๑๐
มีใจหรือไม่
“เฮ้อ เหนื่อย!”
การไปดูตัวที่พรรคมารเฟิ่งหงวันนี้สนุกมาก เพราะได้ทั้งไปเที่ยว สิ่งของสวยงามและพี่ชายมาพร้อมกัน
ทว่าความสนุกไม่อาจล้างความเหนื่อยได้ เมื่อล้มกายลงนอนข้าก็นอนหลับในทันที
“เฮือก!”
ข้าสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้อง จังหวะการเดินที่ไม่ใช่ของอาชิ่งทำให้ข้าคิดถึงผู้บุกรุก
“ทำลี่กูเหนียงตื่นแล้ว”
หลางยี! นี่ริอ่านเป็นโจรเด็ดบุปผาหรือ!!
“ท่านหลางยีมีธุระใดจึงไม่อาจรั้งรอให้ถึงวันพรุ่งนี้เจ้าคะ ไม่เข้าตามตรอกออกตามประตู”
“ข้าเข้าทางประตูแล้ว เพียงแต่ไม่มีผู้ใดเห็น”
ข้ามองผ่านม่านผืนบางสีขาวเห็นร่างสูงยืนอยู่ห่างจากเตียงราวสองก้าวจึงเอื้อมมือไปหยิบชุดคลุมมาสวมทับชุดนอนเนื้อบาง
เมื่อร่างกายปิดมิดชิดแล้วถึงได้เปิดม่านออกแล้วเอ่ย
“มานั่งนี่สิเจ้าคะ”
ข้าขยับมานั่งข้างเตียงพร้อมใช้สายตาบอกให้เขามานั่งบนเตียงด้วย
หลางยีเห็นเช่นนั้นก็ตื่นตะลึง ซึ่งจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่แปลก สตรีสมัยนี้มีด้วยหรือที่ไม่ตกใจยามเห็นบุรุษเข้ามาในห้องส่วนตัวในยามวิกาล
ข้านอกจากจะไม่ตกใจที่เห็นเขาแล้ว ยังเชิญเขาให้มานั่งบนเตียงด้วย
“ขออภัยลี่กูเหนียงที่ต้องถามเช่นนี้ ลี่กูเหนียงปฏิบัติเช่นนี้กับบุรุษทุกคนหรือไม่ ไว้ใจข้าเพียงนั้นเชียวหรือ”
แปลความหมายของคำพูดเขาอย่างตรงไปตรงมาได้ความว่า ข้าง่ายแบบนี้กับทุกคนหรือไม่
“แน่นอนว่าไม่ เพราะนอกจากท่านแล้วก็ยังไม่มีใครลอบเข้ามาในห้องข้าในยามวิกาลเช่นนี้”
เขาขมวดคิ้วแต่สุดท้ายก็ยอมเดินเข้ามานั่งบนเตียงเดียวกับข้า เก็บไม้เก็บมือเรียบร้อยราวกับกลัวจะได้รับผิดชอบข้าหากได้สัมผัสแตะต้องแม้เพียงเส้นผม
สิ่งที่ทำให้ข้าแปลกใจมากที่สุดในตอนนี้คือฝีมือของเขา เรือนหลังของพรรคมารป๋ายหลงมียอดฝีมือไม่น้อย แต่เขาฝ่าด่านมาถึงนี่ได้อย่างไร
“เช่นนั้นข้าโล่งใจแล้ว เพราะคงมีไม่กี่คนที่สามารถฝ่าด่านเข้ามาในนี้ได้”
“โล่งใจหรือจ้าคะ”
ข้าทวนคำ เพราะคำพูดนี้ไม่ต่างจากการยอมรับว่าเขาสนใจในตัวข้า ก่อนหน้านี้ยังไม่อยากแต่งงานอยู่เลย ผ่านมาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เปลี่ยนใจแล้วหรือ
“ท่านหลางยีเปลี่ยนใจอยากแต่งงานกับข้าแล้วหรือเจ้าคะ รวดเร็วปานนี้”
คนที่ควรเขินอายกับคำพูดเมื่อครู่ควรเป็นข้า ทว่าหลางยีกลับหูแดงหน้าแดงประหนึ่งสาวน้อยวัยแรกแย้ม
“ข้า…คือข้า…”
ความกระอักกระอ่วนของเขาแสดงถึงความไม่แน่ใจ อย่าบอกนะว่าเขาเริ่มหวั่นไหวให้ข้าแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าหงซีเกอเกอกระตุ้นเขา เกิดอยากเอาชนะเช่นนั้นหรือ
“ท่านต้องปฏิเสธสิเจ้าคะ เหตุใดแสดงท่าทางกระอักกระอ่วนแบบนี้ หงซีเกอเกอเต็มใจแต่งงานกับข้ามากกว่าท่าน หวั่นไหวให้ข้าตอนนี้ไม่ทันแล้วเจ้าค่ะ”
เขามุ่นคิ้วทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของข้า ไม่ทราบเช่นกันว่าคำพูดใดที่ไปสะกิดเขา
“ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่ลี่กูเหนียง เจ้าเรียกเฟิ่งหงซีว่าอันใดนะ หงซีเกอเกอเช่นนั้นหรือ”
นี่เขา…ผิดหูเพราะเรื่องคำเรียกหรือ เหตุใดไม่ทักท้วง ไม่แก้ต่างให้ตัวเองว่าไม่ได้หวั่นไหวในตัวข้า
“ท่านหลางยีฟังไม่ผิดหรอกเจ้าค่ะ หงซีเกอเกอดีกับข้ามาก ยินดีแต่งกับข้าที่สุด”
“หึ!”
ข้าคิ้วกระตุกเมื่อเห็นรอยยิ้มร้าย ภาพลักษณ์ภายนอกเขาดูหล่อร้ายอยู่แล้ว เมื่อยิ้มแบบนี้ยิ่งดูร้ายกาจ
“หัวเราะเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“ลี่กูเหนียง หากข้าซื้อเครื่องประดับมากมายให้เจ้า ท่าทีของเจ้าในวันที่ดูตัวกับข้าจะเป็นเหมือนวันนี้หรือไม่”
“ทำไมเจ้าคะ หรืออิจฉาที่ข้าเรียกหงซีเกอเกออย่างสนิทสนม เลยอยากสนิทสนมกับข้าด้วยอีกคน อยากให้ข้าเรียกหลางยีเกอเกอหรือเจ้าคะ”
“...”
เขาเงียบไป เมื่อผ่านไปสักพักแล้วเขาไม่ปฏิเสธ อีกทั้งแววตายังฉายความชอบใจด้วย
ทำข้าเริ่มใจไม่ดีแล้ว!
“ลี่จูเม่ยเม่ย”
ไม่นะ! ได้โปรดเรียกข้าเหมือนเดิม
“ลี่จูเม่ยเม่ย”
“...”
ตอนแรกข้ารู้สึกแปล่งหูที่อีกฝ่ายเรียกเป็นน้องสาว แต่เมื่อคิดได้ว่าหากเป็นน้องสาวพี่ชายกันแล้วก็พัฒนาความสัมพันธ์ไปอีกขั้นได้ยาก
ข้าจึงยอมให้เขาเรียกลี่จูเม่ยเม่ย ส่วนข้านั้นก็เรียกเขาว่า…
“หลางยีเกอเกอ”
๑๐เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า “ฮูหยิน เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า!”นี่คือประโยคแรกที่ข้ากล่าวหลังจากที่ถลันกายเข้าไปในห้องนอนรอยยิ้มบนใบหน้าข้าหายไปทันทีเมื่อเห็นสภาพนางที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียง พอเห็นหน้าข้านางก็รีบหันหน้าไปทางอื่น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่หายไปแทนที่ด้วยความเจ็บปวด เหตุใดนางจึงร้องไห้น้ำตาอาบหน้าเช่นนี้“ฮูหยิน…”อาชิ่งรู้งานรีบเดินออกไปจากเรือนนอนปล่อยให้เราสองคนอยู่ในห้องด้วยกันเพียงลำพัง“ฟูจวินอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ ไม่ต้องเข้ามา”ข้าชะงักเท้าตามที่นางสั่ง แม้จะทราบว่านางเป็นเช่นนี้เพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ข้าก็ไม่อาจห้ามความเศร้าที่กอบกุมจิตใจได้“ฮูหยินร้องไห้ด้วยเหตุใด บอกฟูจวินได้หรือไม่”“ไม่บอกเจ้าค่ะ อยากร้องไห้ต้องมีสาเหตุด้วยหรือ” ปลายเสียงนางสะบัดแต่สะอื้นฮัก ๆ เพราะร้องไห้เห็นร่างบางที่หันหลังใส่ตัวสั่นเช่นนี้ข้าก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว เดินไปนั่งด้านหลังนางแล้วสวมกอดร่างบางเอาไว้จากด้านหลัง“ฮูหยิน อยากร้องก็ร้อง แต่อย่าห้ามฟูจวินให้กอดเจ้าเลย ในเวลานี้เจ้าไม่ควรให้ตัวเองอยู่คนเดียว”นางเห็นหน้าข้าแล้วอาจหงุดหงิด แต่ทำแบบนี้ย่อมดีเสียกว่าทิ้ง
๙เบื่อหน้าเขานัก บุตรสาวข้าเลี้ยงง่ายยิ่งนัก! ท่านพ่อของข้ากล่าวว่าตอนเด็กนางเหมือนข้าไม่มีผิด เวลาใครอุ้มก็จะมองหน้าคนนั้น มองนิ่ง ๆ ด้วยสายตาสำรวจ นอกจากครั้งแรกที่ร้องไฮ้ตอนเป็นทารกแล้ว ข้าก็ไม่ได้ร้องไห้อีก หลางลู่หลินก็เช่นกัน! สิ่งนี้ทำให้ข้าเริ่มสงสัยว่านางเป็นแบบข้าหรือไม่ มีความทรงจำของชาติภพปัจจุบันติดมาด้วยหรือเปล่า มีวันหนึ่งข้าลองทดสอบดู พูดเป็นภาษาอังกฤษภาษาสากล แต่นางเพียงมองหน้าข้าด้วยสายตาว่างเปล่า ชัดเจนว่าไม่เข้าใจ คิดได้สองแง่ หนึ่งนางแค่ไม่ชอบร้องไฮ้ มีความเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เกิด สองนางอาจมากันคนละยุคกับข้า การทดสอบของข้าดำเนินการมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางอายุเข้าสามหนาวข้าก็หยุดทดสอบ คิดได้ว่า… ไม่ว่าใครจะมาเกิดนางก็ตาม อย่างไรนางก็คือบุตรสาวของข้า ใช้ชีวิตเป็นมารดาของหลางลู่หลินโดยไม่ตั้งคำถามกับตนเองในใจอีก เข้าปีที่สามของการใช้ชีวิตเป็นมารดา ปีนี้ลู่หลินพูดได้เยอะขึ้น วิ่งเล่นได้เร็วขึ้น ดูสดใสตามวัยโดยเฉพาะยามที่ได้เล่นกับบิดาและน้าชาย กอปรกับข้าตั้งครรภ์อ่อน ๆ หน
๘ผู้ซึ่งสมหวังที่สุดข้าเรียนรู้วิธีการกรี๊ดแล้ว!“กรี๊ด~เจ็บ!”ที่ผ่านมาข้าคิดว่าตนเองกรี๊ดไม่เป็นจนกระทั่งวันนี้ เจ้าตัวน้อยของแม่มอบบทเรียนให้กันตั้งแต่วันแรกที่กำลังลืมตาดูโลกเลย “ฮูหยิน เบ่งเจ้าค่ะ…อื้อ~” “อื้อ~”ข้าออกแรงเบ่งพร้อมเปล่งเสียงตามท่านหมอหญิง แต่เจ้าตัวน้อยของข้าก็ไม่ยอมออกเสียที“เบ่งอีกเจ้าค่ะฮูหยินน้อย เอาให้สุดแรงครั้งนี้ออกแน่เจ้าค่ะ”อีกครั้งเดียวแน่หรือ!“ฮูหยินน้อย อาชิ่งช่วยเบ่งเจ้าค่ะ”สาวใช้คนสนิทใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ข้า น้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกสภาพจิตใจในตอนนี้“เอาล่ะเจ้าค่ะ เบ่งเจ้าค่ะ”“อีกทีใช่หรือไม่…อื้อ~” ข้าพยายามเบ่งอีกครั้ง แต่ผลก็เหมือนเดิมคือยังไม่ออกมีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรชาย แต่ก็มีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรสาวสุดท้ายข้าเลือกเชื่อว่าเป็นบุตรสาวเพราะสามีกระซิบกับท้องข้าเบา ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาสเช่น…‘พ่อไปเรียนทำผมมาแล้ว จะถักเปียให้เจ้าทุกวันดีหรือไม่ลูกสาว’ไม่ก็กล่าวกับอาไท่ว่า…‘ทำชิงช้าน้อยใต้ต้นไม้ให้บุตรสาวข้าหน่อย’เป็นเช่นนี้ตลอด! นานวันเข้าข้าก็คาดหวังว่าตัวเองจะได้บุตรสาวเช่นเดียวกับฟูจวิน“ท่านหมอ ไม่ออก…ฮึก”เมื่อค
๗นางอาจจะมาแล้ว“เกิดอันใดขึ้นกับนาง!”“ฮูหยินเป็นลมขอรับ”ข้าบีบมือตนเองแน่น ต่อให้นางจะเป็นลมข้าก็ไม่วางใจ ถามเขาถึงสถานที่ที่นางอยู่่ในตอนนี้“ฮูหยินอยู่ที่ใด”“เรือนนอนขอรับ”เมื่อทราบสถานที่ที่นางอยู่แล้วข้าก็ไม่รีรอ ใช้พลังภายในที่มีทั้งหมดเร่งความเร็วมาที่เรือนหอ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องนอนที่ได้ยินเสียงสนทนาของหลางผิงและท่านหมอประจำจวนข้าถลันกายเข้าในด้านในโดยไม่สนหน้าใครทั้งสิ้น“ฮูหยิน!”ใบหน้านางซีดมากจนข้าหายใจไม่ออก มารู้ว่าตนมือสั่นก็ตอนที่เอื้อมมือไปจับมือบาง“ฟูจวิน ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ ทำใจดี ๆ”ทำใจดี ๆ เช่นนั้นหรือ กล่าวเช่นนี้แล้วข้าจะยังใจเย็นได้ไหวหรือ นางเป็นอันใดถึงต้องกล่าวให้ข้าทำใจดี ๆ“ฮะ ฮูหยิน พูดแบบนี้ข้าใจไม่ดีเลย”ข้าเริ่มกล่าวเสียงตะกุกตะกักแล้ว ในตอนนั้นเองที่หมอประจำจวนเรียกความสนใจจากข้า“ท่านประมุขน้อย ฮูหยินไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายขอรับ แต่เป็นข่าวดี”ข่าวดี!“บอกเขาเถิดเจ้าค่ะท่านหมอ”เสี่ยวกูกู่เอ่ยขึ้น แววตาของนางฉายความขบขันจนข้าวางใจว่าภรรยาไม่ได้ป่วยเป็นอันใดจริง ๆ“ยินดีกับท่านประมุขน้อยด้วยขอรับ ฮูหยินตั้งครรภ์แล้วขอรับ”ตะ ตั้งครรภ์หรือ!“ฮูห
๖ฮูหยินเป็นอันใดลี่จู…กลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวครั้งนี้ข้ารู้สึกเบาใจขึ้นกว่าเดิมโดยไม่แน่ใจถึงสาเหตุหรือเป็นเพราะเห็นทุกคนต่างพยายามปรับตัวเข้าหากันรวมถึงปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ข้าจึงเบาใจว่าจะไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวหลังกลับจากพรรคมารป๋ายหลงเมื่อวาน ข้าคิดจะนอนหลับพักผ่อน แต่ไม่วายโดนฟูจวินลากไปห้องหนังสือให้ช่วยฝนหมึกให้ในตอนนั้นเองที่ข้าทราบว่าเขาไม่ได้ต้องการคนฝนหมึก เขาแค่อยากให้ข้านั่งอยู่ใกล้ ๆช่วงค่ำพวกเราทานอาหารกับประมุขเฮยหลางที่ข้าเปลี่ยนมาเรียกท่านพ่อแล้วท่านพ่อกล่าวว่าพอได้ทานอาหารร่วมกันสามคน ความรู้สึกของการเป็นครอบครัวกลับมาอีกครั้ง สีหน้าแช่มชื่นของท่านเป็นตัวแสดงความสุขได้อย่างชัดเจนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน…ข้าปรับตัวกับที่นี่ได้แล้ว!ฟูจวินทราบว่าข้าชอบดอกไม้จึงลงมือปลูกดอกไม้ให้ข้าด้วยตนเองดอกไม้ที่ลงมือปลูกโดยเขาแม้จะไม่งามเท่าคนสวนปลูก แต่ข้าเห็นถึงความตั้งใจนั้นและรักเขาเพิ่มอีกนิดหนึ่งวันหนึ่งข้ากำลังนั่งเย็บรองเท้าคู่ใหม่ให้ฟูจวินกับอาชิ่ง สาวใช้ประจำพรรคก็เดินเข้ามาในศาลา“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ”ข้าพยักหน้าให้นางรายงานได้“หลางผิงกูเหนียงมา ใ
๕ต่างคนต่างตามใจกันข้าจำคำพูดที่ฟูจวินกล่าวไว้วันแต่งงานได้ เขาบอกว่าสาบานเป็นพี่น้องกับลี่หลานแล้วตอนนั้นข้ารู้สึกทะแม่ง คิดอยู่นานว่าลี่หลานหรือจะยอมญาติดีกับเขาโดยง่ายแล้ววันนี้ข้อสงสัยของข้าก็ได้รับการพิสูจน์!ลี่หลานยังคงมองฟูจวินเป็นศัตรูที่แย่งความรักกับพี่สาวเขาไม่เสื่อมคลาย เพียงแต่ไม่มีสิทธิ์ห้ามฟูจวินเข้าใกล้ข้าอย่างกาลก่อน“...เจี่ยเจีย อาเตียนั่งรอที่โต๊ะอาหารแล้วขอรับ”ลี่หลานผายมือเชิญข้าไปยังห้องรับประทานอาหารในเรือนรับแขก เขาชายตามองฟูจวินเพียงครู่เท่านั้นก็ตวัดสายตามามองข้าไม่มองฟูจวินอีกเลย!“เชิญเจี่ยเจียอย่างเดียวหรือ ไม่เชิญเจี่ยฟุหรือ”ฟูจวินถามลี่หลานยิ้ม ๆ ก่อนที่จะยื่นมือมาสอดเอวข้าแล้วดึงเข้าใกล้กว่าเดิมลี่หลานแสดงท่าทางหวงผ่านแววตา ไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านเป็นเด็ก ๆ เช่นเคยเห็นเขาควบคุมตัวเองได้ดีแบบนี้ข้าก็ดีใจ!“เชิญเจี่ยฟุทางนี้”ข้าส่งยิ้มให้ลี่หลานทันทีเมื่อเขาเรียกฟูจวินเช่นนี้คำกล่าวเมื่อครู่ลี่หลานย่อมฝืนใจ แต่เมื่อเห็นข้าส่งยิ้มดีใจให้ ที่กล่าวไปเมื่อครู่ก็ไม่ดูฝืนอีกต่อไป“ไปทานข้าวกันขอรับเจี่ยเจี่ย เจี่ยฟุ”“ไป”ถือเป็นก้าวที่ดี ลี่หลานรั