LOGINยามโหย่วระหว่างที่ซูเม่ยเตรียมพักผ่อนจากความเหนื่อยล้า ติงซียงกลับเข้ามาตามไปพบฮูหยินเอกในยามค่ำคืน
“ฮูหยินเอกให้ติงเซียงไปตามข้ามีอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าจะพาเจ้าไปพบอาจารย์เจียง กลางวันไม่สะดวกเวลานี้ผู้คุมไม่เข้มงวดจะทำการใดก็สะดวกกว่า” หลี่หว่าที่ยืนรออยู่หน้าเรือนกล่าวอย่างรีบร้อน
รถม้าตระกูลเพ่ยวิ่งย่ำไปตามท้องถนนยามราตรี ปลายทางคือคุกหลวงที่ตั้งอยู่ทิศตะวันตกของเมือง หากจากจวนตระกูลเพ่ยไม่น้อย
“จำไว้ว่าอย่าบอกผู้ใดว่าเจ้ามาจากจวนตระกูลเพ่ย” ฮูหยินเอกย้ำกับซูเม่ยก่อนที่จะลงจากรถม้า
หลี่หว่านำทางไปยังทางเข้าคุกหลวงก่อนจะยื่นถุงเงินจำนวนหนึ่งให้ผู้คุมที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“พบได้ไม่นานนะขอรับ ไม่เช่นนั้นพวกข้าจะลำบากเอาได้” ผู้คุมเปิดดูถุงเงินก่อนกล่าวอย่างนอบน้อม
“อือ” หลี่หว่าพยักหน้ารับก่อนเดินตามทหารยามเข้าไปโดยซูเม่ยเดินรั้งท้าย
ภายในคุกหลวงเต็มไปด้วยความมืดมิด อากาศภายในเหน็บหนาวกว่าด้านนอกไม่น้อย เสียงร้องไห้ เสียงด่าทอสาปแช่ง แม้กระทั่งเสียงขอร้องอ้อนวอนดังปะปนจนมิอาจจับใจความได้
“ทางนี้” ทหารยามเดินตรงไปยังกรงด้านในสุด
“ข้าจะรออยู่ตรงนี้ จำไว้รีบพูดคุยแล้วรีบออกมาหากมีผู้ใดมาเห็นเข้าตระกูลเพ่ยมิอาจเลี่ยงความผิดได้” หลี่หว่ารั้งข้อมือซูเม่ยไว้ก่อนกำชับอย่างเคร่งเครียด
“อือ ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ” ซูเหม่ยพยักหน้ารับก่อนรีบเดินตามทหารยามเข้าไป
กรงขังขนาดใหญ่ มีบุรุษวัยกลางคนนั่งอ่านตำราภายใต้แสงเทียน บนเตียงไม้เก่ามีผ้าห่มผืนหนาและหมอนที่ยังคงวางเป็นระเบียบ ซูเม่ยดวงตาพร่ามัวจากหยดน้ำตาที่เอ่อล้น ความรู้สึกตีบตันกลางอกทำให้นางมิอาจกลั้นหยดน้ำตาไว้ได้
“ท่านพ่อ!” เสียงสั่นเครือเอ่ยขึ้นเบาจนคล้ายเสียงกระซิบ
เจียงเหลียนไห่ชะงักงันพร้อมละสายตาจากตำราในมือ ก่อนจะหันหาเจ้าของเสียงที่คุ้นเคยในทันที
“เม่ยเอ๋อร์ เหตุใดลูกมาอยู่ที่นี่!” เหลียนไห่รีบเดินมาหยุดตรงหน้าของบุตรสาวอย่างรีบร้อน
“ข้าเป็นห่วงท่านพ่อ จึงมาขอให้ตระกูลเพ่ยช่วยเหลือเจ้าค่ะ” น้ำตาที่อาบแก้มทำผู้เป็นบิดาไม่อาจตำหนิความดื้อรั้นของนางได้
“เด็กโง่ พ่อบอกแล้วว่าจะกลับไปเหตุใดไม่เชื่อฟัง” ผู้เป็นบิดาใช้สองมือเกาะกรงที่ขวางกั้น พลางส่งสายตาเป็นห่วงให้กับเด็กสาวเบื้องหน้า
“ขอโทษเจ้าค่ะ ลูกเกรงท่านพ่อจะถูกราชสำนักลงทัณฑ์จึงทนรอต่อไปไม่ไหว” ซูเม่ยปาดน้ำตาที่ยังคงไหลไม่ยอมหยุด
“หยุดร้องได้แล้วเห็นหรือไม่พ่อไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน แถมฮ่องเต้ยังมีเมตตาส่งตำราหลายเล่มมาให้พ่ออ่านแก้เบื่ออีก” เหลียนไห่ยิ้มอบอุ่นปลอบใจบุตรี
ซูเม่ยมองผ่านบิดาไปยังกองตำราบนเตียงไม้และเทียนที่ยังจุดสว่างอยู่ ด้านล่างยังมีถ่านให้ความร้อนอีก ทำให้นางแปลกใจไม่น้อยกับความเมตตาของจักรพรรดิ
“ฮ่องเต้มีเมตตาเพียงนี้เชียวหรือ แล้วเหตุใดต้องจับกุมท่านพ่อเพียงกวีบทเดียวด้วยเล่า”
“ฝ่าบาทมีเหตุผลของพระองค์ เอาเป็นว่าเจ้าไม่ต้องห่วงพ่อแล้ว แลไม่ต้องเสี่ยงเข้ามาในคุกหลวงอีกไม่เช่นนั้นอาจทำให้ตระกูลเพ่ยที่ช่วยเหลือเจ้าเดือดร้อนตามไปด้วย” เหลียนไห่กำชับบุตรีด้วยท่าทีจริงจัง
“แต่ว่าท่านพ่อ...”
“ไม่ต้องแต่แล้วทำตามที่พ่อบอก” ยังไม่ทันที่ซูเม่ยจะโต้แย้งกลับถูกบิดากล่าวตัดบทเสียก่อน
“ไปรอฟังข่าวที่ตระกูลเพ่ยอย่างว่าง่าย อย่าทำให้ฮูหยินเอกของแม่ทัพใหญ่ต้องลำบากใจ” เหลี่ยนไห่รู้ดีว่าเหตุที่ตระกูลเพ่ยยื่นมือช่วยเหลือซูเม่ยเพราะหลี่หว่าเคยเป็นสาวใช้ของฮูหยินตน
ยังไม่ทันที่ซูเม่ยจะถามให้กระจ่างกลับถูกขัดจากทหารยามที่มาตามนางกลับออกไป ด้วยเกรงว่าจะมีขุนนางคนอื่นผ่านมาเห็นเสียก่อน
“ท่านพ่อรักษาตัวด้วย รอให้แม่ทัพเพ่ยกลับมาข้าต้องเจรจาให้เขาช่วยท่านออกไปแน่” ซูเม่ยกล่างทิ้งท้ายก่อนตามทหารยามออกไป ทิ้งไว้เพียงสายตาเป็นห่วงของบิดาที่มองตามหลังนาง
รถม้ามุ่งตรงกลับจวนตระกูลเพ่ยด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบ ซูเม่ยยังคงมีน้ำตาไหลอาบแก้มไม่ขาด แม้ว่าบิดาจะบอกว่าตนเองไม่บาดเจ็บที่ใดหากแต่การที่ถูกจองจำอยู่ในกรงสี่เหลี่ยมทุกวันคืน ชุดนักโทษผืนเก่าแลบางจนมิอาจต้านความหนาวจากสายลมที่พัดผ่าน ทำให้นางมิอาจวางใจได้ ภาพของบิดาที่มักสวมอาภรณ์สะอาด ร่ายบทกวีสอนลูกศิษย์ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มวนเวียนอยู่ภายในความนึกคิดของนาง
“ซูเม่ยอย่าได้เศร้านักเลย แม้อาจารย์เจียงยังถูกคุมขังแต่ไม่ได้ถูกทารุณแต่อย่างใดอย่างน้อยก็วางใจได้ว่าเขายังปลอดภัย” หลี่หว่าสงสารเด็กสาวเบื้องหน้าจึงอดมิได้ที่จะปลอบโยน
“เจ้าค่ะ” เสียงสั่นเครือตอบรับพลางปาดน้ำตาไม่ยอมหยุด
“เช่นนั้นข้าจะลงรถม้าไปก่อน เมื่อเจ้าจิตใจสงบลงแล้วค่อยตามเข้าจวนแล้วกัน” ฮูหยินเอกกล่าวจบก็ก้าวลงรถม้าเข้าจวนเพื่อพักผ่อนทันที
ซูเม่ยสงบสติอารมณ์อยู่นานจึงก้าวลงจากรถม้าก่อนเดินกลับเรือนสาวใช้ที่บัดนี้ภายจวนแสงไฟจากเรือนต่าง ๆ ถูกมอดดับลงแล้ว “เจ้ากับท่านแม่ไปที่ใดมา”
“ว้ายยยย!”
ซูเม่ยตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อมีเสียงปริศนาดังขึ้นพร้อมกับมือหนาที่เกาะอยู่บนไหล่ขาวของนาง
“ใจเย็น นี่เข้าเองอี้เฉิง” บุรุษปริศนาที่กระโดดลงมาจากกิ่งไม้ด้านบนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตกใจกลัว รีบใช้มือปิดปากอีกฝ่ายอย่างรีบร้อน
ซูเม่ยเมื่อได้สติแลรู้ตัวเจ้าของเสียงปริศนาจึงใจเย็นลง ก่อนจะแกะมือที่ปิดปากนางแน่นออก
“คุณชายอี้เฉิง ท่านมาทำอะไรตรงนี้” สายตาตำหนิส่งไปยังอีกฝ่าย
“มาชมจันทร์” เขากล่าวพลางชี้ให้นางมองบนท้องฟ้า ก่อนจะขมวดคิ้วจ้องตาคู่งามที่บัดนี้แดงก่ำ แม้จะเป็นยามราตรีแต่แสงจันทร์ที่ส่องลงมาทำให้เขามั่นใจว่าสตรีเบื้องหน้าคงร้องไห้มาไม่น้อย
“เหตุใดต้องร้องไห้” ไม่รอให้ซูเม่ยกล่าวสิ่งใด เขาก็ถามคำถามนางทันที
ซูเม่ยรับหันหลังกลับก่อนใช้มือบางเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้างาม
“ข้าเพียงเป็นห่วงบิดาที่ยังถูกจองจำ” ซูเม่ยไม่คิดปิดบัง
“เจ้าไปเยี่ยมอาจารย์เจียงมาหรือ” อี้เฉิงรู้เรื่องของอีกฝ่ายจากมารดาที่บอกเหตุจำเป็นของซูเม่ยที่มาเป็นสาวใช้ในเรือนตระกูลเพ่ย
“อือ ถึงท่านพ่อจะบอกไม่เป็นอะไร แต่ข้ายังคงเป็นห่างท่านอยู่ดี”
ดวงตาแดงก่ำที่สบตากับเขา ทำให้อี้เฉิงเจ็บปวดตามนางไปด้วย แม้พึ่งรู้จักกันแต่เขากลับนับถือความเด็ดเดี่ยวของนางที่เดินทางไกลจากเมืองซานหลินมายังเมืองหลวงเพียงลำพัง และยังกล้าได้กล้าเสียขอความช่วยเหลือจากตระกูลขุนนางด้วยท่าทีเปิดเผยเกินที่สตรีเรือนหลังจะมีได้
“ไม่ต้องกังวลไป หากเขาไม่บาดเจ็บในคุกหลวงนั่นหมายความว่าฝ่าบาทให้เกียรติเขาไม่น้อย เช่นนี้ก็ไม่มีใครกล้าลงมือกับอาจารย์เจียงแน่” อี้เฉิงกล่าวปลอบใจอีกฝ่าย
“ท่านพูดจริงหรือ” ซูเม่ยที่มีท่าทีเหมือนจะร้องไห้กลับมีดวงตาเปล่งประกายด้วยความหวังอีกครั้ง
“อือ ข้าไม่โกหกเจ้าแน่”
สายตาจริงใจของบุรุษเบื้องหน้า ทำให้ซูเม่ยรู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด แม้เขาจะมักทำตัวไม่เอาไหนแต่ทว่านางกลับเชื่อสิ่งที่เขาพูดอย่างไม่คิดสงสัย
รถม้าหยุดลงหน้าจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพาบุตรชายบุตรสาวเข้าร่วมงาน “ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร” ซูเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พลางถามสิ่งที่นางสงสัยว่าเขาพานางมาด้วยทำไม “กันเหล่าสตรีออกจากข้า” หยางอี้จัดอาภรณ์ตนให้เรียบร้อย ก่อนกำชับคำสั่งแสนเรียบง่ายทว่ากลับทำได้ยากยิ่ง “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ จะขวางทางเหล่าคุณหนูบุตรีขุนนางใหญ่โตของราชสำนักได้อย่างไร” “นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เขากล่าวจบก็ลงจากรถม้าโดยไม่สนสายตาขอความเห็นใจของสตรีเบื้องหน้า ภายจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกตกแต่งอย่างโออ่า เหล่าขุนนางใหญ่ต่างนั่งร่วมโต๊ะดื่มชา คุณหนูตระกูลใหญ่จับกลุ่มชมบุปผาอีกฝั่งของสระบัว โดยเหล่าคุณชายนั่งชมความงามของสตรีอยู่อีกฝั่ง งานในวันนี้แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่ครอง ทว่าสตรีที่โดดเด่นของงานนี้กลับเป็นคุณหนูจูลี่เฉี่ยวบุตรีเพียงคนเดียวของใต้เท้าจู ซูเม่ยยืนมองหยางอี้ที่บัดนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางให้เหล่าคุณชายรุมล้อมแย่งกันตีสนิท ทว่าเขากลับนิ่งเฉยไม่สนจะร่วมวงสนทนาด้วย
“ซูเม่ยเจ้าอย่าพึ่งร้อนใจ.......” ยังไม่ทันที่อี้เฉิงจะกล่าวจบ ซูเม่ยหันหลังกลับออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา “ท่านแม่เหตุใดถึงทำเช่นนี้” อี้เฉิงมองมารดาด้วยความผิดหวัง “แม่ขอโทษ แม่เพียงเห็นว่าช่วงนี้เจ้ามีสมาธิในการท่องตำรา หากบอกเรื่องนี้ออกไปนางจะไม่มีกะจิตกะใจช่วยเจ้าทบทวนตำรา จึงได้คิดเห็นแก่ตัว” หลี่หว่ารู้สึกผิดต่อซูเม่ยอยู่มาก “นี่!” อี้เฉิงกล่าวสิ่งใดไม่ออก ในใจคิดเป็นห่วงสตรีที่พึ่งออกจากเรือนเขารีบหันกายตามนางไป ซูเม่ยไม่รู้จะทำเช่นไรในตอนนี้ ไม่รู้จะไปที่ใดได้แต่เดินตามท้องถนนยามตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเพียงลำพัง แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าสองข้างทางในเมืองหลวงที่มีคนพลุกพล่านตลอดทั้งวันบัดนี้เริ่มบางตา ลมพัดผ่านต้นไม้ยามเย็นทำให้อากาศที่ร้อนระอุตลอดทั้งวันกลับมาเย็นสบายอีกครั้ง ทว่าในใจของนางกลับเหน็บหนาวความพยายามตลอดสองเดือนของนางดูไร้ความหมาย แม้ว่าจะอดทนรอเพียงใดกลับเหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้ต้องผิดหวังจนได้ โรงเตี๊ยมซูเจียงตั้งอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่านางเดินมานานเพียงใดแล้วจนบัด
อี้เฉิงไม่ได้ดีใจเหมือนแต่ก่อนเมื่อคิดว่าจะได้เจอมู่หยุนเสี่ยว เขาเพียงทำตามที่ซูเม่ยบอก แจ้งสาวใช้ว่าตนนำแจกันราคาเพียงหนึ่งตำลึงมามอบให้คุณหนูมู่ เพียงไม่นานหยุนเสี่ยวก็เปิดประตูออกมาพบเขาที่หน้าจวน แม้นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมออกมาพบทว่าเขากลับไม่ได้ดีใจลิงโลดดั่งที่คิดไว้ กลับกันเขาเพียงรู้สึกโล่งอกเท่านั้น “คุณชายรองเพ่ย” หยุนเสี่ยวยอบกายทักทาย “ขออภัยคุณหนูมู่ที่มารบกวนเวลานี้ ข้าได้ยินจากซูเม่ยว่าท่านตามหาแจกันเนื้อดี บังเอิญข้าพบกับช่างทำแจกันเห็นว่าเนื้อดินละเอียดสวยงามไม่แพ้แจกันราคาแพง จึงนำมาฝากคุณหนูมู่ด้วย” อี้เฉิงกล่าวพลางยื่นแจกันให้สตรีเบื้องหน้า “ขอบคุณคุณชายรองที่มีน้ำใจ ข้ากำลังหาแจกันราคาถูกอยู่จริงเพราะอยากได้ใส่ดอกไม้ถวายพระโพธิสัตว์พอดีเจ้าค่ะ” ใบหน้างามยิ้มบางให้เขาเป็นครั้งแรกพลางรับแจกันลายโบตั๋นสีขาวบริสุทธิ์จากผู้มอบ อี้เฉิงเพียงยิ้มตอบตามมารยาท “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน” หยุนเสี่ยวแปลกใจไม่น้อยนางนึกว่าเขาอยากจะรั้งอยู่ต่อนานกว่านี้เสียอีก ทว่านางกลับไม่ถาม
อาจารย์อู๋ชายชราอายุแปดสิบปีอ่านบทความของลูกศิษย์ที่ตนหวังรับเป็นคนสุดท้ายด้วยแววตาปลาบปลื้ม “คุณชายรองเพ่ยก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย” แววตาชื่นชมมองมายังอี้เฉิงที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ “เพราะมีอาจารย์คอยชี้แนะขอรับ” บุรุษหนุ่มยิ้มกว้าง “หากจะสอบให้ได้ขุนนางปีนี้เจ้าทำได้แน่ แต่ถ้าหากอยากหวังตำแหน่งจอหงวนยังห่างไกลนัก” อาจารย์อู๋กล่าวตามตรง “ศิษย์ไม่หวังตำแหน่งสูงเพียงนั้น เพียงไม่ทำให้มารดากับคนในครอบครัวต้องผิดหวังก็พอ” อี้เฉิงกล่าวพลางมองไปยังซูเม่ยที่นั่งยิ้มยินดีกับเขาอยู่มุมห้อง วันนี้ทุกอย่างดูสดใสไปหมด การตรากตรำเรียนตำรามากว่าสองเดือนของอี้เฉิงไม่สูญเปล่า บุรุษตัวสูงยิ้มหน้าบานเดินออกจากสำนักศึกษาอย่างภาคภูมิ ทำซูเม่ยที่เดินตามหลังอดขำกับความภาคภูมิใจนี้ของคุณชายตนไม่ได้ “วันนี้เจ้าอยากกินอะไร ข้าเลี้ยงเอง” อี้เฉิงหันกลับมาถามสาวใช้ที่เดินตามหลัง “อืม....” ซูเม่ยคิดหนัก นางต้องกินของอร่อย ๆ สมกับที่เหน็ดเหนื่อยช่วยทบทวนตำราให้เขามาสองเดือนเต็ม “เช่นนั้นกิ
ตลอดเส้นทางกลับจวนอี้เฉิงเอาแต่เหม่อลอย เขานั่งพิงกรอบหน้าต่างรถม้าทอดสายตาออกไปภายนอก โดยไม่สนทนาใด ๆ กับซูเม่ยอีก ไม่ต่างจากนางที่ลอบสังเกตอาการของคนผิดหวังจากความรัก โดยที่ไม่กล่าวคำใดออกมาเช่นกัน รถม้าหยุดนิ่งหน้าจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าคุณชายรองของตระกูลยังไม่รู้สึกตัว ทำให้ซูเม่ยต้องกล่าวเตือน “คุณชายเพ่ย ถึงจวนแล้วหากท่านยังไม่อยากลง เช่นนั้นข้าเข้าจวนก่อนแล้วกัน” นางกล่าวก่อนลงจากรถม้าไป แต่พึ่งก้าวพ้นประตูจวนกลับถูกมื้อของอี้เฉิงรั้งแขนนางไว้ “เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า” เสียงที่กล่าวขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซูเม่ยต้องหันกลับไปมอง บุรุษเจ้าของเสียงมองมายังนางด้วยแววตาจริงจัง บ่งบอกว่าคำพูดเมื่อครู่เขาหมายความตามที่พูดจริง “ช่วยท่าน ช่วยท่านเรื่องอะไร” นางไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังแขนเรียวที่ถูกมือของอี้เฉิงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย คิ้วโก่งขมวดแน่นพลางมองสบตาอีกฝ่ายเป็นสัญญาณให้เขาปล่อยมือจากนาง หากทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ “เป็นแม่สื่อให้ข้า ช่วยให้ข้าเข้าหามู่หยุนเสี่ยว”
รุ่งเช้ายังไม่ทันที่ซูเม่ยจะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้เรียบร้อย แม่นมกุ้ยคนสนิทของฉิงอันกลับมาลากตัวนางไปยังเรือนฮูหยินรองเสียแล้ว “คารวะฮูหยินรอง” นางมองสตรีสูงศักดิ์แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดี ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้ “ได้ยินว่าเจ้าไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนคุณชายรองเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์อู๋” เพ่ยฉิงอันกล่าวไม่ไยดี พลางเป่าชาในถ้วย “เจ้าค่ะ” “เด็กคนนั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” “แม้คุณชายรองจะมีความรู้ไม่โดดเด่น แต่เขาก็ตั้งใจศึกษาไม่น้อยเจ้าค่ะ” ซูเม่ยรู้ว่าฮูหยินรองไม่พอใจต่ออี้เฉิง ที่ถูกท่านแม่ทัพเอ็นดูกว่าบุตรชายของนาง “หลี่หว่าคิดให้บุรุษที่เพิ่งเริ่มอ่านตำราได้ไม่นาน สอบแข่งขันขุนนางกับหยางอีหรือ” ฉิงอันวางถ้วยชาลงก่อนจ้องสาวใช้ผู้มาใหม่อย่างไม่เป็นมิตร “ข้าน้อยไม่ทราบ” “หึ! ครั้งนี้หลี่หว่าเลือกสาวใช้ได้ดีนี่ กล้ามีปากเสียงมิเกรงกลัวข้าจนตัวสั่นเหมือนสาวใช้คนอื่น แลยังมีหน้าตางดงามโดดเด่นไม่น้อย” สายตาที่เพ่งมองซูเม่ยตั้งแต่







