๑๓
มีเรื่องให้ระทึก
หลางยี…
‘ดียิ่ง ดีเสียเหลือเกิน’ นี่คือประโยคที่ข้าลอบตะโกนขึ้นมาในใจซ้ำ ๆ
เพราะคนสนิทของข้าซึ่งสู้อุตส่าห์พามาบังหน้าด้วยตระเตรียมกลีบบุปผามาเพื่อจะให้ข้าใช้สิ่งนี้สร้างความประทับใจให้สตรีผู้นั้น
ข้าพลันสงสัยอยู่อย่างหนึ่งว่า…
มิใช่สตรีหรือที่ควรมีกลีบบุปผาโปรยอยู่รอบกาย ไฉนเป็นบุรุษเช่นข้าที่ต้องทำ
“เจ้าจะโปรยให้หมดทั้งตะกร้าเลยหรือไม่”
ข้ายกแขนขึ้นกอดอก ในอ้อมแขนมีกระบี่คู่ใจสอดอยู่ในอ้อมอกด้วย เงยหน้ามองอาไท่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“ที่แท้ท่านประมุขน้อยเห็นดีเห็นงามกับแผนของข้าน้อยแล้ว ยินยอมพร้อมใจแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
ลูกน้องคนสนิทหยุดโปรยกลีบบุปผา เอ่ยถามด้วยสีหน้าดีใจเหลือคณา
ก็สู้อุตส่าห์เตรียมมาแล้วจะไม่ใช้หรือ!
“อย่าโยนเข้าปากข้าก็แล้วกัน”
ข้าตอบด้วยอารมณ์แสร้งหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนที่จะเบือนหน้าหนีคนสนิท ทว่าจังหวะนั้นสายตากลับไปสบเข้ากับใบหน้าหนึ่งที่คุ้นเคยพอดี
“เฟิ่งหงซี!”
ข้าผุดลุกยืนขึ้นจากเก้าอี้ก่อนที่จะตรงดิ่งเข้าไปหาเจ้าของนาม
…ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าได้แสดงสีหน้าแบบใด!
“เจ้ามาทำอันใดที่นี่/เอาบุปผามาโปรยเล่นทำไม”
สองเสียงถามขึ้นพร้อมกัน เสียงแรกย่อมเป็นของข้า แต่อีกเสียงที่เอ่ยถามด้วยความระแวงนั้นทำเอาข้ามุ่นคิ้ว
“เจ้าสนใจพฤติกรรมของข้าตั้งแต่เมื่อไรเฟิ่งหงซี ข้าจะทำสิ่งใด หาได้ข้องเกี่ยวอันใดกับเจ้าไม่!”
วาจาของข้าอาจดูไม่แยแสเขา แต่สายตากลับลอบสังเกตการแต่งกายของบุรุษตรงข้ามโดยพยายามไม่ให้อีกฝ่ายจับได้
จากที่เมื่อก่อนข้าไม่ได้อินังขังขอบกับการแต่งกายของสหายร่วงวงการเดียวกันนัก แต่ยามนี้ในหัวมีแต่การตั้งคำถามเต็มไปหมด เช่นว่า…
เฟิ่งหงซีแต่งกายมาดีกว่าปกติหรือไม่ หรือว่าเขาแต่งมาเอาใจสตรีผู้นั้น
ในใจคิดเช่นนี้ สายตาพลันก้มมองดูตัวเองเปรียบเทียบกับชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า
หัวร้อน!
เฟิ่งหงซีแต่งมาเพื่อการเดียวกับข้าเป็นแน่ แต่ไหนแต่ไรมาเฟิ่งหงซีไม่เคยพยายามเพื่อสตรีคนใด มีแต่สตรีที่ตามเขาต้อย ๆ
หรือว่าเจ้านี่ก็หลงเสน่ห์สตรีลี่จูด้วยอีกคน แต่เดี๋ยวนะ เหตุใดถึงมีคำว่า ‘ก็’
“เหตุใดเจ้า…”
ข้าไม่ได้ใช้เวลาใคร่ครวญกับการตั้งคำถามนี้นัก เพราะเมื่อได้ยินเสียงของเฟิ่งหงซีออกมาเพียงนิดเท่านั้น ปากก็หลุดประโยคนี้ไปแล้ว
“ข้าไม่ได้แอบมาดูนาง แค่บังเอิญผ่านมาแถวนี้”
เฟิ่งหงซีคิ้วกระตุก ข้าที่หลุดปากพูดไปแล้วใจหายแวบ ในใจร่ำร้องว่าแย่แล้วไม่หยุด
ยิ่งเห็นเจ้าคนตรงหน้ายกยิ้มมุมปาก ข้ายิ่งรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
“อ้อ เจ้าว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น”
ข้าลอบถอนหายใจที่เฟิ่งหงซีไม่ได้ดึงดันจะไล่ต้อน
นิ้วมือเรียวยาวทำเพียงหยิบจอกชาขึ้นมาจิบด้วยท่าทางสูงส่งอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขา
ข้านั่งลงร่วมโต๊ะกับเขาโดยไม่รอให้เจ้าของโต๊ะเชื้อเชิญ ยกมือขึ้นสั่งน้ำชาอีกชุดแล้วนั่งจิบรออย่างเงียบ ๆ จนเวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้วข้าถึงได้เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“เจ้าจะนั่งอยู่ตรงนี้อีกนานหรือไม่”
คำถามนี้หากเอ่ยกับคนทั่วไปนับว่าเสียมารยาทนัก แต่เมื่อข้าถามกับคนที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กแต่ไม่ได้เป็นสหายกันกลับเป็นเพียงคำถามธรรมดาอย่างถามสภาพดินฟ้าอากาศทั่วไป
“จนกว่าลี่จูเม่ยเม่ยจะมา…ไม่รู้ว่าจนป่านนี้แล้วเหตุใดยังไม่มาอีก หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ต้นประโยคเฟิ่งหงซีเอ่ยตอบข้าออกมาตามตรง คล้ายไม่อายที่เอ่ยเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าข้า ไม่ได้กลัวเสียหน้าแบบที่ข้ารู้สึก
แต่ประโยคหลังคล้ายกับว่าเขาพึมพำกับตัวเอง ไม่นานนักก็เรียกคนสนิทมาสั่งการ ดูท่าคงจะส่งคนไปดูลาดเลาทางฝั่งของลี่จู
ไม่ได้!
ข้าจะให้เขาส่งคนไปเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ ข้าจะต้องส่งคนไปด้วย แม้ไม่รู้ว่าจะส่งไปแข่งกับเขาเพื่อการใด แต่สิ่งที่ชัดเจนแจ่มแจ้งในใจคือ…
เฟิ่งหงซีจะได้หน้าคนเดียวไม่ได้โดยเด็ดขาด!
“อาไท่…”
คนสนิทของข้าครั้งนี้ไม่ซื่อบื้อ พยักหน้ารับแล้วตามคนของเฟิ่งหงซีไปติด ๆ
ระหว่างนั่งรอข่าวเราทั้งคู่ไม่ได้สนทนาสิ่งใด นั่งรอไม่นานคนของข้าและคนของเฟิ่งหงซีก็กลับมาพร้อมกันด้วยท่าทางร้อนใจ มิหนำซ้ำประโยคแรกที่กล่าวออกมายังเหมือนกันอีกด้วย
“ท่านประมุขน้อย ทางนั้นแย่แล้วขอรับ”
ไม่ต้องรอให้คนทั้งคู่ขยายความไปมากกว่านี้ ข้าและเฟิ่งหงซีก็รีบทยานกายจากไปในทันที
(จบหลางยี)
ลี่จู…
นานเป็นชั่วยามกว่าที่รถม้าจะซ่อมเสร็จ ม่านหนิงกูเหนียงมาเรียกข้าไปขึ้นรถม้าด้วยตนเอง อาชิ่งเข้ามาพยุงข้าแล้วเดินไปที่รถม้าพร้อมกัน
“ทุกคน…”
ข้าชะงักเมื่อม่านหนิงยกมือขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงให้สัญญาณที่คนทั้งขบวนต่างเข้าใจยกเว้นข้ากับอาชิ่ง
“ม่าน…”
อาชิ่งกำลังจะเอ่ยถามม่านหนิงแต่โดนข้าปรามทางสายตาก่อน แม้จะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ข้าก็อยากทำตัวเป็นผู้ร่วมเดินทางที่ดี เงียบเสียงรอฟังม่านหนิงสั่งการ
ด้วยความที่ทุกคนต่างเงียบเสียง โดยรอบจึงไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงลมดังหวีดหวิว ให้ความรู้สึกขนลุกขนพอง ในตอนนั้นเองที่ข้าได้ยินเสียงร้องโหยหวนอย่างทรมานเสียงหนึ่งดังอยู่ไม่ไกล
เสียงนั้นทั้งเจ็บปวดและเคียดแค้น มาเพียงแค่เสียงก็ขนลุกไปทั้งกาย
“ทุกคน ป้องกันลี่กูเหนียง พวกมันกำลังมาทางนี้”
พะ พวกมัน! แสดงว่าไม่ได้มีเพียงหนึ่งอย่างที่ข้าคิด
มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าทึ่งไม่แพ้กันในยามที่มาเยือนโลกนี้ช่วงแรกคือที่นี่มีสิ่งเหนือจินตนาการอยู่มากมาย
หนึ่งในนั้นคือปีศาจ!
พรรคมารกับพรรคธรรมะอาจจะไม่ถูกกันก็จริง แต่ทั้งสองศาสตร์ต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือการกำจัดปีศาจ
หมู่บ้านกุยหานดูแลปีศาจกันอย่างไร!
(จบลี่จู)
๑๐เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า “ฮูหยิน เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า!”นี่คือประโยคแรกที่ข้ากล่าวหลังจากที่ถลันกายเข้าไปในห้องนอนรอยยิ้มบนใบหน้าข้าหายไปทันทีเมื่อเห็นสภาพนางที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียง พอเห็นหน้าข้านางก็รีบหันหน้าไปทางอื่น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่หายไปแทนที่ด้วยความเจ็บปวด เหตุใดนางจึงร้องไห้น้ำตาอาบหน้าเช่นนี้“ฮูหยิน…”อาชิ่งรู้งานรีบเดินออกไปจากเรือนนอนปล่อยให้เราสองคนอยู่ในห้องด้วยกันเพียงลำพัง“ฟูจวินอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ ไม่ต้องเข้ามา”ข้าชะงักเท้าตามที่นางสั่ง แม้จะทราบว่านางเป็นเช่นนี้เพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ข้าก็ไม่อาจห้ามความเศร้าที่กอบกุมจิตใจได้“ฮูหยินร้องไห้ด้วยเหตุใด บอกฟูจวินได้หรือไม่”“ไม่บอกเจ้าค่ะ อยากร้องไห้ต้องมีสาเหตุด้วยหรือ” ปลายเสียงนางสะบัดแต่สะอื้นฮัก ๆ เพราะร้องไห้เห็นร่างบางที่หันหลังใส่ตัวสั่นเช่นนี้ข้าก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว เดินไปนั่งด้านหลังนางแล้วสวมกอดร่างบางเอาไว้จากด้านหลัง“ฮูหยิน อยากร้องก็ร้อง แต่อย่าห้ามฟูจวินให้กอดเจ้าเลย ในเวลานี้เจ้าไม่ควรให้ตัวเองอยู่คนเดียว”นางเห็นหน้าข้าแล้วอาจหงุดหงิด แต่ทำแบบนี้ย่อมดีเสียกว่าทิ้ง
๙เบื่อหน้าเขานัก บุตรสาวข้าเลี้ยงง่ายยิ่งนัก! ท่านพ่อของข้ากล่าวว่าตอนเด็กนางเหมือนข้าไม่มีผิด เวลาใครอุ้มก็จะมองหน้าคนนั้น มองนิ่ง ๆ ด้วยสายตาสำรวจ นอกจากครั้งแรกที่ร้องไฮ้ตอนเป็นทารกแล้ว ข้าก็ไม่ได้ร้องไห้อีก หลางลู่หลินก็เช่นกัน! สิ่งนี้ทำให้ข้าเริ่มสงสัยว่านางเป็นแบบข้าหรือไม่ มีความทรงจำของชาติภพปัจจุบันติดมาด้วยหรือเปล่า มีวันหนึ่งข้าลองทดสอบดู พูดเป็นภาษาอังกฤษภาษาสากล แต่นางเพียงมองหน้าข้าด้วยสายตาว่างเปล่า ชัดเจนว่าไม่เข้าใจ คิดได้สองแง่ หนึ่งนางแค่ไม่ชอบร้องไฮ้ มีความเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เกิด สองนางอาจมากันคนละยุคกับข้า การทดสอบของข้าดำเนินการมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางอายุเข้าสามหนาวข้าก็หยุดทดสอบ คิดได้ว่า… ไม่ว่าใครจะมาเกิดนางก็ตาม อย่างไรนางก็คือบุตรสาวของข้า ใช้ชีวิตเป็นมารดาของหลางลู่หลินโดยไม่ตั้งคำถามกับตนเองในใจอีก เข้าปีที่สามของการใช้ชีวิตเป็นมารดา ปีนี้ลู่หลินพูดได้เยอะขึ้น วิ่งเล่นได้เร็วขึ้น ดูสดใสตามวัยโดยเฉพาะยามที่ได้เล่นกับบิดาและน้าชาย กอปรกับข้าตั้งครรภ์อ่อน ๆ หน
๘ผู้ซึ่งสมหวังที่สุดข้าเรียนรู้วิธีการกรี๊ดแล้ว!“กรี๊ด~เจ็บ!”ที่ผ่านมาข้าคิดว่าตนเองกรี๊ดไม่เป็นจนกระทั่งวันนี้ เจ้าตัวน้อยของแม่มอบบทเรียนให้กันตั้งแต่วันแรกที่กำลังลืมตาดูโลกเลย “ฮูหยิน เบ่งเจ้าค่ะ…อื้อ~” “อื้อ~”ข้าออกแรงเบ่งพร้อมเปล่งเสียงตามท่านหมอหญิง แต่เจ้าตัวน้อยของข้าก็ไม่ยอมออกเสียที“เบ่งอีกเจ้าค่ะฮูหยินน้อย เอาให้สุดแรงครั้งนี้ออกแน่เจ้าค่ะ”อีกครั้งเดียวแน่หรือ!“ฮูหยินน้อย อาชิ่งช่วยเบ่งเจ้าค่ะ”สาวใช้คนสนิทใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ข้า น้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกสภาพจิตใจในตอนนี้“เอาล่ะเจ้าค่ะ เบ่งเจ้าค่ะ”“อีกทีใช่หรือไม่…อื้อ~” ข้าพยายามเบ่งอีกครั้ง แต่ผลก็เหมือนเดิมคือยังไม่ออกมีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรชาย แต่ก็มีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรสาวสุดท้ายข้าเลือกเชื่อว่าเป็นบุตรสาวเพราะสามีกระซิบกับท้องข้าเบา ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาสเช่น…‘พ่อไปเรียนทำผมมาแล้ว จะถักเปียให้เจ้าทุกวันดีหรือไม่ลูกสาว’ไม่ก็กล่าวกับอาไท่ว่า…‘ทำชิงช้าน้อยใต้ต้นไม้ให้บุตรสาวข้าหน่อย’เป็นเช่นนี้ตลอด! นานวันเข้าข้าก็คาดหวังว่าตัวเองจะได้บุตรสาวเช่นเดียวกับฟูจวิน“ท่านหมอ ไม่ออก…ฮึก”เมื่อค
๗นางอาจจะมาแล้ว“เกิดอันใดขึ้นกับนาง!”“ฮูหยินเป็นลมขอรับ”ข้าบีบมือตนเองแน่น ต่อให้นางจะเป็นลมข้าก็ไม่วางใจ ถามเขาถึงสถานที่ที่นางอยู่่ในตอนนี้“ฮูหยินอยู่ที่ใด”“เรือนนอนขอรับ”เมื่อทราบสถานที่ที่นางอยู่แล้วข้าก็ไม่รีรอ ใช้พลังภายในที่มีทั้งหมดเร่งความเร็วมาที่เรือนหอ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องนอนที่ได้ยินเสียงสนทนาของหลางผิงและท่านหมอประจำจวนข้าถลันกายเข้าในด้านในโดยไม่สนหน้าใครทั้งสิ้น“ฮูหยิน!”ใบหน้านางซีดมากจนข้าหายใจไม่ออก มารู้ว่าตนมือสั่นก็ตอนที่เอื้อมมือไปจับมือบาง“ฟูจวิน ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ ทำใจดี ๆ”ทำใจดี ๆ เช่นนั้นหรือ กล่าวเช่นนี้แล้วข้าจะยังใจเย็นได้ไหวหรือ นางเป็นอันใดถึงต้องกล่าวให้ข้าทำใจดี ๆ“ฮะ ฮูหยิน พูดแบบนี้ข้าใจไม่ดีเลย”ข้าเริ่มกล่าวเสียงตะกุกตะกักแล้ว ในตอนนั้นเองที่หมอประจำจวนเรียกความสนใจจากข้า“ท่านประมุขน้อย ฮูหยินไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายขอรับ แต่เป็นข่าวดี”ข่าวดี!“บอกเขาเถิดเจ้าค่ะท่านหมอ”เสี่ยวกูกู่เอ่ยขึ้น แววตาของนางฉายความขบขันจนข้าวางใจว่าภรรยาไม่ได้ป่วยเป็นอันใดจริง ๆ“ยินดีกับท่านประมุขน้อยด้วยขอรับ ฮูหยินตั้งครรภ์แล้วขอรับ”ตะ ตั้งครรภ์หรือ!“ฮูห
๖ฮูหยินเป็นอันใดลี่จู…กลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวครั้งนี้ข้ารู้สึกเบาใจขึ้นกว่าเดิมโดยไม่แน่ใจถึงสาเหตุหรือเป็นเพราะเห็นทุกคนต่างพยายามปรับตัวเข้าหากันรวมถึงปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ข้าจึงเบาใจว่าจะไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวหลังกลับจากพรรคมารป๋ายหลงเมื่อวาน ข้าคิดจะนอนหลับพักผ่อน แต่ไม่วายโดนฟูจวินลากไปห้องหนังสือให้ช่วยฝนหมึกให้ในตอนนั้นเองที่ข้าทราบว่าเขาไม่ได้ต้องการคนฝนหมึก เขาแค่อยากให้ข้านั่งอยู่ใกล้ ๆช่วงค่ำพวกเราทานอาหารกับประมุขเฮยหลางที่ข้าเปลี่ยนมาเรียกท่านพ่อแล้วท่านพ่อกล่าวว่าพอได้ทานอาหารร่วมกันสามคน ความรู้สึกของการเป็นครอบครัวกลับมาอีกครั้ง สีหน้าแช่มชื่นของท่านเป็นตัวแสดงความสุขได้อย่างชัดเจนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน…ข้าปรับตัวกับที่นี่ได้แล้ว!ฟูจวินทราบว่าข้าชอบดอกไม้จึงลงมือปลูกดอกไม้ให้ข้าด้วยตนเองดอกไม้ที่ลงมือปลูกโดยเขาแม้จะไม่งามเท่าคนสวนปลูก แต่ข้าเห็นถึงความตั้งใจนั้นและรักเขาเพิ่มอีกนิดหนึ่งวันหนึ่งข้ากำลังนั่งเย็บรองเท้าคู่ใหม่ให้ฟูจวินกับอาชิ่ง สาวใช้ประจำพรรคก็เดินเข้ามาในศาลา“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ”ข้าพยักหน้าให้นางรายงานได้“หลางผิงกูเหนียงมา ใ
๕ต่างคนต่างตามใจกันข้าจำคำพูดที่ฟูจวินกล่าวไว้วันแต่งงานได้ เขาบอกว่าสาบานเป็นพี่น้องกับลี่หลานแล้วตอนนั้นข้ารู้สึกทะแม่ง คิดอยู่นานว่าลี่หลานหรือจะยอมญาติดีกับเขาโดยง่ายแล้ววันนี้ข้อสงสัยของข้าก็ได้รับการพิสูจน์!ลี่หลานยังคงมองฟูจวินเป็นศัตรูที่แย่งความรักกับพี่สาวเขาไม่เสื่อมคลาย เพียงแต่ไม่มีสิทธิ์ห้ามฟูจวินเข้าใกล้ข้าอย่างกาลก่อน“...เจี่ยเจีย อาเตียนั่งรอที่โต๊ะอาหารแล้วขอรับ”ลี่หลานผายมือเชิญข้าไปยังห้องรับประทานอาหารในเรือนรับแขก เขาชายตามองฟูจวินเพียงครู่เท่านั้นก็ตวัดสายตามามองข้าไม่มองฟูจวินอีกเลย!“เชิญเจี่ยเจียอย่างเดียวหรือ ไม่เชิญเจี่ยฟุหรือ”ฟูจวินถามลี่หลานยิ้ม ๆ ก่อนที่จะยื่นมือมาสอดเอวข้าแล้วดึงเข้าใกล้กว่าเดิมลี่หลานแสดงท่าทางหวงผ่านแววตา ไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านเป็นเด็ก ๆ เช่นเคยเห็นเขาควบคุมตัวเองได้ดีแบบนี้ข้าก็ดีใจ!“เชิญเจี่ยฟุทางนี้”ข้าส่งยิ้มให้ลี่หลานทันทีเมื่อเขาเรียกฟูจวินเช่นนี้คำกล่าวเมื่อครู่ลี่หลานย่อมฝืนใจ แต่เมื่อเห็นข้าส่งยิ้มดีใจให้ ที่กล่าวไปเมื่อครู่ก็ไม่ดูฝืนอีกต่อไป“ไปทานข้าวกันขอรับเจี่ยเจี่ย เจี่ยฟุ”“ไป”ถือเป็นก้าวที่ดี ลี่หลานรั