เพ่ยลู่เสียนแม้มีอายุต่างจากพวกนางไม่มาก ทว่ากลับมีความสุขุม รอบคอบและเด็ดขาด ดังนั้นพวกนางจึงรู้สึกวางใจและยกให้อีกฝ่ายเป็นพี่ใหญ่ด้วยความเต็มใจ
“ข้าเพียงอยากรวบรวมข้อมูลเพื่อจะได้ใช้วางแผนหลบหนีเท่านั้น ขออภัยด้วยหากทำให้เจ้าตกใจ”
“ลู่เสียน เจ้าก็อย่าดุหว่านหนิงนักเลย นางไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรสักหน่อย เอาละสาวน้อย เจ้าก็เล่าเท่าที่เจ้ารู้ออกมาก็แล้วกัน”
หลี่เฟิ่งเซียนออกหน้าช่วยสหาย ก่อนจะเอียงตัวกระซิบเสียงเบาข้างหูเจียงหว่านหนิง
“ครั้งนี้ข้าช่วยเจ้า นับว่าเจ้าติดหนี้ข้าเพิ่มเป็นยี่สิบอีแปะ”
มู่ซีหว่านมองสหายตรงหน้าแล้วถอนหายใจยาว ก่อนจะกระชับอ้อมแขนปลอบโยนเด็กสาวในอ้อมอก ส่งสายตาปลอบโยนให้นางจนคนตัวเล็กคลายความหวาดหวั่นและเอ่ยเสียงสั่นเครือเบาๆ
“ข้าชื่ออู๋สือซว่านเจ้าค่ะ จำได้เพียงว่าชายที่จับตัวข้ามามีรอยสักรูปอินทรีที่อกขวา”
“เช่นนั้นก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ที่ไหน เดินทางมาจากทิศใด ใช้เวลากี่วันด้วยวิธีไหนจึงมาถึงที่นี่”
เพ่ยลู่เสียนเอ่ยถามเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดูเหมือนว่าเด็กสาวนามว่าอู๋สือซว่านจะไว้ใจพี่สาวเพ่ยอยู่ไม่น้อย อาการสั่นสะท้านของนางจึงคลายลงอย่างชัดเจน น้ำเสียงที่เอ่ยตอบก็มั่นคงมากขึ้น
“ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่ค่ายตงหยาง เดินทางด้วยเท้าเจ็ดวันจึงมาถึงที่นี่เจ้าค่ะ แต่ทิศทางใดนั้นข้ามองไม่เห็น”
น้ำเสียงในท้ายประโยคของอู๋สือซว่านแผ่วเบาลงเมื่อไม่สามารถตอบคำถามของเพ่ยลู่เสียนได้ครบทุกประโยค มู่ซีหว่านเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดูและเห็นใจ จึงกระชับมือเล็กแล้วตบที่หลังมือของนางเบาๆ
“ไม่ต้องกังวลไป พี่ลู่เสียนเพียงถามดูเพื่อจะได้หาตำแหน่งที่ตั้งของพวกเราเท่านั้น”
เจียงหว่านหนิงที่ได้ยินเช่นนั้น จึงหันมาเอ่ยกับอู๋ซือสว่านเช่นกัน
"ข้าเองก็เพิ่งมาจากค่ายตงหยางเช่นกัน ข้าพามารดาหลบหนีสงคราม แต่ทว่าน่าเสียดายบิดามารดาข้าจากไปทั้งคู่แล้ว"
อู๋สือซว่านไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงมองเจียงหว่านหนิงอย่างเห็นใจ ล้วนถูกจับมาเช่นกัน ยามนี้คงต้องปลอบใจกันไปก่อน นี่เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่พวกนางจะทำได้ในยามนี้แล้ว
เพ่ยลู่เสียนขยับตัวไปหยิบกิ่งไม้มาขีดบางสิ่งลงบนพื้นดินกลางเรือน คิ้วเรียวของนางขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิดก่อนจะเงยหน้าเอ่ยบอก
“ชานเมืองอันฉิน”
ยามนี้สตรีห้านางเดินล้อมเข้ามาเป็นวง และเริ่มวางแผนที่จะหลบหนีออกจากที่นี่ เพราะไม่อย่างนั้นพวกนางก็ไม่รู้ว่า จะถูกพวกค้ามนุษย์เหล่านี้จัดการอย่างไร
“พี่ลู่เสียน ท่านเก่งขนาดนี้สนใจร่วมลงทุนวาดแผนผังเมืองขายกับข้าหรือไม่”
“หลี่เฟิ่งเซียน เจ้าหยุดคิดเรื่องเงินก่อนได้หรือไม่” มู่ซีหว่านเอ่ยพลางตีไปบนไหล่ของสหาย หลี่เฟิ่งเซียนยู่ปากขึ้นพลางลูบท่อนแขนตนเองเหมือนจะเจ็บ แต่เมื่อเห็นสายตาของพี่ใหญ่เพ่ยลู่เสียนก็ก้มหน้าลง แอบแลบลิ้นออกมา
“เท่าที่ข้าได้แอบฟังมาอีกสามวันพวกมันจะขายเราเข้าหอนางโลม พี่ลู่เสียน ท่านวางแผนหลบหนีไว้อย่างไร”
ถึงแม้เจียงหว่านหนิงจะบาดเจ็บจากพิษสามบุปผา แต่ทว่าทักษะในการแอบฟังของนางหาได้ถดถอยลงเลยแม้แต่น้อย
“หากข้าคาดเดาไม่ผิด คนพวกนี้คงขายเราให้กับหอวารีแคว้นต้าโจว เพราะเป็นเขตที่ใกล้เมืองอันฉินที่สุด เส้นทางจากเมืองอันฉินไปยังแคว้นต้าโจวเป็นดินภูเขาไม่อาจใช้รถม้าและไม่มีแม่น้ำตัดผ่านต้องเดินเท้าเท่านั้น มีเพียงโอกาสนี้ที่พวกเราจะหลบหนีได้”
“เช่นนั้นข้าจะรั้งท้ายสกัดพวกมันเอาไว้เอง พวกท่านเร่งหนีให้เร็วที่สุดก็พอ”
เจียงหว่านหนิงเอ่ยอาสาด้วยท่าทางจริงจังหนักแน่น นางพอจะมีทักษะการต่อสู้ที่ดีไม่น้อย เนื่องจากบิดาที่เป็นทหารรักษาชายแดนคอยสอนทักษะการต่อสู้เอาไว้ให้นางใช้ป้องกันตัว เดิมทีนางเพียงเรียนเพื่อความสนุก ไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งมันกลับได้ใช้ต่อสู้กับเหล่าทหารกบฏในยามสงคราม
กลับเป็นมู่ซีหว่านที่ขมวดคิ้วจ้องสตรีด้านข้างด้วยสายตาเป็นกังวล เดิมทีที่ได้พบเจอเจียงหว่านหนิงในคราแรก นางเห็นว่าเจียงหว่านหนิงงดงามอ่อนหวาน อีกทั้งยังบอบบาง ไม่น่าเชื่อว่านางจะมีวรยุทธ์ด้วย อีกทั้งทักษะยังดีไม่น้อยเลย
“หว่านหนิง ตอนนี้ร่างกายของเจ้าไม่อาจใช้วรยุทธ์ได้ มิเช่นนั้น...”
เจียงหว่านหนิงกระดกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ข้ามีสหายเป็นหมอเทวดา ยังจะต้องกังวลเรื่องใดอีก”
หากบาดเจ็บก็ให้มู่ซีหว่านรักษาให้อีกก็สิ้นเรื่อง หาใช่เรื่องใหญ่โตอันใด
“ซีหว่าน ข้าพูดจริงนะ เจ้าสนใจร่วมเปิดโรงหมอกับข้าหรือไม่”
มู่ซีหว่านถอนหายใจออกมา หลี่เฟิ่งเซียนเจ้าช่วยคิดเรื่องหลบหนีก่อนได้หรือไม่...
อีกสามวันต่อมา ในขณะที่หญิงสาวทั้งห้ากำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ ประตูไม้ที่ถูกปิดเอาไว้อย่างแน่นหนาก็ถูกเปิดออกมา พ่อค้าทาสหน้าตาเหี้ยมโหดผู้หนึ่งเดินเข้ามาข้างใน และจับพวกนางทั้งห้าผูกมัดมืออีกครั้ง ก่อนจะใช้เชือกเส้นยาวร้อยรัดมัดโยงพวกนางต่อกันเป็นแถวตอนเดียว
“เดินตามมาดีๆ อย่าได้คิดตุกติก ไม่เช่นนั้นกระบี่ในมือข้าอาจจะพลาดไปถูกคอพวกเจ้าได้”
มู่ซีหว่านพลันรู้สึกว่าชายเสื้อด้านหลังของตนเองถูกกระตุก แรงสั่นเทาน้อยๆ ที่ส่งผ่านทางชายเสื้อ ทำให้นางรับรู้ว่าเด็กสาวที่อยู่ด้านหลังกำลังหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
"มีพี่สาวคนนี้อยู่ไม่ต้องกังวล"
นางเอียงใบหน้าหันกลับไปมองด้านหลัง ก่อนจะกระซิบปลอบใจอู๋สือซว่านอย่างอ่อนโยน ครั้นเมื่อเด็กสาวได้ยินคำพูดของนาง ก็ก้มหน้าพยักขึ้นเบา ๆ มู่ซีหว่านรู้ดีว่านางคงจะกำลังหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
“รีบพาพวกนางออกมารวมกับพวกด้านหน้า”
เสียงเข้มตวาดขึ้นมาจากชายชุดดำ คนที่กำลังพาพวกนางออกไปตอบรับอย่างนอบน้อม ดูท่าแล้วชายผู้นั้นคงจะเป็นหัวหน้าโจรค้ามนุษย์อย่างแน่นอน
“ขอรับ”
สิ้นเสียงตอบรับพวกนางทั้งห้าก็ถูกพาตัวมายังด้านหน้ากลางลานบ้าน มู่ซีหว่านกวาดตามองไปยังรอบๆ ก็พบว่ามีสตรีไม่ต่ำกว่าสามสิบนางต่างก็ถูกมัดเรียงกันเช่นเดียวกับพวกนางทั้งห้า
“พวกเรือนตะวันตกพาไปส่งที่หอวารีแคว้นต้าโจว เรือนตะวันออกส่งไปหอสราญรมย์ เรือนหลังนั่นส่งไปที่โรงบำเรอทาส”
มู่ซีหว่านเบิกตาขึ้น นางกำมือตนเองแน่น เหงื่อที่ไรผมไหลย้อย พวกมันจะส่งนางและสหายทั้งห้าไปยังหอวารีแคว้นต้าโจ้วอย่างนั้นหรือ ต่อให้นางจะอาศัยอยู่บนเขา ทว่านางก็หาใช่หญิงสาวในห้องหอ ที่ไม่รับรู้เรื่องราวภายนอก นางเคยได้ยินผู้ไข้ที่มารักษากับบิดาพูดถึงหอนางโลมเหล่านี้ หอวารีแคว้นต้าโจวเป็นหอคณิกาอันดับหนึ่งของต้าโจวเลื่องลือขึ้นชื่อเรื่องหญิงงาม เป็นที่นิยมมาหาความสำราญของบุรุษชนชั้นสูง ส่วนหอสราญรมย์เป็นหอคณิกาสามัญ ในขณะที่โรงบำเรอทาสคือหอนางโลมชั้นต่ำรองรับลูกค้าที่มีรสนิยมดิบเถื่อน
"ดูแล้วสิ่งที่พี่ลู่เสียนคาดเดาคงไม่ผิดนัก เจ้าไม่ต้องกลัวไป"
“พี่ซีหว่าน แต่ข้ากลัว...”
เสียงสั่นสะอื้นของอู๋สือซว่านเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา มู่ซีหวานหันไปยิ้มปลอบใจเด็กสาว
“ไม่ต้องกลัว พี่ลู่เสียนไม่เคยคาดการณ์สิ่งใดพลาด”
ครั้นเห็นอู๋สือซว่านพยักหน้าหงึกๆ ซีหว่านก็เดินตามเจียงหว่านหนิงที่อยู่ข้างหน้าออกไป ชายฉกรรจ์เหล่านั้นพาพวกนางเดินเท้าโดยไม่หยุดพัก ตั้งแต่ยามตะวันขึ้นจวบจนกระทั่งดวงตะวันเลื่อนขึ้นมาอยู่ตรงกลางศีรษะ คนเหล่านั้นจึงยอมหยุดให้พวกนางได้พัก
“พี่รอง...จะว่าไปแล้วพวกนางก็งดงามกันไม่น้อย ตอนนี้นายใหญ่ไม่อยู่ ข้าว่าพวกเราหาเรื่องสนุกทำกันดีหรือไม่”
มู่ซีหว่านได้ยินชายคนหนึ่งเอ่ยเสียงหื่นกาม ในสายตาเต็มไปด้วยไฟปรารถนาจดจ้องมองหญิงสาวทั้งห้า ในใจของนางก็เกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ทว่าคนที่หวาดกลัวยิ่งกว่ากลับเป็นอู๋สือซว่าน เด็กสาวตัวสั่นเทาเงยหน้ามองซีหว่านด้วยความหวาดกลัว เห็นอย่างนี้หญิงสาวจึงต้องแสร้งเข้มแข็ง เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับเด็กสาวด้านข้าง
“นั่นสิพี่รอง ท่านเองก็พอใจเด็กสาวผู้นั้นมิใช่หรือ อย่างไรพวกนางก็ต้องไปเป็นหญิงนางโลมที่หอวารี พวกเราเล่นสนุกกับพวกนางคนละรอบสองรอบคงไม่เสียหายอะไร”
เมื่อถูกบรรดาสหายชั่วยั่วยุ ผู้ที่ถูกเรียกขานว่าพี่รองก็เริ่มไขว้เขว ยิ่งได้เห็นท่าทางตื่นกลัวของอู๋สือซว่านที่มันหมายตา ในใจที่ต่ำช้าก็ฮึกเหิมเร่าร้อน หากได้ครอบครองนางสักครั้งสองครั้งคงสุขสมไม่น้อย
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็เบามือหน่อย และอย่าได้ทิ้งร่องรอยชัดเจนจนเกินไป”
เมื่อได้รับคำอนุญาตจากผู้มีอำนาจที่สุด เหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหกก็พุ่งตรงไปหาหญิงงามทั้งห้า ทว่าในจังหวะที่ชายคนแรกถึงตัวเจียงหว่านหนิงเชือกที่ข้อมือนางก็หลุดออก เศษถ้วยแตกที่ซ่อนเอาไว้ในปลอกแขนปาดเข้าที่ลำคอของชายตรงหน้าทันที การหนีตายจากสงครามทำให้นางค่อยๆ รู้วิธีเอาตัวรอดได้ดี
“สารเลว ต่ำช้า! บุรุษเช่นพวกเจ้าสมควรตายให้หมด”
เจียงหว่านหนิงตวาดเสียงกร้าว ดวงตาเรียวจ้องมองเหล่าเดนมนุษย์แดงฉาน
ทันทีที่ร่างของบุรุษคนแรกล้มลง คนที่เหลือก็ถอยไปตั้งหลักหยิบกระบี่ขึ้นมาในทันที
"สตรีแพศยา เจ้ากล้าลงมือกับอาฉาย ข้าจะไม่ให้เจ้าได้ตายดี"
เจียงหว่านหนิงยกมุมปากขึ้นเย้ยหยันกับคำข่มขู่ที่ได้ยิน เท้าเล็กสะกิดกระบี่บนเอวของร่างชายไร้ลมหายใจขึ้นมาถือ แล้วขยับเท้าเข้าหา ยามที่นางพลิกฝ่ามือคราหนึ่ง ลมหายใจของบุรุษชั่วก็ดับลงไปอีกหนึ่งคน มู่ซีหว่านมองสหายปลิดชีพเดนมนุษย์เหล่านั้นอย่างตกตะลึง นางยกมือขึ้นปิดไปที่ดวงตาของอู๋สือซว่าน
"หากเจ้ากลัว ก็หลบหลังข้าเสีย อย่าได้มองภาพเหล่านั้นเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่หว่านหนิงเถอะ"
อู๋สือซว่านตอบรับออกมา และขยับไปอยู่ด้านหลัง มู่ซีหว่านกวาดตามองภาพตรงหน้า เพื่อหาจังหวะหลบหนี
ในขณะที่เจียงหว่านหนิงก้าวเท้าสังหารพ่อค้าทาสต่ำช้า หลี่เฟิ่งเซียนก็รีบทรุดตัวลงนั่งวางมือบนร่างที่ไร้ลมหายใจ นางเร่งสอดส่ายมือควานหาถุงเงินของอีกฝ่าย ยามที่จับได้ถุงเงินใบโตดวงตาของนางก็เปล่งประกาย หากแต่ในจังหวะที่นางกำลังจะปลดถุงเงินสีดำบนเอวหนา แขนเล็กก็ถูกดึงรั้งจนถุงเงินใบโตหลุดมือ
"พี่ลู่เสียนถุงเงินของข้า"
“รักษาชีวิตของเจ้าก่อนดีหรือไม่”
เป็นเพ่ยลู่เสียนกลอกสายตาขึ้นเอ่ยตำหนิเสียงก้อง พร้อมกับออกแรงฉุดดึง หลี่เฟิ่งเซียนได้แต่มองถุงเงินด้วยสายตาอาลัย หากแต่ก็จำใจต้องทอดทิ้งลาภก้อนใหญ่ของตนไป
ตอนแรกพวกนางทั้งห้าวางแผนกันเอาไว้ เจียงหว่านหนิงผู้เป็นวรยุทธ์จะเป็นผู้ขัดขวางพวกนั้นเอาไว้ และให้อีกสี่คนที่เหลือได้หลบหนีไปเสียก่อน ทว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆ ยิ่งมาเห็นเหตุการณ์น่าหวาดกลัวเช่นนี้ ใครเลยจะกล้าทิ้งนางเอาไว้ได้ เมื่อเห็นว่าเจียงหว่านหนิงยิ่งสู้ ใบหน้าก็ยิ่งซีด มู่ซีหว่านก็ยิ่งหวาดกลัวพิษในร่างของเจียงหว่านหนิงยังไม่ได้ถูกขับ เพียงแค่ยับยั้งเอาไว้เท่านั้น หญิงสาวรู้ดีว่าสหายไม่อาจฝืนต่อสู้ได้นานนัก และทันทีที่กระบี่ในมือของเจียงหว่านหนิงปลิดลมหายใจของชายต่ำช้าคนสุดท้ายลง มู่ซีหว่านก็รีบลุกขึ้นมือหนึ่งยังคงจับอู๋สือซว่านที่ตื่นกลัว ขณะที่อีกมือหนึ่งเร่งวางลงตรวจชีพจรของเจียงหว่านหนิง
“หว่านหนิง เจ้าปลอดภัยหรือไม่”
มู่ซีหว่านเอ่ยถามด้วยความห่วงใย พลางจับร่างของเจียงหว่านหนิงหมุนไปมา เพื่อสำรวจอาการบาดเจ็บ นอกจากใบหน้าที่ซีดแล้ว อย่างอื่นหาได้เป็นอะไรไม่ ในใจที่หนักอึ้งด้วยความห่วงใยก็พลันเบาบางลง
ปัง!
เสียงพลุดังก้องก่อนที่บนน่านฟ้าจะปรากฏกลุ่มควันสีแดงคละคลุ้งในอากาศ หญิงสาวทั้งห้าเงยหน้าขึ้นมองอย่างพร้อมเพรียง
“พลุสัญญาณ พวกเราต้องเร่งหนีแล้ว”
เพ่ยลู่เสียนเอ่ยเสียงตื่นตระหนกพร้อมกับขบกรามแน่นด้วยความโมโห ทั้งที่ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว กลับพลาดท่าให้อีกฝ่ายเรียกกำลังเสริมเสียได้
"บัดซบ"
เจียงหว่านหนิงเอ่ยลอดไรฟัน นางซัดกระบี่ในมือใส่ชายชุดดำตัดเส้นลมหายใจของอีกฝ่ายในกระบวนท่าเดียว ทว่าเมื่อซัดออกไปแล้ว ร่างอรชรกลับเซถอยหลัง กระอักเลือดคำโตออกมา อู๋สือซว่านรีบปล่อยมือมู่ซีหวานออก และวิ่งเข้าไปรับร่างเจียงหว่านหนิงเอาไว้ไม่ให้นางได้ล้มลงไปกองที่พื้น ขณะที่มู่ซีหว่านเองก็รีบล้วงเอาเข็มเงินที่บิดามอบให้ออกมาฝังลงไปตามจุดชีพจรเพื่อยับยั้งพิษ
“ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าห้ามใช้ลมปราณ”
มู่ซีหว่านเอ่ยดุไม่จริงจังนัก ในใจห่วงใยสหายตรงหน้า จนใบหน้าซีดเผือด แต่ปากคนเป็นหมอ ก็อดจะต่อว่าคนป่วยที่ฝืนใช้ร่างกายตนเองจนเกินขอบเขตไม่ได้ ทว่าเมื่อได้สตินางก็พลันหน้าสลดลง หากไม่ใช่เพราะต้องการจะกำจัดคนเหล่านั้น เพื่อช่วยพวกนางหรอกหรือ เจียงหว่านหนิงจึงได้ฝืนร่างกายตนเอง
“ขออภัยด้วย เป็นข้าที่ผิดเอง”
เจียงหว่านหนิงนิ่วหน้า มือกุมหน้าอก
“เป็นข้าต่างหากที่ต้องขอโทษเจ้า ข้าไม่สมควรต่อว่าเจ้า ทั้งที่เจ้าทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือและปกป้องพวกเรา”
"ข้ารู้ว่าเป็นเรื่องยากลำบาก แต่พวกเราไม่อาจชักช้าได้ ไม่เช่นนั้นอาจถูกจับตัวไปอีกครั้ง"
เพ่ยลู่เสียนมองสตรีทั้งสองที่ต่างพร่ำขอโทษกันไปมา ก็เอ่ยขัดจังหวะขึ้นบอกด้วยท่าทางกังวลแม้รู้ว่าอาการของเจียงหว่านหนิงตอนนี้ไม่เหมาะกับการเคลื่อนย้ายเดินทาง ทว่านางก็ไม่อาจให้ทุกคนรอความตายอยู่ที่นี่
"หว่านหนิง เจ้าพอจะเดินไหวหรือไม่"
เจียงหว่านหนิงย่อมเข้าใจเจตนาของเพ่ยลู่เสียน หากแต่ร่างกายนางเวลานี้ไม่เพียงไม่อาจก้าวเดิน แม้แต่ขยับลุกขึ้นก็ยังยากจะทำ หากยามนี้ไม่ใช่เพราะฝีมือการฝังเข็มของมู่ซีหว่าน เกรงว่าเจียงหว่านหนิงคงจะล้มลงไปแล้ว ถึงแม้ร่างกายเจียงหว่านหนิงจะไม่ไหว ทว่าหัวใจนางเด็ดเดี่ยวนัก เสียงห้าวเอ่ยออกมาอย่างตั้งใจ
“พวกท่านไปเถิด ข้าจะอยู่สกัดพวกมันเอง”
“เหลวไหล สภาพเจ้าลุกยืนยังไม่ได้ จะเอาแรงที่ไหนไปสกัดพวกมัน”
มู่ซีหว่านตวัดสายตามองน้ำเสียงดุดันตำหนิคนดื้อรั้นตรงหน้าอีกครั้ง ทุกคนรู้ถึงเจตนาดีของเจียงหว่านหนิง แต่เพราะเป็นอย่างนั้นจะปล่อยให้นางรับหน้าได้อย่างไร ดูเอาเถิดขนาดอู๋สือซว่านจะหวาดกลัวเพียงใด แต่ก็ยังพยักหน้าเห็นด้วยกับมู่ซีหว่าน
"เช่นนั้นข้าจะแบกท่านดีหรือไม่เจ้าคะ"
อู๋สือซว่านขยับไปยืนจับมือเจียงหว่านหนิงเอาไว้ ริมฝีปากบางเม้มขึ้นอย่างประหม่า
"ตัวเจ้าบอบบางเช่นนี้ จะเอาแรงที่ไหนมาแบกข้ากันหืม..."
เจียงหว่านหนิงหัวเราะออกมาเสียงเบา ในสายตาเต็มไปด้วยความเอ็นดูหญิงสาวตัวน้อยตรงหน้า พลางยกมือขึ้นหยิกแก้มนิ่มของเด็กสาวเบาๆ ทว่าเมื่อหัวเราะออกมาแล้ว ร่างกายก็คล้ายมีบางสิ่งตีตื้นจนต้องโก่งคอไอออกมาอีกครั้ง
"เช่นนั้นข้าแบกเจ้าเอง"
ครั้นเมื่อหันไปก็หลี่เฟิ่งเซียนที่จับถุงเงินห้าใบยัดในอกเสื้อ เดินไปข้างหน้าดันอู๋สือซว่านออกไปเบาๆ และนั่งลงตรงหน้า เจียงหว่านหนิงกระตุกริมฝีปากขึ้นในใจพลันเกิดความซาบซึ้งจนแทบล้นอก
“รีบขึ้นมาเร็วเข้า ข้ายังไม่อยากเป็นนางโลม"
“ขอบคุณเจ้ามาก”
เสียงห้าวเอ่ยขึ้น พลันใบหน้าแดงซ่าน นางมักจะเป็นผู้ปกป้องผู้อื่นเสมอ ครั้นเมื่อผู้อื่นปกป้องนางบ้าง ก็อดจะเขินอายไม่ได้
“ลี้ละหนึ่งตำลึงเงิน เจ้าห้ามเบี้ยวข้าเด็ดขาด”
ร่างบางที่อยู่บนแผ่นหลังพลันชะงักเกร็งขึ้น คำพูดของหลี่เฟิ่งเซียนทำเอาคนซาบซึ้งไม่ลงจริงๆ ความซาบซึ้งใจก่อนหน้าก็พลันจางหายไปจนหมดสิ้น เฮ้อ...เอาเถอะใครใช้ให้สหายนางรักเงินยิ่งชีพเช่นนี้กันเล่า
“เช่นนั้นข้าสังหารโจรชั่วปกป้องเจ้าจนบาดเจ็บ เจ้าควรจ่ายข้าเท่าใดกัน”
“เป็นสหาย ใครเขาพูดเรื่องเงินเรื่องทองกันเล่า อยู่นิ่งๆ เจ้าพูดมากเดี๋ยวลมเข้าท้องน้ำหนักจะเพิ่มได้”
เพ่ยลู่เสียน อู๋สือซว่าน มู่ซีหว่าน ต่างก็พร้อมใจกันส่ายหน้าถอนหายใจออกมา หลี่เฟิ่งเซียนเอ๋ยหลี่เฟิ่งเซียน เจ้าช่างทำให้คนเหนื่อยใจยิ่งนัก
“แยกกันหนี อีกสามเดือนพบกันที่ศาลาบนเขาหนิงอัน”
เพ่ยลู่เสียนยกมือขึ้นเคาะที่ปลายคาง แววตาขุ่นคิด หากพวกนางยังรวมกัน คงยากที่จะหลบหนี หากแยกกันโอกาสรอดย่อมมีมากกว่า
แต่แม้จะบอกว่าแยกกันหนี แต่บนแผ่นหลังของหลี่เฟิ่งเซียนยังคนมีคนบาดเจ็บอย่างเจียงหว่านหนิงอยู่ อย่างไรเสียก็ต้องพาหนีไปด้วยกัน เอาเถอะถึงแม้หลี่เฟิ่งเซียนจะรักเงินนัก แต่ก็ย่อมรักสหายร่วมสาบานเช่นกัน หากรอดไปได้ข้าจะเปิดสำนักคุ้มภัย ให้เจียงหว่านหนิงเป็นผู้คุม เช่นนี้ข้าก็จะรวยแล้ว
มู่ซีหว่านมองหลี่เฟิ่งเซียนแบกเจียงหว่านหนิงแยกไปอีกทาง นางก็จับมืออู๋สือซว่านเอาไว้แน่น
"พี่ลู่เสียนระวังตัวด้วย ข้ากับสือซว่านจะแยกไปด้านนั้น"
"พวกเจ้าก็เช่นกัน รีบไปเร็วเข้า"
เพ่ยลู่เสียนเห็นทุกคนวิ่งแยกไปกันแล้ว ก็เดินไปหยิบพลุสัญญาณมาจากศพชายชุดดำคนหนึ่ง วิ่งเร็วๆ ไปในทิศตรงข้ามกับเหล่าสหาย แล้วจึงจุดพลุสัญญาณขึ้นฟ้า หลอกล่อพวกพ่อค้าทาสให้มาทางตน
มู่ซีหว่านจับมือเล็กที่เหมือนหากนางกำแน่นอีกเพียงนิดก็หักลงได้ของอู๋สือซว่านเอาไว้มั่น นางจับมือกันวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เพราะหากว่าช้าไปเพียงนิด ชีวิตนางทั้งสองอาจจะจบสิ้นลงได้ หญิงสาวหันไปมองด้านหลัง ก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังควบขี่ม้าตามพวกนางมา ครั้นเมื่อหันมามองคนที่วิ่งตามมาติดๆ ใบหน้าเปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำตา พลันในใจก็กระตุกหน่วงขึ้นมา
“สือซว่าน เจ้าหนีไปก่อน!!!”
“แล้วท่านเล่า!!!”
“ไม่ต้องกังวล ข้าย่อมมีวิธีหนีของข้า”
อู๋สือซว่านได้ยินคำพูดของมู่ซีหว่านก็ส่ายหน้าไปมาทั้งน้ำตา แต่เมื่อนางจ้องใบหน้าเล็กอย่างจริงจัง เด็กสาวก็สะอื้นขึ้น แม้จะไม่ยินดี แต่ก็จำใจต้องยินยอม
“พี่ซีหว่าน ท่านสัญญากับข้า อีกสามเดือนต้องไปพบกันที่ศาลาบนเขาซานชุนตามนัดหมาย”
“ได้! ข้าสัญญา”
มู่ซีหว่านเอ่ยปากให้สัญญาอย่างหนักแน่น นางดันแผ่นหลังเล็กไปข้างหน้า เร่งให้เด็กสาวได้วิ่งหนีออกไป อู๋สือซว่านวิ่งไปก็หันกลับมามองนางไป มู่ซีหว่านสูดลมหายใจเข้าลึก ในอกสั่นสะท้าน จำต้องขยับปากขึ้น ทว่าไร้เสียง 'รีบหนีไป อย่าหันมามองข้าอีกเลย' ครั้นเมื่อแผ่นหลังเล็กหายไปจากสายตา นางจึงตั้งหน้าวิ่งตรงไปอีกทาง หลอกล่อให้บุรุษบนหลังม้าที่ใกล้เข้ามาทุกที ไล่ตามนางแทน
ห้าปีต่อมา "ท่านแม่ พวกเราจะไปอยู่ที่จวนท่านลุงนานหรือไม่ขอรับ?" ฟางหว่านหนิงที่กำลังเตรียมจัดข้าวของเพื่อออกเดินทางไปยังแคว้นฉางอัน หันมามอง ไป๋หยวน บุตรชายเพียงคนเดียวของนางที่ยามนี้มีอายุสี่ขวบแล้ว นางยิ้มให้บุตรชายก่อนจะเอ่ย"คงจะร่วมหลายเดือนเลยแหละ แม่จะพาหยวนเอ๋อร์ไปไหว้หลุมศพท่านตาท่านยายบุญธรรม ที่แคว้นฉางอันยามนี้สงครามสงบแล้ว ย่อมงดงามไม่ต่างจากแคว้นต้าโจว หยวนเอ๋อร์ของแม่อยากเห็นหรือไม่?""อยากขอรับ""เช่นนั้นก็มาช่วยแม่จัดของเร็วเข้า"ไป๋หยวนพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบมาช่วยมารดาตนจัดของอย่างมีความสุข ฟางหว่านหนิงมองบุตรชายตนอย่างรักใคร่ ก่อนจะครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาไม่นานมานี้ท่านลุงเจียงจือหยวนส่งจดหมายมาบอกนางว่า ได้จัดการทำป้ายสุสานบรรพบุรุษเป็นชื่อของท่านพ่อและท่านแม่ นำมาไว้ที่จวนตระกูลเจียงแล้ว มีการทำพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณทุกปี เดิมทีฟางหว่านหนิงตั้งใจจะไปกราบไหว้ แต่ก็ติดที่ไป๋หยวนบุตรชายของนางยังเล็กนัก การเดินทางค่อนข้างลำบาก แต่ยามนี้บุุตรของนางเติบโตมากแล้ว ย่อมเดินทางได้ง่ายขึ้น ไป๋จื่อเซียนที่กลับมาจากค่ายทหาร เมื่อเห็นว่าภรรยาและลูกชายของเขากำลังจัดเต
ฟางหว่านหนิงจ้องมองร่างของโจวชิงเหยาที่ยามนี้ถูกไฟไหม้ไม่เหลือซากก่อนจะหลับตาลง แล้วซุกกายเข้าไปในอ้อมกอดของไป๋จื่อเซียน ไป๋จื่อเซียนกอดนางเอาไว้ อีกทั้งยังปลอบประโลมนางด้วยความรักใคร่ "อาหนิง""ไป๋จื่อเซียน เดิมทีตอนที่จับตัวข้าไป เขาไม่ได้ล่วงเกินข้า เขาเพียงหวังจะฆ่าข้าให้ตายตามเขา เขาไม่ยอมให้ข้าแต่งงานกับท่าน ข้า...""ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเชื่อใจเจ้า คนเช่นเจ้า หากต้องตกเป็นของโจวชิงเหยา ข้ารู้ว่าเจ้าคงยอมปลิดชีพตนเองเสียยังดีกว่า""ฮึก ไป๋จื่อเซียน""ไม่ต้องร้องแล้ว เรากลับจวนกันเถิด""อืม"ไป๋จื่อเซียนเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน นางซบกายลงไปอิงแอบเขาอย่างรักใคร่ ไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าใด ยามที่ได้อยู่ใกล้เขานางก็รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเสมอมาเมื่อกลับมาถึงจวน ฟางฮูหยินก็วิ่งเข้ามากอดบุตรสาวในทันทีด้วยความห่วงใย ฟางไฉหรงที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยกับไป๋จื่อเซียนอย่างซาบซึ้ง"อาจื่อ ขอบใจเจ้ามาก ข้าเป็นพี่ชายที่แย่ยิ่งนัก ทั้งที่นางเป็นน้องสาวของข้า แต่ว่าข้ากลับไม่ได้ตามไปช่วยนาง""เจ้าอย่าคิดมาก ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เก่งวรยุทธ์เท่าใดนัก พวกมันเป็นนักฆ่าที่ถูกฝึกฝนมา ข้าเกรงว่าเจ้าจะเกิด
ไป๋จื่อเซียนมุ่งหน้าตรงมาที่จวนตระกูลฟางด้วยความร้อนใจ เมื่อมาถึงก็พบกับฟางฮูหยินที่ตกใจจนเป็นลม ด้านเสนาบดีฟางก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก เมื่อสอบถามจากสาวใช้คนสนิท จึงได้ความว่า เดิมทีฟางหว่านหนิงกำลังปักผ้าคุลมหน้าเจ้าสาว แต่เพราะว่านางรู้สึกเมื่อยล้าแล้ว จึงอยากออกไปเดินเล่นรับลมที่ด้านนอกเสียหน่อย แต่ทว่านางเห็นว่าคุณหนูออกไปนานแล้ว จึงออกมาตาม แต่กลับพบว่ายามนี้คุณหนูได้หายตัวไปแล้ว มีเพียงผ้าเช็ดหน้าที่ทำตกเอาไว้เพียงเท่านั้น จึงมาแจ้งให้นายท่านและฮูหยินทราบ เหล่าบ่าวไพร่ต่างช่วยกันออกตามหาแต่ก็ไร้ร่องรอยของฟางหว่านหนิง"อาจื่อ จะทำเช่นไรดี?"ไป๋จื่อเซียนหันไปมองฟางไฉหรงคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจยามนี้โจวชิงเหยาหายตัวไป ประจวบเหมาะกับที่ฟางหว่านหนิงก็หายตัวไปอีกเมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็มีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะหันมาเอ่ยกับฟางไฉหรงด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา"อาไฉ ข้าเกรงว่าเรื่องที่อาหนิงหายตัวไปจะเกี่ยวข้องกับท่านอ๋อง""เอ?"ฟางไฉหรงที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีท่าทีตกใจไม่ต่างกัน หลังจากกำชับบ่าวไพร่ให้ดูแลมารดาให้ดีแล้ว เขาจึงออกมาพร้อมกับไป๋จื่อเซียน "อาจื่อ เจ้าแน่ใจ
ตระกูลไป๋ถูกกักบริเวณร่วมหลายสิบวัน เมื่อตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโจวชิงเหยา จึงถูกปล่อยตัวออกมา ยามนี้ไป๋จื่อเซียนและแม่ทัพใหญ่ไป๋กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ ฮ่องเต้โจวฉินอวี้มองพวกเขาสองคนพ่อลูกคราหนึ่ง "ลำบากพวกเจ้าสองพ่อลูกและคนตระกูลไป๋แล้ว แต่ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนั่นถือเป็นเรื่องดี"แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเอ่ย "ตระกูลไป๋ซื่อสัตย์ภักดีต่อฝ่าบาทเท่านั้น ไม่เคยคิดเป็นอื่น ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย" "เอาเถิด เรารู้แล้ว แต่เรามีอีกเรื่องที่ต้องการให้พวกเจ้าไปทำ""เชิญรับสั่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ" ฮ่องเต้โจงฉินอวี้ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย "ตามจับตัวอาชิงกลับมาให้ได้ เราอยากให้จับเป็น น้องชายผู้นี้จะดีจะร้ายก็มีสายเลือดเดียวกับเรา บางคราเขาอาจจะทำไปเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ"ไป๋จื่อเซียนและแม่ทัพใหญ่ไป๋รับคำคราหนึ่ง ฮ่องเต้โจวฉินอวี้จึงให้พวกเขาสองพ่อลูกกลับจวนไปเสีย เมื่อพวกเขาออกจากตำหนักไปแล้ว ฮ่องเต้โจวฉินอวี้ก็ทรุดตัวนั่งลงบนบัลลังก์ ขอบตาของเขาแดงก่ำ พยายามฝืนความเสียใจเอาไว้ ตอนที่ได้รู้เรื่องที่โจวชิงเหยาคิ
"นังสารเลวเจียงหว่านหนิง ข้าจะฆ่าเจ้า!!!""ถิงเอ๋อร์!! อย่านะ!!!"ไป๋จื่อเซียนหันไปมองฟางถิงถิงที่ยามนี้กำลังเอ่ยปากด่าทอเจียงหว่านหนิง และกำลังพุ่งทะยานเข้ามาหวังจะตบตีพี่สาวตน แต่ทว่าฟางอวี้เฉวียนกลับรั้งตัวน้องสาวของเขาเอาไว้ ก่อนจะจ้องมองฟางหว่านหนิงอย่างหวาดกลัว จะไม่ให้เขาหวาดกลัวได้เช่นไรกัน สามวันก่อนเขากับฟางถิงถิงวางแผนกันว่าจะลอบทำร้ายฟางหว่านหนิง แต่ผู้ใดจะรู้พี่สาวต่างมารดาผู้นี้กลับมีวรยุทธ์ นางหักนิ้วเขาอีกทั้งยังถีบเขาจนล้มหงายท้องไม่เป็นท่า ไม่พอเท่านั้นนางยังเตะเสยปลายคางเขาจนฟันหน้าหักไปซี่หนึ่ง จากนั้นนางก็ลงมือตบตีฟางถิงถิงอย่างไร้ความปรานี จนพวกเขาสองพี่น้องสะบักสะบอมบาดเจ็บไปไม่น้อย ตั้งแต่ท่านแม่ออกจากจวนไป ท่านพ่อก็ไม่เคยสนใจไยดีพวกเขาสองพี่น้องอีกเลย เมื่อท่านพ่อรู้ว่าเขาคิดทำร้ายฟางหว่านหนิง ก็สั่งขังพวกเขาเอาไว้แต่ในเรือนไม่ให้ออกไปก่อเรื่องได้อีก ฟางหว่านหนิงจ้องมองสองพี่น้องด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเห็นฟางอวี้เฉวียนทุบต้นคอของฟางถิงถิงจนสลบ แล้วแบกน้องสาวตนหนีกลับเรือนไปด้วยความหวาดกลัว "เหตุใดพวกเขาจึงดูหวาดกลัวเจ้าเช่นนี้?"ไป๋จื่อเซียนหันมามองที่ฟางห
ผ่านไปร่วมหลายวัน ในที่สุดเจียงหว่านหนิงก็ได้สติและฟื้นขึ้นมา แต่เพราะนางยังบาดเจ็บอยู่จึงยังไม่อาจขยับกายได้มากนัก นางมองดูไป๋จื่อเซียนที่ยามนี้กำลังส่งยิ้มให้นาง พลางส่งถ้วยชามาให้นางดื่มดับกระหาย นางยิ้มตอบเขาเล็กน้อย"ข้าคิดว่าจะไม่ได้พบกับท่านแล้วไป๋จื่อเซียน"ไป๋จื่อเซียนยื่นมือมาลูบผมนางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย"ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าต้องตายเป็นแน่"เจียงหว่านหนิงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด ไป๋จื่อเซียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยปรามนางทันที"อย่าเพิ่งขยับมาก เจ้าบาดเจ็บหนัก!!!""อืม"เจียงหว่านหนิงจึงทิ้งกายลงนอนเช่นเดิม"เมื่อครู่ท่านแม่ของข้ากับซู่เอ๋อร์มาเยี่ยมเจ้า แต่ว่าเจ้ายังหลับอยู่ พวกนางจึงกลับไปก่อน""ลำบากพวกท่านยิ่งนัก""ลำบากอันใดกัน อีกไม่นานเราสองตระกูลก็จะเกี่ยวดองกันแล้ว"ไป๋จื่อเซียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เจียงหว่านหนิงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยื่นมือของตนไปจับมือของเขาเอาไว้ ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจของนาง มันทำให้นางรู้สึกปลอดภัยยามที่ได้เห็นหน้าของไป๋จื่อเซียนเขาเป็นทุกอย่างในชีวิตของนางจริงๆไป๋จื่อเซียนสั่งให้เหรินห่าวไปแจ้งที่ตระก