หลี่เฟิ่งเซียนแบกเจียงหว่านหนิงมาตามทางเรื่อยๆ ยามนี้รอบด้านที่พวกนางพาดผ่านเป็นเพียงป่าไผ่รกทึบ หลี่เฟิ่งเซียนหันไปเอ่ยถามเจียงหว่านหนิงเป็นระยะด้วยความห่วงใย
"หว่านหนิง เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง"
เด็กสาวที่ซบใบหน้าซีดเผือดอยู่บนไหล่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า
"พี่เฟิ่งเซียน ข้ารู้สึกว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรงอีกแล้วเจ้าค่ะ"
"เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิด อีกไม่ไกลก็จะเข้าเขตชายแดนแล้ว ได้ยินว่าด้านหน้ามีโรงเตี๊ยมเล็กๆ อยู่ ข้าจะส่งเจ้าไปพักที่นั่นก่อน ไว้เจ้าอาการดีขึ้นเราค่อยคิดหาทางออก"
เจียงหว่านหนิงพยักหน้าอย่างช้าๆ นางซาบซึ้งใจยิ่งนัก นับแต่นี้ไปจึงตั้งมั่นว่าจะนับถือหลี่เฟิ่งเซียนเป็นพี่ใหญ่ที่นางนับถือไปชั่วชีวิต
หลี่เฟิ่งเซียนที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่อยากรบกวนนางมากนัก นางอยากให้เจียงหว่านหนิงเก็บแรงเอาไว้ ระหว่างทางหลี่เฟิ่งเซียนก็ครุ่นคิดบางอย่างเรื่อยเปื่อย
เฮ้อ จะว่าไปนางนี่ก็แบกคนเก่งใช้ได้เลย มิสู้รับจ้างแบกคนหารายได้ระหว่างเดินทางไม่ดีกว่าหรือ?
ไม่ดีๆ!!! หากเจอคนตัวหนักเช่นเจียงหว่านหนิงนางคงเหนื่อยแย่ เช่นนี้ย่อมขาดทุน ค้าขายไม่ได้กำไรกันพอดี
หลี่เฟิ่งเซียนส่ายหน้าไปมา พลางอดยิ้มออกมาไม่ได้
เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ หลี่เฟิ่งเซียนก็พากันเดินมาจนถึงเขตชายแดนแคว้นหนิงอัน ที่นี่คือเมืองอันฉิน เป็นเมืองชนบทเล็กๆ ที่มีผู้คนเดินทางสัญจรมาค้าขายไม่น้อย ที่นี่ไม่มีสงครามจึงค่อนข้างสงบเป็นอย่างยิ่ง หลี่เฟิ่งเซียนมองไปด้านหน้าก่อนจะพบกับโรงเตี๊ยมเล็กๆ นางจึงรีบตรงไปหาเถ้าแก่ที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าทันที
"เถ้าแก่ ข้าขอเปิดหนึ่งห้อง ขอเป็นชั้นสอง น้องสาวข้าไม่สบาย ไม่อยากให้พบเจอความวุ่นวายมากนัก"
"ได้ๆ แม่นาง นี่กุญแจห้องของเจ้า ที่นี่มีอาหารเลิศรสบริการ ราคากันเอง"
"เช่นนั้นก็จัดมาให้ข้าหนึ่งชุด"
"ได้ๆ เชิญแม่นางทั้งสองตามสบาย"
หลี่เฟิ่งเซียนพยักหน้า ก่อนจะยื่นมือไปรับกุญแจห้องมาถือเอาไว้ ระหว่างนั้นนางหันมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง เพราะเกรงว่าคนพวกนั้นจะตามมาจับพวกนางกลับไปอีก
เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดแล้ว หลี่เฟิ่งเซียนจึงพาเจียงหว่านหนิงมาที่ห้องทันที นางวางเจียงหว่านหนิงลงบนเตียง ก่อนจะรินชาร้อนให้เจียงหว่านหนิงดื่มดับกระหาย เจียงหว่านหนิงดื่มชาในถ้วยจนหมด ความหวานล้ำของชาทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย ไม่นานนักก็มีคนนำอาหารมาส่ง หลี่เฟิ่งเซียนจ้องมองอาหารตรงหน้า ก่อนจะหลับตาลงพลางระงับโทสะ
ให้ตายเถิด นี่หรืออาหารเลิศรสที่ตาเฒ่าหน้าเงินผู้นั้นบอก มีแค่โจ๊กข้าวที่ใสจนแทบมองไม่เห็นเม็ดขาวสองถ้วยกับผักดองเน่าๆ เพียงเท่านั้น บัดซบจริงๆ ข้าไปทวงเงินคืนดีหรือไม่
นี่หรืออาหารเลิศรส
เลิศรสกับผีน่ะสิ!!!
เจียงหว่านหนิงจ้องมองหลี่เฟิ่งเซียนก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย แม้จะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่นางก็พอมองออก ยามนี้หลี่เฟิ่งเซียนกำลังอารมณ์เสียที่ได้อาหารไม่สมกับเงินที่นางต้องจ่ายไป
พี่สาวของนางผู้นี้นี่เหลือเกินจริงๆ
"พี่เฟิ่งเซียน กินก่อนเถิด อย่าใส่ใจเลย ยามนี้มีสงคราม โชคดีเพียงใดแล้วที่ยังมีอาหารให้เราได้กิน"
"อืม นั่นสินะ ช่างเถิด"
หลี่เฟิ่งเซียนพยักหน้าก่อนจะยกถ้วยโจ๊กขึ้นมากินแก้หิว เมื่อกินอิ่มแล้ว นางจึงหันมาเอ่ยกับเจียงหว่านหนิง
"หว่านหนิง ข้าคงส่งเจ้าได้เพียงเท่านี้ หนทางข้างหน้าเราคงต้องแยกกันไปจัดการเรื่องของตน ข้าขอให้เจ้าโชคดีนะ"
"เช่นกันนะเจ้าคะ ข้าเองต้องเดินทางข้ามไปแคว้นโจว เพื่อตามหาบิดามารดาที่แท้จริง ยังไม่รู้เช่นกันว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร"
"ข้าขอให้เจ้าได้พบเจอบิดามารดาดั่งที่ได้ตั้งใจเอาไว้ คืนนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าก่อน วันพรุ่งเราค่อยแยกทางกัน"
"เจ้าค่ะ"
เช้าวันต่อมาเจียงหว่านหนิงก็เดินมาส่งหลี่เฟิ่งเซียนที่ด้านหน้าโรงเตี๊ยม นางรู้สึกผูกพันกับพี่สาวผู้นี้ไม่น้อย เมื่อต้องห่างกัน ย่อมใจหายเป็นอย่างมาก
"รักษาตัวด้วยนะเจ้าคะพี่เฟิ่งเซียน"
"เจ้าก็เช่นกันนะ เจ้ารีบกลับไปพักเถอะ ไม่ต้องเดินออกมาส่งข้า จำไว้อีกสามเดือนพบกันที่เขาซานชุน เราต้องได้พบกันอีกครา"
"เจ้าค่ะ"
"อ้อ ค่าห้องพัก ไว้อีกสามเดือนค่อยเอามาคืนข้านะ"
"ให้เลยไม่ได้หรือเจ้าคะ"
"ฝันไปเถิด"
เจียงหว่านหนิงส่งเสียงหัวเราะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้หลี่เฟิ่งเซียน และเดินกลับไปห้องเช่นเดิม หลี่เฟิ่งเซียนหันกลับมามองโรงเตี๊ยมคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
หนทางข้างหน้าช่างยาวไกลยิ่งนัก แล้วพบกันใหม่นะเจียงหว่านหนิง
ด้านเจียงหว่านหนิงนั้นนางกลับมาพักที่บนห้องเช่นเดิม ก่อนจะจ้องมองออกไปที่ด้านนอกหน้าต่างด้วยแววตาที่เหนื่อยล้า แล้วจึงหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นกับนาง
เดิมทีนางอาศัยอยู่ที่เมืองเฉินเซ่า แคว้นฉางอัน บิดาของนางเป็นทหารรักษาชายแดนตำแหน่งไม่ใหญ่มากนัก ส่วนมารดาของนางเป็นเพียงสตรีชนบททั่วไป ครอบครัวของนางใช้ชีวิตอยู่กันอย่างมีความสุขเสมอมา จนกระทั่งเกิดสงครามขึ้นระหว่างแคว้นฉางอันและแคว้นต้าเหลียง บิดาของนางเสียชีวิตในสนามรบ นางกับมารดาต้องระเหเร่ร่อนมาพักอยู่ที่สถานลี้ภัยในเมืองตงหยางแคว้นหนิงอัน มารดาเมื่อรู้ว่าบิดาได้ตายจากไปแล้ว จึงเศร้าเสียใจจนล้มป่วย แม้จะดื่มยารักษา แต่ทว่าอาการก็ไม่ดีขึ้น ก่อนที่มารดาจะสิ้นใจ ได้บอกความจริงกับนางประโยคหนึ่ง
"หว่านเอ๋อร์ แท้จริงแล้ว ข้าและท่านพ่อเจ้าไม่ใช่บิดามารดาของเจ้า"
เจียงหว่านหนิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ นางจับมือมารดาแน่น ก่อนจะเอ่ยถาม
"จะเป็นไปได้เช่นไรกันเจ้าคะ ในเมื่อ..."
"ยามนี้เจ้าโตแล้ว ข้าคงต้องบอกความจริงกับเจ้า เมื่อสิบสี่ปีก่อนบิดาของเจ้าที่เป็นทหารรักษาชายแดน จับพวกพ่อค้าที่นำทาสและลักพาตัวเด็กๆ รวมถึงเหล่าสตรีมาขายช่วงที่บ้านแคว้นต้าโจวยังไม่สงบสุข เจ้าถูกนำมาขายบิดาเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าครอบครัวที่แท้จริงของเจ้าเป็นใคร รู้เพียงพวกมันจับเจ้ามาจากแคว้นโจว เจ้าถูกส่งตัวไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ยามนั้นบุตรสาวของข้าอายุเพียงสี่ขวบได้ตายจาก เราสองสามีภรรยาได้ไปพบเจ้าอีกครา ยามนั้นเจ้ากำลังนั่งร้องไห้อยู่ ไม่ยอมเล่นไม่ยอมสนทนากับเด็กๆ คนใดในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเลยแม้แต่คนเดียว เราสองสามีรู้สึกถูกชะตากับเจ้า จึงขอรับเจ้ามาเลี้ยงดูตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หว่านเอ๋อร์ บิดามารดาที่แท้จริงของเจ้าอาจเป็นคนแคว้นโจว เจ้าจงรีบเร่งเดินทางไปเถิด ยามนี้สงครามกำลังปะทุ ผู้คนที่ลักลอบทำเพื่อผลประโยชน์ของตนย่อมมีไม่น้อย รับนี่ไป นี่เป็นสมบัติที่ข้าเก็บเอาไว้ให้เจ้า แม้มันจะมูลค่าไม่มาก แต่คงจะช่วยเจ้าได้ไม่น้อย รักษาตัวด้วยนะหว่านเอ๋อร์"
"ท่านแม่!!! ท่านแม่!!!"
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดพาดผ่านใบหน้าสวยของเจียงหว่านหนิง นับว่าอากาศกำลังดีไม่น้อย ดอกหมู่ตานสีขาวหล่นร่วงลงมาตามสายลม พาให้คนรู้สึกเศร้าใจและสบายตาในคราเดียวกัน
เจียงหว่านหนิงเอนกายลงนอนบนเตียง ยามนี้นางรู้สึกเมื่อยล้าเป็นอย่างมาก พิษสามบุปผาในกายของนางยังคงกำเริบไม่หยุด ทำให้ร่างกายของนางอ่อนแรง โชคดีที่นางพยายามกินอาหารและข่มตาหลับ ร่างกายจึงค่อยๆทนกับพิษนี้ได้ นางยกมือของตนขึ้นมาดูก่อนจะถอนหายใจออกมา กำไลหยกสีเขียวที่นางสวมใส่มาตั้งแต่เด็ก หายไประหว่างทางที่นางถูกพิษ ยามนี้บ้านเมืองไม่สงบ คนที่หวังช่วงชิงผลประโยชน์จากผู้อื่นย่อมมีมาก นางเดาว่ากำไลหยกสีเขียววงนั้นของนางคงหายไประหว่างที่นางอยู่ที่สถานลี้ภัยเมืองตงหยางเป็นแน่
จะตามหาได้ที่ใดกันเล่า ช่างน่าเสียดายนัก เหตุใดโชคชะตาจึงเล่นตลกกับนางเช่นนี้กันนะ ท่านแม่บุญธรรมบอกนางว่า หยกนี้อาจจะเป็นเบาะแสเพียงชิ้นเดียวที่ทำให้นางตามหาบิดามารดาที่แท้จริงพบ เพาะมันติดตัวนางมาตั้งแต่ถูกขายมาที่แคว้นเฉินเซ่า
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งปวดหัว จึงเลิกคิดมันเสีย หนทางยังอีกยาวไกลนัก หากโชคดีนางอาจจะตามหากำไลหยกของนางเจอก็เป็นได้
โรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก นางได้ยินเถ้าแก่โรงเตี๊ยมบอกว่า ส่วนใหญ่คนที่มาเข้าพักมักจะเป็นพ่อค้าจากต่างแคว้นเสียส่วนใหญ่ พวกเขามักเข้ามาทำการค้าขาย แต่ว่าเพราะยามนี้มีสงคราม คนที่เข้าพักจึงค่อนข้างน้อย ทำให้โรงเตี๊ยมค่อนข้างเงียบไปบ้าง โชคดีที่แถวนี้เป็นชนบท จึงไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามมากนัก
เจียงหว่านหนิงตั้งใจว่าจะพักต่ออีกสักคืน พรุุ่งนี้เช้านางจะเดินทางข้ามไปที่แคว้นโจว นางเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตามหาบิดามารดาที่แท้จริงจากตรงที่ใดก่อน นางมีญาติสนิทหลงเหลือเพียงคนเดียวคือท่านลุง พี่ชายของบิดานางซึ่งอยู่ที่เมืองเฉินเซ่า แต่ทว่ายามนี้กลับหลบหนีจากสงครามเช่นเดียวกัน
หลังจากจัดการศพให้ท่านแม่แล้ว นางก็เดินทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกคนชั่วพวกนั้นลักพาตัวนางมา โชคดีที่นางพอจะมีวรยุทธ์อยู่บ้าง เพียงพอที่จะปกป้องตนเองได้ และโชคดียิ่งกว่าที่นางได้พบกับสหายทั้งสี่คนก่อนหน้านี้ที่ดีกับนางเหลือเกิน
ตลอดคืนเจียงหว่านหนิงนอนพักเอาแรงและกินอาหารจนอิ่ม จวบจนรุ่งเช้านางจึงออกเดินทางไปแคว้นโจว โชคดีที่เถ้าแก่โรงเตี๊ยมและภรรยาของเขาจะเดินทางไปหาซื้อสินค้าที่แคว้นโจวพอดี เขาจึงให้นางร่วมเดินทางไปด้วย ใช้เวลาร่วมสิบกว่าวัน ในที่สุดเจียงหว่านหนิงก็เดินทางเข้าสู่เขตชายแดนของแคว้นต้าโจว
นางมองผู้คนที่เดินสวนกันไปมา บ้านเมืองดูสงบสุขและไร้ซึ่งสงครามใดๆ ผู้คนต่างใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข เจียงหว่านหนิงกระชับห่อผ้าในมือแน่น ก่อนจะมองสำรวจไปโดยรอบ
นี่น่ะหรือแคว้นต้าโจว สถานที่ที่บิดามารดาแท้ๆของนางอาศัยอยู่
แล้วนางจะเริ่มตามหาจากที่ใดก่อนดีนะ บ้านเมืองกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้
เจียงหว่านหนิงไม่เคยเดินทางมาเมืองใหญ่เช่นนี้มาก่อน นางเป็นเพียงสตรีชนบท ไม่ได้รู้กฎระเบียบและการใช้ชีวิตของดินแดนต่างแคว้นเท่าใดนัก นางถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปพบกับโรงน้ำชาเล็กๆ นางเดินเข้าไปและสั่งชามาดื่มเพื่อดับกระหาย ชาที่นี่รสชาติดีไม่น้อย ก่อนจะออกจากร้านนางยังซื้อซาลาเปาไส้เนื้อติดมือมาด้วย เอาไว้กินระว่างทางเผื่อนางเกิดหิว เมื่อได้พักเต็มที่ก็รู้สึกว่าร่างกายค่อนข้างดีขึ้นไม่น้อย
"นี่!! อย่ามายุ่งกับข้านะ เจ้าคนเสเพลไม่เอาไหน!!!"
เจียงหว่านหนิงที่เดินออกมาจากโรงน้ำชา พลันได้ยินเสียงของสตรีน้อยนางหนึ่งที่เอ่ยด่าทอใครบางคนอยู่ นางขมวดคิ้วก่อนจะเดินตรงไปยังที่มาของเสียง ภาพตรงหน้าคือบุรุษผู้หนึ่ง เขาสวมผ้าเนื้อดีดูแล้วคงจะเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์จากตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ส่วนสตรีน้อยนางนั้นมีใบหน้างดงามเป็นอย่างยิ่ง นางสวมชุดราวกับสตรีมีศักดิ์ฐานะ และกำลังชี้หน้าด่าทอบุรุษตรงหน้าผู้นั้นอย่างโกธรเกรี้ยว
"ไป๋ซู่ฮวา เจ้าอย่าเล่นตัวไปหน่อยเลย คราก่อนพี่ชายเจ้าก็ทำให้ข้าอารมณ์เสีย ครานี้ข้าจะเอาโทสะมาลงกับเจ้า ดูสิว่า หากเจ้าตกเป็นภรรยาข้าแล้ว พี่ชายจอมอวดดีของเจ้าจะทำเช่นไร"
"ถอยไปนะ อย่าเข้ามานะ ช่วยด้วย!!!"
"มาให้ข้ากอดสักคราเถิด ไป๋ซู่ฮวา"
เจียงหว่านหนิงที่ได้เห็นเช่นนั้นแววตาของนางก็เย็นเยียบ นางเกลียดที่สุดคือบุรุษเฮงซวยพวกนี้ที่ชอบข่มเหงรังแกสตรี ใช้ได้ที่ใดกัน เอาโทสะมาลงที่สตรีเช่นนี้ เดิมทีนางไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้ใด แต่ทว่าสตรีน้อยนางนั้นช่างน่าสงสารเหลือเกิน
"ช่วยข้าด้วย ฮือ ข้าจะฟ้องท่านพี่!!!"
"ฟ้องเลย วันนี้ข้าจะกอด โอ๊ะ!!!"
บุรุษผู้นั้นยังไม่ทันเอ่ยจบประโยค ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาชนเขาอย่างแรง ก่อนจะอาเจียนใส่เขาคราหนึ่ง
"บัดซบ อี๋!!!"
"ขออภัยเจ้าค่ะ พอดีข้าไม่สบาย เวียนหัวมากจึงเผลอล่วงเกินนายท่านแล้ว"
ห้าปีต่อมา "ท่านแม่ พวกเราจะไปอยู่ที่จวนท่านลุงนานหรือไม่ขอรับ?" ฟางหว่านหนิงที่กำลังเตรียมจัดข้าวของเพื่อออกเดินทางไปยังแคว้นฉางอัน หันมามอง ไป๋หยวน บุตรชายเพียงคนเดียวของนางที่ยามนี้มีอายุสี่ขวบแล้ว นางยิ้มให้บุตรชายก่อนจะเอ่ย"คงจะร่วมหลายเดือนเลยแหละ แม่จะพาหยวนเอ๋อร์ไปไหว้หลุมศพท่านตาท่านยายบุญธรรม ที่แคว้นฉางอันยามนี้สงครามสงบแล้ว ย่อมงดงามไม่ต่างจากแคว้นต้าโจว หยวนเอ๋อร์ของแม่อยากเห็นหรือไม่?""อยากขอรับ""เช่นนั้นก็มาช่วยแม่จัดของเร็วเข้า"ไป๋หยวนพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบมาช่วยมารดาตนจัดของอย่างมีความสุข ฟางหว่านหนิงมองบุตรชายตนอย่างรักใคร่ ก่อนจะครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาไม่นานมานี้ท่านลุงเจียงจือหยวนส่งจดหมายมาบอกนางว่า ได้จัดการทำป้ายสุสานบรรพบุรุษเป็นชื่อของท่านพ่อและท่านแม่ นำมาไว้ที่จวนตระกูลเจียงแล้ว มีการทำพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณทุกปี เดิมทีฟางหว่านหนิงตั้งใจจะไปกราบไหว้ แต่ก็ติดที่ไป๋หยวนบุตรชายของนางยังเล็กนัก การเดินทางค่อนข้างลำบาก แต่ยามนี้บุุตรของนางเติบโตมากแล้ว ย่อมเดินทางได้ง่ายขึ้น ไป๋จื่อเซียนที่กลับมาจากค่ายทหาร เมื่อเห็นว่าภรรยาและลูกชายของเขากำลังจัดเต
ฟางหว่านหนิงจ้องมองร่างของโจวชิงเหยาที่ยามนี้ถูกไฟไหม้ไม่เหลือซากก่อนจะหลับตาลง แล้วซุกกายเข้าไปในอ้อมกอดของไป๋จื่อเซียน ไป๋จื่อเซียนกอดนางเอาไว้ อีกทั้งยังปลอบประโลมนางด้วยความรักใคร่ "อาหนิง""ไป๋จื่อเซียน เดิมทีตอนที่จับตัวข้าไป เขาไม่ได้ล่วงเกินข้า เขาเพียงหวังจะฆ่าข้าให้ตายตามเขา เขาไม่ยอมให้ข้าแต่งงานกับท่าน ข้า...""ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเชื่อใจเจ้า คนเช่นเจ้า หากต้องตกเป็นของโจวชิงเหยา ข้ารู้ว่าเจ้าคงยอมปลิดชีพตนเองเสียยังดีกว่า""ฮึก ไป๋จื่อเซียน""ไม่ต้องร้องแล้ว เรากลับจวนกันเถิด""อืม"ไป๋จื่อเซียนเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน นางซบกายลงไปอิงแอบเขาอย่างรักใคร่ ไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าใด ยามที่ได้อยู่ใกล้เขานางก็รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเสมอมาเมื่อกลับมาถึงจวน ฟางฮูหยินก็วิ่งเข้ามากอดบุตรสาวในทันทีด้วยความห่วงใย ฟางไฉหรงที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยกับไป๋จื่อเซียนอย่างซาบซึ้ง"อาจื่อ ขอบใจเจ้ามาก ข้าเป็นพี่ชายที่แย่ยิ่งนัก ทั้งที่นางเป็นน้องสาวของข้า แต่ว่าข้ากลับไม่ได้ตามไปช่วยนาง""เจ้าอย่าคิดมาก ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เก่งวรยุทธ์เท่าใดนัก พวกมันเป็นนักฆ่าที่ถูกฝึกฝนมา ข้าเกรงว่าเจ้าจะเกิด
ไป๋จื่อเซียนมุ่งหน้าตรงมาที่จวนตระกูลฟางด้วยความร้อนใจ เมื่อมาถึงก็พบกับฟางฮูหยินที่ตกใจจนเป็นลม ด้านเสนาบดีฟางก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก เมื่อสอบถามจากสาวใช้คนสนิท จึงได้ความว่า เดิมทีฟางหว่านหนิงกำลังปักผ้าคุลมหน้าเจ้าสาว แต่เพราะว่านางรู้สึกเมื่อยล้าแล้ว จึงอยากออกไปเดินเล่นรับลมที่ด้านนอกเสียหน่อย แต่ทว่านางเห็นว่าคุณหนูออกไปนานแล้ว จึงออกมาตาม แต่กลับพบว่ายามนี้คุณหนูได้หายตัวไปแล้ว มีเพียงผ้าเช็ดหน้าที่ทำตกเอาไว้เพียงเท่านั้น จึงมาแจ้งให้นายท่านและฮูหยินทราบ เหล่าบ่าวไพร่ต่างช่วยกันออกตามหาแต่ก็ไร้ร่องรอยของฟางหว่านหนิง"อาจื่อ จะทำเช่นไรดี?"ไป๋จื่อเซียนหันไปมองฟางไฉหรงคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจยามนี้โจวชิงเหยาหายตัวไป ประจวบเหมาะกับที่ฟางหว่านหนิงก็หายตัวไปอีกเมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็มีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะหันมาเอ่ยกับฟางไฉหรงด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา"อาไฉ ข้าเกรงว่าเรื่องที่อาหนิงหายตัวไปจะเกี่ยวข้องกับท่านอ๋อง""เอ?"ฟางไฉหรงที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีท่าทีตกใจไม่ต่างกัน หลังจากกำชับบ่าวไพร่ให้ดูแลมารดาให้ดีแล้ว เขาจึงออกมาพร้อมกับไป๋จื่อเซียน "อาจื่อ เจ้าแน่ใจ
ตระกูลไป๋ถูกกักบริเวณร่วมหลายสิบวัน เมื่อตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโจวชิงเหยา จึงถูกปล่อยตัวออกมา ยามนี้ไป๋จื่อเซียนและแม่ทัพใหญ่ไป๋กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ ฮ่องเต้โจวฉินอวี้มองพวกเขาสองคนพ่อลูกคราหนึ่ง "ลำบากพวกเจ้าสองพ่อลูกและคนตระกูลไป๋แล้ว แต่ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนั่นถือเป็นเรื่องดี"แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเอ่ย "ตระกูลไป๋ซื่อสัตย์ภักดีต่อฝ่าบาทเท่านั้น ไม่เคยคิดเป็นอื่น ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย" "เอาเถิด เรารู้แล้ว แต่เรามีอีกเรื่องที่ต้องการให้พวกเจ้าไปทำ""เชิญรับสั่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ" ฮ่องเต้โจงฉินอวี้ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย "ตามจับตัวอาชิงกลับมาให้ได้ เราอยากให้จับเป็น น้องชายผู้นี้จะดีจะร้ายก็มีสายเลือดเดียวกับเรา บางคราเขาอาจจะทำไปเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ"ไป๋จื่อเซียนและแม่ทัพใหญ่ไป๋รับคำคราหนึ่ง ฮ่องเต้โจวฉินอวี้จึงให้พวกเขาสองพ่อลูกกลับจวนไปเสีย เมื่อพวกเขาออกจากตำหนักไปแล้ว ฮ่องเต้โจวฉินอวี้ก็ทรุดตัวนั่งลงบนบัลลังก์ ขอบตาของเขาแดงก่ำ พยายามฝืนความเสียใจเอาไว้ ตอนที่ได้รู้เรื่องที่โจวชิงเหยาคิ
"นังสารเลวเจียงหว่านหนิง ข้าจะฆ่าเจ้า!!!""ถิงเอ๋อร์!! อย่านะ!!!"ไป๋จื่อเซียนหันไปมองฟางถิงถิงที่ยามนี้กำลังเอ่ยปากด่าทอเจียงหว่านหนิง และกำลังพุ่งทะยานเข้ามาหวังจะตบตีพี่สาวตน แต่ทว่าฟางอวี้เฉวียนกลับรั้งตัวน้องสาวของเขาเอาไว้ ก่อนจะจ้องมองฟางหว่านหนิงอย่างหวาดกลัว จะไม่ให้เขาหวาดกลัวได้เช่นไรกัน สามวันก่อนเขากับฟางถิงถิงวางแผนกันว่าจะลอบทำร้ายฟางหว่านหนิง แต่ผู้ใดจะรู้พี่สาวต่างมารดาผู้นี้กลับมีวรยุทธ์ นางหักนิ้วเขาอีกทั้งยังถีบเขาจนล้มหงายท้องไม่เป็นท่า ไม่พอเท่านั้นนางยังเตะเสยปลายคางเขาจนฟันหน้าหักไปซี่หนึ่ง จากนั้นนางก็ลงมือตบตีฟางถิงถิงอย่างไร้ความปรานี จนพวกเขาสองพี่น้องสะบักสะบอมบาดเจ็บไปไม่น้อย ตั้งแต่ท่านแม่ออกจากจวนไป ท่านพ่อก็ไม่เคยสนใจไยดีพวกเขาสองพี่น้องอีกเลย เมื่อท่านพ่อรู้ว่าเขาคิดทำร้ายฟางหว่านหนิง ก็สั่งขังพวกเขาเอาไว้แต่ในเรือนไม่ให้ออกไปก่อเรื่องได้อีก ฟางหว่านหนิงจ้องมองสองพี่น้องด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเห็นฟางอวี้เฉวียนทุบต้นคอของฟางถิงถิงจนสลบ แล้วแบกน้องสาวตนหนีกลับเรือนไปด้วยความหวาดกลัว "เหตุใดพวกเขาจึงดูหวาดกลัวเจ้าเช่นนี้?"ไป๋จื่อเซียนหันมามองที่ฟางห
ผ่านไปร่วมหลายวัน ในที่สุดเจียงหว่านหนิงก็ได้สติและฟื้นขึ้นมา แต่เพราะนางยังบาดเจ็บอยู่จึงยังไม่อาจขยับกายได้มากนัก นางมองดูไป๋จื่อเซียนที่ยามนี้กำลังส่งยิ้มให้นาง พลางส่งถ้วยชามาให้นางดื่มดับกระหาย นางยิ้มตอบเขาเล็กน้อย"ข้าคิดว่าจะไม่ได้พบกับท่านแล้วไป๋จื่อเซียน"ไป๋จื่อเซียนยื่นมือมาลูบผมนางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย"ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าต้องตายเป็นแน่"เจียงหว่านหนิงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด ไป๋จื่อเซียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยปรามนางทันที"อย่าเพิ่งขยับมาก เจ้าบาดเจ็บหนัก!!!""อืม"เจียงหว่านหนิงจึงทิ้งกายลงนอนเช่นเดิม"เมื่อครู่ท่านแม่ของข้ากับซู่เอ๋อร์มาเยี่ยมเจ้า แต่ว่าเจ้ายังหลับอยู่ พวกนางจึงกลับไปก่อน""ลำบากพวกท่านยิ่งนัก""ลำบากอันใดกัน อีกไม่นานเราสองตระกูลก็จะเกี่ยวดองกันแล้ว"ไป๋จื่อเซียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เจียงหว่านหนิงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยื่นมือของตนไปจับมือของเขาเอาไว้ ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจของนาง มันทำให้นางรู้สึกปลอดภัยยามที่ได้เห็นหน้าของไป๋จื่อเซียนเขาเป็นทุกอย่างในชีวิตของนางจริงๆไป๋จื่อเซียนสั่งให้เหรินห่าวไปแจ้งที่ตระก