปลาบปลื้ม “คุณชายรองเพ่ยก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย” แววตาชื่นชมมองมายังอี้เฉิงที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ “เพราะมีอาจารย์คอยชี้แนะขอรับ” บุรุษหนุ่มยิ้มกว้าง “หากจะสอบให้ได้ขุนนางปีนี้เจ้าทำได้แน่ แต่ถ้าหากอยากหวังตำแหน่งจอหงวนยังห่างไกลนัก” อาจารย์อู๋กล่าวตามตรง “ศิษย์ไม่หวังตำแหน่งสูงเพียงนั้น เพียงไม่ทำให้มารดากับคนในครอบครัวต้องผิดหวังก็พอ” อี้เฉิงกล่าวพลางมองไปยังซูเม่ยที่นั่งยิ้มยินดีกับเขาอยู่มุมห้อง วันนี้ทุกอย่างดูสดใสไปหมด การตรากตรำเรียนตำรามากว่าสองเดือนของอี้เฉิงไม่สูญเปล่า บุรุษตัวสูงยิ้มหน้าบานเดินออกจากสำนักศึกษาอย่างภาคภูมิ ทำซูเม่ยที่เดินตามหลังอดขำกับความภาคภูมิใจนี้ของคุณชายตนไม่ได้ “วันนี้เจ้าอยากกินอะไร ข้าเลี้ยงเอง” อี้เฉิงหันกลับมาถามสาวใช้ที่เดินตามหลัง “อืม....” ซูเม่ยคิดหนัก นางต้องกินของอร่อย ๆ สมกับที่เหน็ดเหนื่อยช่วยทบทวนตำราให้เขามาสองเดือนเต็ม “เช่นนั้นกิ

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 12 ช่วยเหลือ

    ตลอดเส้นทางกลับจวนอี้เฉิงเอาแต่เหม่อลอย เขานั่งพิงกรอบหน้าต่างรถม้าทอดสายตาออกไปภายนอก โดยไม่สนทนาใด ๆ กับซูเม่ยอีก ไม่ต่างจากนางที่ลอบสังเกตอาการของคนผิดหวังจากความรัก โดยที่ไม่กล่าวคำใดออกมาเช่นกัน รถม้าหยุดนิ่งหน้าจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าคุณชายรองของตระกูลยังไม่รู้สึกตัว ทำให้ซูเม่ยต้องกล่าวเตือน “คุณชายเพ่ย ถึงจวนแล้วหากท่านยังไม่อยากลง เช่นนั้นข้าเข้าจวนก่อนแล้วกัน” นางกล่าวก่อนลงจากรถม้าไป แต่พึ่งก้าวพ้นประตูจวนกลับถูกมื้อของอี้เฉิงรั้งแขนนางไว้ “เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า” เสียงที่กล่าวขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซูเม่ยต้องหันกลับไปมอง บุรุษเจ้าของเสียงมองมายังนางด้วยแววตาจริงจัง บ่งบอกว่าคำพูดเมื่อครู่เขาหมายความตามที่พูดจริง “ช่วยท่าน ช่วยท่านเรื่องอะไร” นางไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังแขนเรียวที่ถูกมือของอี้เฉิงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย คิ้วโก่งขมวดแน่นพลางมองสบตาอีกฝ่ายเป็นสัญญาณให้เขาปล่อยมือจากนาง หากทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ “เป็นแม่สื่อให้ข้า ช่วยให้ข้าเข้าหามู่หยุนเสี่ยว”

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 11 นับเป็นสหาย

    รุ่งเช้ายังไม่ทันที่ซูเม่ยจะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้เรียบร้อย แม่นมกุ้ยคนสนิทของฉิงอันกลับมาลากตัวนางไปยังเรือนฮูหยินรองเสียแล้ว “คารวะฮูหยินรอง” นางมองสตรีสูงศักดิ์แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดี ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้ “ได้ยินว่าเจ้าไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนคุณชายรองเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์อู๋” เพ่ยฉิงอันกล่าวไม่ไยดี พลางเป่าชาในถ้วย “เจ้าค่ะ” “เด็กคนนั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” “แม้คุณชายรองจะมีความรู้ไม่โดดเด่น แต่เขาก็ตั้งใจศึกษาไม่น้อยเจ้าค่ะ” ซูเม่ยรู้ว่าฮูหยินรองไม่พอใจต่ออี้เฉิง ที่ถูกท่านแม่ทัพเอ็นดูกว่าบุตรชายของนาง “หลี่หว่าคิดให้บุรุษที่เพิ่งเริ่มอ่านตำราได้ไม่นาน สอบแข่งขันขุนนางกับหยางอีหรือ” ฉิงอันวางถ้วยชาลงก่อนจ้องสาวใช้ผู้มาใหม่อย่างไม่เป็นมิตร “ข้าน้อยไม่ทราบ” “หึ! ครั้งนี้หลี่หว่าเลือกสาวใช้ได้ดีนี่ กล้ามีปากเสียงมิเกรงกลัวข้าจนตัวสั่นเหมือนสาวใช้คนอื่น แลยังมีหน้าตางดงามโดดเด่นไม่น้อย” สายตาที่เพ่งมองซูเม่ยตั้งแต่

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status