๑๒
ลอบประเมิน
ณ ป่าไผ่ก่อนเข้าเขตหมู่บ้านกุยหาน
“รถม้าใช้งานต่อไม่ได้แล้วเจ้าค่ะลี่กูเหนียง”
เรื่องมันมีอยู่ว่าเมื่อไม่ถึงหนึ่งเค่อก่อนหน้านี้ อยู่ ๆรถม้าที่วิ่งได้ปกติก็เกิดอาการไม่ปกติเข้า
เมื่อข้าลงมาดูถึงเห็นว่าล้อแตก ตั้งแต่มาเกิดใหม่ในโลกนี้ข้ายังไม่เคยมีประสบการณ์ล้อแตกเลยสักครั้ง เปิดประสบการณ์ใหม่ที่ข้าไม่ค่อยชอบเท่าไรแล้ว
“แล้วอย่างไรต่อ จะให้ข้าขี่ม้าไปที่พรรคกุยหานแทนเช่นนั้นหรือ”
ข้าจ้องไปยังม้าสีน้ำตาลที่กำลังกระดิกหูอยู่บางครา ไม่หันหน้ามามองข้าเลยสักนิด
ดวงข้าไม่ถูกกับม้าสินะ!
“ลี่กูเหนียงก็เห็นท่าทีของเจ้าเงินแล้วใช่หรือไม่ ม้าตัวนี้คือม้าที่ท่านประมุขน้อยมอบให้ข้า นอกจากข้าและท่านประมุขน้อยแล้วก็ไม่มีใครขี่มันได้เลย ต้องขออภัยลี่กูเหนียงแล้ว ส่วนม้าตัวอื่นนั้น เห็นทีจะไม่สมฐานะ”
ม้าก็คือม้า ยังมีคำว่าสมฐานะไม่สมฐานะอีกหรือ เหลือจะเชื่อ
“แล้วจะให้คุณหนูของข้าเดินไปหรือ!”
ข้าหันขวับไปมองหน้าสาวใช้คนสนิทในทันที ส่งสายตาปรามนางไม่ให้ท้าผู้อื่น
“ม้าตัวใดก็ได้ข้าไม่ติด ไม่ต้องเดินไปก็พอ”
“ม้าตัวอื่นไม่สมฐานะและควบคุมยาก เกรงว่าจะทำให้ลี่กูเหนียงได้รับอันตราย ไม่สู้รอให้คนหาล้อใหม่มาเปลี่ยนให้”
ข้าสัมผัสได้ถึงคำว่าถ่วงเวลา แต่จะทำไปเพื่ออะไรกัน หรือคิดจะให้ข้ากินนอนที่พรรคมารกุยหาน
“แล้วแต่ม่านหนิงกูเหนียงจะเห็นสมควร”
“ลี่กูเหนียงโปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ”
ข้าส่งยิ้มให้นางบางเบา จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปหาที่นั่ง อาชิ่งที่เดินตามมาด้วยแสดงอาการไม่พอใจแทนข้า
“คุณหนูเจ้าคะ อาชิ่งว่านางต้องกลั่นแกล้งคุณหนูเป็นแน่ อยู่ ๆ ล้อรถจะแตกได้อย่างไร เป็นไปได้หรือไม่เจ้าคะ นางไม่อยากให้คุณหนูไปดูตัว หรือนางจะเป็นอนุท่านประมุขน้อย”
ก็เป็นไปได้ แต่เมื่อลองคิดอีกมุม…
“ถ้าเจ้าเป็นบุรุษ เจ้าจะให้สตรีของตัวเองมารับหน้าสตรีคนอื่นหรือไม่”
อาชิ่งนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจ
“หนักใจเพียงนั้น”
ถึงขั้นถอนหายใจเชียว!
“อาชิ่งไม่ทราบเจ้าคะ ปวดหัวจะคิดต่อแล้ว”
ว่าแล้วนางก็หาผ้ามาปูบนโขดหินก้อนโตให้ข้านั่ง ส่วนตนก็เตรียมของไว้ปรนนิบัติพัดวีข้า รวมถึงอาหารและเครื่องดื่ม
“น้ำชาเจ้าค่ะคุณหนู”
ข้านั่งลงบนโขดหิน จากนั้นก็ยื่นมือไปรับชาจากมือสาวใช้ กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ซึมซับบรรยากาศป่าไผ่แบบโบราณ
“ท่านประมุขน้อยกุยหานอาจจะเป็นบุรุษจำพวกที่ทนเห็นสตรีของตนมารับหน้าสตรีอีกคนก็ได้เจ้าค่ะ แต่หากไม่ใช่ก็ดีแล้ว บ่าวแค่คิดเผื่อคุณหนูก็เท่านั้น”
ดวงตาของข้าจับจ้องไปยังสายตาจริงใจของอาชิ่ง แสงสีทองที่ข้าสัมผัสได้ทำให้ข้ายกยิ้มมุมปาก จากนั้นก็เอื้อมมือไปลูบศีรษะนางเบา ๆ
“ขอบใจที่คิดเผื่อข้า”
“คุณหนูไม่ต้องขอบใจบ่าวเจ้าค่ะ บ่าวเต็มใจ”
สองนายบ่าวมอบรอยยิ้มให้กันก่อนที่จะสนทนาเรื่องนั้นเรื่องนี้ด้วยบรรยากาศรอบกายคล้ายมิตรสหายที่สนิทสนมกันมาก
การกระทำของทั้งสองตกอยู่ในสายตาของม่านหนิงตลอดเวลา
นางรู้สึกแปลกใจกับบรรยากาศระหว่างทั้งสองมาก เอ่ยเสียงเบาว่า…
“ต้องเป็นคนอย่างไรกันถึงได้สนทนาพาทีกับสาวใช้ด้วยบรรยากาศดุจพี่น้องแบบนี้”
ม่านหนิงยืนกอดอกซ่อนตัวอยู่หลังรถม้า สายตาอ่านยากจับจ้องไปยังลี่จูทั้งยังประเมินนางในทุกด้าน
“ไม่สิ! ต่อให้เป็นพี่น้องกันแท้ ๆ ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนี้ ช่างเป็นสตรีที่น่าสนใจ”
๑๐เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า “ฮูหยิน เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า!”นี่คือประโยคแรกที่ข้ากล่าวหลังจากที่ถลันกายเข้าไปในห้องนอนรอยยิ้มบนใบหน้าข้าหายไปทันทีเมื่อเห็นสภาพนางที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียง พอเห็นหน้าข้านางก็รีบหันหน้าไปทางอื่น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่หายไปแทนที่ด้วยความเจ็บปวด เหตุใดนางจึงร้องไห้น้ำตาอาบหน้าเช่นนี้“ฮูหยิน…”อาชิ่งรู้งานรีบเดินออกไปจากเรือนนอนปล่อยให้เราสองคนอยู่ในห้องด้วยกันเพียงลำพัง“ฟูจวินอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ ไม่ต้องเข้ามา”ข้าชะงักเท้าตามที่นางสั่ง แม้จะทราบว่านางเป็นเช่นนี้เพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ข้าก็ไม่อาจห้ามความเศร้าที่กอบกุมจิตใจได้“ฮูหยินร้องไห้ด้วยเหตุใด บอกฟูจวินได้หรือไม่”“ไม่บอกเจ้าค่ะ อยากร้องไห้ต้องมีสาเหตุด้วยหรือ” ปลายเสียงนางสะบัดแต่สะอื้นฮัก ๆ เพราะร้องไห้เห็นร่างบางที่หันหลังใส่ตัวสั่นเช่นนี้ข้าก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว เดินไปนั่งด้านหลังนางแล้วสวมกอดร่างบางเอาไว้จากด้านหลัง“ฮูหยิน อยากร้องก็ร้อง แต่อย่าห้ามฟูจวินให้กอดเจ้าเลย ในเวลานี้เจ้าไม่ควรให้ตัวเองอยู่คนเดียว”นางเห็นหน้าข้าแล้วอาจหงุดหงิด แต่ทำแบบนี้ย่อมดีเสียกว่าทิ้ง
๙เบื่อหน้าเขานัก บุตรสาวข้าเลี้ยงง่ายยิ่งนัก! ท่านพ่อของข้ากล่าวว่าตอนเด็กนางเหมือนข้าไม่มีผิด เวลาใครอุ้มก็จะมองหน้าคนนั้น มองนิ่ง ๆ ด้วยสายตาสำรวจ นอกจากครั้งแรกที่ร้องไฮ้ตอนเป็นทารกแล้ว ข้าก็ไม่ได้ร้องไห้อีก หลางลู่หลินก็เช่นกัน! สิ่งนี้ทำให้ข้าเริ่มสงสัยว่านางเป็นแบบข้าหรือไม่ มีความทรงจำของชาติภพปัจจุบันติดมาด้วยหรือเปล่า มีวันหนึ่งข้าลองทดสอบดู พูดเป็นภาษาอังกฤษภาษาสากล แต่นางเพียงมองหน้าข้าด้วยสายตาว่างเปล่า ชัดเจนว่าไม่เข้าใจ คิดได้สองแง่ หนึ่งนางแค่ไม่ชอบร้องไฮ้ มีความเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เกิด สองนางอาจมากันคนละยุคกับข้า การทดสอบของข้าดำเนินการมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางอายุเข้าสามหนาวข้าก็หยุดทดสอบ คิดได้ว่า… ไม่ว่าใครจะมาเกิดนางก็ตาม อย่างไรนางก็คือบุตรสาวของข้า ใช้ชีวิตเป็นมารดาของหลางลู่หลินโดยไม่ตั้งคำถามกับตนเองในใจอีก เข้าปีที่สามของการใช้ชีวิตเป็นมารดา ปีนี้ลู่หลินพูดได้เยอะขึ้น วิ่งเล่นได้เร็วขึ้น ดูสดใสตามวัยโดยเฉพาะยามที่ได้เล่นกับบิดาและน้าชาย กอปรกับข้าตั้งครรภ์อ่อน ๆ หน
๘ผู้ซึ่งสมหวังที่สุดข้าเรียนรู้วิธีการกรี๊ดแล้ว!“กรี๊ด~เจ็บ!”ที่ผ่านมาข้าคิดว่าตนเองกรี๊ดไม่เป็นจนกระทั่งวันนี้ เจ้าตัวน้อยของแม่มอบบทเรียนให้กันตั้งแต่วันแรกที่กำลังลืมตาดูโลกเลย “ฮูหยิน เบ่งเจ้าค่ะ…อื้อ~” “อื้อ~”ข้าออกแรงเบ่งพร้อมเปล่งเสียงตามท่านหมอหญิง แต่เจ้าตัวน้อยของข้าก็ไม่ยอมออกเสียที“เบ่งอีกเจ้าค่ะฮูหยินน้อย เอาให้สุดแรงครั้งนี้ออกแน่เจ้าค่ะ”อีกครั้งเดียวแน่หรือ!“ฮูหยินน้อย อาชิ่งช่วยเบ่งเจ้าค่ะ”สาวใช้คนสนิทใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ข้า น้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกสภาพจิตใจในตอนนี้“เอาล่ะเจ้าค่ะ เบ่งเจ้าค่ะ”“อีกทีใช่หรือไม่…อื้อ~” ข้าพยายามเบ่งอีกครั้ง แต่ผลก็เหมือนเดิมคือยังไม่ออกมีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรชาย แต่ก็มีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรสาวสุดท้ายข้าเลือกเชื่อว่าเป็นบุตรสาวเพราะสามีกระซิบกับท้องข้าเบา ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาสเช่น…‘พ่อไปเรียนทำผมมาแล้ว จะถักเปียให้เจ้าทุกวันดีหรือไม่ลูกสาว’ไม่ก็กล่าวกับอาไท่ว่า…‘ทำชิงช้าน้อยใต้ต้นไม้ให้บุตรสาวข้าหน่อย’เป็นเช่นนี้ตลอด! นานวันเข้าข้าก็คาดหวังว่าตัวเองจะได้บุตรสาวเช่นเดียวกับฟูจวิน“ท่านหมอ ไม่ออก…ฮึก”เมื่อค
๗นางอาจจะมาแล้ว“เกิดอันใดขึ้นกับนาง!”“ฮูหยินเป็นลมขอรับ”ข้าบีบมือตนเองแน่น ต่อให้นางจะเป็นลมข้าก็ไม่วางใจ ถามเขาถึงสถานที่ที่นางอยู่่ในตอนนี้“ฮูหยินอยู่ที่ใด”“เรือนนอนขอรับ”เมื่อทราบสถานที่ที่นางอยู่แล้วข้าก็ไม่รีรอ ใช้พลังภายในที่มีทั้งหมดเร่งความเร็วมาที่เรือนหอ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องนอนที่ได้ยินเสียงสนทนาของหลางผิงและท่านหมอประจำจวนข้าถลันกายเข้าในด้านในโดยไม่สนหน้าใครทั้งสิ้น“ฮูหยิน!”ใบหน้านางซีดมากจนข้าหายใจไม่ออก มารู้ว่าตนมือสั่นก็ตอนที่เอื้อมมือไปจับมือบาง“ฟูจวิน ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ ทำใจดี ๆ”ทำใจดี ๆ เช่นนั้นหรือ กล่าวเช่นนี้แล้วข้าจะยังใจเย็นได้ไหวหรือ นางเป็นอันใดถึงต้องกล่าวให้ข้าทำใจดี ๆ“ฮะ ฮูหยิน พูดแบบนี้ข้าใจไม่ดีเลย”ข้าเริ่มกล่าวเสียงตะกุกตะกักแล้ว ในตอนนั้นเองที่หมอประจำจวนเรียกความสนใจจากข้า“ท่านประมุขน้อย ฮูหยินไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายขอรับ แต่เป็นข่าวดี”ข่าวดี!“บอกเขาเถิดเจ้าค่ะท่านหมอ”เสี่ยวกูกู่เอ่ยขึ้น แววตาของนางฉายความขบขันจนข้าวางใจว่าภรรยาไม่ได้ป่วยเป็นอันใดจริง ๆ“ยินดีกับท่านประมุขน้อยด้วยขอรับ ฮูหยินตั้งครรภ์แล้วขอรับ”ตะ ตั้งครรภ์หรือ!“ฮูห
๖ฮูหยินเป็นอันใดลี่จู…กลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวครั้งนี้ข้ารู้สึกเบาใจขึ้นกว่าเดิมโดยไม่แน่ใจถึงสาเหตุหรือเป็นเพราะเห็นทุกคนต่างพยายามปรับตัวเข้าหากันรวมถึงปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ข้าจึงเบาใจว่าจะไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวหลังกลับจากพรรคมารป๋ายหลงเมื่อวาน ข้าคิดจะนอนหลับพักผ่อน แต่ไม่วายโดนฟูจวินลากไปห้องหนังสือให้ช่วยฝนหมึกให้ในตอนนั้นเองที่ข้าทราบว่าเขาไม่ได้ต้องการคนฝนหมึก เขาแค่อยากให้ข้านั่งอยู่ใกล้ ๆช่วงค่ำพวกเราทานอาหารกับประมุขเฮยหลางที่ข้าเปลี่ยนมาเรียกท่านพ่อแล้วท่านพ่อกล่าวว่าพอได้ทานอาหารร่วมกันสามคน ความรู้สึกของการเป็นครอบครัวกลับมาอีกครั้ง สีหน้าแช่มชื่นของท่านเป็นตัวแสดงความสุขได้อย่างชัดเจนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน…ข้าปรับตัวกับที่นี่ได้แล้ว!ฟูจวินทราบว่าข้าชอบดอกไม้จึงลงมือปลูกดอกไม้ให้ข้าด้วยตนเองดอกไม้ที่ลงมือปลูกโดยเขาแม้จะไม่งามเท่าคนสวนปลูก แต่ข้าเห็นถึงความตั้งใจนั้นและรักเขาเพิ่มอีกนิดหนึ่งวันหนึ่งข้ากำลังนั่งเย็บรองเท้าคู่ใหม่ให้ฟูจวินกับอาชิ่ง สาวใช้ประจำพรรคก็เดินเข้ามาในศาลา“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ”ข้าพยักหน้าให้นางรายงานได้“หลางผิงกูเหนียงมา ใ
๕ต่างคนต่างตามใจกันข้าจำคำพูดที่ฟูจวินกล่าวไว้วันแต่งงานได้ เขาบอกว่าสาบานเป็นพี่น้องกับลี่หลานแล้วตอนนั้นข้ารู้สึกทะแม่ง คิดอยู่นานว่าลี่หลานหรือจะยอมญาติดีกับเขาโดยง่ายแล้ววันนี้ข้อสงสัยของข้าก็ได้รับการพิสูจน์!ลี่หลานยังคงมองฟูจวินเป็นศัตรูที่แย่งความรักกับพี่สาวเขาไม่เสื่อมคลาย เพียงแต่ไม่มีสิทธิ์ห้ามฟูจวินเข้าใกล้ข้าอย่างกาลก่อน“...เจี่ยเจีย อาเตียนั่งรอที่โต๊ะอาหารแล้วขอรับ”ลี่หลานผายมือเชิญข้าไปยังห้องรับประทานอาหารในเรือนรับแขก เขาชายตามองฟูจวินเพียงครู่เท่านั้นก็ตวัดสายตามามองข้าไม่มองฟูจวินอีกเลย!“เชิญเจี่ยเจียอย่างเดียวหรือ ไม่เชิญเจี่ยฟุหรือ”ฟูจวินถามลี่หลานยิ้ม ๆ ก่อนที่จะยื่นมือมาสอดเอวข้าแล้วดึงเข้าใกล้กว่าเดิมลี่หลานแสดงท่าทางหวงผ่านแววตา ไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านเป็นเด็ก ๆ เช่นเคยเห็นเขาควบคุมตัวเองได้ดีแบบนี้ข้าก็ดีใจ!“เชิญเจี่ยฟุทางนี้”ข้าส่งยิ้มให้ลี่หลานทันทีเมื่อเขาเรียกฟูจวินเช่นนี้คำกล่าวเมื่อครู่ลี่หลานย่อมฝืนใจ แต่เมื่อเห็นข้าส่งยิ้มดีใจให้ ที่กล่าวไปเมื่อครู่ก็ไม่ดูฝืนอีกต่อไป“ไปทานข้าวกันขอรับเจี่ยเจี่ย เจี่ยฟุ”“ไป”ถือเป็นก้าวที่ดี ลี่หลานรั